เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - ตอนที่ 254
ในเมื่อได้สมุนไพรสยบวิญญาณมาไว้ในมือ เจียงอี้ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป หลังจากที่ออกมาจากพระราชวังหลวง เขาก็แยกกับหลิงเชียงและหลิงเจี้ยนทันทีก่อนที่จะสั่งให้อินทรีมังกรพุ่งทะยานไปทางทิศเหนือ
“เห้ออ…”
ซูตี๋หวังและกลุ่มขุนนางพากันเดินออกมาจากโถงพระราชวังและมองไปยังเงาร่างขนาดยักษ์บนท้องฟ้าพร้อมกับถอนหายใจ
พวกเขาล้วนแต่ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับความบ้าบิ่นและแข็งแกร่งของเจียงอี้มาบ้าง แต่วันนี้มันก็ได้พิสูจน์แล้วว่าข่าวลือเหล่านั้นล้วนแต่เป็นความจริงทั้งสิ้น
พวกเขาทั้งต่างก็รู้สึกตกใจกับถ้อยคำสุดท้ายที่เจียงอี้ทิ้งไว้ก่อนจะจากไป ก่อนหน้านี้แม้จะมีหลายคนที่คาดเดาว่าเขากับซูรั่วเสวี่ยอาจจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา
แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าเขาจะเอ่ยคำสัตย์สาบานอันอหังการออกมาต่อหน้าผู้คนมากมาย แค่นี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความรู้สึกที่เขามีให้กับซูรั่วเสวี่ยนั้นมันลึกซึ้งมากขนาดไหน
ซูตี๋หวังในเวลานี้กำลังรู้สึกสับสนอยู่ภายในใจ เขาไม่รู้ว่าควรจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นกับเซี่ยอู๋หุ่ยอย่างไรดี? แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร บางอย่างที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจของเขากลับบอกว่าการปล่อยให้เจียงอี้นำสมุนไพรสยบวิญญาณไปเช่นนี้ ถือว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้ว
เด็กหนุ่มผู้นี้มีอายุเพียงแค่สิบหกปีเท่านั้น!
แม้ว่าระดับการบ่มเพาะพลังจะยังต่ำอยู่ แต่พลังต่อสู้โดยรวมของเขากลับอยู่เหนือกว่ารุ่นเยาว์ที่โดดเด่นที่สุดอย่างเทียบไม่ติด
ด้วยอายุเพียงเท่านี้กลับสามารถเข้าปะทะกับทั้งกองทัพได้ด้วยตัวคนเดียวโดยไม่เสียเปรียบ ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยว, เว่ยกงกง, ไท่สื่อเจิน, ซูตี๋กั๋วหรือแม้กระทั่งรัชทายาทจากอาณาจักรเสินหวู่อันยิ่งใหญ่อย่างเซี่ยอู๋หุ่ยก็ยังเป็นได้เพียงลูกไก่ในกำมือเมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กหนุ่มที่มีชื่อว่าเจียงอี้!
เจียงอี้ถูกยกย่องให้เป็นศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักจิตอสูรและยังคว้าอันดับหนึ่งในสงครามราชอาณาจักรมาครองได้สำเร็จ อีกทั้งยังสร้างปาฏิหารย์ขึ้นมามากมาย
ด้วยอายุเพียงแค่สิบหกปีแต่เขาก็สามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวได้แล้ว แล้วถ้าเขาอายุสักยี่สิบหกหรือสามสิบหกปีล่ะ… เขาจะทรงพลังขนาดไหน?!
หากว่าเจียงอี้ยอมซ่อนตัวและก้าวสู่จุดสูงสุดในวิถีแห่งเต๋าวรยุทธในอีกหลายปีต่อมา เกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้น อาณาจักรเสินหวู่ก็อาจจะต้องเสียใจในสิ่งที่ทำไว้อย่างแน่นอน
บางที หากว่าให้ซูรั่วเสวี่ยไปขอร้องเขา เขาอาจจะยอมยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออาณาจักรต้าเซี่ยสักครั้งหนึ่งก็เป็นได้!
ในโลกแห่งการต่อสู้ ผู้คนล้วนแต่นับถือผู้ที่มีพลังอันกล้าแกร่ง ยกตัวอย่างเช่น สุ่ยโย่วหลาน หากว่านางประกาศออกไปว่าจะเป็นพันธมิตรกับอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่ง
พลังอำนาจและความน่าเกรงขามของอาณาจักรนั้นๆก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี ในทางเดียวกัน หากว่านางเป็นพันธมิตรกับอาณาจักรต้าเซี่ย มันก็จะไม่มีอาณาจักรใดที่จะกล้ารุกรานพวกเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
ทั้งหมดก็เป็นเพราะนางนั้นแข็งแกร่ง! สุ่ยโย่วหลานคือผู้ที่ถูกพิจารณาให้เป็นนักสู้ที่เข้าใกล้ขอบเขตเทียนจุนมากที่สุด ด้วยกำลังของนางในตอนนี้ การที่จะเข้าห้ำหั่นกับกองทัพที่มีกำลังพลนับล้านก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด!
หากว่ามีหนึ่งในสิบยอดนักสู้คนใดของทวีปเทียนชิงสามารถทะลวงสู่ขั้นสุดท้ายของขอบเขตจินกังได้สำเร็จและได้รับความแข็งแกร่งซึ่งเกือบจะเทียบเคียงได้กับชนชั้นราชันสวรรค์(ขอบเขตเทียนจุน)มาครอง คนผู้นั้นก็จะสามารถพิชิตทั่วทั้งทวีปได้ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ
เช่นเดียวกับที่นักสู้ขอบเขตจินกังสามารถบดขยี้ผู้ที่อยู่ในขอบเขตเสินโหยวได้ด้วยฝ่ามือเดียว บรรดายอดฝีมือขอบเขตเทียนจุนเองก็สามารถบดทำลายผู้ที่อยู่ในขอบเขตจินกังได้อย่างง่ายดายเช่นเดียวกัน
เมื่อนักสู้ผู้หนึ่งบรรลุขอบเขตจินกัง พวกเขาจะพึ่งพาพลังของสิ่งประดิษฐ์น้อยลงและหันมาทำความเข้าใจกับเต๋าสวรรค์แทน เพื่อที่จะพัฒนามันให้เป็นเต๋าจู่โจมซึ่งอยู่เหนือกว่าสิ่งประดิษฐ์ศักดิสิทธิ์ใดๆที่มีในโลกนี้!
หากเจียงอี้สามารถทะลวงสู่ระดับราชันสวรรค์ในอนาคต…
ซูตี๋หวังไม่กล้าคิดต่อจากนั้น เขาเงยหนาขึ้นไปมองท้องฟ้าและเริ่มรู้สึกเสียใจเล็กน้อย จะเกิดอะไรขึ้นหากธิดาของเขาอภิเษกสมรสกับเจียงอี้แทนที่จะเป็นเซี่ยอู๋หุ่ย? มันจะนำพาความเจริญรุ่งเรืองนับหมื่นปีมาสู่อาณาจักรต้าเซี่ยเหมือนกับที่เขาคิดหรือไม่?
……
หลังจากที่งานเลี้ยงใหญ่สิ้นสุดลง ข่าวลือใหม่ก็แพร่กระจายไปทั่งทั้งทวีปและทำให้ชื่อเสียงของเจียงอี้โด่งดังขึ้นมาอีกครั้ง
ทูตตรวจการเจียงอี้!
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่นามของเขาได้กลายเป็นดาวโชคร้ายในความคิดของขั้วอำนาจใหญ่ทั้งหลาย ในเวลาเดียวกันก็มีอยู่หลายอาณาจักรที่รู้สึกเพลิดเพลินไปกับความวุ่นวายที่เขาก่อขึ้น แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ไม่ต้องการให้ชายผู้นี้เดินทางมาในอาณาจักรของพวกเขาเช่นกัน
เพราะเขามันคือตัวหายนะ!
ณ ท้องพระโรงแห่งพระราชวังหลวงภายในอาณาจักรเสินหวู่
“ทูตตรวจการ? หึหึ สมแล้วที่เป็นผลงานชิ้นเอกของเปี๋ยหลีและอีเพียวเพียว มันชื่นชอบการสร้างความวุ่นวายเหมือนกับแม่ของมันจริงๆ”
“อีเพียวเพียว เจ้าทิ้งสมบัติมากมายขนาดไหนไว้ให้กับบุตรชายกันนะ? เอาเถอะ เจ้าควรที่จะอธิษฐานให้ลูกของเจ้าหาที่ซ่อนตัวให้มิดชิด ถ้าจะให้ดีก็อย่าได้มาเหยียบอาณาจักรนี้อีกตลอดชีวิต มิฉะนั้น ราชาผู้นี้จะตัดหัวมันด้วยมือของตัวเอง!”
เซี่ยถิงเวยในเวลานี้ดูเยือกเย็นจนน่าขนลุก มันน่าแปลกใจนักที่เขาไม่ได้ระเบิดโทสะออกมาเหมือนกับครั้งก่อนที่เจียงอี้ก่อเรื่อง
แต่หลังจากที่พึมพำกับตัวเองได้ไม่นาน เงาดำร่างหนึ่งก็มาปรากฏตัวที่ด้านหน้าของเขา คนผู้นั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งที่สวมสุดสีดำสนิท
เขาเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับเผยให้เห็นสีหน้าอันซีดขาวก่อนที่จะกล่าวรายงาน
“องค์ราชา! แย่แล้วพะยะค่ะ ‘คนผู้นั้น’ ที่อยู่ในหุบเขาได้ออกจากการปิดด่านบำเพ็ญตนแล้ว! ทางด้านสมาชิกของสมาคมเร้นลับเองก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้วพะยะค่ะ!”
“เจ้าว่าอะไรนะ?!”
เซี่ยถิงเวยถึงขั้นสูญเสียความเยือกเย็นไปหลังจากที่ได้ยินรายงานดังกล่าว
ทันใดนั้นเขาก็ลุกพรวดขึ้นมาและตะโกน “ทั้งหมดนี้มันเป็นเพราะไอ้สารเลวเจียงอี้! หากว่าไม่ใช่เพราะมัน อู๋หุ่ยกับกองทัพคงจะกลับมาถึงที่นี่แล้ว มันทำให้แผนการของข้ายุ่งเหยิงไปหมด!”
เซี่ยถิงเวยเดินไปมารอบท้องพระโรงด้วยความกระวนกระวายก่อนที่จะตะโกนไปที่หน้าประตู “ไปเรียกเปี๋ยหลีเข้ามาพบข้า!”
แอ๊ดดด!
แทบจะทันทีที่เขาตะโกน ประตูบานใหญ่ก็ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างอันใหญ่โตของชายผู้หนึ่งเดินเข้ามา แต่ในเวลานี้ใบหน้าของเขากลับไร้ซึ่งความหยิ่งผยองเหมือนเช่นเคยแต่ถูกแทนที่ด้วยความกังวลใจ
“องค์ราชา ข้าอยู่นี่แล้ว! มีการเคลื่อนไหวที่รุนแรงในหุบเขาและพวกสมาคมเร้นลับก็เริ่มทำตามแผนเดิมแล้ว”
“เปี๋ยหลี เจ้าเองก็ได้รับข่าวแล้วรึ?”
เซี่ยถิงเวยจับจ้องไปยังร่างของเจียงเปี๋ยหลีที่ยืนอยู่ตรงหน้าและเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง
“พวกเราจะทำยังไงดี? อู๋หุ่ยและคนที่เหลือต่างก็ต้องใช้เวลาถึงสามวันกว่าจะเดินทางมาถึงที่นี่ เมื่อแผนเริ่มขึ้น พวกเขาจะต้องปะทะกับพวกมันแน่และทุกคนจะตายกันหมด…”
“เช่นนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาตายไป!”
เจียงเปี๋ยหลีกล่าวตอบโดยไม่ต้องคิดซึ่งทำให้เซี่ยถิงเวยถึงกับชะงัก หากว่าเขาไม่รู้จักเจียงเปี๋ยหลีดีพอ เขาคงคิดว่าอีกฝ่ายต้องการให้เซี่ยอู๋หุ่ยตายเพราะเรื่องของเจียงอี้อย่างแน่นอน
“เรื่องนี้ร้ายแรงกว่าที่ข้าคิดไว้มาก!”
เจียงเปี๋ยหลีเอ่ยอธิบายต่อพร้อมกับดวงตาที่ค่อยๆเผยให้เห็นความเย็นชา
“คนผู้นั้นกำลังตกอยู่ในความโกรธแค้นและระดมพลทั้งหมดให้มุ่งหน้าไปยังอาณาจักรต้าเซี่ย หากว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ผลลัพธ์ของมันอาจจะเกินกว่าที่พวกเราคาดไว้เสียอีก!”
“แต่เพื่อหลีกเลี่ยงความน่าสงสัย ทางเราเองก็จำเป็นที่จะต้องยอมเสียสละบางส่วนออกไปบ้างเช่นกัน แน่นอนว่าองค์รัชทายาทย่อมไม่ใช่หนึ่งในนั้น”
“ดังนั้นเราจะต้องให้เว่ยกงกงกับไท่สื่อเจินพารัชทายาทกลับมาก่อนและปล่อยให้ค่ายเสินหวู่… กลายเป็นเครื่องสังเวย!”
“เครื่องสังเวย?”
ดวงตาของเซี่ยถิงเวยเผยให้เห็นความลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นความเด็ดเดี่ยวและตะโกน
“เงา! ส่งข้อความออกไปให้ทุกคนดำเนินตามแผนที่วางไว้ แล้วก็ส่งคนไปบอกให้รัชทายาทรีบกลับมาโดยไว!”
เมื่อร่างของผู้เชี่ยวชาญที่สวมชุดคลุมสีดำหายแวบไป เซี่ยถิงเวยและเจียงเปี๋ยหลีก็มองหน้ากันพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมา โดยเฉพาะเซี่ยถิงเวยที่ดูตื่นเต้นมากเป็นพิเศษ
“เปี๋ยหลี ครั้งนี้พวกเราจะทำสำเร็จใช่ไหม?”
“แน่นอนพะยะค่ะ!”
ใบหน้าของเจียงเปี๋ยหลีเต็มไปด้วยความมั่นใจ เขาโค้งคำนับเล็กน้อยและกล่าวออกมา
“ฝ่าบาท พระองค์ทรงเตรียมขึ้นครองบัลลังก์ที่แท้จริงและกลายเป็นจักรพรรดิผู้ปกครองทุกสิ่งได้เลยพะยะค่ะ!”
……
นับตั้งแต่ที่เจียงอี้ออกมาจากเมืองเซี่ยยวี่ เขาก็ไม่ได้หยุดพักและตรงไปทางหุบเขาสามหมื่นลี้ด้วยความเร็วสูงสุด เขาไม่แม้แต่จะกังวลเกี่ยวกับพวกหลิงเชียงที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
นั่นก็เป็นเพราะเจียงอี้รู้ดีว่าจักรวรรดิมังกรเวหาต้องการใช้ประโยชน์จากเขาเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการที่จะอุทิศตนเพื่อรับใช้จักรวรรดิแต่อย่างใด
หลังจากที่บินมาได้สักพัก เขาก็พบกับป่าแห่งหนึ่ง เมื่อร่อนลงบนพื้นเขาก็เปลี่ยนไปขี่บนหลังของเถาอู้แทน
แม้ว่าจะดำดินลงมาลึกกว่าสามสิบกิโลเมตร เจียงอี้ก็ไม่ได้หยุดพักเลยแม้แต่นิดเดียว
จากเมืองเซี่ยยวี่ จำเป็นต้องใช้เวลาถึงสามวันกว่าจะเดินทางมาถึงหุบเขาสามหมื่นลี้และด้วยความเร็วของเถาอู้ เขาก็จะต้องใช้เวลาอีกสองวันกว่าจะไปถึงสำนักจิตอสูร
ในเมื่อได้สมุนไพรสยบวิญญาณมาไว้ในมือ เจียงอี้ก็ไม่ต้องการที่จะเตร็ดเตร่อยู่ในอาณาจักรต้าเซี่ยอีกต่อไปและอยากที่จะกลับสำนักจิตอสูรให้เร็วที่สุด
แต่อีกเหตุผลหนึ่งก็เป็นเพราะว่าเขาต้องการที่จะหลบหนีเพราะไม่อยากที่จะเห็นหญิงสาวที่ตนเองรักต้องแต่งงานกับชายอื่น… หากว่าไม่ได้ครองคู่กัน เช่นนั้นชาตินี้ก็อย่าได้พบหน้ากันอีกเลยจะดีกว่า!
ตึง! ตึง! ตึง!
แต่ในคืนที่สองนั้นเอง จู่ๆเจียงอี้ก็ตื่นขึ้นมาเนื่องจากโพรงรอบๆเกิดการสั่นสะเทือน ทันใดนั้นม่านตาของเขาก็หดแคบลง
เขาอยู่ลึกลงมากว่าสามสิบกิโลเมตรแต่ก็ยังได้รับผลกระทบ เขาอดไม่ได้ที่จะแอบคิดกับตัวเองว่าแรงสั่นสะเทือนเหล่านี้คงจะไม่ได้มาจากบนพื้นดินหรอกนะ?
“ไม่ดีแล้ว! เป็นไปได้ไหมว่าด้านบนจะมีกองทัพผู้เชี่ยวชาญหรือไม่ก็สัตว์อสูรกำลังเคลื่อนขบวนอยู่? เจ้าเหลืองใหญ่ รีบขึ้นไปด้านบนเร็วเข้า!”
เจียงอี้ไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่สิ่งแรกที่เขาต้องทำคือหลบหนีจากใต้ดินให้เร็วที่สุดจากนั้นก็จะเรียกอินทรีมังกรออกมาเพื่อหนีขึ้นไปบนฟ้า
“มอ มออ!”
เจ้าเหลืองใหญ่ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความกลัว จากนั้นมันก็ใช้ความเร็วทั้งหมดเพื่อพุ่งกลับขึ้นไปบนพื้นดิน แต่ยิ่งพวกเขาอยู่ใกล้กับผิวดินมากเท่าไหร่ แรงสั่นสะเทือนก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
ปังง!
ทันทีที่ขึ้นมาบนพื้นดินได้แล้ว เจียงอี้ก็ไม่รอช้าและเก็บเจ้าเหลืองใหญ่กลับเข้าไปในเครื่องรางสัตว์วิญญาณทันที จากนั้นก็ตะโกน
“อินทรีมังกร!”
“ชู่ชู่!”
แต่ในวินาทีที่เจียงอี้กระโดดขึ้นไปบนหลังของอินทรีมังกร เขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่ามันไม่ได้กางปีกเพื่อที่จะบินขึ้นไปบนท้องฟ้า แต่กลับพยายามที่จะมุดดินหนีราวกับกำลังหวาดกลัวอะไรสักอย่าง!
ทันใดนั้นเจียงอี้ก็กวาดสายตาไปมองข้างหลังพร้อมกับดวงตาของเขาที่แปรเปลี่ยนไปด้วยความหวาดผวา
ฝูงสัตว์อสูร!
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเขาก็คือฝูงสัตว์อสูรที่มีจำนวนอยู่นับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นผืนฟ้าหรือผินดินต่างก็ถูกพวกมันครอบครองไว้ทั้งสิ้น!
เห็นได้ชัดว่าพวกมันทั้งหมดมาจากทิศของหุบเขาสามหมื่นลี้ หากให้คาดคะเนด้วยตาเปล่า เกรงว่าพวกมันคงมีไม่ต่ำกว่าแสนตัวอย่างแน่นอน!
ที่ด้านหน้าสุดของฝูงสัตว์อสูรคือบรรดาสัตว์อสูรที่ตัวสูงใหญ่และที่ยืนตระหง่านอยู่ ดูเหมือนว่าตัวที่อ่อนแอสุดก็เป็นสัตว์อสูรที่อยู่ในจุดสูงสุดของระดับที่สามแล้ว
อีกทั้งยังมีบางตัวที่ส่งกลิ่นอายที่แตกต่างออกมา พวกมันคือสัตว์อสูรระดับสี่, ราชันสัตว์อสูร!
แต่สิ่งที่สะดุดตาเจียงอี้มากที่สุดก็น่าจะเป็นหญิงสาวผู้งดงามนางหนึ่งซึ่งกำลังเหาะเหินอยู่ท่ามกลางสัตว์อสูร แม้ว่ารูปลักษณ์ของนางจะเหมือนกับมนุษย์ทุกประการ แต่กลิ่นอายที่ปล่อยออกมากลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงและยังเหนือกว่าสัตว์อสูรทั้งหมดที่อยู่ที่นี่!
สัตว์อสูรระดับห้า, จักรพรรดิสัตว์อสูร!
ฝูงสัตว์อสูรได้ลุกฮือออกมาจากหุบเขาสามหมื่นลี้แล้ว…!!