เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - ตอนที่ 231
ภายในปล่องภูเขาไฟ ลาวาเหลวกำลังคุกรุ่นและเดือดพล่านจนก่อให้เกิดควันสีเขียวจางๆ ด้วยแสงสว่างของมันทำให้ทั่วทั้งบริเวณเจิดจ้าราวกับเป็นช่วงกลางวันตลอดเวลา
ณ พื้นลาวาเบื้องล่าง ปรากฏร่างของนกยักษ์ที่กำลังนอนหมอบอยู่บนพื้นพร้อมกับดูดพลังเพลิงโลกา อีกด้านหนึ่งเป็นชายหนุ่มที่สวมหน้ากากปีศาจและชุดเกราะสีดำซึ่งร่างกายส่วนล่างของเขากำลังจมอยู่ในบ่อลาวา
มือข้างหนึ่งของเขากำดาบมังกรเพลิงไว้แน่นพร้อมกับกวัดแกว่งไปรอบๆ ส่วนอีกข้างหนึ่งกำลังถือเครื่องรางหยกซึ่งกำลังส่องประกายอักขระสีทองอร่าม
ในขณะที่อักขระเหล่านั้นกำลังหลั่งไหลเข้าสู่ร่างของวิหคเพลิงอมตะ เพลิงโลกาที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงก็ถูกดูดซับเข้าสู่ร่างของเขาเช่นกัน
เมื่อเพลิงโลกาถูกดูดซับอย่างรวดเร็ว พื้นลาวาโดยรอบก็เกิดการแข็งตัวจนกลายเป็นหินราวกับไร้ซึ่งสรรพคุณทางธรรมชาติ
ทางด้านของวิหคเพลิงอมตะแต่เดิมก็ได้รับบาดเจ็บอยู่แล้ว และคราวนี้มันก็ยังได้รับผลกระทบจากรังสีสังหารของเจตจำนงสังหารและแรงกดดันของดาบมังกรเพลิง เมื่อดูจากสภาพของมัน การจะสยบมันก็ไม่น่าจะใช่เรื่องยากแต่อย่างใด
“แกว๊ก–แกว๊ก!”
เมื่ออักขระสีทองถูกถ่ายเทเข้าสู่ร่างของวิหคเพลิงอมตะอย่างต่อเนื่องจนทำให้มันหลับตาลงเนื่องจากความอ่อนเพลีย จากนั้นไม่นานกลิ่นอายที่เต็มไปด้วยความดุร้ายบนร่างของมันก็ค่อยๆจางหายไป
นัยน์ตาของเจียงอี้สุกสว่างเนื่องจากรับรู้ว่าตนทำการกำราบวิหคเพลิงอมตะสำเร็จแล้ว แต่เขากลับไม่รู้เลยว่าอีกไม่นาน อันตรายที่แท้จริงกำลังย่างกรายเข้ามาจนทำให้เขาแทบจะสิ้นหวัง
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เมื่ออักขระตัวสุดท้ายหายเข้าไปในร่างของวิหคเพลิง เจียงอี้ก็เริ่มสัมผัสได้ถึงร่องรอยของพันธสัญญากับสัตว์วิญญาณตัวใหม่
แต่ทันใดนั้นเอง…
จู่ๆดวงจิตของเขาก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างกะทันหันราวกับดวงวิญญาณกำลังถูกฉีกกระชากออกเป็นเสี่ยงๆ
ถึงขั้นที่ว่าความเจ็บปวดในคราวนี้รุนแรงมากกว่าครั้งแรกที่ศาสตร์นิรนามถูกปลุกขึ้นมาในร่างกายของเขาถึงสองเท่า!
“เกิดอะไรขึ้น?!”
เจียงอี้ตื่นตระหนก ภายในห้วงวิญญาณของเขากำลังสัมผัสได้ถึงดวงจิตสองดวงที่กำลังต่อสู้กันเพื่ออ้างสิทธิ์ในดวงจิตของเขา
ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าพลังงานลึกลับของไข่มุกวิญญาณเพลิงจะสูญเสียศักยภาพไปและไม่สามารถช่วยให้เขารอดพ้นวิกฤตไปได้
เพราะเมื่อพลังงานลึกลับของไข่มุกวิญญาณเพลิงย่างกร่ายเข้ามาในดวงจิตของเจียงอี้และสัมผัสได้ถึงพลังสองสายที่กำลังขัดแย้งกัน แทนที่จะเข้ามากำราบพลังแปลกปลอมที่เข้ามาในดวงจิตของเขาตามปกติ แต่มันกลับถอยกลับไปราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อเจียงอี้เห็นปฏิกิริยาของไข่มุกวิญญาณเพลิง เขาก็คาดเดาอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ พลังพิเศษของไข่มุกวิญญาณเพลิงคือการกำจัดพลังงานแปลกปลอมจากภายนอกที่ลุกลามเข้ามาในดวงจิตของเขา
แต่การที่มันนิ่งเฉยเช่นนี้ก็แสดงให้เห็นว่าพลังทั้งสองสายที่กำลังปะทะกันอยู่นั้นคือพลังของเขานั่นเอง… หรือจะเรียกได้ว่าเป็นการปะทะกันของดวงจิตของเจ้าเหลืองใหญ่กับดวงจิตของวิหคเพลิงอมตะ!
พลังงานลึกลับของไข่มุกวิญญาณเพลิงเปรียบเสมือนสุนัขเฝ้ายามที่คอยขับไล่และกำจัดพลังจากภายนอก แต่ตอนนี้มันเป็นการต่อสู้ระหว่างเด็กสองคนภายในบ้าน มันจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเฝ้าดูอยู่เงียบๆ
เจ้าเหลืองใหญ่และวิหคเพลิงอมตะต่างก็มีกลิ่นอายวิญญาณของเจียงอี้อยู่กับตัวพวกมันซึ่งก็นับได้ว่าพวกมันคือส่วนหนึ่งของเขา แล้วอย่างนี้พลังงานลึกลับจะยังทำอะไรได้อีก?
เวลานี้ พวกมันทั้งสองต่างก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้กันซึ่งสุดท้ายแล้วผู้ที่ตกเป็นเหยื่อก็คือตัวของเจียงอี้นั้นเอง หากพวกมันยังคงห้ำหั่นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานดวงจิตของเขาจะต้องพังทลายอย่างแน่นอน
“ข้าควรทำยังไงดี?”
เจียงอี้บังคับให้ตัวเองใจเย็นลงและหันมาหาทางแก้ปัญหา แต่ในบรรดาความคิดนับร้อยนับพันในหัวของเขา ไม่ว่ายังไงวิธีที่ดีที่สุดก็คือการแยกพวกมันออกจากกัน… แต่ควรจะทำยังไงล่ะ?
หากเป็นเรื่องอื่น เจียงอี้ยังสามารถจัดการได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องของดวงวิญญาณซึ่งเป็นสิ่งลึกลับที่สุดและไม่สามารถจับต้องได้ เขาเองก็จนปัญญาเช่นกัน
โชคดีที่เขาบรรลุขอบเขตจื่อฝู่แล้ว ทำให้เขาสามารถย้ายจิตเข้ามาอยู่ในตำหนักม่วงเพื่อสังเกตสิ่งที่อยู่ภายในร่างกาย
สำหรับนักสู้นั้น แม้ว่ากายเนื้อจะสำคัญ แต่ดวงวิญญาณนั้นสำคัญยิ่งกว่า เมื่อส่วนใดส่วนหนึ่งในร่างกายถูกทำลาย พวกเขาก็เพียงแค่กลายเป็นคนพิการ แต่ถ้าหากวิญญาณได้รับความเสียหาย พวกเขาอาจจะต้องกลายเป็นคนปัญญาอ่อน หรือแม้กระทั่งนอนแน่นิ่งเป็นผักเหมือนกับเจ้าชายนิทรา
หลังจากที่ขบคิดอยู่นาน เจียงอี้ก็ได้ข้อสรุปว่าการที่จะควบคุมดวงจิตของสัตว์วิญญาณทั้งสองตัวนั้น เขาจำเป็นต้องใช้ปัจจัยภายนอกเข้ามาช่วยเหลือ
แต่ปัญหาคือ เขาไม่เคยฝึกฝนศาสตร์วิญญาณมาก่อนและพลังของไข่มุกวิญญาณเพลิงก็ยังไม่สามารถพึ่งพาได้อีก!
“อ๊ากกกก!”
ความเจ็บปวดที่แทรกแซงไปตามดวงวิญญาณทำให้เจียงอี้ดิ้นอย่างทุรนทุราย โชคดีที่พลังของไข่มุกวิญญาณเพลิงยังคงช่วยขับไล่ความร้อนของลาวาออกไปมิฉะนั้นเขาคงจะถูกแผดเผาจนตายไปแล้ว ในตอนนี้แม้แต่รังสีสังหารของเจตจำนงสังหารก็ถูกขับไล่ออกไป
แก่นแท้พลังสีดำ? ใช่แล้ว ข้ายังมีแก่นแท้พลังสีดำอยู่!
วิธีการของเจียงอี้คือต้องการใช้แก่นแท้พลังสีดำในการยับยั้งการปะทะกันของพลังทั้งสองสาย อย่างไรก็ตาม… เมื่อแก่นแท้พลังถูกลำเลียงออกมาจากตำหนักม่วงหลังเล็ก มันก็จะถูกแปรเปลี่ยนเป็นแก่นแท้พลังสีน้ำเงินในทันที
“ข้าจะทำยังไงดี?”
หัวใจของเจียงอี้กำลังกระหน่ำเต้นด้วยความร้อนรน ไม่นานนักความคิดอันบ้าระห่ำบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา… ในระหว่างความเป็นความตายเช่นนี้ วิธีเดียวที่จะนำแก่นแท้พลังสีดำออกมาใช้ได้นั่นคือการต้องทำลายตำหนักม่วงทั้งสองหลังและกลับไปอยู่ในขอบเขตฉูติ่งอีกครั้ง!
ไม่สนใจแล้ว!
การก่อตั้งตำหนักม่วงขึ้นมาในตันเทียนนั้นนับว่ายากแล้ว หากว่าคิดที่จะทำลายมัน มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะสร้างขึ้นมาใหม่และยังมีความเป็นไปได้ที่ตันเทียนจะได้รับผลกระทบไปด้วย
อย่างร้ายแรงที่สุด ตันเทียนของเขาก็อาจจะระเบิดไปพร้อมกับกายเนื้อ… แต่มันยังมีวิธีที่ดีกว่านี้อยู่อีกหรือ?!
เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้ว ไม่ว่ายังไงเจียงอี้ก็จำเป็นต้องกัดฟันลงมือ อย่างน้อยเมื่อทำลายตำหนักม่วง เขาก็ยังมีโอกาสที่จะรอดชีวิตแม้ว่าจะกลับไปเป็นนักสู้ขอบเขตฉูติ่ง และยังอาจจะก่อตั้งตำหนักม่วงขึ้นมาอีกครั้งในอนาคต
แต่ถ้าหากเขาไม่ทำ เขาจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!
“ระเบิด! จงระเบิดเดี๋ยวนี้!”
ดวงตาของเจียงอี้เผยให้เห็นความเด็ดขาดแน่วแน่ ในเมื่อเขาจะตายอยู่แล้วเขาก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลสิ่งใดอีกต่อไป
เขาย้ายจิตเข้าไปในตำหนักม่วงทั้งสองหลัง จากนั้นก็ควบคุมพลังให้ทุบทำลายตำหนักม่วงจากภายในเพื่อกลับไปสู่ขอบเขตฉูติ่งอีกครั้ง
“ไม่ปล่อยวาง, ทำลายแก่นแท้ด้วยมือของตน, ดาราส่องแสง, ความปั่นป่วนก่อเกิดเป็นนิรันดร์, หล่อเลี้ยงหยางทั้งเก้า…”
แต่ทันใดนั้นเอง คำกล่าวลึกลับก็โผล่ขึ้นมาในจิตใจของเจียงอี้ซึ่งทำให้ร่างของเขาสั่นเทา พริบตาเดียวเขาก็เข้าใจบทสวดท่อนที่สามของศาสตร์นิรนามได้อย่างฉับพลันทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาใช้เวลานับสิบวันแต่ไม่สามารถตีความมันได้เลย
“ผิด ข้าเข้าใจผิดมาทั้งหมด! ที่แท้ศาสตร์นิรนามขั้นที่สามนี้ก็ไม่ได้มีไว้เพียงบ่มเพาะพลัง แต่ใช้เพื่อจัดเรียงตำหนักม่วงขึ้นมาใหม่ต่างหาก! ส่วนที่บอกว่า ‘ทำลายแก่นแท้ด้วยมือของตน’ คือการบอกให้สร้างตำหนักม่วงขึ้นมาใหม่นั่นเอง”
“นั่นก็หมายความว่าสิ่งที่ข้าต้องทำก็คือการทำลาย!”
“ระเบิด! ระเบิด! จงระเบิดให้ข้า! ฮ่าฮ่าฮ่า…”
การค้นพบครั้งใหม่นี้เองทำให้เจียงอี้ดีใจจนเกือบจะคลุ้มคลั่ง ทันใดนั้นตำหนักม่วงทั้งสองหลังของเขาก็ระเบิดออก พลังสะสมที่อยู่ภายในกระจายตัวออกมาและก่อให้เกิดคลื่นพลังที่น่าเกรงขาม จากนั้นก็ถูกควบแน่นจนมีลักษณะคล้ายกับมังกรจำนวนหนึ่งซึ่งกำลังพุ่งชนตันเทียนของเขาอย่างแรง
หลังจากนั้น ตันเทียนของเขาก็ขยายตัวก่อนที่จะหดตัวอย่างต่อเนื่องราวกับว่าพร้อมที่จะระเบิดได้ทุกเมื่อ
“ดาราส่องแสง, ความปั่นป่วนก่อเกิดเป็นนิรันดร์, หล่อเลี้ยงหยางทั้งเก้า… ถ้าเป็นเช่นนั้น ขั้นตอนต่อไปก็คือการควบแน่น ฮ่าฮ่า จงควบแน่นให้นายน้อยผู้นี้ซะ ควบแน่น! ควบแน่น! ควบแน่น!”
เจียงอี้คำรามต่อไป เขาละทิ้งความสนใจทั้งหมดและมุ่งสมาธิไปที่การตีความบทสวดท่อนที่สามของศาสตร์นิรนามเท่านั้นเพื่อที่จะปฏิรูปตำหนักม่วงขึ้นมาใหม่!