เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - ตอนที่ 234
ขบวนคุ้มกันเจ้าสาวยังคงอยู่ในอาณาจักรเสินหวู่ … เนื่องจากความจริงที่ว่าเจียงอี้ตเชื่อมต่อกับกฎเกณฑ์สวรรค์และทำให้เกิดปรากฏการณ์ฟ้าดินวิปลาส มันเป็นเหตุผลว่าทำไมขบวนคุ้มกันเจ้าสาวจึงล่าช้า ไม่เช่นนั้น พวกเขาก็คงเข้าสู่ดินแดนของอาณาจักรต้าเซี่ยแล้ว
เมื่อเมื่อลำแสงศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าพุ่งลงมายังหุบเขาอัคคีเมฆา กองทัพคุ้มกันเจ้าสาวอยู่ทางตอนใต้ของอาณาจักรเสินหวู่ พวกเขากำลังจะอ้อมรอบหุบเขาสามหมื่นลี้และมุ่งตรงไปยังหุบเขาทลายวิญญาณ
แต่ด้วยคลื่นพลังงานฟ้าดินดังกล่าว ทำให้ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวในกองทัพเกิดตื่นตระหนกขึ้นมา และมันก็ทำให้เซี่ยอู๋หุ่ยตกใจเช่นกัน เขาออกคำสั่งให้กองทัพหยุดขบวนและเฝ้าระวังทันทีในขณะที่ส่งหน่วยสอดแนมออกไปตรวจสอบ หน่วยสอดแนมเหล่านี้ก็ได้พบกับหน่วยสอดแนมที่เซี่ยถิงเวยส่งมาอย่างรวดเร็ว
เมื่อมีรายงานกลับมา เซี่ยอู๋หุ่ยก็ยิ่งระวังตัวมากขึ้นและไม่ประมาทเลินเล่อ เขามีสถานะที่ค่อนข้างสูงส่ง หากสถานการณ์นั้นไม่ชัดเจน เขาจะกล้ายกทัพของเขาไปได้อย่างไร วันแต่งงานได้ถูกกำหนดมาเนิ่นนาน แต่ข้อความที่ไม่เป็นทางการจากเซี่ยถิงเวยนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากความปลอดภัยจะถูกจัดลำดับไว้เป็นความสำคัญที่สูงสุดเสมอ
หลังจากไม่พบสิ่งใดจากรายงาน เซี่ยอู๋หุ่ยเริ่มเกิดความลังเล หลังจากสอดแนมเป็นเวลาสองวัน ในที่สุดเขาก็ไม่สามารถอดทนอีกต่อไป หากรายงานการสอดแนมยังคงไม่พบสิ่งใดเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เขาคงได้ไม่ต้องไปอาณาจักรต้าเซี่ยตลอดชีวิตของเขาเลยหรือไง? หากเขาไม่ไป เขาจะอภิเษกกับเจ้าสาวที่สวยงามอย่างซูรั่วเสวี่ยได้เช่นไร?
“เดินหน้าต่อไป หน่วยลาดตระเวนจะคอยดูแลพื้นที่ในรัศมีห้าสิบกิโลเมตรของขบวนทัพ และจงกลับมารายงานทุกๆชั่วโมง แม่ทัพหลง เจ้าจงพาทหารสองพันคนไปยังเมืองเซี่ยยวี่และป่าวประกาศการมาถึงของเรา แม่ทัพซูตี๋กั๋วจะส่งกองทัพออกไปคุ้มกันพวกเราตลอดทาง! “
ในวันที่สี่ เมื่อเซี่ยอู๋หุ่ยออกคำสั่ง กองทัพก็เดินทัพเข้ามาอย่างรวดเร็ว แม่ทัพนำทัพสองพันคนไปลาดตระเวนเส้นทางข้างหน้าเพื่อให้แน่ใจว่าปลอดภัย
มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวราวร้อยคนอยู่ในบริเวณใกล้เคียงรถม้าหรูหราของเซี่ยอู๋หุ่ย มีทหารชั้นยอดกว่าพันนายที่เพียบพร้อมไปด้วยหน้าไม้สังหารเทพ แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดจะมาลอบโจมตีพวกเขา แต่ก็คงมีเพียงความตายที่รอพวกเขาอยู่ สำหรับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังในทวีปนี้ จำนวนของพวกเขาสามารถใช้นิ้วนับได้และคงไม่มีใครที่จะเสี่ยงต่อการเป็นปรปักษ์กับอาณาจักรเสินหวู่เพียงเพื่อจะฆ่าเซี่ยอู๋หุ่ย
หน่วยสอดแนมจะกลับมารายงานเสมอว่าเส้นข้างหน้านั้นปลอดภัย เมื่อกองทัพเข้าสู่หุบเขาทลายวิญญาณ เซี่ยอู๋หุ่ยได้รับรายงานว่าไม่มีจอมยุทธซุ่มโจมตีอยู่ในหุบเขาข้างหน้า ในที่สุดเขาก็โล่งใจ
ตราบใดที่พวกเขาข้ามผ่านหุบเขาทลายวิญญาณได้ มันจะถึงอาณาจักรต้าเซี่ยซึ่งจะปลอดภัยยิ่งขึ้น ทางตอนเหนือของอาณาจักรจ้าเซี่ยเป็นเมืองเซี่ยยวี่ ซึ่งมีทหารประจำการอยู่สามแสนนาย เมื่อพวกเขารู้ว่าเซี่ยอู๋หุ่ยมาถึงแล้ว พวกเขาจะส่งทหารหลายหมื่นคนมาช่วยคุ้มกันพวกเขา ท้ายที่สุดถ้าเซี่ยอู๋หุ่ยเสียชีวิตในดินแดนอาณาจักรต้าเซี่ย พวกเขาจะกลายเป็นแพะรับบาปไปในทันใด
หุบเขาทลายวิญญาณยังคงเป็นเส้นทางที่น่ากลัวและมืดมนพร้อมกับพื้นที่ที่เกลื่อนไปด้วยกระดูกยิ่งทำให้มันดูน่ากลัว
เซี่ยอู๋หุ่ยนั่งอยู่ในรถม้าและรู้สึกกระสับกระส่าย เมื่อเขาดึงผ้าม่านออกมาและเห็นว่าเขาถูกห้อมล้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวและกองทหารนับไม่ถ้วนเขาก็รู้สึกโล่งใจเล็กน้อย เขายังคงออกคำสั่ง “เร่งขบวนทัพและรีบข้ามหุบเขาทลายวิญญาณเร็วหน่อย“
หลังจากที่คำสั่งถูกส่งลงไป กองทัพก็เริ่มเพิ่มความเร็ว หุบเขาทลายวิญญาณนั้นค่อนข้างแคบเกินไป ในขณะที่เส้นทางก็ขรุขระและไม่สม่ำเสมอ สำหรับกองทัพกว่าหมื่นคนที่จะผ่านเส้นทางนี้ไป พวกเขาต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง
…
“ปึง ปึง ปึง!”
ในขณะที่กองทัพเดินก็เกิดเสียงฝีเท้าขึ้น มันทำให้เกิดการสั่นสะเทือนจากบนพื้นดินสะเทือนมายังใต้ดิน ทำให้เจียงอี้ที่หลับใหลตื่นขึ้นมาอย่างฉับพลัน เขาไม่ได้ลงมืออย่างบ้าบิ่นแต่แนบหูไปบนกำแพงโคลนแทน เขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับด้านการทหารนัก แต่เขาก็รู้เรื่องที่มันควรจะเป็นว่า โดยทั่วไปกองทัพขนาดใหญ่จะส่งคนไปล่วงหน้าเพื่อลาดตระเวนตามเส้นทางข้างหน้า
อย่างที่คาดไว้!
ในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง การสั่นสะเทือนของพื้นดินก็หายไป ตามเสียงฝีเท้า เจียงอี้ประเมินไว้ว่ามีคนสองพันคนที่เดินผ่านเส้นทางนี้ และกองทัพจริงหลักกำลังตามหลังมา
สองชั่วโมงต่อมา เสียงฝีเท้าสะท้อนกลับมาอีกครั้ง และเจียงอี้ก็สะดุ้งเหมือนเม่นที่ตื่นตัว เขาเปิดเผยความหนักแน่นพร้อมชักดาบออกจากฝัก แต่เขาไม่กล้าที่จะปลดปล่อยกลิ่นอายของเขาออกมาเนื่องจากกลัวว่าใครบางคนจากพื้นผิวดินจะตรวจจับเขาเจอ
“ปึง ปึง ปึง!”
เสียงฝีเท้าดังขึ้นอย่างเป็นระเบียบและเห็นได้ชัดว่ากองทัพด้านบนเต็มไปด้วยทหารชั้นยอดที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี พวกเขาเดินอย่างเป็นระเบียบและไม่มีจังหวะฝีเท้าที่ผิดแผกไปเลย เจียงอี้นั่งยองๆอยู่ในถ้ำใต้ดินแล้วนับจำนวนกองทัพทหารอย่างเงียบๆตามเสียงฝีเท้าของพวกเขา
ถ้ำใต้ดินที่เขาขุดนั้นอยู่ห่างจากพื้นผิวเพียงสิบเมตรและเขาก็ทำเพียงแค่แนบหูกับกำแพงโคลนเท่านั้น เขาสามารถได้ยินเสียงที่มาจากด้านบนได้อย่างชัดเจน
“ย๊า ย๊า!”
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงล้อลากหมุนไม่ชัดเท่าไหร่นัก เขารู้สึกได้ว่ามีจอมยุทธมากมายล้อมรอบรถม้าคันนี้อยู่และเสียงฝีเท้าจากคนเหล่านี้ฟังดูเบากว่ามาก
“เซี่ยอู๋หุ่ย!”
หัวใจของเขาเต้นตึกตักในขณะที่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหาร จอมยุทธที่มีฝีเท้าที่เบาเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นองค์รักษ์ขอบเขตเสินโหยวและมีทหารคอยคุ้มกันรอบๆรถม้าคันนี้ นั่นก็หมายความว่ามีใครบางคนที่มีสถานะที่สูงส่งอยู่ในรถม้าคันนี้
“ข้าจะต้องไม่ลงมือ!”
เจียงอี้ต่อต้านความต้องการที่จะวิ่งขึ้นไปบนพื้นผิวดินและฆ่าทุกสิ่ง เขาบอกกับตัวเองว่าเขามาที่นี่เพื่อปล้นชิงสมุนไพรสยบวิญญาณ ไม่ได้มาเพื่อฆ่า ยิ่งไปกว่านั้นในบรรดาผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวนั้นมีผู้เชี่ยวชาญระดับสูงสุดของขอบเขตเสินโหยวด้วย แม้ว่าเขาจะปรากฏตัวออกไปและฆ่าเซี่ยอู๋หุ่ย เขาก็คงจะต้องตายอย่างแน่นอน
รถม้าบินเคลื่อนไปความเร็วสูงในขณะที่เจียงอี้กำหมัดของเขาไว้แน่นและอดทนรอด้วยความมืดหม่น หลังจากนั้นสามสิบนาที ล้อรถม้าก็ดังขึ้นอีกครั้ง และมีรถม้าสามคันซึ่งเพิ่มจำนวนทหารขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ฆ่า!”
เจียงยี่ไม่สามารถกลั้นกลิ่นอายสังหารของเขาได้อีกต่อไป หนึ่งในเครื่องรางสัตว์วิญญาณส่องสว่างอยู่ในมือของเขาและวิหคเพลิงก็เริ่มออกมา เขาตะโกนออกมาว่า “วิหคเพลิง ปล่อยเปลวไฟของเจ้าและไปตามอุโมงค์นี้ในระยะห้ากิโลเมตร เจ้าสามารถตอบโต้มนุษย์ผู้ใดก็ตามที่ต้องการโจมตีเจ้าได้!”
“แกว๊ก แกว๊ก!”
เห็นได้ชัดว่าอาการบาดเจ็บของวิหคเพลิงยังไม่ฟื้นตัวนัก แต่ด้วยคำสั่งของเจียงอี้ มันก็ครวญครางออกมาด้วยความขุ่นเคืองและเปล่งประกายเพลิงบนร่างของมันก่อนที่มันจะพุ่งเข้าไปในอุโมงค์ที่ขุดโดยเจ้าเหลืองใหญ่ก่อนหน้านี้
เจียงอี้ไม่สนใจว่าวิหคเพลิงนี้จะเข้าใจคำสั่งของเขาหรือไม่ เพราะเขาไม่ได้คาดหวังว่ามันจะฆ่าเซี่ยอู๋หุ่ยได้ เขาแค่อยากให้วิหคเพลิงออกไปเพื่อล่อศัตรูและตายไป
มีผู้เชี่ยวชาญอยู่รอบตัวเซี่ยอู๋หุ่ยมากเกินไป ถ้าเขาต้องจัดสรรบางอย่างเพื่อขัดขวางเจียงอี้ เขาก็คงจะตายไปก่อนที่จะได้รับสมุนไพรสยบวิญญาณแน่
เซี่ยอู๋หุ่ยมีสถานะเป็นถึงองค์รัชทายาทและชีวิตของเขามีค่ามากที่สุด ดังนั้นเขาจึงส่งวิหคเพลิงไปยังทิศทางของเซี่ยอู๋หุ่ยซึ่งจะทำให้ผู้เชี่ยวชาญรอบตัวเขาจัดลำดับความสำคัญในการคุ้มครองเซี่ยอู๋หุ่ยและสังหารวิหคเพลิงนี้
“ฟึ่บ!”
ดาบเกล็ดทมิฬปรากฏในมือของเจียงอี้ เขาพุ่งขึ้นไปที่พื้นดิน ดาบเกล็ดทมิฬส่องประกายอันเย็นเยียบออกมาและเปลี่ยนโคลนและหินทั้งหมดกลายเป็นผุยผงในขณะที่เขาพุ่งไปด้วยความเร็วราวสายฟ้า
“หืม?”
เมื่อวิหคเพลิงปรากฏขึ้น ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวจะสัมผัสได้ทันที และเมื่อวิหคเพลิงกลายเป็นลูกศรอันแหลมคมที่บินไปตามอุโมงค์ข้างหน้า เปลวไฟที่ลุกโชติช่วงจากร่างของมันก็ส่งสัญญาณเตือนทหารทุกคนบนพื้นผิวด้วยเช่นกัน
“มีศัตรูโจมตี!”
เสียงตะโกนนับไม่ถ้วนดังออกมา ทหารหลายคนเป่าแตรเขายาวเตือนผู้เชี่ยวชาญที่อยู่รอบๆเซี่ยอู๋หุ่ย
“หืม?”
เมื่อเซี่ยอู๋หุ่ยได้ยินเสียงแตร สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงความร้อนระอุที่มาจากใต้พื้นดินอย่างรวดเร็ว และมันก็ร้อนขึ้น เห็นได้ชัดว่ามีสัตว์อสูรที่น่ากลัวกำลังเข้ามาใกล้เขา
“ฝ่าบาท อย่าทรงเป็นกังวลไปพะยะค่ะ มันเป็นแค่เพียงสัตว์อสูรระดับสาม!”
ขันทีที่มีผมหงอกซึ่งมีหลังค่อมกล่าวผ่านฉากกั้นห้องโดยสาร เขาใช้มือข้างเดียวแบกเซี่ยอู๋หุ่ยและบินออกจากรถ ขันทีคนนี้ดูชรามาก แต่ก็มีพละกำลังเช่นกัน เขายืนบนรถม้าด้วยขาเดียว พวกเขาเหาะทะยานไปตามแนวหน้าผาและตรงขึ้นไปบนของหุบเขาทลายวิญญาณ ในที่สุดก็หยุดอยู่ตรงผาหินที่อยู่เหนือขึ้นไปหลายร้อยเมตร
“ฟึ่บ!”
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวนับสิบบินขึ้นไปอย่างต่อเนื่องโดยใช้อาวุธของพวกเขาเจาะเข้าไปในหน้าผาและดีดตัวเองขึ้นไปในที่ที่เซี่ยอู๋หุ่ยอยู่
“ฆ่า!”
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวที่เหลือต่างก็คุ้มกันอยู่ที่พื้นในขณะที่ทหารชั้นสูงสร้างค่ายกลขึ้นมาค่ายกลละสิบคน พร้อมถือหน้าไม้สังหารเทพในมือและพร้อมที่จะรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด