เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 325 ตอนอัณฑะ
บทที่ 325 ตอนอัณฑะ
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ: แปลได้แล้ว
เมืองเซี่ยยวี่นั้นเต็มไปด้วยความคึกคักเนื่องจากผู้ปกครองอาณาจักรคนใหม่กำลังจะขึ้นครองบัลลังก์ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นราชินีองค์แรกในประวัติศาสตร์ เรื่องราวนี้ไม่ได้เป็นเพียงความโกลาหลภายในอาณาจักรต้าเซี่ยเท่านั้น แต่มันก่อให้เกิดข้อโต้แย้งขึ้นไปทั่วทั้งทวีป
เมื่อใดก็ตามที่ผู้ปกครองคนใหม่ขึ้นครองราชย์พวกเขาจะต่อประกาศต่อพิภพในขณะที่อาณาจักรต่างๆจะส่งทูตของพวกเขามาร่วมงาน หากอาณาจักรนั้นไม่ได้มีสัมพันธภาพที่ดีนัก อาณาจักรอื่นๆก็จะไม่ส่งทูตมา อย่างไรก็ตาม การขึ้นครองราชย์ของซูรั่วเสวี่ยนั้นแปลกมากเพราะทุกอาณาจักรและเหล่ากองกำลังที่มีอิทธิพลต่างส่งคนมาร่วมงาน
สำนักจิตอสูรส่งรองเจ้าสำนักฉีมาในขณะที่อีกสองสำนักส่งรองเจ้าสำนักมาสามคนหอดาราสุ่ยเยว่ส่งผู้อาวุโสมาขณะที่อารามเซนส่งนักบวชน้อยมาซึ่งเป็นนักบวชน้อยฮุ่ยเกินผู้ที่เจียงอี้ได้พบปะกันก่อนหน้านี้ นักบวชน้อยนี้มีสถานะที่สูงส่งในอารามเซนและการที่พวกเขาส่งนักบวชน้อยมานั่นก็หมายความว่าพวกเขามีความเคารพต่ออาณาจักรต้าเซี่ยเป็นอย่างสูง หรือไม่ก็…..นับถือเจียงอี้เป็นอย่างมาก
ส่วนจักรวรรดิมังกรเวหาก็ได้ส่งสหายเก่าของเจียงอี้ไปนั่นก็คือแม่ทัพหลงขณะที่อาณาจักรเป่ยหมางและเป่ยเหลียงส่งคนไปร่วมงานแบบสุ่มๆด้านอาณาจักรเซิ่งหลิงก็ได้ส่งใครบางคนที่เจียงอี้คุ้นเคยด้วยไปที่นั่น นั่นก็คือแม่ทัพเฮ่อผู้ที่ช่วยเจียงอี้ต่อกรกับตระกูลหลาน ส่วนอาณาจักรเทียนเซวี่ยนไม่ได้ส่งหยุนเฟยมาร่วมงานในครั้งนี้แต่ส่งองค์ชายมาแทน ส่วนราชทูตของอาณาจักรเสินหวู่นั้นส่งผู้ที่ปลุกปั่นมา ซึ่งจะเป็นผู้ใดไปไม่ได้นอกเสียจากองค์ชายสามเซี่ยเถียน!
ในตอนนี้บรรยากาศของโถงพระราชวังที่มีเกียรตินั้นค่อนข้างประหลาดเหล่าขุนนางของอาณาจักรต้าเซี่ยต่างยืนอยู่ฝั่งหนึ่งในขณะที่ราชทูตจากอาณาจักรอื่นๆและกองกำลังที่มีอิทธิพลยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ผู้คนมากมายจากอาณาจักรต้าเซี่ยกำลังพากันมองทูตจากจักรวรรดิมังกรเวหาและอีกห้าอาณาจักรด้วยสายตาเกลียดชังที่ไม่สามารถปกปิดได้
หลังจากความพยายามกว่าสองสัปดาห์ของซูรั่วเสวี่ยและเหล่าขุนนางก็ได้ทำให้อาณาจักรต้าเซี่ยรักษาเสถียรภาพอาณาจักรได้ในที่สุดสถิติทั้งหลายถูกนับออกมาและจำนวนผู้ตายของอาณาจักรต้าเซี่ยในช่วงสงครามที่ผ่านมานั้นนับได้กว่าห้าล้านชีวิต และส่วนใหญ่ก็ถูกสังหารโดยจักรวรรดิมังกรเวหาและอีกห้าอาณาจักร
ทูตจากขั้วอำนาจต่างๆค่อนข้างปราศจากความกังวลและรู้สึกราวกับว่าที่นี่เป็นสวนหลังบ้านของพวกเขาเหล่าทูตทั้งห้าอาณาจักรต่างรวมตัวพูดคุยกันอย่างสนุกสนานและพูดจาหยอกล้อกันโดยไม่คำนึงถึงผู้อื่นและไม่สนใจเหล่าขุนนางจากอาณาจักรต้าเซี่ยอย่างสมบูรณ์
“ถึงเวลาฤกษ์งามยามดีแล้วองค์ราชินีเสด็จขึ้นสู่บัลลังก์พะยะค่ะ!”
ในเวลาหลังจากนั้นไม่นานเสียงของหลิวกงกงดังก้องไปทั่วขณะที่ดนตรีต่างบรรเลงอย่างไพเราะไปทั่วโถงพระราชวังที่มีเกียรติแห่งนี้ ขุนนางจากกรมพิธีการก็เดินไปยังแท่นทองคำม่วงและตะโกนออกมาด้วยความเคร่งขรึมและเต็มไปด้วยความเคารพ “พวกเราขออัญเชิญองค์ราชินี! เหล่าขุนนางจงหมอบลงและราชทูตจงรับเสด็จด้วยความนับถือ!”
เมื่อเสียงจากสมาชิกกรมพิธีการเงียบลงขุนนางทุกคนในอาณาจักรต้าเซี่ยก็หมอบลงไปที่พื้นทันที รองเจ้าสำนักฉีละคนอื่นๆต่างก็หยุดเจื้อยแจ้วกันและยืนโค้งคำนับเบาๆเพื่อต้อนรับผู้ปกครองคนใหม่ของอาณาจักรต้าเซี่ย
“องค์ชายหยุนลู่ท่านรู้หรือไม่ว่าเมืองหลวงของเรามีตำหนักที่ชื่อวังหิมะเลื่อนลอย ซึ่งมีโสเพณีเลื่องชื่อที่มีรูปลักษณ์ที่สวยงาม แต่น่าเสียดายที่นางขายงานศิลป์ของนางมิใช่เรือนร่าง นางเพียงจะให้ท่านค้างแรมด้วยหากนางชื่นชอบในตัวท่าน หากมีโอกาสก็มาที่เมืองหลวงของเราสิ องค์ชายผู้นี้จะพาท่านไปเชยชม”
“เหเหองค์ชายเซี่ยเถียน ท่านนั้นมีหน้ามีตาและยังสง่างาม แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่สามารถไขว่คว้าสตรีในซ่องนางนั้นหรือ? มันก็เห็นได้ชัดแล้วว่าองค์ชายผู้นี้คงมิกล้า แต่มันก็น่าสนใจมิใชน้อย…..”
ณตอนนี้ทุกคนในที่นั้นต่างพากันตกตะลึง มันเป็นเหตุการณ์ที่ทรงเกียรติแต่เซี่ยเถียนและองค์ชายหยุนลู่แห่งอาณาจักรเทียนเซวี่ยนยังคงพูดจาหยอกล้อกันอยู่ เสียงของพวกเขานั้นไม่ได้ดังนัก แต่ทุกคนก็ได้ยินมันได้อย่างชัดเจน พวกเขากำลังพูดคุยกันเรื่องผู้หญิงในซ่องจริงๆหรือ?
เหล่าขุนนางจากอาณาจักรต้าเซี่ยต่างเกิดโทสะขึ้นมาในทันใดพวกเขาบางคนกำลังจะลุกขึ้นวิจารณ์อย่างรุนแรงง แต่ก็ถูกอัครมหาเสนาบดีเริ่นไอสองครั้งเพื่อปรามพวกเขาไว้ ขุนนางเหล่านั้นจ้องมองทั้งคู่และหมอบต่อไป
โชคดีที่หลังจากพวกเขาทั้งสองพูดคุยกันอีกไม่กี่ประโยคซูรั่วเสวี่ยก็เดินเข้าไปใต้การอารักขาของขบวนสาวใช้และขันที พวกเขาทั้งสองนั้นหยุดพูดจาหยอกล้อกันแล้วแต่ก็ยังคงยืนนิ่งด้วยใบหน้าที่เย้ยหยัน
ขุนนางกรมพิธีการพูดด้วยเสียงที่เคร่งขรึมอีกครั้ง“เมื่อองค์ราชินีขึ้นครองบัลลังก์ เหล่าขุนนางจงหมอบกราบสามครั้ง, ถวายพระพรเก้าครั้ง, และกล่าว ‘ทรงพระเจริญ’ ส่วนราชทูตทั้งหลายจงคำนับด้วยความเคารพ!”
ซูรั่วเสวี่ยนั้นสวมเสื้อคลุมมังกรและมงกุฏทองคำม่วงนางดูน่าประทับใจและมีเสน่ห์ในเวลาเดียวกันซึ่งมีความงดงามที่โดดเด่นนี้ออกมา นางเดินขึ้นไปยังบัลลังก์ทองคำม่วงด้วยท่าทีที่น่าเกรงขามขณะที่ขุนนางอาณาจักรต้าเซี่ยกราบไหว้สามครั้ง ถวายพระพรเก้าครั้งและตะโกนคำว่าทรงพระเจริญออกมา
ทูตส่วนใหญ่คำนับสามครั้งด้วยความเคารพแม่ทัพอาณาจักรเป่ยหมางเป่ยเหลียง พร้อมตัวแทนจากสำนักมังกรเวหาและฮวาเหลี่ยงยกกำปั้นขึ้นมาโดยไม่โค้งคำนับ ในทางตรงกันข้าม แม่ทัพจากอาณาจักรเซิ่งหลิงยอมอ่อนข้อด้วยความเคารพอย่างแท้จริง
“ตึกตึก! องค์ราชินีซูรั่วเสวี่ยนางช่างงดงามเหลือเกิน นางยังคงมีเสน่ห์เมื่อนางสวมเสื้อคลุมมังกรนั่น…”
“ใช่แล้วราชินีซูรั่วเสวี่ยนั้นไม่มีที่ติในด้านของรูปลักษณ์, ความสง่างาม, มารยาท, และเครื่องแต่งกายเมื่อเทียบกับโสเพณีในวังหิมะเลื่อนลอยของเราแล้ว นางเป็นสตรีที่งดงามอย่างน่าทึ่งในโลกมนุษย์นี้ เมื่อนางสวมชุดคลุมมังกร นางก็แค่…อึก…อึ๊ก!”
เสียงที่ไร้กาลเทศะทั้งสองนั้นดังขึ้นอีกครั้งหยุนลู่และเซี่ยเถียนเป็นผู้ที่วิจารณ์ซูรั่วเสวี่ย และเซี่ยเถียนยังเปรียบเปรยซูรั่วเสวี่ยกับสตรีนางหนึ่งจากซ่องก่อนที่ในที่สุดเขาจะสำลักน้ำลายตนเองด้วยการคุยโวไปหน่อย!
“ไร้มารยาท!”
“ไม่มีความเกรงใจ!”
ขุนนางจากอาณาจักรต้าเซี่ยนั้นไม่สามารถระงับโทสะตนเองได้อีกต่อไปแม่ทัพหลูและคนอื่นๆต่างก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร ขุนนางจำนวนมากก็เตรียมชักอาวุธของพวกเขาออกมาแล้ว การดูหมิ่นซูรั่วเสวี่ยนั่นหมายถึงการดูถูกอาณาจักรต้าเซี่ย ขุนนางคงเลือกที่จะตายมากกว่าปล่อยให้ผู้ปกครองของตนขายหน้า พวกเขานั้นพร้อมที่จะเสี่ยงชีวิต!
“อมิตาพุทธ!”
เหล่าราชทูตคนอื่นๆไม่สามารถทนได้อีกต่อไปนักบวชน้อยก็ตั้งงงมืออธิษฐานและพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ประสกทั้งสองช่วยสำรวมคำพูดด้วย!”
“อะไรอะไรกัน? อาณาจักรต้าเซี่ยกำลังพยายามจะทำอะไร?”
เซี่ยเถียนแสดงอาการออกมาอย่างเกินจริงมากขึ้นในขณะที่เขาทำท่าทางเหมือนตัวเองกลัวเขาอุทานออกมาว่า
“พวกเจ้าทั้งหมดต้องการอะไร?พวกเจ้าต้องการสังหารองค์ชายผู้นี้หรือ? ข้าผิดหรือไรที่ชื่นชมราชินีของพวกเจ้า? เมื่อสองอาณาจักรกำลังทำสงคราม ราชทูตจะไม่มีวันถูกสังหาร นอกจากนี้ เราเป็นตัวแทนของอาณาจักรของพวกเราที่มาอวยพรแก่การขึ้นครองราชย์ขององค์ราชินีรั่วเสวี่ย นี่เป็นวิธีการที่อาณาจักรต้าเซี่ยของพวกเจาปฏิบัติต่อเหล่าราชทูตหรือ? หรือบางที….พวกเจ้าต้องการประกาศสงครามกับอาณาจักรเสินหวู่ของข้าและอาณาจักรเทียนเซวี่ยน?”
ทันใดนั้นหยุนลู่ก็พูดต่อเขาด้วยความขุ่นเคืองทันที“ถูกต้อง! เรามาที่นี่เพื่อแสดงความปรารถนาดีของเราในการขึ้นครองราชย์ของผู้ปกครองคนใหม่ การกล่าวว่าองค์ราชินีรั่วเสวี่ยนั่นงดงามอย่างจริงใจ พวกเจ้ากลับตอบเรากลับด้วยอาวุธหรือ? สังหารเราสิหากพวกเจ้ากล้า! จากนั้นอาณาจักรของเราจะเคลื่อนขบวนมาที่นี่ในอีกไม่กี่วัน!”
เมื่อมีการพูดถึงสงครามกลิ่นอายของแม่ทัพหลูและคนอื่นๆก็อ่อนลง อาณาจักรต้าเซี่ยจะต่อกรกับกองทัพแสนนายได้อย่างไร? อาณาจักรของพวกเขาคงสูญสลายไปแล้วหายไม่ใช่เพราะเจียงอี้ พวกเขาไม่สามารถก่อสงครามได้อีกและพวกเขาก็ไม่กล้าฆ่าเซี่ยเถียนและคนอื่นๆ
แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือบุคคลสองคนนี้มาที่นี่เพื่อสร้างปัญหา วันนี้เป็นวันที่ซูรั่วเสวี่ยขึ้นครองราชย์และหากพวกเขาไม่กล้าฆ่าสองคนนี้ หลังจากเรื่องนี้จบลงมันจะกลายเป็นอาณาจักรต้าเซี่ยที่จะตกอยู่ในความเสียเปรียบ ซูรั่วเสวี่ยจะถูกทำให้อับอายขายหน้าจนถึงที่สุด
แม้ว่าแม่ทัพหลูและคนอื่นๆจะโกรธมากขณะที่อัครมหาเสนาบดีเริ่นจะโกรธจนตัวสั่นแล้วก็ตามแต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าตอบโต้พวกเขากลัวว่าเรื่องราวต่างๆจะแย่ลงและโอกาสที่พวกเขาควรจะมีความสุขในวันนี้อาจจะกลายเป็นพิธีจัดงานศพไป
ซูรั่วเสวี่ยที่อยู่ด้านบนนั้นขมวดคิ้วของนางนางดูไม่พอใจและโกรธแค้นอย่างเห็นได้ชัด ในขณะนี้นางไม่รู้ว่าตนเองควรทำอย่างไร
“เซี่ยเถียนข้าไม่ได้ฆ่าเจ้าก่อนหน้านี้และเจ้ากล้าที่จะมาอาละวาดที่นี่หรอ? เจ้าเชื่อไหมว่าข้าจะอัดเจ้าจนมารดาเจ้าจะจดจำใบหน้าของเจ้าไม่ได้เสียด้วยซ้ำ?”
ในขณะนั้นเสียงที่เย็นชาดุจธารน้ำแข็งก็สะท้อนมาจากด้านข้างของโถงราชวัง
ชายหนุ่มผู้สวมเสื้อคลุมสีเขียวเดินเข้ามาพร้อมกับกลุ่มทหารทันทีที่เขาปรากฏตัวในโถงใหญ่แห่งนี้ ดวงตาของซูรั่วเสวี่ยก็เปล่งประกายทันที ขุนนางจากอาณาจักรต้าเซี่ยดูเหมือนว่าจะสั่นสะท้านไปยันกระดูกสันหลังเมื่อกลิ่นอายสังหารได้หลั่งไหลออกมาจากแม่ทัพทั้งหลาย
“เจียงอี้!”
ทันทีที่เซี่ยเถียนเห็นเจียงอี้มุมปากของเขาก็กระตุกและร่างกายของเขาสั่นไหวขณะที่หลบตาไป ดูเหมือนว่าเขาจะกลัวเจียงอี้และไม่กล้าสบตากับเขา
องค์ชายหยุนลู่เย้ยหยันและพูดว่า“โอ้! เช่นนั้นนี่ก็คือเจียงอี้ผู้โด่งดังไปทั่วพิภพ? ผู้ตรวจการเจียง? อุปราชอาณาจักรต้าเซี่ย? ช่างยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้! และพูดออกมาว่าเขาต้องการอัดผู้หนึ่งทันที? ข้ากลัวจังเลย!”
“กลัวกับผีเจ้าน่ะสิ!”
เจียงอี้เผชิญหน้าและตอบโต้กับด้วยคำสาปแช่งทันทีจากนั้นเขาก็มองหยุนลู่อย่างไม่แยแสและกล่าวว่า “ไอ้แต๋วนี่ใคร? หลิวกงกง เขาถูกตอนอัณฑะเหมือนเจ้าหรือ?”
…..