เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 305-306
บทที่ 305 ความตายของเซี่ยอู๋หุ่ย
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ : แปลได้แล้ว
“ฆ่า!”
เมื่อเหล่าแม่ทัพต่างออกคำสั่งลงมากองทัพที่เข้มแข็งกว่าล้านคนต่างก็เคลื่อนทัพแม้กระทั่งแม่ทัพหลงแห่งจักรวรรดิมังกรเวหา กองทัพพันธมิตรนั้นเหนือกว่ากองทัพอาณาจักรต้าเซี่ยนัก ไม่ว่าจะเป็นจำนวนทหารหรือจำนวนผู้เชี่ยวชาญ พวกเขาเตรียมพร้อมที่จะใช้วิธีที่รวดเร็วที่สุดฆ่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดในเมืองเซี่ยยวี่และเพื่อทำลายล้างอาณาจักรต้าเซี่ย
เมื่อผู้เชี่ยวชาญของกองทัพพันธมิตรเคลื่อนไหวสถานการณ์ทั้งหมดก็เปลี่ยนไป แต่เดิมอาณาจักรต้าเซี่ยถูกปราบปรามไว้อยู่แล้ว แต่ในตอนนี้ พวกเขาต้องสู้ภายใต้การกดดันอีก มันสามารถเรียกได้ว่าเป็น….การปิดล้อมสังหาร
อาณาจักรต้าเซี่ยมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวสักกี่คนกัน?ไม่แม้แต่จะถึงหมื่นคน และนี่คือหลังจากที่ตระกูลซูได้สะสมพละกำลังมาหลายปีหลังจากเกิดสงครามครั้งก่อนซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวที่ต่ำกว่าขั้นที่ห้าและนับได้เพียงประมาณเจ็ดถึงแปดร้อยคน
ตรงกันข้ามกับอีกฝ่ายซึ่งไม่มีความจำเป็นที่จะต้องนับผู้เชี่ยวชาญในกองทัพพันธมิตร เพียงแค่จักรวรรดิมังกรเวหาเพียงทัพเดียวก็มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวประมาณแปดพันคนแล้ว โดยที่คนมากกว่าพันคนนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นที่ห้า สำหรับกองทัพของอาณาจักรอื่นๆนั้น หากไม่ได้ดูเกินความเป็นจริงแต่เมื่อรวมเข้าด้วยกันกับทุกทัพแล้วมันก็ถือเป็นตัวเลขที่น่ากลัวเช่นกัน!
ปึง!ปึง!
ฟึ่บฟั่บ!
มีเสียงระเบิดอยู่ทั่วทุกที่และมีคนตายเกลื่อนอยู่ทุกหนแห่งเหล่าผู้เชี่ยวชาญจากกองทัพพันธมิตรก็เร่งรุดหน้าไปยังแนวหน้าของทัพ เมื่อเผชิญหน้าเข้ากับกองทัพของอาณาจักรต้าเซี่ยแล้วมันเป็นเหมือนกับสิงโตที่พุ่งเข้าไปยังฝูงลูกแกะ มันเป็นเหมือนการนองเลือด โดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวแห่งจักรวรรดิมังกรเวหาที่สวมศาสตราวุธนั้นทำให้พวกเขายิ่งสามารถเฉือนมนุษย์ออกเป็นสองท่อนได้อย่างง่ายดายราวกับตัดแตงโม
“ฆ่า!ฆ่า! ฆ่า!”
แม้จะเจอกรณีนี้อาณาจักรต้าเซี่ยก็ยังไม่ได้กำหนดเส้นทางและพวกเขาทั้งหมดก็วิ่งตรงไปยังกองทัพพันธมิตรราวกับปีศาจที่บ้าคลั่ง ผู้คนหลายคนมองไปยังเจียงอี้ผู้ที่กำลังสังหารกองทัพอาณาจักรเสินหวู่ที่อยู่ไกลออกไป ขณะเดียวกันก็เผยรอยยิ้มที่น่ากลัวออกมา พวกเขารู้ดีว่ายิ่งพวกเขายื้อเวลาไปได้มากเท่าไหร่ เหล่าศัตรูก็จะถูกเจียงอี้ฆ่าไปได้มากเท่านั้น
การหนีก็อาจจะนำไปสู่ความตายการต่อสู้ก็อาจจะนำไปสู่ความตายเช่นกัน แล้วทำไมพวกเขาจะไม่ลองเสี่ยงกันดูล่ะ? อย่างน้อย พวกเขาก็สามารถลากผู้คนลงหลุมไปพร้อมกับพวกเขาได้มากขึ้นเช่นกัน
ซูรั่วเสวี่ยยังคงยืนอยู่บนกำแพงเมืองขณะที่ซูตี๋หวังได้กลับไปยังพระราชวังหลวงเรียบร้อยแล้วระหว่างช่วงเวลานั้น หัวใจของซูตี๋หวังนั้นแทบแตกสลายเมื่อเขาได้ยินว่าเหล่าองค์ชายองค์หญิงของตระกูลซูถูกกำจัดไปแล้ว เขาก็ไม่สามารถรับมันได้อีก เมื่อซูตี๋หวังไม่อยู่ ซูรั่วเสวี่ยก็กลายเป็นผู้บัญชาการสูงสุดไปโดยปริยาย นางมีสีหน้าที่เยือกเย็นและเมื่อนางมองไปรอบๆนางก็ตะโกนออกมาว่า “จงฟังเสียงกลอง!”
ปึ้งปัง ปึ้ง!
กำแพงเมืองได้สะท้อนเสียงกลองรบแปลกๆออกมาอย่างรวดเร็วเสียงกลองนี้เป็นจังหวะมาก แต่มันก็ไม่ได้ดูเหมือนสัญญาณให้สู้ต่อหรือถอยหลังเลย
ฟึ่บฟั่บ!
เมื่อเสียงกลองรบนี้ดังขึ้นบรรดาผู้เชี่ยวชาญของอาณาจักรต้าเซี่ยก็เปลี่ยนรูปขบวนของพวกเขาทันที ทหารมากมายรีบแหวกทางออกเป็นสองฝั่งทันทีและเปิดพื้นที่ขนาดใหญ่ที่หน้าประตูเมืองทางเหนือ ผู้เชี่ยวชาญตระกูลซูกว่าสองร้อยคนรีบพุ่งเหินออกมาอย่างรวดเร็ว เมื่อแนวหน้าของอาณาจักรต้าเซี่ยกำลังต่อต้านกองทัพพันธมิตรให้ถอยไป ดวงตากว่าครึ่งของพวกเขาก็เปล่งประกายสดใส
ฟึ่บ!
ในขณะเดียวกันซูรั่วเสวี่ยและผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวอีกยี่สิบคนที่เหลือต่างก็บินเหินออกไปในขณะที่ดวงตาของพวกเขาก็ส่องแสงสีม่วงออกมาเช่นกัน
“แสงแห่งเสน่ห์เทวะ!ถอย!”
“ถอยเร็วเข้า!”
ฟึ่บฟั่บ!
การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของเหล่าตระกูลซูทำให้เหล่าแม่ทัพของทัพพันธมิตรต่างรับรู้ได้อย่างรวดเร็วและมีแม่ทัพมากมายที่ตะโกนออกมาขณะที่ผู้เชี่ยวชาญนับไม่ถ้วนพากันหนีไปเป็นสองฝั่ง
ฟึ่บฟั่บ!
แสงสีม่วงกว่าร้อยสายส่องแสงทอออกมาและเปลี่ยนเป็นลำแสงร้อยเส้นแสงพวกนี้มีความเร็วราวสายฟ้าและเมื่อมันส่องสว่าง มันก็ตรงไปสู่กองทัพพันธมิตรทันที การนองเลือดมากมายได้เกิดขึ้นมาในทันที
ฟึ่บฟึ่บ!
จอมยุทธทุกคนที่ถูกแสงสีม่วงนั้นจะเกิดรูขนาดยักษ์ตามร่างกายหากพวกเขาถูกแสงจ่อไปที่หัว หัวของพวกเขาก็จะโบ๋ในขณะที่ร่างกายของพวกเขาจะยังยืนอยู่ที่เดิม ซึ่งพวกเขาจะกลายเป็นศพไร้หัวในทันที
แสงสีม่วงนั้นสามารถยิงออกไปได้ไกลกว่าสามพันเมตรทหารทุกคนที่อยู่ในรัศมีของแสงสีม่วงจะมีรูยักษ์อยู่ที่ตัวของพวกเขา จริงๆแล้ว คนเหล่านี้ส่วนใหญ่นั้นยังไม่สามารถแม้แต่จะรู้สึกเจ็บปวดหรือกรีดร้องออกมาได้ก็ตายไปเสียแล้ว
โหดเหี้ยม!
เจียงอี้เหลียวไปมองเล็กน้อยและดวงตาสีเลือดของเขาก็มีความสงสัยผ่านเข้ามาวูบหนึ่งนี่เป็นเพียงคนแค่ร้อยคนที่ปล่อยแสงแห่งเสน่ห์เทวะออกมาก็ฆ่าศัตรูไปได้อย่างน้อยก็สองพันกว่าคนในคราวเดียว หากมีมากกว่าหมื่นคนที่สามารถปล่อยแสงแห่งเสน่ห์เทวะออกมาได้ การฆ่ากองทัพนับล้านมันจะง่ายมากมั้ยนะ?
ฟึ่บฟั่บ!
หลังจากปล่อยแสงแห่งเสน่ห์เทวะและเหล่าผู้เชี่ยวชาญตระกูลซูก็ถอยร่นกลับไปอย่างรวดเร็วในขณะที่คนกลุ่มด้านหลังสมาชิกตระกูลซูก็เร่งรุดไปข้างหน้าและยังคงระดมยิงแสงแห่งเสน่ห์เทวะต่อไป แสงสีม่วงกว่าร้อยสายถูกยิงออกมาอีกครั้งซึ่งยังไม่ได้ฆ่าศัตรูอีกกลุ่มหนึ่ง
สิ่งที่แปลกก็คือ…..
ในช่วงระยะเวลาที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวมากมายได้ปล่อยพลังโจมตีของพวกเขาออกมาแสงสีม่วงจะเจาะทะลุการโจมตีโดยแก่นแท้พลังไปโดยไม่มีการระเบิดใดๆ
นอกจากนี้เมื่อการโจมตีด้วยแก่นแท้พลังเหล่านี้ถูกยิงไปยังสมาชิกตระกูลซู เหล่าทหารของอาณาจักรต้าเซี่ยที่อยู่ใกล้ๆจะพากันกระโดดขึ้นมาป้องกันการโจมตีและใช้ร่างกายของพวกเขาเป็นโล่กำบังแก่นแท้พลังเหล่านั้น
ฟึ่บฟั่บ!
เหล่าตระกูลซูจะผลัดกันยิงแสงแห่งเสน่ห์เทวะไปเรื่อยๆและฆ่ากลุ่มกองทัพพันธมิตรขณะที่กองทัพพันธมิตรจะปลดปล่อยการโจมตีด้วยแก่นแท้พลังออกมาเพื่อฆ่าหทารอาณาจักรต้าเซี่ยที่จะกระโดดมาตายอย่างต่อเนื่องการต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นเป็นการต่อสู้แบบล้างผลาญ
“ฮ่าฮ่าฮ่า!พวกมันหมดทางเลือกแล้วหรอ? พวกมันจะสามารถปล่อยแสงแห่งเสน่ห์เทวะได้กี่ครั้งกันเชียว? รอจนกว่าพลังวิญญาณของพวกมันจะหมดลงและการต่อสู้ในครั้งนี้จะสิ้นสุดลงเช่นกัน!”
เซี่ยอู๋หุ่ยไม่ได้ก้าวออกไปข้างหน้าและเพียงแค่สังเกตสถานการณ์จากระยะไกลในขณะที่เขาก็ถูกทหารอารักษ์ขาขอบเขตเสินโหยวปกป้องเขาอยู่
เจียงอี้นั้นก็ยังคงสังหารกองทัพอาณาจักรเสินหวู่ต่อไปแต่เซี่ยอู๋หุ่ยไม่รู้สึกว่าตนเองสูญเสียเลยเขาหันกลับไปพูดกับเว่ยกงกงอย่างเงียบๆว่า “เว่ยกงกง เจ้าจงแอบไปที่นั่นและเมื่อพวกมันปล่อยแสงแห่งเสน่ห์เทวะไปประมาณสิบครั้งแล้ว ข้าว่าพวกมันคงจะอ่อนแอและคงหมดแรง เจ้าจงไปจับซูรั่วเสวี่ยนั่นมาให้ข้า ข้าต้องการนำตัวนังสารเลวนั่นกลับไปทรมานเป็นๆ”
“พะยะค่ะ!”
เว่ยกงกงพยักหน้าและซ่อนตัวเข้าไปในกองทัพทันทีและรุดหน้าไปยังซูรั่วเสวี่ย
“หืม?”
เมื่อเขาอยู่ห่างออกไปประมาณหนึ่งกิโลเมตรเขาก็ใจสั่นระริกและรู้สึกได้ถึงความไม่ปลอดภัยนี้ทันใดนั้นเขาก็หันกลับไปมองในจุดที่เจียงอี้อยู่ด้วยความเร็วสูง
“ไม่ได้การล่ะ!”
ในขณะนั้นร่างของเจียงอี้ก็หายวับไป เขาใช้ศาสตร์แปรผันดวงจิตอีกครั้ง ในเสี่ยววินาทีต่อมา เขาก็อยู่ห่างจากเซี่ยอู๋หุ่ยเพียงไม่กี่ร้อยเมตร เว่ยกงกงก็คำรามออกมาด้วยความหวาดกลัว “องค์รัชทายาท! หนีไปเดี๋ยวนี้!”
“หืม?”
เหล่าหน่วยลับที่อยู่ข้างๆเซี่ยอู๋หุ่ยต่างก็ตื่นตัวขึ้นมาในเวลานั้นพวกเข้าทุกคนต่างมีสายตาที่ตกใจและประหลาดใจเนื่องจากพวกเขาคิดว่าเจียงอี้กลัวที่จะเข้าหาผู้เชี่ยวชาญใดๆที่มีความแข็งแกร่งมากกว่าขั้นที่ห้าของขอบเขตเสินโหยว ทำไมเขาถึงกล้าย้ายไปใกล้เซี่ยอู๋หุ่ย?
ฟึ่บ!
หน่วยลับขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดสามคนกระจายตัวออกไปอย่างรวดเร็วพวกเขาสองคนรีบไปที่เจียงอี้ในขณะที่อีกคนพาเซี่ยอู๋หุ่ยถอยกลับด้วยความเร็วสูง
“ตายยย!”
ดาบมังกรเพลิงของเจียงอี้ถูกตวัดลงไปอย่างกระทันหันขณะที่ไข่มุกวิญญาณเพลิงของเขาส่องสว่างในเวลาเดียวกันเขายังไม่ได้ใช้หินวิญญาณเพลิงเลย และคราวนี้เขาหยิบมันออกมาสามก้อนแล้วโยนมันไปข้างหน้า
“หนี!”
ช่วงเวลาที่เจียงอี้นำหินวิญญาณเพลิงออกมาหน่วยลับขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดต่างก็หวาดผวา ความร้อนที่สูงขึ้นอย่างน่ากลัวทำให้พวกเขาได้กลิ่นความตายที่กำลังเยื้องกรายเข้ามา หากพวกเขายังคงวิ่งเข้าหาเจียงอี้ต่อไป พวกเขาอาจจะสามารถฆ่าเจียงอี้ได้ แต่พวกเขาจะต้องตายแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะหลบหนีดีกว่า
“อ๊ากกอ๊ากกกก อ๊ากกก!”
ขณะที่หินวิญญาณเพลิงบินไปข้างหน้าเหล่าทหารและผู้บัญชาการทั้งหมดต่างส่งเสียงกรีดร้องออกมา ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดทั้งสองนั้นสามารถรับรู้ได้ว่าร่างกายของพวกเขากำลังถูกแผดเผา แต่ความเร็วในกาตอบสนองของพวกเขานั้นยังถือว่าเร็วและยังสามารถหลบหนีไปได้
ช่างเฉียดฉิวนัก!
พวกเขาทั้งสองมองหน้ากัยและเห็นดวงตาที่ดีใจหลังจากรอดชีวิตมาได้แต่ในไม่ช้าความสุขของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นความกลัวอย่างรวดเร็วเมื่อพวกเขาเห็นร่างของเจียงอี้หายไปอีกครั้ง พวกเขาก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วและตะโกนออกมาว่า “องค์รัชทายาท ระวัง!”
บุฟ!
ทั้งสองตะโกนออกมาช้าเกินไปร่างของเจียงอี้นั้นได้ไปปรากฏอยู่ใกล้เซี่ยอู๋หุ่ยและสิ่งแรกที่เขาทำก็คือหยิบหินวิญญาณเพลิงออกมา
“ไม่ไม่นะ…..”
เมื่อเซี่ยอู๋หุ่ยเห็นเจียงอี้ปรากฏตัวอีกครั้งเขาก็รู้สึกตกตะลึงอย่างรู้ซึ้ง และเมื่อเขาเห็นหินวิญญาณเพลิง เขาก็ตะโกนออกมาอย่างสิ้นหวัง
“งั้นก็มาตายด้วยกันซะ!”
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวที่กำลังแบกเซี่ยอู๋หุ่ยอยู่นั้นรู้สึกได้ถึงความร้อนที่น่าหวาดกลัวจากหินวิญญาณเพลิงในขณะที่เขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังในระยะที่ใกล้เช่นนี้ เขาก็รู้ได้ในทันทีว่า ไม่ต้องพูดถึงเซี่ยอู๋หุ่ยหรอก แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่สามารถหลบหนีไปได้
เขาจึงไม่ได้หลบหนีและวิ่งตรงไปยังเจียงอี้แทนเขายกฝ่ามือขึ้นมาและยิงแก่นแท้พลังออกจากนิ้วสองนิ้วของเขาโดยเล็งไปที่หัวใจและหัวของเจียงอี้ ในระยะที่ใกล้เช่นนี้ เขามั่นใจว่าเจียงอี้จะตายก่อนที่เขาจะมีโอกาสใช้ศาสตร์แปรผันดวงจิตย้ายตัวเองหนีไป
…..
บทที่ 306 สังหารผู้หญิงที่เขารักมากที่สุด
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ: แปลได้แล้ว
“อ๊าก—!”
เซี่ยอู๋หุ่ยจ้องมองหินวิญญาณเพลิงที่พุ่งตรงเข้ามาด้วยความหวาดผวา และเมื่อสัมผัสได้ว่ากายเนื้อของตนกำลังถูกเผาไหม้ เขาก็กรีดร้องออกมาด้วยความสิ้นหวังอีกทั้งยังแฝงไปด้วยความเคียดแค้นและไม่ยินยอม
องค์รัชทายาทเซี่ยอู๋หุ่ยเป็นผู้ที่มีความทะเยอทะยานและเจ้าเล่ห์มาตั้งแต่ไหนแต่ไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รับความไว้วางใจจากผู้เป็นบิดาให้เป็นผู้นำทัพในครั้งนี้ มันก็ทำให้เขายิ่งมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
ในตอนแรก เขาคิดว่าตนสามารถกวาดล้างอาณาจักรต้าเซี่ยที่อยู่ในสภาพอ่อนแอที่สุดได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็กอบกู้ชื่อเสียงและศักดิ์ศรีกลับคืนมา
แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าด้วยความประมาทเพียงชั่วครู่ เขากลับต้องมาตายอยู่ที่นี่!
“ม่ายยย!”
“อ๊ากกก!”
หลังจากที่ร่างของเซี่ยอู๋หุ่ยและผู้เชี่ยวชาญจุดสูงสุดขอบเขตเสินโหยวผู้นั้นกำลังถูกแผดเผา บรรดาองครักษ์ที่อยู่รอบบริเวณนั้นเองก็ถูกเผาเป็นเถ้าถ่านเช่นกัน
แต่ทันใดนั้นเอง ผู้เชี่ยวชาญจุดสูงสุดขอบเขตเสินโหยวที่อยู่ข้างกายเซี่ยอู๋หุ่ยก็แสยะยิ้มออกมาแทนที่จะกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ในเวลาเดียวกัน คลื่นดัชนีก็พุ่งเข้าหาเจียงอี้ด้วยความเร็วสูงซึ่งทำให้อีกฝ่ายไม่มีเวลามากพอที่จะหลบหนี
“บ้าเอ้ย!”
การโจมตีดังกล่าวนั้นกะทันหันเกินไป เขารีบโคจรแก่นแท้พลังสีดำไปที่ดวงตาและรีบวิเคราะห์เส้นทางการเคลื่อนที่ของคลื่นดัชนีอย่างรวดเร็ว พริบตาต่อมาความคิดสายหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวของเขา
“ดาบมังกรเพลิง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว!”
เจียงอี้หมดหนทางและมีเพียงดาบมังกรเพลิงเท่านั้นที่พอจะพึ่งได้ พลังดัชนีของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวนั้นน่าสะพรึงกลัวมากซึ่งสามารถทะลวงผ่านได้แม้กระทั่งภูเขา
ดาบมังกรเพลิงเป็นสิ่งประดิษฐ์ระดับศักดิ์สิทธิ์และถูกสร้างขึ้นจากวัสดุพิเศษเฉพาะตัว หากแม้แต่มันยังไม่สามารถหยุดยั้งคลื่นดัชนีนั้นได้ เช่นนั้นเขาก็คงทำได้เพียงแค่รอรับความตาย
เมื่อคลื่นดัชนีจวนเจียนจะถึงตัว เจียงอี้ก็รีบยกดาบมังกรเพลิงขึ้นมาไว้ด้านหน้าและใช้มันราวกับโล่ป้องกัน
ปังงงงงง!
เมื่อพลังดัชนีเข้าปะทะกับตัวดาบ มันก็ส่งเสียงดังสะท้อนออกมา ทันใดนั้นเจียงอี้ก็เผยรอยยิ้มที่แสดงให้เห็นถึงความพอใจเมื่อตระหนักได้ว่าดาบมังกรเพลิงไร้ซึ่งรอยขีดข่วน
แต่พริบตาต่อมา รอยยิ้มนั้นก็จางหายไปในบัดดล เพราะแม้ว่าดาบมังกรเพลิงจะแข็งแรงทนทาน แต่แรงกระแทกที่พุ่งเข้ามาก็ทำให้นิ้วมือทั้งหมดของเจียงอี้บาดเจ็บสาหัสและไม่สามารถยึดจับตัวดาบได้แน่นเช่นเดิม
ส่งผลให้ดาบมังกรเพลิงกระแทกใส่หน้าอกของเขาอย่างจังและส่งเขาลอยกระเด็นไปด้านหลังด้วยลักษณะที่คล้ายกับดาวตก
“อั๊ก!”
ร่างของเจียงอี้กระแทกใส่ทหารนับสิบนายและผลักร่างของพวกเขากระเด็นออกไปเช่นกัน ทหารทั้งหมดที่อยู่ในเส้นทางของเขาต่างก็ถูกกระแทกจนได้รับบาดเจ็บโดยเฉพาะอย่างยิ่งสามคนแรกที่ถึงขั้นกระอักเลือดออกมา
เจียงอี้จุกจนพูดไม่ออก เขารู้สึกราวกับว่ามีกำปั้นเหล็กขนาดยักษ์กระแทกใส่หน้าอกของเขาอย่างจัง ในเวลาเดียวกัน เขาก็กระอักเลือดออกมาแม้ว่าตัวจะยังลอยละลิ่วอยู่กลางอากาศ
โชคดีที่พลังของเจตจำนงสังหารยังคงแสดงผลและตรึงร่างของเหล่าทหารเอาไว้ มิเช่นนั้นพวกเขาคงจะนำอาวุธขึ้นมาและรอเสียบร่างของเจียงอี้เป็นแน่
“องค์รัชทายาท!”
“ฝ่าบาท!”
เสียงกรีดร้องจำนวนนับไม่ถ้วนดังระงมอยู่ในอากาศ
รัชทายาทและว่าที่ราชาแห่งอาณาจักรเสินหวู่สิ้นพระชนม์แล้ว? เหล่าชนชั้นสูงของอาณาจักรต่างพากันตื่นตระหนก พวกเขาจะอธิบายเรื่องนี้แก่ราชาเซี่ยถิงเวยอย่างไรดี? ดูเหมือนว่าการสูญเสียผู้สืบทอดบัลลังก์ในครั้งนี้ จะทำให้มีผู้คนจำนวนมากถูกประหารเป็นแน่!
“หน็อย! ไอ้สารเลว!”
บรรดาทหารน้อยใหญ่ของอาณาจักรเสินหวู่ต่างก็จ้องเขม็งไปยังเจียงอี้ราวกับจะกินเลือดกินเนื้ออีกฝ่าย
แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีหลายคนที่กังวลเกี่ยวกับการสังหารเขา แต่ตอนนี้พวกเขากลับสลัดความคิดนั้นทิ้งไปอย่างรวดเร็ว เพราะไม่ว่ายังไงวันนี้เขาก็จะต้องตาย!
มิฉะนั้นพวกเขาจะไม่มีหน้ากลับไปรายงานเรื่องการตายของเซี่ยอู๋หุ่ยได้ เนื่องจากไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้นที่จะต้องถูกประหาร เพราะแม้แต่ครอบครัวของพวกเขาก็คงจะถูกกวาดล้างเช่นกัน!
ฟึ่บ!
ทันใดนั้น ผู้เชี่ยวชาญจุดสูงสุดขอบเจตเสินโหยวสี่ถึงห้าคนก็ระเบิดพลังออกมาและโถมตัวเข้าใส่เจียงอี้ที่กำลังบาดเจ็บทันที
ในเวลาเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญจุดสูงสุดขอบเจตเสินโหยวอีกสองคนที่อยู่ไม่ไกลจากเจียงอี้มากนักก็ทำการปลดปล่อยการโจมตีออกมาโดยไม่สนใจทหารชั้นผู้น้อยที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง
“ฝ่าบาท…!!”
ไกลออกไป เว่ยกงกงปล่อยเสียงโห่ร้องซึ่งดังสนั่นไปทั่วทั้งสนามรบ เขาเป็นองครักษ์ประจำกายเซี่ยอู๋หุ่ย หากเจ้านายของเขาตาย เช่นนั้นเขาก็ต้องตายด้วยเช่นกัน
ร่างอันแก่ชราของเขาทะยานเข้าหาเจียงอี้ราวกับพญาราชสีห์ที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น แต่ในขณะที่เขาก้าวไปได้เพียงไม่กี่ก้าว มันก็ตรงกับจังหวะที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวระดมปล่อยการโจมตีใส่เจียงอี้พอดี แต่ร่างของอีกฝ่ายของอีกฝ่ายก็หายวับไป เห็นได้ชัดว่าเขาใช้ศาสตร์แปรผันดวงจิตอีกครั้งแล้ว!
“ตาย! ตาย! ตาย!”
เว่ยกงกงเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งขณะที่กวาดตามองไปรอบๆเพื่อมองหาเจียงอี้อย่างเอาเป็นเอาตาย แต่การจะระบุตำแหน่งของเขานั้นเป็นเรื่องที่ยากเย็นอย่างถึงที่สุด เพราะเมื่อเจียงอี้เคลื่อนย้ายในพริบตาครั้งหนึ่งแล้ว โดยไม่ทันรอให้ฝ่ายศัตรูได้เข้าใกล้ ร่างของเขาก็แวบหายไปอีกครั้ง
“ตาย!”
สีหน้าของเว่ยกงกงที่เดิมทีมีแต่ความเฉยชาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธเกรี้ยว ไม่นานนักเขาก็หยุดค้นหาเจียงอี้และหันไปมองซูรั่วเสวี่ยที่ยืนอยู่ห่างออกไปไกลแทน ทันใดนั้นร่างของเขาก็ทะยานออกไปราวกับหมาป่าหิวกระหายและตรงเข้าหาหญิงสาวอย่างรวดเร็ว
ความตั้งใจของเว่ยกงกงนั้นชัดเจนมาก ตั้งแต่ที่เซี่ยอู๋หุ่ยตายไป ตัวเขาเองก็ถือว่าตายไปแล้ว เขาต้องการที่จะแก้แค้นเจียงอี้โดยสับร่างอีกฝ่ายออกเป็นชิ้นๆ แต่ในเมื่อไม่สามารถเข้าถึงตัวอีกฝ่ายได้ เขาจึงเบนความสนใจไปยังหญิงสาวที่เจียงอี้รักมากที่สุดแทน
ภายในสงคราม พลังของซูรั่วเสวี่ยถือว่าอ่อนแอมากและไม่ใช่แค่นางเท่านั้น บรรดาคนจากตระกูลซูทั้งหมดเองก็ตกอยู่ในสภาพไม่สู้ดีเช่นกัน
หลังจากที่ปลดปล่อยแสงแห่งเสน่ห์เทวะออกมาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าพวกเขาจะสามารถสังหารศัตรูได้นับหมื่น แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการเผาพลาญพลังจำนวนมหาศาล เวลานี้พลังวิญญาณของพวกเขาอ่อนล้าจนถึงขีดสุด มีกระทั่งบางคนที่ล้มฟุบไปกับพื้นเนื่องจากไม่มีแรงที่จะพยุงร่างของตัวเอง
“ตายเสียเถอะ!”
การเคลื่อนที่ของเว่ยกงกงนั้นรวดเร็วเกินไป พริบตาเดียวเขาก็เข้าไปใกล้บริเวณที่ซูรั่วเสวี่ยอยู่แล้ว ทันใดนั้นเขาก็เร่งเร้าแก่นแท้พลังและปลดปล่อยฝ่ามือขนาดยักษ์ออกมา
“เจียงอี้! จงเบิกตาดูวาระสุดท้ายของผู้หญิงของตัวเองไว้ให้ดี!”
เสียงตะโกนที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งของเว่ยกงกงดังมากจนทำให้บรรดาทหารที่อยู่ในบริเวณนั้นต้องยกมือขึ้นมาปิดหูเนื่องจากแก้วหูของพวกเขาได้รับบาดเจ็บอย่างกะทันหัน ในเวลาเดียวกันร่างของเจียงอี้ที่อยู่ห่างออกไปก็หยุดชะงักอย่างฉับพลัน
“เจ้า!”
เจียงอี้ยังคงรู้สึกเจ็บปวดที่หน้าอก แต่เมื่อได้ยินคำประกาศกร้าวของเว่ยกงกง เขาก็รีบหันกลับไปมองพร้อมกับใบหน้าที่ซีดขาวลงทันตา
ฝ่ามือยักษ์ของชายชรามีความสูงหลายเมตร เห็นได้ชัดว่ามันคือหนึ่งในรูปแบบเต๋าโจมตี หลังจากที่ฝ่ามือถูกปล่อยออกไป มันก็อยู่กลางอากาศเหนือซูรั่วเสวี่ยและสมาชิกตระกูลซูคนอื่นๆพอดิบพอดี
ดูเหมือนว่าฝ่ามือยักษ์นี่จะเป็นการโจมตีที่ทรงพลังที่สุดของเว่ยกงกงแล้วอีกทั้งยังเต็มไปด้วยแรงกดดันมหาศาล
เหล่าทหารที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างก็พยายามที่จะกระโจนเข้ามาเพื่อเสียสละตัวเอง แต่เนื่องจากเป็นเพียงแค่จอมยุทธขอบเขตจื่อฝู่ ร่างของพวกเขาจึงไม่สามารถขยับไปไหนได้ภายใต้แรงกดดันของผู้เชี่ยวชาญจุดสูงสุดขอบเขตเสินโหยว!
เจียงอี้อยู่ห่างจากซูรั่วเสวี่ยมากเกินไปและไม่มีทางไปถึงทันเวลาแน่ เขาทำได้เพียงแค่มองไปยังนางที่กำลังตื่นกลัวราวกับลูกแมวน้อยที่อยู่ต่อหน้าหมาป่าและไม่สามารถทำอะไรได้
ก่อนหน้านี้ เจียงอี้คิดเพียงว่าจะทำอย่างไรถึงจะสังหารเซี่ยอู๋หุ่ยลงได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ให้ความสนใจต่อซูรั่วเสวี่ยมากนัก มันจึงทำให้ในตอนนี้เขารู้สึกเสียใจอย่างถึงที่สุด
“ไม่นะ…”
เวลานี้เจียงอี้รู้อยู่เต็มอกว่าไม่ว่ายังไงซูรั่วเสวี่ยก็คงไม่รอดแล้ว ในขณะที่นางกำลังจะตาย เขาก็รู้สึกราวกับหัวใจของตนนั้นถูกมีดนับร้อยนับพันกรีดแทง
ในเวลาเดียวกันเขาก็พยายามเคลื่อนย้ายพริบตาอย่างต่อเนื่อง แต่ภาพสุดท้ายที่เขาเห็นก็ยังคงเป็นภาพของฝ่ามือยักษ์ที่กำลังบดขยี้คนของตระกูลซู!
……