เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - ตอนที่ 220
ในขณะที่ทุกคนกลับไปพักผ่อน เจียงอี้ก็ถูกเฉียนว่านก้วนพาไปยังห้องพัก เมื่อมาถึงที่หน้าห้อง เขาก็เอ่ยกับเฉียนว่านก้วน
“ว่านก้วน เจ้าช่วยเฝ้าอยู่หน้าห้องสักครู่สิ!”
เฉียนว่านก้วนผงะไปชั่วขณะก่อนที่จะเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง
“ลูกพี่ เจ้ากำลังคิดที่จะดูดซับพลังจากศิลาสวรรค์รึ? อย่าใจร้อนสิ! แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจวิธีการสกัดกลั่นมันอย่างแน่ชัด แต่เคยได้ยินมาว่าจะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสองสัปดาห์เชียวนะ!”
“ไม่ใช่แบบนั้น!”
เจียงอี้ส่ายหัวและไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม เขายังคงยืนยันคำเดิม “ยืนอยู่ตรงนี้สักครู่เถอะหน่า! จำไว้ว่าอย่าให้ใครเข้ามาใกล้ที่นี่”
“ก็ได้ๆ!” ถึงเฉียนว่านก้วนจะไม่ทราบแน่ชัดว่าเจียงอี้ต้องการที่จะทำสิ่งใด แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เช่นนั้นเขาก็คงไม่อาจที่จะปฏิเสธได้
เมื่อเข้ามาในห้อง เจียงอี้ก็ปิดประตูและลงกลอนอย่างดี จากนั้นก็ตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีสิ่งผิดปกติ
ทันใดนั้นไข่มุกวิญญาณเพลิงในมือของเขาก็เปล่งแสงพร้อมกับกล่องที่บรรจุดาบยาวปรากฏออกมา
“ดาบมังกรเพลิง!”
ดวงตาของเขาลุกโชนด้วยความตื่นเต้น แต่ก็ไม่สามารถเทียบได้กับไข่มุกวิญญาณเพลิงที่กำลังส่องสว่างด้วยแสงอันเจิดจ้า ราวกับต้องการที่จะบอกเขาว่ามันต้องการดาบเล่มนี้ยิ่งนัก
ขณะที่ค่อยๆแง้มฝากล่องอย่างช้าๆ ดวงตาของเจียงอี้ก็เผยให้เห็นความตกตะลึง!
ดาบมังกรเพลิงนั้นมีข้อบกพร่องอย่างแน่นอน มันมีรอยบุ๋มลงไปบริเวณตรงด้ามดาบราวกับขาดส่วนประกอบบางอย่างไป อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ตรงส่วนที่ขาดไปก็ดูคล้ายกับไข่มุกวิญญาณเพลิงอยู่ไม่น้อย
“เป็นไปได้ยังไงกัน? ไม่ใช่ว่าไข่มุกวิญญาณเพลิงเป็นเพียงแค่สิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ควบคุมช่องว่างมิติหรอกหรือ?”
แต่เมื่อเจียงอี้ยกดาบมังกรเพลิงขึ้นมา ไข่มุกวิญญาณเพลิงก็เปล่งประกาย แม้แต่ลวดลายมังกรบนตัวดาบก็เริ่มมีปฏิกิริยา เหตุการณ์ดังกล่าวมันดูคล้ายกับว่า… สิ่งประดิษฐ์ทั้งสองกำลังดึงดูดเข้าหากันและกันราวกับคู่รักที่พลัดพรากจากกันมานานแสนนาน
“ในเมื่อพวกเจ้าอยากอยู่ด้วยกัน เช่นนั้นข้าก็จะทำให้สมหวังเอง!”
เจียงอี้ค่อยๆนำไข่มุกวิญญาณเพลิงไปประกบลงในส่วนเว้าของดาบมังกรเพลิงอย่างเบามือ ทันใดนั้นเองเรื่องพิศวงก็บังเกิดขึ้น
วิ้งงง!
ทั้งไข่มุกและตัวดาบต่างก็สาดแสงสีแดงฉายออกมาอย่างพร้อมเพรียงและหล่อหลอมเข้าด้วยกัน
เมื่อไข่มุกวิญญาณเพลิงถูกผสานลงไป ทำให้ตอนนี้เจียงอี้เริ่มสัมผัสถึงร่องรอยการเชื่อมต่อระหว่างดวงวิญญาณของเขากับดาบมังกรเพลิงได้แล้ว!
“มันสมบูรณ์แล้วหรือ?”
ไข่มุกวิญญาณเพลิงถูกเขาขัดเกลาและถูกจดจำเป็นเจ้าของนานแล้ว หรือว่าการที่หลอมรวมมันเข้ากับดาบมังกรเพลิงจะเป็นการช่วยขัดเกลาดาบมังกรเพลิงทางอ้อม?
“เอ๊ะ เดี๋ยวสิ!”
แต่จู่ๆเจียงอี้ก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ ไข่มุกวิญญาณเพลิงเป็นสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ควบคุมช่องว่างมิติ แล้วถ้าหากหลอมรวมกับดาบมังกรเพลิง… ความสามารถในการควบคุมมิติยังคงใช้ได้อยู่หรือไม่? มันยังคงใช้สร้างภูมิคุ้มกันอัคคีธาตุและดูดซับเปลวเพลิงได้อยู่ไหมนะ?
เขารีบย้ายจิตเข้าไปสำรวจไข่มุกวิญญาณเพลิงอย่างรวดเร็ว เมื่อตระหนักได้ว่ายังคงใช้ช่องว่างมิติได้อยู่ เขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“ว่าแต่ ถ้าดาบมังกรเพลิงและไข่มุกวิญญาณเพลิงผสานกันแบบนี้ แล้วตัวดาบยังจะสามารถูกเก็บเข้าไปในช่องว่างมิติของไข่มุกได้ไหมนะ? ตัวข้าเองก็คงไม่สามารถแบกสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์เดินเพ่นพ่านในเมืองได้เสียด้วย…”
ด้วยการใช้จิตบังคับ เขาควบคุมให้ไข่มุกวิญญาณเพลิงเก็บดาบมังกรเพลิงกลับเข้าไปในช่องว่างมิติ ทันใดนั้นตัวดาบก็หายวับไปแต่ไข่มุกยังคงลอยอยู่กลางอากาศ แสดงให้เห็นว่าพวกมันทั้งสองต่างก็สามารถแยกตัวออกจากกันได้โดยอัตโนมัติ
“จงออกมา!”
หลังจากที่เว้นระยะไปชั่วครู่ เจียงอี้ก็เรียกดาบมังกรเพลิงออกมาอีกครั้งและผสานเข้ากับไข่มุกวิญญาณเพลิง
“ก่อนหน้านี้มันเป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ที่มีข้อบกพร่อง แต่ตอนนี้มันสมบูรณ์แล้วใช่หรือไม่?”
เขามองดูมันด้วยความหลงใหลแต่ในขณะเดียวกันก็ทำการตรวจสอบไปด้วย เขารู้สึกราวกับว่าดาบมังกรเพลิงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเขาโดยเฉพาะและรู้สึกได้ว่ามันเปรียบเสมือนส่วนหนึ่งของร่างกาย
“ทำไมลวดลายบนดาบมังกรเพลิงกับไข่มุกวิญญาณเพลิงดูคล้ายคลึงตราประทับที่เคยอยู่ในตันเทียนของข้านัก? เป็นไปได้ไหมว่าเจ้าของคนเก่าของพวกมันคือผู้ที่ผนึกตันเทียนของข้า?”
“แต่ว่า… ไข่มุกวิญญาณเพลิงเม็ดนี้อยู่ภายในสุสานของราชันสวรรค์หมื่นมังกรมาตลอดหมื่นปีที่ผ่านมา แล้วมันจะเกี่ยวข้องกับคนที่ผนึกตันเทียนของข้าได้ยังไง? แต่การที่ลวดลายของมันดูคล้ายกันเช่นนี้ มันจะใช่เรื่องบังเอิญจริงๆหรือ?”
เจียงอี้พึมพำกับตัวเองก่อนที่จะมุ่งความสนใจไปที่การตรวจสอบดาบมังกรเพลิงอย่างเต็มที่ แต่ไม่นานนักเขาก็พบกับเรื่องที่ทำให้ต้องประหลาดใจอีกครั้ง
เมื่อเข้าย้ายจิตเข้าไปในดาบมังกรเพลิง ปรากฏว่าภายในห้วงวิญญาณของเขากลับปรากฏเสียง ‘ตู้ม’ ซึ่งคล้ายกับระเบิดกัมปนาท จากนั้นอักขระสีดำก็ค่อยๆผุดขึ้นมา
“นี่… นี่…”
เมื่อเพ่งมองดีๆ เจียงอีก็พบว่าตัวอักขระเหล่านี้ช่างดูคุ้นเคยยิ่งนัก แต่ในเวลาเดียวกันดวงจิตของเขาก็รู้สึกเจ็บปวดทรมานราวกับถูกฉีกกระชาก
บทสวดขั้นที่สามของศาสตร์นิรนามปรากฏออกมาแล้ว!
อักขระเหล่านี้มีรูปแบบที่คล้ายคลึงกับบทก่อนหน้าและยังต่อเนื่องกับศาสตร์นิรนามบทที่สองที่เขาได้มากก่อนหน้านี้ ซึ่งก็หมายความว่ามันจะต้องเป็นบทที่สาม!
แต่จุดที่น่าสงสัยคือ ทำไมมันถึงปรากฏออกมาตอนที่เขาทำการตรวจสอบดาบมังกรเพลิง?
เจียงอี้จำได้ว่าบทก่อนหน้านี้ เขาจำเป็นต้องใช้แก่นแท้พลังสีดำให้การหล่อเลี้ยงไข่มุกวิญญาณเพลิงจนถึงระดับหนึ่งก่อนที่มันจะโผล่ออกมา แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป
ลวดลายมังกรที่อยู่บนตราประทับในตันเทียนของเขามีความคล้ายคลึงกับดาบมังกรเพลิงและไข่มุกวิญญาณเพลิง อีกทั้งไข่มุกวิญญาณเพลิงยังเคยดูดซับแก่นแท้พลังสีดำและถูกขัดเกลาจนทำให้เขากลายเป็นเจ้าของมัน
และเมื่อทำการตรวจสอบดาบมังกรเพลิง ปรากฏว่าบทสวดขั้นที่สามของศาสตร์นิรนามก็ปรากฏออกมา… นี่จะไม่บังเอิญเกินไปหน่อยหรือ?!
มีเพียงข้อสันนิษฐานเดียวเท่านั้น…
ตัวของเจียงอี้, ไข่มุกวิญญาณเพลิงและดาบมังกรเพลิง ทั้งสามสิ่งนี้มีความเกี่ยวข้องกันอยู่แล้ว!
ไข่มุกวิญญาณเพลิงหลับใหลอยู่ในอยู่ในสุสานราชันสวรรค์มานานนับหมื่นปี แต่เจียงอี้เพิ่งมีอายุเพียงแค่สิบหกปีเท่านั้น พวกเขาจะมีความเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร?
“ปัง!”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ร่างของเจียงอี้ก็สั่นสะท้าน ทันใดนั้นเขาก็ขว้างดาบมังกรเพลิงลงบนพื้นอย่างไม่ลังเล จู่ๆเขากลับรู้สึกว่าดาบมังกรเพลิงเป็นสิ่งของนอกรีตและเขายังรู้สึกถึง… มือลึกลับที่คอยชักใยชีวิตเขาอยู่เบื้องหลัง!
ในตอนนี้เจียงอี้รู้สึกหวาดกลัวและไม่สบายใจอย่างยิ่ง ในความเป็นจริงเขาต้องการที่จะโยนดาบมังกรเพลิงและไข่มุกวิญญาณเพลิงทิ้งไปเสีย รวมไปถึงศาสตร์นิรนามและแก่นแท้พลังสีดำด้วย
แต่… เขาจะทิ้งพวกมันได้ยังไง?
เจียงอี้กลับมาสงบอย่างรวดเร็ว เป็นความจริงที่ว่าเขามีศัตรูอยู่เป็นจำนวนมาก จ่างซุนอู๋จี้และเซี่ยเถียนต้องการให้เขาตาย นี่ยังไม่นับเจียงนี่หลิวที่ยังคงถูกกักบริเวณอยู่ในตำหนักของตัวเอง หากเขาออกมาได้ เขาจะต้องหาทางกลับมาฆ่าเจียงอี้อย่างแน่นอน
ยังมีศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักมังกรเวหาและยังเป็นประมุขน้อยจากตระกูลเตาแห่งอาณาจักรเป่ยหมางอย่างเตาจ้าน ที่เพ่งเล็งเขาไว้แล้ว
นอกจากนี้เขายังสังหารองค์ชายแห่งอาณาจักรเทียนเซวี่ยน ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญจากอาณาจักรนี้คงจะไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆเป็นแน่
เจียงอี้มีศัตรูมากเกินไป อีกทั้งยังไม่ได้ทำให้เจียงเปี๋ยหลีมาคุกเข่าต่อหน้าหลุมศพของมารดา แม้แต่สถานการณ์ของเจียงหยุนไฮ่ เขาก็ยังไม่ทราบแน่ชัด ในตอนนี้เขาไร้ซึ่งอำนาจและต้องการไขว่คว้าพลัง
หากปราศจากไข่มุกวิญญาณเพลิงและแก่นแท้พลังสีดำ ทุกสิ่งล้วนสูญเปล่า หากเขายังคิดที่จะละทิ้งดาบมังกรเพลิงไปอีก เขาก็จะกลายเป็นเพียงนักสู้ขอบเขตจื่อฝู่ขั้นที่สองอันต่ำต้อยและทำได้เพียงรอให้ศัตรูมาบดขยี้เท่านั้น
ดังนั้น หลังจากที่ชั่งน้ำหนักความสำคัญดีแล้ว เจียงอี้ก็กัดฟันและหยิบดาบมังกรเพลิงขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อความเจ็บปวดบรรเทาลงแล้ว เขาก็ทำการจดจำอักขระเหล่านั้นและปล่อยมันไว้ก่อน
เขาอยู่ในสภาวะสับสนผนวกกับไม่มีเวลามากพอที่จะทำความเข้าใจมัน ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องละความสนใจจากบทสวดขั้นที่สามของศาสตร์นิรนามไว้ชั่วคราว
“ดาบมังกรเพลิง เจ้าคงไม่ใช่ดาบมารหรอกนะ? หวังว่าเจ้าจะไม่นำข้าไปสู่เส้นทางแห่งเต๋าอันชั่วร้าย”
เจียงอี้จ้องมองไปดาบมังกรเพลิงอย่างไม่วางตาและกระซิบกับมัน คราวนี้เมื่อย้ายจิตเข้าไปสำรวจในตัวดาบก็ไม่พบเรื่องประหลาดใจอื่นๆ แต่เขากลับมองเห็นค่ายกลยับยั้งอันซับซ้อนจำนวนมากซึ่งทำให้เขาเริ่มเวียนหัว
สิ่งประดิษฐ์ตั้งแต่ระดับวิญญาณขึ้นไปล้วนแต่มีค่ายกลสลักอยู่ภายใน ค่ายกลยับยั้งเหล่านี้ทำหน้าที่เพิ่มพลังโจมตีให้กับตัวศาสตราวุธและยังปลดปล่อยเคล็ดวิชาลึกลับบางอย่างออกมาดีด้วย
ความแข็งแกร่งของค่ายกลขึ้นอยู่กับระดับของสิ่งประดิษฐ์ ยิ่งมีระดับสูงเท่าไหร่ ค่ายกลยับยั้งก็จะยิ่งซับซ้อนและลึกลับมากเท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่เจียงอี้จะรู้สึกเวียนหัว
“นี่มัน? มีบางอย่างผิดปกติ…”
เมื่อสำรวจไปได้ชั่วครู่ เขาก็ตระหนักได้แล้วว่ามันมีปัญหาอย่างอื่น ดาบมังกรเพลิงเล่มนี้ดูเหมือนว่าแท้จริงแล้วจะยังมีข้อบกพร่องอยู่
ที่ส่วนล่างของตัวดาบ ค่ายกลยับยั้งอันสลับซับซ้อนกำลังเกี่ยวโยงกันด้วยเส้นแสงสีแดงซึ่งปลดปล่อยกลิ่นอายที่น่าเกรงขามออกมา
แต่ส่วนบนของตัวดาบ มันกลับเป็นค่ายกลที่ดูเรียบง่ายและมีสีอ่อนกว่า เห็นได้ชัดว่ามันชำรุด เมื่อเปรียบเทียบกับค่ายกลในดาบเกล็ดทมิฬ ปรากฏว่าสิ่งประดิษฐ์ระดับวิญญาณชิ้นนี้กลับดูสมบูรณ์แบบกว่าเสียอีก…