เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - ตอนที่ 265
ตำหนักจักรพรรดิมีทหารคุ้มกันห้าหมื่นนายและมีแม่ทัพสิบคนที่อยู่ขั้นสูงสุดของขอบเขตเสินโหยวและแม่ทัพอีกกว่าร้อยคนที่อยู่เหนือกว่าขั้นที่ห้า ในขณะที่มีผู้บัญชาการประมาณพันคนที่อยู่ขอบเขตเสินโหยวทั้งหมด
หลิงเสวี่ยถ่ายทอดอำนาจในการสั่งการทหารห้าหมื่นนายนี้แก่เจียงอี้ ซึ่งมีทั้งความไว้ใจและไม่มีทางเลือกปะปนกันอยู่ มีเพียงเจียงอี้เท่านั้นที่เคยพบจิ้งจอกน้อยและคุ้นเคยกับมัน เจียงอี้และกลุ่มของเขานั้นตามหาจิ้งจอกน้อยมาเป็นเวลานาน แถมเขายังเป็นทูตตรวจการซึ่งถือว่าเป็นสมาชิกของจักรวรรดิด้วย
เจียงอี้ไม่ค่อยชำนาญในเรื่องทหารเท่าไหร่นัก เขารวบรวมแม่ทัพมือดีทั้งสิบคนและขอให้พวกเขาทำการค้นหาทั่วเมืองโดยไม่เว้นที่ใดแม้แต่ที่เดียว รวมไปถึงใต้ดินที่อยู่ลึกลงไปสามสิบกิโลเมตรด้วย หากพบบุคคลที่ดูท่าทางน่าสงสัย พวกเขาจะต้องกุมตัวพวกนั้นก่อนเป็นอันดับแรก หากมีผู้เชี่ยวชาญที่มีพลังมากกว่าขั้นที่เจ็ดของขอบเขตเสินโหยว พวกเขาจะต้องบันทึกชื่อของคนเหล่านั้นไว้ และผู้ที่ไม่ค่อยคุ้นหน้าทั้งหมดนั้นจะต้องถูกจับกุมไว้ด้วย
เมื่อเจียงอี้ให้คำสั่งออกไป ทั่วทั้งเมืองเทียนชิงต่างก็วุ่นวายไปหมด เนื่องจากกองทัพสัตว์อสูรกำลังจะบุกโจมตีเมืองของพวกเขา เหล่าพลเมืองก็ค่อนข้างร่วมมือกันเป็นอย่างดี กองทัพทั้งห้าหมื่นคนพากันกวาดเมืองทั้งเมือง ขณะที่แม่ทัพคนหนึ่งก็ได้นำพลทหารหลายพันคนขุดลงใต้ดินเพื่อค้นหาอย่างละเอียด
ในคืนเดียวกันนั้นเอง กองทัพที่พากันขุดค้นหาตามใต้ดินได้ส่งข่าวที่สร้างกำลังใจขึ้นมา เนื่องจากมีอุโมงค์ที่ถูกขุดใหม่และมันยังมีรูเล็กๆที่ถูกผู้ใช้พลังอันน่าเกรงขามกระแทกอาคมยับยั้งเพื่อแอบลอบเข้ามาในเมือง
“ตามหาพวกมัน! ไม่ว่าสถานที่ใดจงอย่าละเว้น! หาพวกมันให้เจอ!”
เจียงอี้ค่อนข้างมั่นใจมากขึ้นว่าจิ้งจอกน้อยอยู่ในเมืองและมีความเป็นไปได้สูงที่จิ้งจอกน้อยจะยังมีชีวิตอยู่ หากคนพวกนั้นต้องการให้กองทัพสัตว์อสูรบุกเมืองเทียนชิง มันจึงจำเป็นต้องให้จิ้งจอกน้อยมีชีวิตอยู่และพวกมันจะต้องซ่อนมันไว้ในเมืองนี่แหละ
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม……
หลังออกค้นหามาทั้งวันทั้งคืน เหล่าทัพทหารห้าหมื่นนายได้ทำการบุกค้นทั่วเมืองสิบครั้งและจับตัวบุคคลที่น่าสงสัยมาหลายหมื่นคน อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังไม่พบเบาะแสใดๆหลังจากสอบปากคำคนเหล่านี้ไปแล้ว
“นี่มันไม่น่าเป็นไปได้…..”
เจียงอี้ รองเจ้าสำนักฉี และคนอื่นๆอยู่รวมกันในห้องโถง หลังจากได้ข้อมูลทั้งหมดมา ทุกคนต่างมีข้อสงสัย
รองเจ้าสำนักมังกรเวหากระพริบตาและถามว่า “เจียงอี้ จิ้งจอกน้อยอยู่ในเมืองเทียนชิงจริงๆหรือ? หากไม่เช่นนั้นแล้ว ทำไมการที่เราค้นหากันขนาดนี้แล้วจึงยังไม่เจอตัวมันอีก?”
“นั่นสิ!”
สตรีผู้มีความโดดเด่นซึ่งดูเหมือนจะเป็นรองเจ้าสำนักฮวาเหลี่ยงก็พูดออกมาด้วยความสงสัย “ด้วยกองทัพทหารห้าหมื่นนาย ไม่ว่าเมืองเทียนชิงจะใหญ่สักแค่ไหน ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวที่อยู่เหนือกว่าขั้นที่เจ็ดที่ดูหน้าตาไม่คุ้นเคยจะถูกเจอตัวแน่ๆ พวกมันจะซ่อนตัวอยู่ในเมืองได้ยังไง?”
“มันอยู่ที่นี่ อยู่ที่นี่แน่นอน!”
เจียงอี้ก็แน่ใจเช่นกัน เขามีความรู้สึกว่ายังไงๆเจ้าจิ้งจอกน้อยต้องอยู่ในเมืองแน่นอน เขาหันกลับไปมองที่หนึ่งในแม่ทัพมือดีและถามว่า “มีที่ไหนอีกบ้างที่ยังไม่ได้ถูกตรวจค้น?”
“ไม่มีที่ไหนแล้ว!”
แม่ทัพมือดีพูดพึมพำกับตัวเองก่อนที่จะมองไปรอบๆและพูดว่า “นอกจากพระราชวังหลวงและตำหนักองค์ชายทั้งหกและองค์หญิงทั้งสอง พระราชวังหลวงนั้นเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญ และไม่มีผู้ใดสามารถแทรกซึมเข้าไปได้ ตำหนักของเหล่าองค์ชายและองค์หญิงนั้นเต็มไปด้วยทหารขั้นสูงสุดของขอบเขตเสินโหยวมากมายแถมยังมีหน่วยลับนับไม่ถ้วนทั้งช่วงกลางวันและกลางคืน ไม่ว่าพลังของคนพวกนั้นจะแข็งแกร่งเพียงใด พวกเขาก็คงไม่สามารถแทรกซึมและซ่อนตัวได้หลายวันหรอก”
“ค้นหาที่นั่นซะ!”
มีแสงเย็นเยียบทอประกายในดวงตาของเจียงอี้ในขณะที่เขาตะโกนออกมา “รวมพลกองทัพเพื่อล้อมตำหนักองค์หญิงและองค์ชายและจงค้นหาทุกซอกทุกมุม!”
“เอ่อ?”
เหล่าแม่ทัพต่างพากันตกใจเมื่อได้ยินว่าเจียงอี้ต้องการให้พวกเขาล้อมตำหนักองค์ชายและองค์หญิงแห่งจักรวรรดิ เจียงอี้ต้องการจะก่อกบฏ? เขามีกำลังพล แต่แม่ทัพเหล่านี้ไม่มีความกล้า คนเหล่านั้นเป็นบุตรและธิดาขององค์จักรพรรดิเชียวนะ
หนึ่งในแม่ทัพถูจมูกของเขาอย่างอับอายและโค้งคำนับด้วยกำปั้น “ท่านทูตตรวจการเจียง เมื่อไม่มีพระราชโองการจากองค์จักรพรรดิ ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปที่ตำหนักของเหล่าองค์ชายและองค์หญิงได้ หากท่านต้องการตรวจค้นพื้นที่เหล่านั้น สิ่งเดียวที่พวกเราจะทำได้คือต้องไปขอพระราชโองการในพระราชวังหลวงขอรับ”
“องค์จักรพรรดิ?”
คิ้วของเจียงอี้เลิกขึ้นมา เขาเคยไปที่พระราชวังหลวงอยู่บ้าง แต่องค์จักรพรรดินั้นก็ยังไม่เคยเผยตัวออกมา สถานการณ์นี้ก็หน้าสิ่วหน้าขวานอยู่แล้ว แต่ก็ยังเป็นองค์หญิงหลิงเสวี่ยที่คอยกำกับ เจียงอี้เริ่มสงสัยแล้วว่าจักรพรรดิองค์นี้เขามีตัวตนอยู่จริงหรือไม่…
เจียงอี้คิดทบทวนอย่างลึกซึ้งก่อนที่เขาจะพูดว่า “หากองค์หญิงหลิงเสวี่ยเป็นผู้มอบพระราชโองการ เราจะสามารถตรวจค้นตำหนักของพวกเขาได้ไหม?”
“แน่นอนขอรับ!”
แม่ทัพพยักหน้า “องค์หญิงหลิงเสวี่ยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินและพระราชโองการของนางอยู่ในระดับเดียวกับองค์จักรพรรดิ ตราบใดที่นางออกพระราชโองการ เราก็สามารถทำการค้นตำหนักของเหล่าองค์ชายและองค์หญิงได้ทันที”
“ก็ได้! ข้าจะไปขอเดี๋ยวนี้แหละ”
เจียงอี้พยักหน้า พร้อมเรียกอินทรีมังกรของเขาและตรงไปยังพระราชวังหลวง จากนั้นเขาก็มุ่งหน้าไปยังราชวังเสวี่ยเยว่ขององค์หญิงหลิงเสวี่ย
“อะไรนะ? เจ้าต้องการตรวจค้นตำหนักเสด็จพี่ เสด็จน้องของข้า?”
หลังจากได้ยินคำขอของเจียงอี้ คิ้วขององค์หญิงหลิงเสวี่ยก็ขมวดเข้าหากันซึ่งเผยให้เห็นท่าทีที่ค่อนข้างรู้สึกยากลำบาก นางกัดปากและกล่าวว่า “ทั้งเสด็จพี่และเสด็จน้องของข้า ทุกคนมีเหล่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดคอยปกป้องอารักษ์ขาอยู่ที่ตำหนักของพวกเขา คนปกติคงไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปได้ มันคงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปตรวจค้นพวกเขาหรอกใช่ไหม? ”
“เหอะๆ!”
เจียงอี้เปล่งเสียงออกมาทางจมูก “หากอยู่ในสถานการณ์ปกติ เหล่าคนพวกนั้นคงไม่สามารถเข้าไปได้ แต่ข้าเกรงว่ามันอาจจะมี…หลุม!”
“หลุม?”
ใบหน้าที่มีเสน่ห์ขององค์หญิงหลิงเสวี่ยสั่นสะเทือนขณะที่นางพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและขู่ว่า “นี่เจ้ากำลังจะบอกว่า… เสด็จพี่และเสด็จน้องของข้าอาจมีคนสมรู้ร่วมคิดกับคนบงการ? จะเป็นไปได้อย่างไร? หากเมืองเทียนชิงถูกทำลาย พวกเขาก็จะต้องตายเช่นกัน! เป็นไม่ได้! เป็นไปไม่ได้แน่ๆ! เจียงอี้ ระวังคำพูดของเจ้าด้วย”
“ฮึๆ”
เจียงอี้หัวเราะเบาๆแล้วยักไหล่ “เมื่อท่านไม่เชื่อข้า เช่นนั้นข้าก็จะไม่รบกวนท่านและข้าก็ไม่ต้องการตำแหน่งทูตตรวจการอีกต่อไป ข้าจะพาคนของข้ากลับไปทันที องค์หญิงโปรดรักษาตัวด้วย”
เมื่อเจียงอี้สิ้นคำพูด เขาก็หยิบป้ายตราและดาบทองคำออกมาวางไว้บนโต๊ะ จากนั้นเขาก็หันหลังกลับและเดินออกไปอย่างไม่ลังเล ในเมื่อองค์หญิงหลิงเสวี่ยไม่เชื่อเขา เขาก็คงไม่สามารถคอยตามตื๊อเช่นกัน
ข้อสงสัยที่เขาคิดว่าคนเหล่านั้นซ่อนตัวอยู่ในตำหนักเหล่าจักรพรรดิ เขาไม่ได้เอ่ยขึ้นมาโดยไม่ได้คิดอะไรมาก่อน เขาคาดว่าเจียงเปี๋ยหลีเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ แต่เขาไม่ได้รู้จักพ่อของเขามากพอ เขาได้ยินเพียงสิ่งต่างๆที่เจียงเปี๋ยหลีเคยทำลงไป
พรสวรรค์ที่ท้าทายสวรรค์ของเจียงเปี๋ยหลีนั้นมีมาแต่กำเนิด เขาอายุเพียงสี่สิบปีและเป็นหนึ่งในสิบนักสู้ผู้แข็งแกร่งในทวีปนี้ ซึ่งนั่นก็พิสูจน์ว่าเขาท้าทายสวรรค์มากแล้ว ในความคิดของเจียงอี้ เจียงเปี๋ยหลีไม่ได้น่าเกรงกลัวเพราะพละกำลังของเขา แต่เป็นสติปัญญาของเขาเสียมากกว่า
ก่อนที้ขาจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นจอมพลแห่งกองทัพทหารตะวันตก เขาได้นำทัพออกศึกกว่าหลายร้อยครั้ง ซึ่งเขาได้รับชัยชนะทั้งหมด เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว เขายังล้มกองทัพทหารหลายแสนนายจากอาณาจักรต้าเซี่ยและนำทัพไปบุกอาณาจักรต้าเซี่ย และหลังจากนั้นก็เกือบจะทำลายล้างอาณาจักรต้าเซี่ยได้สำเร็จ
หลังจากที่เขากลายมาเป็นจอมพลกองทัพทหารตะวันตก ก็ไม่มีสงครามที่วุ่นวายในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมาในอาณาจักรเสินหวู่อีกเลยและทำให้ทุกคนลืมนึกถึงสติปัญญาของเจียงเปี๋ยหลี ทุกคนเบนความสนใจไปกับพละกำลังของเขาเท่านั้น ขณะที่เจียงเปี๋ยหลีกำลังพ่ายแพ้ไปเมื่อช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ทำให้ทุกคนเข้าใจผิดว่าเขากำลังแสวงหาเส้นทางสู่การบรรลุเต๋าสวรรค์
เมื่อเจียงอี้เดาว่าเจียงเปี๋ยหลีเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง เขาย่อมย้อนกลับไปนึกถึงบันทึกการต่อสู้อันรุ่งโรจน์ของเจียงเปี๋ยหลี ในเมื่อเจียงเปี๋ยหลีมีทั้งความห้าวหาญและความทะเยอทะยานเช่นนั้น จะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะไม่พิจารณาถึงทุกสิ่งในมุมที่แตกต่างออกไป?
คงจะไม่มีใครคิดว่าองค์ชายและองค์หญิงแห่งจักรวรรดิจะสมรู้ร่วมคิดกับคนนอกเพื่อวางแผนต่อต้านจักรวรรดิมังกรเวหาหรอก ดังนั้น สำหรับการที่คนเหล่านั้นจะซ่อนตัวอยู่ในตำหนักของเหล่าจักรพรรดิ…มันเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด นี่คือเหตุผลที่เจียงอี้บอกว่าคนเหล่านั้นซ่อนตัวอยู่ในตำหนักเหล่านั้น
“เจียงอี้…”
เมื่อเห็นเจียงอี้เดินออกไปเฉยๆด้วยการตัดสินใจเช่นนี้ ความงามบนใบหน้าที่สมบูรณ์แบบขององค์หญิงหลิงเสวี่ยเริ่มตระหนกขึ้น นางเรียกชื่อเจียงอี้ออกมา แต่เจียงอี้ไม่ได้ตอบสิ่งใดและเดินต่อไป นางเริ่มเป็นกังวลขึ้นมาทันทีและตะโกนออกมา “เจียงอี้ หยุดก่อน! ข้าจะออกพระราชโองการลงไป เจ้าสามารถทำสิ่งใดที่เจ้าต้องการก็ได้ แต่ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เลินเล่อเกินไป คนเหล่านี้คือครอบครัวของหลิงเสวี่ย…. ”