เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - ตอนที่ 249
เจียงอี้? ทูตตรวจการของจักรวรรดิมังกรเวหา?
นี่เป็นเรื่องน่าขันที่สุดในพิภพนี้เลย!
นี่เป็นความคิดของทุกคนที่อยู่ในโถงพระราชวัง แม้แต่องค์หญิงหยุนเฟยเองก็ยังรู้สึกขบขันนัก ผู้ทรยศที่ทำการกบฏและยังเป็นผู้หลบหนีของทั้งสองอาณาจักรได้เริ่มชีวิตใหม่และกลายเป็นทูตตรวจการของจักรวรรดิมังกรเวหางั้นหรือ? เขายังเปิดตัวอย่างผ่าเผยในการมาร่วมงานเลี้ยงราชอาณาจักร? แถมยังบอกให้ผู้คนคารวะเขาเมื่อเขาเข้ามา?
นี่มันเป็นฉากละครหรืออะไร?
เดิมเหล่านักปราชญ์และแม่ทัพจากอาณาจักรต้าเซี่ยที่โกรธเกรี้ยวอยู่แล้วก็ต้องโกรธเกรี้ยวมากกว่าเดิม จักรวรรดิมังกรเวหานั้นมีเพียงแค่นาม แต่จริงๆแล้วไม่ได้มีอำนาจอยู่จริง คนเหล่านั้นไม่ได้เคารพแม้กระทั่งผู้บัญชาการเมืองหลิงที่ประจำอยู่ในอาณาจักรต้าเซี่ย ก็อย่าหวังว่าเจียงอี้ที่เป็นทูตตรวจการที่มาจากไหนก็ไม่รู้จะถูกเคารพเลย
หนึ่งในแม่ทัพยืนขึ้นมาแล้วชี้ไปทางเจียงอี้และตะโกนออกมา “เจ้าเป็นใครกัน? ถึงได้มาขอให้พวกเราคารวะเจ้า? ทหาร อยู่ไหนกัน? ลากมันลงไปและตัดหัวมันซะ!”
“ฮ่ะ ฮ่าๆๆๆๆ”
เจียงอี้บังคับตัวเองให้เมินซูรั่วเสวี่ยและจับจ้องสายตาไปยังองค์ราชาซูตี๋หวังพร้อมคว้าดาบทองคำที่เอวของเขาแล้วชูมันขึ้นมา อีกมือหนึ่งถือตราประทับมังกรทองก่อนที่เขาจะตะโกนออกมา “องค์ราชาแห่งอาณาจักรต้าเซี่ย มองใกล้ๆนะพะยะค่ะ ไม่ใช่ว่านี้คือดาบประจำตัวผู้สำเร็จราชการแทนจักรวรรดิ? ตราประทับขุนนางนี่จะเป็นของปลอมได้หรือ? ผู้ตรวจการผู้นี้ถูกแต่งตั้งโดยราชสำนักเพื่อเป็นตัวแทนของจักรพรรดิในการตรวจตราดินแดน และข้ามีอำนาจในการตัดหัวองค์ราชาหรือเหล่าขุนนางที่ทรยศ”
“อาณาจักรต้าเซี่ยเป็นบริวารของจักรวรรดิมังกรเวหาใช่ไหม? ถ้าหากว่าไม่ใช่ เช่นนั้นนี่ก็เป็นการก่อกบฏแบบเปิดเผย ท่านนำตัวข้าออกไปตัดหัวก็ได้ แต่ … เมื่อองค์จักรพรรดิทรงประกาศราชโองการลงมาให้ทั้งห้าอาณาจักรกำจัดกบฏ อาณาจักรต้าเซี่ยของท่านจะสามารถต้านกำลังของกองทัพทั้งห้าได้หรือ?”
เจียงอี้ใช้แก่นแท้พลังสำคัญในการทำให้คำพูดของเขาดังก้องออกไปทั่ว ทุกประโยคนั้นถูกคลุมด้วยความตรงไปตรงมาและเปี่ยมล้นไปด้วยพลัง ทุกๆคำพูดนั้นสะท้อนอยู่ในหูของขุนนางทุกคนจนทำให้สายตาของบางคนเผยความกลัวออกมา
“นี่…”
ซูตี๋หวังเดิมทีเป็นคนขี้ขลาดและไร้ความสามารถอยู่แล้ว หลังจากการดื่มสุราและมัวเมากับนางบำเรอมานานหลายปีทำให้สติสัมปชัญญะของเขาลดลง ทำให้เขากลัวคำขู่ขวัญของเจียงอี้ไปโดยปริยาย
เมื่อเขาเองไม่ลังเลที่จะขายธิดาของเขาให้อภิเษกเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ไม่ใช่ว่ามันชัดเจนแล้วหรือว่ามันเป็นเพราะเขากลัวว่าอาณาจักรเสินหวู่จะกลับมาโค่นล้มอาณาจักรของเขา? ในตอนนี้เมื่อเขาได้ยินที่เจียงอี้พูดว่ากองกำลังทั้งห้าอาณาจักรจะมากำจัดพวกเขา เขาก็เกิดความตระหนกและก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมพูดด้วยเสียงดังฟังชัด “ท่านผู้ตรวจการ เกรงว่าท่านจะเข้าใจผิด ซูตี๋หวังไม่มีเจตนาที่จะก่อกบฏเพื่อต่อต้านจักรวรรดิเลย อาณาจักรต้าเซี่ยนั้นรับใช้ราชสำนักด้วยความซื่อสัตย์มาเสมอ ทำไมเราถึงจะทำการกบฏได้ล่ะ? ทุกสิ่งล้วนแต่เป็นความเข้าใจผิดกันทั้งนั้น”
“ฮะ…”
หยุนเฟย, คณะทูตจากอาณาจักรต่างๆ, และแม้แต่เหล่าขุนนางของอาณาจักรต้าเซี่ยเองยังแสดงปฏิกิริยาที่เคลือบแคลงใจ แม้กระทั่งมีสายตาที่เย้ยหยันและติเตียนออกมา พร้อมกับความผิดหวังในดวงตาของเหล่าขุนนางของอาณาจักรต้าเซี่ย
จักรวรรดิอาจมีอำนาจเพียงในนาม แต่อย่างน้อยก็ไม่มีอาณาจักรใดกล้าที่จะต่อต้านพวกเขาอย่างโจ่งแจ้ง แต่ทั้งหกอาณาจักรนั้นมีอิสระในช่วงหมื่นปีที่ผ่านมา จักรวรรดิอาจปกครองทวีปในนาม แต่ความเป็นจริงแล้ว ความสง่าผ่าเผยของพวกเขาได้หายไปแล้ว ซึ่งประชาชนจากอาณาจักรทั้งหกจะเคารพจักรวรรดิมังกรเวหาจริงๆหรือ? ในช่วงหมื่นปีที่ผ่านมา จักรวรรดิได้โค่นล้มอาณาจักรใดไปบ้างหรือไม่กัน?
แม้ว่าพวกเขาจะคิดเป็นหมื่นตลบ แต่คำตอบที่ได้ออกมาก็คือ ไม่!
แม้ว่าอาณาจักรต้าเซี่ยนั้นจะอ่อนกำลังและเกิดความเกรงกลัวต่อจักรวรรดิ แต่ซูตี๋หวังก็ยังคงเป็นองค์ราชาของอาณาจักรอยู่ ไม่ใช่หรือ? เขาหวาดกลัวทูตตรวจการต่ำช้านี่ได้อย่างไร? แม้ว่าเขาจะไม่ตัดหัวเจียงอี้แต่เนรเทศเขาออกไป ราชสำนักจะประกาศราชโองการให้ห้าราชอาณาจักรก่อสงครามหรือ?
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ… แม้ว่าจะมีราชโองการลงมา อีกห้าอาณาจักรจะตอบรับราชโองการหรือ?
ไม่ใช่ว่าอาณาจักรทั้งหกอยู่มานานกว่าหมื่นปีแล้ว? ทำไมอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่งไม่ขึ้นมาครองทวีป? ไม่ใช่เพราะพวกเขากำลังคานอำนาจซึ่งกันและกันหรือ? ทำไมในช่วงหมื่นปีที่ผ่านมาจักรวรรดิจึงไม่สามารถฟื้นอำนาจขึ้นมาได้? ทำไมจึงไม่สามารถทวงคืนอาณาเขตได้? ไม่ใช่ว่าจักรวรรดิถูกยับยั้งไว้โดยขั้วอำนาจทั้งหกหรอกหรือ?
ใครบ้างที่ไม่เข้าใจในสำนวน น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า? หากอาณาจักรต้าเซี่ยถูกโค่นลงไปในเวลานี้ ไม่ใช่ว่าอาณาจักรเทียนเซวี่ยนและอาณาจักรเซิ่งหลิงจะเป็นอาณาจักรต่อไปหรือ?
เมื่อซูตี๋หวังกล่าวจบ เขาก็ตระหนักได้ว่าเขาอาจแสดงตัวไม่เหมาะสมแก่การเป็นองค์ราชา เขาถอนหายใจออกมาและต้องการที่จะพูดอะไรบางอย่างเพื่อไกล่เกลี่ยสถานการณ์ แต่ทันใดนั้นเจียงอี้ก็ดึงดาบทองคำออกมาแล้วชี้ไปที่แม่ทัพที่ดูถูกเขาพร้อมตะโกนออกมาด้วยความหยิ่งยโส “ราชาซู ในเมื่อท่านไม่ได้มีเจตนาจะก่อกบฏแล้วเหตุใดจึงปล่อยให้คนทรยศผู้นั้นดูถูกผู้ตรวจการ? แล้วยังคิดจะนำตัวข้าไปตัดหัว? ทำไมคนทรยศเช่นนี้จึงเป็นแม่ทัพแห่งอาณาจักรต้าเซี่ยไปได้นะ? นี่ช่างเป็นเรื่องน่าขันที่สุดในพิภพเลย ราชาซู ท่านอยากให้ผู้ตรวจการผู้นี้ตัดหัวไอ้คนทรยศให้ท่านไหม หรือท่านจะทำมันด้วยตัวเองดีล่ะขอรับ?”
“ฮือฮา!”
เสียงภายในโถงพระราชวังเกิดเสียงซุบซิบฮือฮาที่ดังสนั่นไปทั่งทั้งโถงและเกิดความโกลาหลขึ้น!
อะไรคือความหมายของการไร้ซึ่งเมตตาเมื่อมีอำนาจ? อะไรคือความหมายของการอวดดี? อะไรคือความหมายของความหยิ่งยโส?
ในวันนี้ ทุกคนมีโอกาสได้เห็นความหมายเหล่านั้นในตัวบุคคลคนนี้ เมื่อวานนี้ ผู้ทรยศเจียงอี้ยังเป็นที่ต้องการตัวจากทั้งอาณาจักรเสินหวู่และอาณาจักรต้าเซี่ยอยู่เลย แต่ในวันนี้เขาได้ผลิกผันมาเป็นทูตตรวจการของจักรวรรดิมังกรเวหาและทำการต่อรองอย่างเปิดเผยที่โถงพระราชวังพร้อมกับผู้ใต้บัญชาทั้งสอง ในตอนนี้ เขายังต้องการที่จะตัดหัวแม่ทัพของอาณาจักรต้าเซี่ยอีก?
หลิงเชียงและหลิงเจี้ยนเริ่มเปลี่ยนท่าทีทันที ขาของพวกเขาแทบจะอ่อนยวบและกองลงไปกับพื้น ใต้เท้าน้อยผู้นี้ช่างรุนแรงเหลือเกิน นี่เขาเชื่อว่าไม่มีใครในอาณาจักรต้าเซี่ยกล้าต่อต้านเขาจริงๆหรือ? หากเขาทำให้คนเหล่านี้โกรธ พวกเขาทั้งสามอาจถูกหาเป็นศพออกไปเป็นแน่
“น่ะ, นี่….”
ริมฝีปากเรียวๆขององค์ราชาขยับเล็กน้อย เขาทั้งอับอายและรู้สึกสูญเสียทุกสิ่ง เขามองไปที่แม่ทัพใหญ่ซูตี๋กั๋วและขุนนางนักปราชญ์อันดับหนึ่งของอาณาจักรต้าเซี่ย ซูตงซ่าง
ซูตี๋กั๋วแสดงท่าทีเคร่งขรึมออกมาเนื่องจากในวันนั้นเจียงอี้ทำให้เขารู้สึกอัปยศเป็นอย่างมาก และเมื่อเห็นว่าซูตี๋หวังทำอะไรไม่ถูกกับสถานการณ์เช่นนี้ เช่นนั้นเขาคงต้องก้าวออกมาพูดแทน แม่ทัพผู้นี้นั้นยังมีสายเลือดเดียวกันกับองค์ราชาองค์นี้ด้วย
เขาก้าวขาออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและควบคุมจิตสังหารของตัวเองเอาไว้แล้วพูดกับเจียงอี้พร้อมกำหมัดแน่น “ผู้ตรวจการเจียง ในเมื่อมันเป็นการเข้าใจผิดกันก็ขอให้ปล่อยเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไปเถิด ถึงแม้ท่านจะไม่ไว้หน้าข้า แต่ท่านก็ควรไว้หน้าองค์ราชาบ้างใช่ไหม?”
“การไว้หน้ามันมีไว้เพื่อสงวนแก่กันและกัน!”
เจียงอี้ปล่อยลมหายใจเสียงดังออกมาและดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีการประนีประนอมใดๆ เขาเลิกคิ้วและพูดขึ้นมาอย่างเฉยเมยแทนว่า “เจ้าเรียกข้าว่าผู้ตรวจการเจียง? หากเทียบตามลำดับแล้ว เจ้านั้นยศต่ำกว่าข้ามากนัก ไม่ใช่หรือ? ไม่ใช่ว่าเจ้าควรเรียกข้าว่า ใต้เท้าเจียงหรือ?”
“นี่ เจ้า…”
จิตสังหารนั้นได้พรั่งพรูออกมาจากร่างของซูตี๋กั๋วและเขาแทบจะเข้าไปทุบเจียงอี้ให้ตายภายในหมัดเดียว เจียงอี้ผู้นี้ต่ำช้าเกินไปแล้ว
เมื่อซูตี๋หวังเห็นว่ามันกำลังจะเปิดความขัดแย้ง เขาก็หัวเราะออกมาด้วยความอับอาย “เอาหน่า เอาหน่า ผู้ตรวจการเจียงโปรดอย่าถือสา แม่ทัพใหญ่ ลงมาซะ ทั้งหมดนี้เป็นความเข้าใจผิดกัน หวังว่าผู้ตรวจการเจียงคงจะไว้หน้าราชาผู้นี้บ้างนะ? ว่ายังไงล่ะ?”
เจียงอี้ยังคงนิ่งงัน ทำให้บรรยากาศโดยรอบนั้นอึดอัดเป็นอย่างมาก ผู้เชี่ยวชาญจากอาณาจักรต้าเซี่ยต่างพากันระเบิดจิตสังหารออกมาและอาจไม่สามารถควบคุมมันไว้ได้แม้แต่เสี้ยววินาทีก่อนที่พวกเขาจะออกไปฆ่าเจียงอี้และผู้ใต้บัญชาทั้งสองที่มากับเขา
ภายใต้เสื้อผ้าของหลิงเชียงและหลิงเจี้ยนเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ แต่พวกเขาไม่กล้าพูดอะไรออกไปในเวลาเช่นนี้และทำได้เพียงแค่มองเจียงอี้อย่างจนใจ สายตาของพวกเขาบอกใบ้เจียงอี้อย่างชัดเจนมากว่าให้ถอนตัว หากเขายังทำเช่นนี้ต่อไป พวกเขาคงไม่สามารถรับไหว
“ผู้ตรวจการเจียง!”
ในขณะนั้น เสียงของซูรั่วเสวี่ยที่สงบนิ่งก็ดังออกมา หลังจากที่นางตะโกนออกมานางก็เหลือบตามองไปที่เจียงอี้และเย้ยหยัน “ใต้เท้าผู้ตรวจการ คงมีอำนาจมากสินะ ห๊ะ? ท่านไม่แม้แต่จะไว้หน้าองค์ราชาผู้เป็นบิดาข้า? ทำไมตอนนี้ท่านไม่ฆ่าเสด็จพ่อและข้าเสียเลยล่ะ?”
“ฮะ!”
ในที่สุด ใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของเจียงอี้ก็เผยความรู้สึกออกมาบ้าง ดวงตาของเขาเผยรอยยิ้มอันขมขื่นขณะที่ยิ้มกว้างออกมาแล้วพูดว่า “ผู้ตรวจการผู้นี้ไม่ไว้หน้าผู้คนทั่วพิภพได้ แต่หากเป็นองค์หญิงรั่วเสวี่ย…และองค์ราชาซู ผู้ตรวจการผู้นี้นับถือพวกท่านเป็นอย่างสูง! เรื่องเหล่านี้ควรจบเช่นนี้ องค์ราชาซู ท่านจะไม่เชิญให้ข้านั่งหน่อยหรือ?”