เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 326 สังหารหยุนลู่
บทที่ 326 สังหารหยุนลู่
พูดได้ดี!
วาจาที่เจียงอี้เพิ่งลั่นออกไปนั้นรุนแรงมาก
เป็นที่รู้กันดีว่าในตอนนี้ฝ่ายขององค์ชายหยุนลู่นั้นเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางภายในอาณาจักรเทียนเซวี่ยน
มิฉะนั้นเขาคงจะไม่ถูกส่งมาเป็นตัวแทนของอาณาจักรเช่นนี้ แต่คำพูดของเจียงอี้นั้นเปรียบได้กับการตบหน้าเขาต่อหน้าที่สาธารณชนอย่างไร้ปรานี!
“ฮือฮา!”
เป็นไปตามคาด ทั่วทั้งท้องพระโรงเกิดความปั่นป่วนขึ้นทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาขุนนางของอาณาจักรต้าเซี่ยที่พากันเอามือกุมท้องและไม่สามารถกลั้นเสียงหัวเราะไว้ได้
บุคคลที่เลวทรามเช่นนี้ย่อมต้องถูกสยบโดยผู้ที่ชั่วร้ายยิ่งกว่า!
หยุนลู่เป็นถึงองค์ชายของอาณาจักรเทียนเซวี่ยน ดังนั้นเขาจึงเป็นตัวตนที่เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ไม่สามารถแตะต้องได้
แต่นั่นไม่ใช่กับเจียงอี้! ชายผู้นี้สามารถทำได้ทุกสิ่งตามใจปรารถนา!
ทำไมน่ะหรือ?
ยอดฝีมือขอบเขตจินกังของกองทัพพันธมิตรได้ทำข้อตกลงกับจักรพรรดินีสัตว์อสูรแล้วว่าจะไม่แตะต้องเจียงอี้เป็นเวลาสามปี
นอกจากนี้เพียงแค่ความแข็งแกร่งของเขาเองก็นับได้ว่าเป็นผู้ไร้เทียมทานในขั้นเสินโหยวแล้ว
ไม่ใช่แค่นั้น เพราะด้วยอิทธิฤทธิ์เจตจำนงสังหารผนวกกับความสามารถในการเคลื่อนย้ายในพริบตาของศาสตร์แปรผันดวงจิต ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวต่อการถูกล้อมสังหารแต่อย่างใด
ในทางกลับกัน หากว่าเจียงอี้รู้สึกหงุดหงิดและต้องการที่จะสังหารหยุนลู่ขึ้นมา ยอดฝีมือขอบเขตจินกังของอาณาจักรเทียนเซวี่ยนก็ไม่อาจที่จะทำอะไรได้ ดังนั้นเขาจะต้องตายอย่างไร้ค่าแน่นอน
เซี่ยเถียนตระหนักถึงเรื่องนี้ดี ดังนั้นเขาจึงสำรวมกิริยาเมื่อเจียงอี้ปรากฏตัวและไม่กล้าที่จะกระทำเรื่องหยาบคายอีกต่อไป
แต่เห็นได้ชัดเลยว่าหยุนลู่ไม่เข้าใจตรงจุดนี้ อาจจะเป็นเพราะการตายของหยุนเฮ่อที่ทำให้เขาไม่พอใจในตัวเจียงอี้อยู่ก่อนแล้ว บวกกับความจริงที่เขามีความมั่นใจในสถานะของตัวเองว่าอีกฝ่ายจะไม่กล้าแตะต้องเขา ดังนั้นเขาจึงกล่าวออกไปโดยไร้ซึ่งความกลัวและยั้งคิด
หลังจากที่ถูกเจียงอี้พูดจาดูถูก หยุนลู่ก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟและก่นด่ากลับทันที
“เจียงอี้ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใคร?! หากไม่ใช่เพราะพึ่งพาบารมีของจักรพรรดินีสัตว์อสูร เจ้าจะกล้าทำตัวโอ้อวดเช่นนี้รึ?”
“ข้าไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดเช่นไร แต่สำหรับข้า เจ้ามันคือความอับอายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ทรยศเผ่าพันธุ์ตัวเองและหันไปสวามิภักดิ์ให้กับพวกสัตว์อสูร!”
“เหอะ! จักรพรรดินีสัตว์อสูรปกป้องเจ้าได้แค่สามปีเท่านั้น! องค์ชายผู้นี้อยากรู้นักว่าเมื่อเจ้าไม่มีที่พึ่งแล้ว เจ้าจะต้องตายในสภาพที่น่าสมเพชขนาดไหน!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
คนโฉดก็ยังเป็นคนโฉดอยู่วันยังค่ำ! เมื่อเจียงอี้ได้ยินถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความดูถูกของหยุนลู่ เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะที่ดังสนั่นไปทั่วทั้งท้องพระโรง ในขณะเดียวกันร่างของเขาก็ปะทุกลิ่นอายอันน่าสยดสยองออกมา
วินาทีต่อมา ร่างของเขาก็ทิ้งไว้เพียงภาพติดตาขณะที่ทะยานไปหาหยุนลู่พร้อมกับใช้รัศมีจากเจตจำนงสังหารตรึงร่างของเขาไว้
ในเวลานี้แม้แต่องครักษ์ขอบเขตเสินโหยวขั้นที่แปดทั้งสองคนก็ไม่สามารถขยับไปไหนได้แม้แต่นิดเดียว
พวกเขาทำได้เพียงแค่มองดูองค์ชายของตนถูกเจียงอี้คว้าคอไว้และยกร่างลอยขึ้นกลางอากาศ!
เจียงอี้ใช้สายตาอันเฉยชามองเข้าไปในดวงตาของหยุนลู่ที่ในตอนนี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว จากนั้นก็กล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย
“ข้า เจียงอี้ ไม่ใช่คนที่เจ้าจะพูดเล่นด้วยได้! แล้วก็อย่าได้มาพูดกับข้าเกี่ยวกับการพึ่งพาคนอื่น เจ้าเชื่อไหมว่าข้าสามารถฆ่าเจ้าตอนนี้เลยก็ยังได้?”
“ดูตัวเจ้าสิ หากไม่ใช่เพราะมีสถานะองค์ชาย เจ้ามันก็แค่เศษสวะ! ข้ากล้าฆ่าแม้กระทั่งพี่ชายของเจ้า แล้วเจ้าคิดหรือว่าข้าจะไม่กล้าแตะต้องเจ้า?”
หลังจากที่เจียงอี้เอ่ยวาจาสุดท้ายออกไป เขาก็เก็บเจตจำนงสังหารกลับมาและใช้เพียงแค่ดวงตาอันเย็นชาจับจ้องไปยังร่างขององค์ชายหยุนลู่ราวกับราชสีห์ที่กำลังมองเหยื่อเท่านั้น
เมื่อหยุนลู่เห็นว่าอีกฝ่ายเอาจริง เม็ดเหงื่ออันเย็นเยียบจำนวนมากก็พากันไหลออกมาทางรูขุมขนบนร่างกายเพราะความกลัวถึงขีดสุดและไม่กล้าที่จะเอ่ยคำพูดใดๆออกมาอีก
“…”
บรรยากาศในท้องพระโรงเงียบสงัดราวกับป่าช้า คราวนี้แม้กระทั่งขุนนางของอาณาจักรต้าเซี่ยก็ไม่กล้าที่จะหายใจแรงเพราะกลัวว่าเจียงอี้จะเผลอพลั้งมือสังหารหยุนลู่เข้าจริงๆ
หากมันเกิดขึ้นจริง อาณาจักรเทียนเซวี่ยนจะต้องโกรธแค้นมาก และพวกเขาอาจจะต้องลงเอยด้วยสงครามอีกครั้งหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
เซี่ยเถียนยืนอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น แต่ในเวลานี้ภายในใจของเขาบังเกิดความรู้สึกหวาดกลัวจนแทบจะคลั่งตายอยู่แล้ว
เขากลัวเหลือเกินว่าอีกฝ่ายจะไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนและลงมือสังหารเขาด้วยเช่นกัน!
ทางด้านของเหล่าองครักษ์จากอาณาจักรเทียนเซวี่ยนเองก็ตกอยู่ในสภาวะตรึงเครียดเช่นกัน แม้ว่าจะอยู่ใกล้กันมาก แต่พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะลงมือโดยประมาทเพราะกลัวว่าจะทำพลาดและทำให้ชีวิตน้อยๆของหยุนลู่ต้องดับสิ้นไป!
ซูรั่วเสวี่ยนั่งอยู่เงียบๆมาตั้งแต่ต้น นางเพียงแต่ใช้ดวงตาอันงดงามมองไปยังเจียงอี้อย่างอ่อนโยน ในฐานะราชินีของอาณาจักรต้าเซี่ย นางไม่คิดที่จะห้ามปรามการกระทำของเขาแม้แต่น้อยซึ่งยังคล้ายกับการสนับสนุนเขาอยู่กลายๆ
“อมิตาพุทธ!”
สุดท้ายแล้วก็เป็นนักบวชน้อยฮุ่ยเกินที่เป็นคนเอ่ยขึ้นมาและทำลายความเงียบนี้
“ประสกเจียง วางเขาลงเถิด แล้วมาพูดจากันอย่างสันติดีกว่า”
ตุบบ!
เจียงอี้เหวี่ยงร่างของหยุนลู่ลอยออกไป จากนั้นเขาก็เบนสายตาไปยังเซี่ยเถียนและคนที่เหลือพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา
“วันนี้เป็นวันขึ้นครองราชย์ของรั่วเสวี่ย หากพวกเจ้ามาเพื่อร่วมแสดงความยินดี ข้าก็ขอต้อนรับ แต่หากมาเพื่อสร้างปัญหาก็อย่าได้โทษว่าข้าคนนี้ไม่สุภาพ! ใครที่รู้ตัวว่าไม่เป็นที่ต้อนรับก็จงไสหัวกลับไปซะ!”
ฟึ่บ!
เมื่อได้จังหวะ องครักษ์ของอาณาจักรเทียนเซวี่ยนก็รีบทะยานออกไปและรีบพยุงร่างของหยุนลู่ขึ้น แต่ก็ถูกอีกฝ่ายผลักออก เขาจ้องมองไปยังเจียงอี้ด้วยความเคียดแค้นและคำราม
“ดี ดี ดีมาก! เจียงอี้! องค์ชายผู้นี้จะคอยดูว่าในอีกสามปีเจ้าจะยังปากดีอยู่อย่างนี้ได้อีกหรือไม่? และหากว่ามีโอกาส ข้าจะสับร่างของเจ้าให้เป็นชิ้นๆด้วยมือของข้าเอง!”
องค์ชายหยุนลู่จำใจต้องล่าถอยกลับไปด้วยความแค้น เซี่ยเถียนและแม่ทัพทั้งสองจากอาณาจักรเป่ยเหลียงกับเป่ยหมางต่างก็ลอบสบตากันและเดินออกมาทันที
ส่วนแม่ทัพหลงแห่งจักรวรรดิมังกรเวหาและแม่ทัพแห่งอาณาจักรเซิ่งหลิงต่างก็ฝืนยิ้มให้กับเจียงอี้ก่อนที่จะขอตัวกลับเช่นกัน
อีกด้านหนึ่งรองเจ้าสำนักมังกรเวหาและรองเจ้าสำนักฮวาเหลี่ยงรู้สึกลังเลใจอยู่ชั่วครู่ แต่ไม่นานนักพวกเขาก็ตัดสินใจเดินออกมา
ตั้งแต่ต้น พวกเขามาที่นี่เพียงแค่เพลิดเพลินไปกับเรื่องสนุกเท่านั้น แต่ไม่นึกเลยว่าเมื่อเจียงอี้ปรากฏตัวออกมา ทุกอย่างจะพลิกผันเช่นนี้
ในเมื่อฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์ได้เดินทางกลับไปกันหมดแล้ว ความสงบสุขก็กลับคืนมาอีกครั้ง แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ เจียงอี้หันมาโค้งคำนับให้กับ นักบวชน้อยฮุ่ยเกิน, รองเจ้าสำนักฉีและคนอื่นๆ จากนั้นก็เดินออกจากห้องโถงทันที
เรื่องนี้เองที่ทำให้ใครหลายคนประหลาดใจ ทำไมเจียงอี้ถึงได้ออกไปล่ะ? อีกไม่นานผู้ปกครองสูงสุดคนใหม่ของอาณาจักรต้าเซี่ยจะถูกประกาศอย่างเป็นทางการแล้วนะ?
แม้ว่าจะไม่มีใครกล้าทวงถามเขา แต่ก็มีหลายคนที่อดคิดไม่ได้ว่าการกระทำของเขาช่างไม่เหมาะสมยิ่งนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขายังเป็นถึงอุปราชของอาณาจักร เขาทำเช่นนี้ได้อย่างไร?
ในทางกลับกัน ซูรั่วเสวี่ยที่เป็นตัวเด่นที่สุดของงานกลับไม่ได้คิดอะไรมากและพยักหน้าให้กับขุนนางจากกรมพิธีการเพื่อให้เขาดำเนินงานต่อ
ขุนนางผู้นั้นก็ไม่กล้ารอช้าและดำเนินพิธีต่อทันที เขาทำได้เพียงสวดอ้อนวอนต่อสวรรค์และจัดพิธีต่อ…
…..
เหตุผลที่เจียงอี้ทิ้งงานพิธีออกมากลางคันไม่ใช่เพราะเขาหยิ่งยโสหรือจงใจทำให้เกิดความสับสน แต่เป็นเพราะว่ามีแขกพิเศษสองคนได้เดินทางมาถึงแล้ว!
หลังจากที่เจียงอี้ออกมาจากสายแร่ศักดิ์สิทธิ์ ยายเฒ่าก็แจ้งให้เขาทราบเกี่ยวกับแขกบางคนที่กำลังสร้างปัญหา ไม่ใช่แค่นั้น นางยังบอกกล่าวเขาเกี่ยวกับแขกพิเศษสองคนที่แอบเดินทางมายังอาณาจักรต้าเซี่ยอย่างเงียบๆ และตอนนี้พวกเขาก็อยู่ในวังหิมะเลื่อนลอยแล้ว
เมื่อเจียงอี้เดินทางมาถึงวังและถูกทหารยามเห็น พวกเขาก็คุกเข่าลงอย่างรวดเร็วและกล่าวทักทายทันที
“คารวะท่านอุปราช!”
“ลุกขึ้นเถอะ”
เจียงอี้โบกมือและก้าวเข้าไปในวังทันที แต่ทันใดนั้นเสียงตะโกนเรียกก็ดังออกมาจากภายในซึ่งทำให้เขาเงยหน้ามอง
“ลูกพี่!”
เจ้าอ้วนเฉียนว่านก้วนรีบวิ่งออกมาและโอบกอดเจียงอี้ไว้
“ฮ่าฮ่า! ลูกพี่! ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน!”
รอยยิ้มผ่อนคลายปรากฏบนใบหน้าของเจียงอี้และขณะที่มองไปยังหน้ากลมๆของสหาย จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นและตบไปที่หัวของเฉียนว่านก้วนด้วยความคิดถึง
“ว่านก้วน เจ้าดูอ้วนขึ้นหรือเปล่า?”
เฉียนว่านก้วนกับเจียงอี้พูดคุยและหัวเราะกันไม่หยุด แต่จากนั้นไม่นานพวกเขาก็เบนสายตาไปมองชายหนุ่มอีกคนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้
ชายผู้นี้มีผิวสีทองแดงและมีร่างกายที่ใหญ่โตสมชายชาตรี เจียงอี้และเขามองหน้ากันจากนั้นก็ยื่นกำปั้นออกมาและต่างฝ่ายต่างก็ชกไปที่หน้าอกของกันและกันเบาๆ
“พี่อู๋ซวง ไม่ได้เจอกันนาน ไม่นึกเลยว่าเจ้าเองก็มาที่นี่เช่นกัน ฮ่าฮ่า”
เจียงอี้ยิ้มและหัวเราะเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หันไปมองเจียงเสี่ยวนู๋และกล่าว “เสี่ยวนู๋ บอกใครก็ได้ไปเตรียมจัดโต๊ะให้ข้าที ข้าต้องการที่จะไปดื่มกับพี่อู๋ซวงกับว่านก้วนเสียหน่อย”
“เจ้าค่ะนายน้อย!” เมื่อได้รับคำไหว้วาน เจียงเสี่ยวนู๋ก็รีบเดินไปทางเหล่าขันทีและสาวใช้เพื่อให้พวกเขาช่วยเตรียมสุราให้กับพวกเจียงอี้
ในขณะเดียวกัน เมื่อจิ้งจอกน้อยที่อยู่บนไหล่ของเจียงเสี่ยวนู๋ได้ยินว่ากำลังจะมีงานเลี้ยง ใบหน้าเล็กๆของนางก็เผยความซุกซนและอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที
“รั่วเสวี่ยกำลังจะขึ้นครองราชย์ทั้งที พวกเราจะไม่มาร่วมยินดีได้อย่างไร?”
จ้านอู๋ซวงหัวเราะ จากนั้นเขาก็กล่าวต่อ “เจียงอี้ เจ้าเป็นคนที่มีความสามารถอย่างแท้จริง ไม่ได้เจอกันแค่ปีเดียว ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะกลายเป็นอุปราชผู้ยิ่งใหญ่ไปเสียแล้ว หากเป็นเช่นนี้ งานอภิเษกระหว่างเจ้ากับรั่วเสวี่ยคงจะถูกจัดขึ้นในไม่ช้าแล้วสินะ?”
เจียงอี้ถูจมูกของเขาด้วยความเขินอายก่อนที่จะตอบกลับไป
“เรื่องนี้คงต้องขึ้นอยู่กับรั่วเสวี่ยแล้วแหละ… จริงสิ เจ้ากับหยุนเฟยเป็นอย่างไรกันบ้าง?”
“นี่…”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ บรรยากาศโดยรอบก็เปลี่ยนไปทันที สีหน้าของจ้านอู๋ซวงหม่นลงเล็กน้อย หลังจากที่เงียบไปชั่วครู่ เขาก็เอ่ยขึ้นมาด้วยสีหน้าจริงจัง
“เจียงอี้ เจ้าช่วยอะไรข้าหน่อยได้หรือไม่?”
เมื่อเจียงอี้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของสหาย เขาก็เอ่ยกลับไปอย่างไม่ลังเล
“พี่อู๋ซวง โปรดบอกข้ามาเถิด หากว่าข้าช่วยได้ ข้าจะทำสุดความสามารถ!”
“ดี!”
จ้านอู๋ซวงสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด จากนั้นเขาก็กล่าวออกมาด้วยเสียงโทนต่ำพร้อมกับจิตสังหารที่ปะทุอยู่ในดวงตา
“โปรดช่วยข้าสังหารหยุนลู่ที!”