เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - ตอนที่ 258
ครื้นนน!
ยอดเขาจิตอสูรสั่นสะเทือน ทันใดนั้นร่างของสัตว์อสูรขนาดมหึมาก็โผล่พรวดขึ้นมาจากพื้นดิน ซึ่งทำให้หน่วยลาดตระเวนที่อยู่ในบริเวณนั้นถึงกับฝันหนีดีฝ่อ
โดยไม่รอช้า พวกเขาก็ชักอาวุธขึ้นมาเตรียมพร้อมเข้าปะทะ อีกทั้งยังมีหลายคนที่จุดพลุสัญญาณเพื่อขอความช่วยเหลือแล้ว
ข่าวการจลาจลของฝูงสัตว์อสูรได้แพร่กระจายมาถึงสำนักจิตอสูรแล้วเช่นกัน ที่ตั้งของสำนักตั้งอยู่ทางเหนือของหุบเขาสามหมื่นลี้จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะรู้สึกวิตกกังวลและเพิ่มความระมัดระวังเป็นสองเท่า
“หยุดก่อน! นั่นมันสัตว์วิญญาณ!”
“ทุกคนหยุดมือก่อน! นั่นคือเจียงอี้!”
ในขณะที่กำลังจะลงมือโจมตี โชคดีนักที่มีบางคนในนั้นตระหนักได้ถึงตัวตนของผู้ที่นั่งอยู่บนหลังของสัตว์อสูรได้เสียก่อน
เมื่อดวงตาของเจียงอี้ทอดมองไปยังสำนักจิตอสูรที่ตั้งอยู่บนยอดเขาซึ่งอยู่ห่างออกไป เขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วงและหอบหายใจด้วยความเหนื่อยล้า จากนั้นก็หันไปถามหน่วยลาดตระเวนที่กำลังตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก
“เจ้าสำนักอยู่ด้านในใช่ไหม?”
หงึกๆ!
เมื่อเห็นว่าคนเหล่านั้นพยักหน้าอย่างหนักหน่วง เจียงอี้ก็รีบสั่งให้เจ้าเหลืองใหญ่มุ่งตรงไปยังประตูสำนักอย่างไม่รีรอโดยเมินเฉยต่อสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาและชื่นชมของบรรดาศิษย์ที่อยู่แถวนั้น
พวกเขาไม่สามารถระบุได้ว่าสัตว์วิญญาณของเจียงอี้เป็นสายพันธุ์ใดกันแน่ แต่พวกเขาก็มั่นใจว่ามันจะต้องเป็นสัตว์อสูรระดับสามเป็นอย่างน้อย อีกทั้งยังเป็นสัตว์อสูรใต้ดินอันหายาก!
หากให้กล่าวตามจริง คงมีเพียงชนชั้นระดับรองเจ้าสำนักขึ้นไปเท่านั้นจึงจะสามารถกำราบสัตว์อสูรระดับนั้นได้
“นั่นใคร! จงหยุดเดี๋ยวนี้ แล้วก็กล่าวนามของเจ้ามาซะ มิฉะนั้นก็อย่าได้หาว่าพวกเราไม่เตือน!”
ณ ประตูทางเข้าของตำหนักบูรพา สีหน้าของทหารยามเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นสัตว์อสูรขนาดยักษ์กำลังห้อตะบึงเข้ามาใกล้ด้วยความเร็วสูง
“ข้าคือเจียงอี้! พวกเจ้าหลีกทางไปก่อน!”
ในขณะที่กล่าว เจียงอี้ก็สั่งให้เจ้าเหลืองใหญ่หรือก็คือเถาอู้วิ่งตรงไปยังตำหนักส่วนในโดยไม่สนใจสายตาของผู้คนรอบข้าง
ในสถานการณ์เช่นนี้ ลูกศิษย์ส่วนใหญ่ไม่มีกะจิตกะใจที่จะบ่มเพาะพลังและชื่นชอบที่จะรวมตัวกันเพื่อสนทนาเสียมากกว่า
“ฮือฮา!”
แต่เมื่อพวกเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวของสัตว์อสูรที่กำลังมุ่งตรงเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นศิษย์หรือคณาจารย์ต่างก็แตกตื่นและแห่กันออกมาดู
“ว้าว เป็นสัตว์วิญญาณที่ทรงพลังอะไรเช่นนี้! มันอยู่ในระดับสามใช่มั้ย? ว่าแต่มันคือสายพันธุ์อะไรกันนะ?”
“นั่นเจียงอี้นิ! เขาคือเจียงอี้ ศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักเราและยังเป็นวีรบุรุษแห่งสงครามราชอาณาจักรย่อยด้วย!”
“เจียงอี้? อาชญากรที่ก่อความผิดฐานก่อกบฏในอาณาจักรเสินหวู่และยังเป็นผู้ที่สร้างความโกลาหลในเมืองเซี่ยยวี่คนนั้นนะหรือ?!”
“ศิษย์พี่เจียงอี้ ยินดีต้อนรับกลับสำนัก!”
“กรี๊ดดดด… ศิษย์พี่เจียงอี้ช่างหล่อเหล่าจริงๆเจ้าค่ะ”
ทันใดนั้นเอง ทั่วทั้งสำนักจิตอสูรก็ตกอยู่ในความวุ่นวายในบัดดล ในช่วงนี้ เรื่องราวของเจียงอี้มักจะกลายเป็นหัวข้อสนทนาของผู้คนมากมาย
บรรดาศิษย์ของสำนักจิตอสูรต่างก็รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเขา แต่ก็แน่แหละ… มันก็ยังมีบางคนที่รู้สึกหมั่นไส้และเกลียดชังเขาด้วยเช่นกัน
ปัจจุบัน เจียงอี้นับว่าเป็นหน้าเป็นตาของสำนักจิตอสูรอย่างแท้จริง หากเทียบกันที่ศักดิ์ศรีแล้ว ตัวเขานั้นอยู่เหนือกว่าบรรดาลูกศิษย์และคณาจารย์ไปไกลโข
เขาอาจจะไม่ใช่ศิษย์ที่มีพรสวรรค์หรือแข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของสำนัก แต่ในเวลานี้ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาคือศิษย์ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือมากที่สุด!
“ลูกพี่กลับมาแล้ว? อยู่ไหน? รีบพาข้าไปเร็วเข้า!”
ในตำหนักประจิม เจ้าอ้วนเฉียนว่านก้วนลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความดีใจจนเกือบล้มหัวคะมำ แต่น่าเสียดายที่การเคลื่อนไหวของเขานั้นเชื่องช้าเกินไปจึงทำให้ออกไปดักหน้าเจียงอี้ไม่ทัน เพราะอีกฝ่ายได้พุ่งเข้าไปในตำหนักส่วนในแล้ว
“กลับมา!”
เมื่อมาถึงตำหนักส่วนใน เจียงอี้ก็เรียกเถาอู้กลับเข้ามาในเครื่องรางสัตว์วิญญาณทันที แต่ในขณะเดียวกัน ตัวเขาก็ตกอยู่ในความสับสนเพราะไม่รู้ว่าที่พำนักของเจ้าสำนักอยู่ที่ไหนกันแน่ น
ฟึ่บ!
แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ลมหายใจ รองเจ้าสำนักจำนวนหนึ่งก็ปรากฏตัวออกมาและเอ่ยถามจากระยะไกล “เจียงอี้ เจ้ากลับมาแล้วหรือ?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาก็รีบตะโกนกลับไป
“รองเจ้าสำนักฉี รีบพาข้าไปหาเจ้าสำนักเร็วเข้า ข้ามีเรื่องที่จะต้องรายงาน!”
“ตามข้ามา!”
เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดของเจียงอี้ รองเจ้าสำนักฉีก็กลับหลังหันและพุ่งตรงไปยังส่วนหนึ่งของตำนักส่วนในทันที ในขณะที่รองเจ้าสำนักท่านอื่นและเจียงอี้ก็ตามมาอย่างใกล้ชิด
ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงตำหนักที่จูเก๋อชิงหยุนพำนักอยู่ แต่ก่อนที่รองเจ้าสำนักฉีจะได้เอ่ยอะไรออกมานั้น จู่ๆก็มีเสียงจากด้านในดังออกมาก่อน
“เจียงอี้กับรองเจ้าสำนักฉีเข้ามาได้ ส่วนพวกเจ้าที่เหลือจงเฝ้าด้านนอกเอาไว้และอย่าให้ใครเข้ามาใกล้เป็นอันขาด”
เมื่อเข้ามาถึงด้านใน พวกเขาก็เห็นว่าจูเก๋อชิงหยุนกำลังนั่งคอยอยู่แล้ว พวกเขาจึงโค้งคำนับแต่ก็ถูกอีกฝ่ายห้ามปรามไว้และดึงเข้าเรื่องทันที
“เจียงอี้ เจ้ากลับมาจากอาณาจักรต้าเซี่ยแล้วรึ? แล้วเจ้าไม่ได้เผชิญหน้ากับพวกกองทัพสัตว์อสูรหรือ? สถานการณ์ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ข้าเจอกับพวกมันแล้ว!”
เจียงอี้พยักหน้าและรีบกล่าวอธิบายต่อ “ข้าไม่รู้เกี่ยวกับสถานการณ์ที่แน่นอน แต่ข้าได้เป็นประจักษ์พยานต่อการปรากฏตัวของจักรพรรดิสัตว์อสูรในรูปลักษณ์มนุษย์ด้วยตาของข้าเอง”
“นอกจากนี้ พวกมันยังมีราชันสัตว์อสูรอีกนับโหลและสัตว์อสูรระดับสามไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นตน นี่ยังไม่นับสัตว์อสูรที่มีระดับต่ำกว่าซึ่งข้าไม่อาจที่จะระบุจำนวนออกมาเป็นตัวเลขได้…”
“หืม?”
ทันใดนั้น ประกายแสงความสงสัยก็แวบผ่านม่านตาของจูเก๋อชิงหยุนและรองเจ้าสำนักฉี
“เจ้าเผชิญหน้ากับกองทัพสัตว์อสูรระดับนั้นแต่กลับยังมีชีวิตอยู่? แล้วยังจะจักรพรรดิสัตว์อสูรนั่นอีก… ท่านเจ้าสำนัก หรือว่าจะมียอดฝีมือท่านใดที่รุกล้ำเข้าไปในส่วนลึกของหุบเขาสามหมื่นลี้?”
รองเจ้าสำนักฉีเอ่ยถามด้วยความสงสัยก่อนที่จะหันไปมองจูเก๋อชิงหยุน
“อืม”
เขาพยักหน้าเล็กน้อยและหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่น
“ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่อย่างน้อยก็คงไม่ใช่ยอดฝีมือในสิบอันดับแรกแน่ แต่มันก็น่าแปลกใจไม่น้อยที่จู่ๆพวกสัตว์อสูรที่อยู่อย่างสงบมาเป็นเวลาหลายปีจะเป็นฝ่ายบุกมาโจมตีก่อน”
“เจียงอี้ เจ้าช่วยบอกเล่ารายละเอียดสิ่งที่เจ้าพบเจอมามากกว่านี้หน่อยได้หรือไม่?”
“ได้!”
เรื่องในครั้งนี้มีความเป็นความตายของเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นเดิมพัน ดังนั้นเจียงอี้จึงไม่กล้าที่จะปิดบังและอธิบายทุกอย่างตั้งแต่พบเจอกับกองทัพสัตว์อสูรจวบจนพวกมันเคลื่อนทัพจากไปอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
“นี่มัน…”
รองเจ้าสำนักฉีตื่นตระหนกตกใจพร้อมกับสีหน้าที่แย่ลงเรื่อยๆ ในขณะเดียวกัน เมื่อจูเก๋อชิงหยุนฟังจนจบ สีหน้าของเขาก็เผยให้เห็นความเย็นชาและร่องรอยความโกรธก่อนที่จะตวาดออกมา
“ใครกันที่จะกระทำเรื่องบัดซบเช่นนี้?! พวกมันอยากให้มนุษย์เกิดการนองเลือดหรือยังไงถึงได้ไปจับตัวลูกสาวของจักรพรรดินีสัตว์อสูรมา?”
“เรื่องในครั้งนี้อาจจะนำไปสู่สงครามระหว่างสองเผ่าพันธุ์ พวกมันช่างเลวระยำเสียจริง!”
“อะไรนะ?”
สีหน้าของรองเจ้าสำนักฉีแปรเปลี่ยนไปอีกครั้ง “ท่านเจ้าสำนัก ท่านหมายความว่าการลักพาตัวลูกสาวของจักรพรรดินีสัตว์อสูรนำไปสู่การก่อจลาจลของกองทัพสัตว์อสูร? ใครกันที่กล้าทำเรื่องบัดซบเช่นนี้ หากรู้ว่าเป็นใคร พวกมันทั้งหมดจะถูกตราหน้าว่าเป็นศัตรูกับมนุษย์ทุกคนทันที!”
ดวงตาของเจียงอี้สั่นไหวในขณะที่จู่ๆชื่อของจักรวรรดิมังกรเวหาก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา
“ท่านเจ้าสำนัก หรือว่าพวกที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้จะเป็นจักรวรรดิมังกรเวหา? หากว่าทวีปแห่งนี้ตกอยู่ในความวุ่นวายและมีบางอาณาจักรที่ถูกลบออกไป พวกเขาก็น่าจะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุด”
“ก็เป็นไปได้!”
ทันใดนั้นดวงตาของรองเจ้าสำนักฉีก็เผยให้เห็นความโกรธและดูถูกเหยียดหยาม “หากว่าจักรวรรดิอยู่เบื้องหลังจริง เช่นนั้นพวกเขาก็กำลังขุดหลุมฝังตัวเอง!”
“ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินใจ!”
จูเก๋อชิงหยุนรีบโบกมือขัดจังหวะ
“รองเจ้าสำนักฉี รีบป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไปให้เร็วที่สุด แม้ว่าจะต้องพลิกแผ่นดิน แต่พวกเราก็จะต้องช่วยกันตามหาลูกสาวของจักรพรรดินีสัตว์อสูรและช่วยนางไว้ให้ได้ มิฉะนั้นทุกอย่างจะสายเกินไป!”
“เจ้าค่ะ!”
เรื่องในครั้งนี้ร้ายแรงเกินไป รองเจ้าสำนักฉีไม่กล้ารอช้า นางรีบโค้งคำนับและจากไปเพื่อทำตามคำสั่งทันที
เมื่อนางออกไปแล้ว จูเก๋อชิงหยุนก็หันมามองเจียงอี้และเอ่ยถาม “เจียงอี้ เจ้ายังคงเก็บซ่อนบางอย่างไว้ใช่หรือไม่? ไม่เช่นนั้นแล้ว จักรพรรดินีสัตว์อสูรตนนั้นคงไม่ปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่แน่”
“ปิดบังสายตาท่านไม่ได้จริงๆด้วย”
เจียงอี้ตกตะลึงเล็กน้อย แต่เมื่อคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาก็ตัดสินใจเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนที่เขาพบกับจิ้งจอกวิญญาณสามหางเป็นครั้งแรก จากนั้นก็ตั้งคำถามขึ้นมา
“ท่านเจ้าสำนัก ท่านคิดว่าจิ้งจอกวิญญาณสามหางตัวนั้นเป็นลูกสาวของจักรพรรดินีสัตว์อสูรหรือไม่? หากไม่ใช่ ข้าก็จนปัญญาเหลือเกินว่าทำไมนางถึงปล่อยข้ามา”
“ข้าคิดว่าใช่!”
จูเก๋อชิงหยุนพยักหน้าด้วยความมั่นใจและตอบกลับ
“ดูเหมือนว่าร่างที่แท้จริงของจักรพรรดินีสัตว์อสูรคงจะเป็นจิ้งจอกวิญญาณห้าหาง! ดังนั้นจิ้งจอกวิญญาณสามหางที่เจ้าพบก่อนหน้านี้คงจะเป็นลูกสาวของนางไม่ผิดแน่!”
“เป็นอย่างที่คิดจริงๆด้วย!”
ในตอนนี้ เจียงอี้รู้สึกขอบคุณตัวเองยิ่งนักที่ตอนนั้นเขาไม่ลงมือกำราบหรือสังหารจิ้งจอกน้อยตัวนั้น มิฉะนั้น เขาคงจะตายไปนานแล้ว
“เจียงอี้!”
แต่จู่ๆจูเก๋อชิงหยุนก็เรียกชื่อของเขาพร้อมกับสีหน้าที่เคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม
“เจ้ากล่าวว่าจิ้งจอกวิญญาณสามหางตัวนั้นปล่อยวิชาเสน่ห์รัญจวนจิ้งจอกใส่เจ้า ถูกต้องไหม?”
“ใช่แล้ว… มันทำไมหรือท่านเจ้าสำนัก?” เจียงอี้ถามกลับด้วยความสงสัย
“อืม”
ทันใดนั้น จูเก๋อชิงหยุนก็ใช้มือทุบไปที่รถเข็นอย่างแรงและกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันดังก้อง
“เจียงอี้ เกรงว่าเรื่องในครั้งนี้ข้าจะต้องไหว้วานเจ้าเสียแล้ว ข้าอยากให้เจ้ากลับไปยังอาณาจักรต้าเซี่ยพร้อมกับรองเจ้าสำนักจำนวนหนึ่ง”
“ข้ามียาบางอย่างที่ช่วยให้ประสาทการรับกลิ่นของเจ้าเพิ่มขึ้นหนึ่งร้อยเท่า บนร่างของจิ้งจอกวิญญาณสามหางนั้นมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวซึ่งหายากมาก แต่ด้วยผลของยานี้ เจ้าจะสามารถสัมผัสถึงกลิ่นรัญจวนของมันได้ทันที”
“เจ้าจะต้องออกตามหามันและช่วยเหลือมันให้ได้ มิฉะนั้นมนุษย์ทุกคนในทวีปนี้จะต้องตกอยู่ในความทุกข์ระทมอย่างถึงที่สุด!”
“เจ้าจะรับงานนี้หรือไม่?”
“ข้ายินดีขอรับ!”
เจียงอี้กล่าวตอบโดยปราศจากความลังเล จากนั้นเขาก็นำกล่องหยกสามใบขึ้นมาและมอบให้กับจูเก๋อชิงหยุนพร้อมกับกล่าว
“ท่านเจ้าสำนัก ของพวกนี้คือสมุนไพรวิญญาณทั้งสามที่ข้ารวบรวมมาได้ ข้าอยากขอร้องท่านให้ช่วยมอบพวกมันให้กับปรมาจารย์เลี่ยวเพื่อช่วยชีวิตเสี่ยวนู๋ด้วย… ข้าขอตัวก่อน!”
จูเก๋อชิงหยุนพยักหน้าและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ข้าขออวยพรให้เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย!”