เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - ตอนที่ 222
พระราชโองการไม่ได้มีใจความที่สลักสำคัญเท่าใดนัก เป็นเพียงแค่การสรรเสริญเจียงอี้ที่สร้างคุณงามความดีให้กับอาณาจักรเสินหวู่และกลายเป็นความภาคภูมิใจของคนทั้งอาณาจักร
ในช่วงท้ายมีการกล่าวถึงเรื่องที่จะให้เจียงอี้เข้าสู่ราชวังและถูกองค์ราชาเรียกพบเป็นการส่วนตัว
เซี่ยอู๋หุ่ยปรากฏตัวอย่างสง่างามและสนทนากับเจียงอี้อย่างเป็นกันเองต่อหน้าประชาราษฎร์ทั้งปวง แต่ถึงจะเป็นเพียงแค่เสี้ยววินาที เจียงอี้ก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงร่องรอยจิตสังหารจากคำพูดขององค์ชายผู้นี้
ต้องไม่ลืมว่าเขาเคยลงมือสังหารคนของราชวงศ์ไปนับสิบ เกรงว่าภายในใจของเซี่ยอู๋หุ่ยในตอนนี้คงอยากที่จะสับร่างของเจียงอี้ให้เป็นชิ้นๆเป็นแน่
แต่การที่เขาสามารถสนทนากับเจียงอี้ได้อย่างลื่นไหลและปราศจากความเกลียดชังต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเขามีคุณสมบัติที่จะเป็นรัชทายาทและโดดเด่นเหนือองค์ชายคนอื่นๆในอาณาจักรเสินหวู่อย่างเทียบไม่ติด
มีกลุ่มขุนนางและแม่ทัพจำนวนไม่น้อยที่ให้การสนับสนุนเซี่ยอู๋หุ่ยซึ่งเจียงอี้ไม่รู้จักแม้แต่ผู้เดียว แต่คนเหล่านั้นก็ยังมาพูดคุยกับเขาด้วยความชื่นชม
แน่นอนว่าเจียงอี้ย่อมต้องเว้นระยะห่างและตอบคำถามแบบขอไปที ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แม้แต่รองเจ้าสำนักฉี, เฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวงก็กำลังเผชิญกับสถานการณ์ในลักษณะเดียวกัน
หลังจากที่การทักทายตามมารยาทสิ้นสุดลง องค์รัชทายาทก็ได้นำรองเจ้าสำนักฉีและคนอื่นๆเข้าไปในพระราชวัง เดิมทีเจียงอี้ก็ถูกเชื้อเชิญเช่นเดียวกัน แต่เขาปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่ารู้สึกเหนื่อยล้าจากสงครามและต้องการที่จะกลับไปพักยังโรงเตี๊ยมมังกรซ่อนเร้น
“ลูกพี่!”
แต่ก่อนที่จะหย่อนก้นลงนั่ง เฉียนว่านก้วนก็รีบพุ่งเข้ามาเพื่อแจ้งข่าวด่วนกับเจียงอี้ เขากล่าวว่าเจียงเปี๋ยหลีได้เดินทางมาถึงที่นี่และเข้าไปในพระราชวังหลวงแล้ว
เมื่อได้ยินเช่นนั้น มุมปากของเจียงอี้ก็เผยให้เห็นรอยยิ้มอันเย้ยหยัน แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมาและกลับเข้าไปในห้องเพื่อนอนพักผ่อน การตีความบทสวดของศาสตร์นิรนามก่อนหน้านี้กินเวลาทั้งคืนทำให้เขาไม่มีเวลาพัก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะรู้สึกเหนื่อยล้า
เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนบ่าย เฉียนว่านก้วนก็นำข่าวร้ายอีกข่าวมาแจ้งให้เขาทราบ
พิธีอภิเษกสมรสระหว่างองค์รัชทายาทและซูรั่วเสวี่ยจะถูกจัดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า กองทัพที่จะใช้คุ้มกันเจ้าสาวจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้และมุ่งหน้าสู่อาณาจักรต้าเซี่ยเพื่อรับตัวเจ้าสาว
เจียงอี้รู้ตัวดีกว่าตัวเองไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกต่อไป แต่เขาก็ยังคงรู้สึกอึดอัดใจทุกครั้งที่ได้ยินข่าวนี้และยังต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากที่จะลืมหญิงสาวที่ชื่อว่าซูรั่วเสวี่ย
หัวใจของเขาราวกับถูกกรีดด้วยมีด หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป มันอาจจะส่งผลกระทบต่อหัวใจแห่งเต๋าของเขาดังนั้นเขาจึงต้องหาวิธีคลี่คลายมันให้เร็วที่สุด
“เจ้าช่วยข้าหาวิธีสกัดกลั่นศิลาสวรรค์ทีสิ!”
เจียงอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา แน่นอนว่าสหายคู่ใจอย่างเฉียนว่านก้วนย่อมรู้อยู่แล้วว่าลูกพี่คนนี้ต้องการที่จะทำอะไร
เขาต้องการที่จะใช้ความผิดหวังและเศร้าสร้อยเป็นแรงผลักดันในการพัฒนาความแข็งแกร่งและขัดเกลาหัวใจแห่งเต๋า
การหาวิธีสกัดกลั่นศิลาสวรรค์ไม่ใช่เรื่องยาก แม้ว่าบรรดาตระกูลใหญ่ทั้งหลายจะไม่มีศิลาสวรรค์อยู่ในครอบครอง แต่ตำราที่เกี่ยวกับมันก็มีอยู่เหลือเฟือ
เจียงอี้อ่านพวกมันทั้งหมดและทำความเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว แต่เขาไม่คิดที่จะดูดซับมันในตอนนี้ เพราะเมื่อกระบวนการดูดซับเริ่มต้นขึ้น มันจะไม่สามารหยุดกะทันหันได้ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาขั้นต่ำสิบวันในการดูดซับศิลาสวรรค์หนึ่งก้อน
เจียงอี้ไม่ได้ออกไปสังสรรค์หรือแม้แต่บ่มเพาะพลัง เขาใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการตีความบทสวดขั้นที่สามของศาสตร์นิรนาม แต่แม้ว่าเขาจะใช้เวลาทั้งคืน เขากลับไม่ได้อะไรกลับมาเลย มันราวกับว่าบทสวดท่อนนี้ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ทั่วไปจะสามารถทำความเข้าใจได้
วันรุ่งขึ้น เจียงอี้ตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ เขาไปหาเฉียนว่านก้วนเพื่อให้อีกฝ่ายแนะนำเกี่ยวกับมารยาทในการเข้าวัง เขาถูกองค์ราชาเรียกพบเป็นการส่วนตัวดังนั้นจึงไม่ต้องการให้มีข้อผิดพลาดใดๆเกิดขึ้น เพราะหากว่าเกิดทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจขึ้นมา มันจะกลายเป็นอันตรายต่อตัวเขาในอนาคตอย่างแน่นอน
เจียงอี้ไม่ได้ให้ความสนใจต่อเรื่องหยุมหยิมมากนัก เขาไม่สนใจแม้กระทั่งตำแหน่งแม่ทัพเขี้ยวมังกรที่เป็นรางวัลพระราชทานสำหรับผู้ที่คว้าอันดับหนึ่งในสงครามราชอาณาจักรมาได้
หากเขายอมรับตำแหน่งแม่ทัพ นั่นก็หมายความว่าเขาจะกลายเป็นขี้ข้าของพวกราชวงศ์และยังต้องอยู่ภายใต้คำสั่งของเจียงเปี๋ยหลีซึ่งเป็นเรื่องที่เขาไม่อาจที่จะทำใจยอมรับได้
ขบวนทัพทหารหลวงกำลังตั้งแถวอยู่ที่ด้านนอกโรงเตี๊ยมมังกรซ่อนเร้น เมื่อเจียงอี้ก้าวออกมา พวกเขาก็คุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมกับเอ่ย
“คารวะใต้เท้า!”
“ใต้เท้า…?”
คิ้วของเจียงอี้ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เขายังไม่ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพเขี้ยวมังกร แต่ทหารหลวงเหล่านี้กับปฏิบัติต่อเขาด้วยท่าทีแบบทหารเสียแล้ว
เขาเพิ่งมีอายุครบสิบหกปีเท่านั้น เมื่อถูกเรียกว่าใต้เท้า เขาย่อมรู้สึกไม่คุ้นชินเป็นธรรมดา
หลังจากที่กล่าวลาเฉียนว่านก้วนและคนอื่นๆ เจียงอี้ก็ขึ้นรถม้าและมุ่งตรงไปยังพระราชวังหลวงในทันที
ด้วยการนำของทหารหลวงทำให้ตลอดทั้งเส้นทางเป็นไปด้วยความราบรื่น เขามาถึงพระราชวังหลวงอย่างรวดเร็วก่อนที่จะหยุดอยู่บริเวณโถงราชวัง จากนั้นหนึ่งในทหารหลวงก็เข้ามาเอ่ยบางอย่างกับเขา
“ยังเหลือเวลาอีกเล็กน้อย ใต้เท้าต้องการที่จะพักผ่อนหรือไม่ขอรับ?”
เจียงอี้ลงจากรถม้าและมองไปยังโถงตรงหน้าด้วยสายความสงสัย ตามที่เฉียนว่านก้วนบอกมาก่อนหน้านี้ เขาจะถูกสั่งให้รออยู่นอกห้องโถงใหญ่เพื่อรอเรียกตัวเข้าเฝ้า แต่ตอนนี้เขากลับถูกเชิญเข้ามาก่อน มันหมายความว่ายังไง?
แต่ในเมื่อมาถึงแล้ว ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะถอยกลับ!
เจียงอี้ก้าวเดินเข้าไปอย่างช้าๆ เขามองเห็นสาวรับใช้จำนวนหนึ่งกำลังคุกเข่ารอต้อนรับซึ่งทำให้เขารู้สึกสงสัยยิ่งกว่าเดิม
แต่เมื่อก้าวเข้าไปในห้องโถง ความสงสัยทั้งหมดสูญสลายไป เพราะที่ปรากฏตรงหน้าของเขาคือชายผู้หนึ่งซึ่งกำลังยืนอยู่ใจกลางของห้องโถง
แผ่นหลังของชายผู้นี้ดูดุดันเหมือนพยัคฆ์และยังมีส่วนเอวที่ใหญ่โตราวกับหมี เพียงแค่รูปลักษณ์ของเขาก็ทำให้เจียงอี้รู้สึกกดดันจนเผลอลืมหายใจเสียแล้ว
ชายผู้นี้มีส่วนสูงกว่าสองเมตรและยังสามเสื้อคลุมของนักปราชญ์ แต่ใครก็ตามที่เห็นรูปลักษณ์ของเขาย่อมต้องไม่คิดแน่ว่าเขานั้นเป็นพวกที่ใช้มันสมอง แต่น่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญยุทธที่ทรงพลังเสียมากกว่า
เจียงเปี๋ยหลี!
แทบจะไม่ต้องเสียเวลาคาดเดา เพียงแค่การจ้องมองครั้งเดียว เจียงอี้ก็สามารถระบุตัวตนของอีกฝ่ายได้ทันที ภายในอาณาจักรเสินหวู่มีชายเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ให้บรรยากาศที่น่าอึดอัดใจเช่นนี้
เมื่อบวกกับท่าทีของสาวใช้ เจียงอี้ก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะต้องเป็นเจียงเปี๋ยหลีอย่างแน่นอน
ในที่สุดพ่อลูกก็ได้พบหน้ากัน!
ทหารหลวงและสาวใช้ก้าวออกไปอย่างเงียบๆ แต่เจียงอี้หาได้สนใจไม่ ดวงตาของเขากำลังจดจ่ออยู่กับร่างตรงหน้าด้วยอารมณ์อันซับซ้อน ส่วนหนึ่งก็ประหลาดใจที่ได้พบกับผู้เป็น ‘พ่อ’ อย่างกะทันหัน อีกส่วนก็รู้สึกโศกเศร้า แต่ที่มากไปกว่านั้นคือความโกรธแค้น
เจียงอี้ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาและกลับคืนสู่ความสงบ แม้แต่สีหน้าของเขาก็ดูเรียบเฉยจนน่ากลัว
“ข้า เจียงเปี๋ยหลี นายเหนือหัวแห่งกองทัพภายในอาณาจักรเสินหวู่และยังเป็นจอมพลแห่งกองทัพทหารตะวันตก!”
ทันใดนั้นชายร่างยักษ์ก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน เขาหันหลังกลับมาและจ้องมองไปที่ร่างของเจียงอี้ด้วยความเฉยเมย
“เจ้าคือเจียงอี้สินะ? แม่ของเจ้าคืออีเพียวเพียว ความจริง เจ้าควรที่จะเรียกข้าว่าพ่อ แต่ถ้าหากว่าเจ้ายังไม่สะดวกใจที่จะเรียกเช่นนั้น ข้าก็เข้าใจได้… ข้ารู้ดีว่าเจ้าคงจะเกลียดข้าไปแล้ว แต่ไม่ว่ายังไงข้าก็ยังมีความจริงที่จะต้องบอกต่อเจ้า”
คิ้วของเจียงอี้ถึงกับกระตุก เขาเคยจินตนาการถึงฉากต่างๆเมื่อได้พบกับเจียงเปี๋ยหลี แต่ไม่นึกเลยว่าเมื่อได้พบกันจริงๆ อีกฝ่ายจะตรงไปตรงมาเช่นนี้
แน่นอนว่าความประหลาดใจเหล่านั้นจางหายไปอย่างรวดเร็วและถูกแทนที่ด้วยความเย็นชา
เมื่อเห็นท่าทีของเจียงอี้ เจียงเปี๋ยหลีก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้าด้านนอก ดวงตาของเขาเผยให้เห็นความเยาะเย้ย ซึ่งไม่ใช่กับคนอื่น แต่เป็นการเยาะเย้ยในโชคชะตาของตัวเอง จากนั้นเขาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอันคลุมเครือ
“เจียงอี้ มันไม่สำคัญว่าเจ้าจะรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับข้าในฐานะพ่อมากแค่ไหน ข้าเพียงแค่อยากจะบอกอะไรเจ้าบางอย่าง เดิมทีเมื่อเจียงอีมีชื่อว่าเมืองทัพทหารตะวันตก แต่ข้าก็เปลี่ยนมันตั้งแต่ที่แม่ของเจ้าทิ้งข้าไป”
“ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าเกิดมาตอนไหน แต่ถ้าหากข้ารู้มาก่อนว่าข้ามีลูกอีกคน ข้าจะไม่มีทางปล่อยให้เจ้าต้องระหกระเหินเร่ร่อนอยู่ข้างนอกอย่างทรมานเช่นนี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา”
“เห้อ… เจ้าเข้าใจสิ่งที่ข้าพยายามจะสื่อหรือไม่?”