เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 328 ป่าอเวจี
บทที่ 328 ป่าอเวจี
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ: แปลได้แล้ว
“ข้าต้องไปอยู่แล้ว!”
จ้านอู๋ซวงกล่าวโดยไม่ต้องคิด หากแผนการในครั้งนี้ถูกเปิดเผย อาณาจักรเสินหวู่จะไม่สามารถแบกรับแรงกดดันได้และจะต้องหันมาจัดการตระกูลจ้านกับตระกูลเฉียนอย่างแน่นอน
ในขณะเดียวกันเขาก็ยังคงเป็นกังวลอยู่ เขาหันไปทางเฉียนว่านก้วนกับเจียงอี้จากนั้นก็กล่าว
“พวกเจ้าสองคนอยู่ที่นี่แหละ ข้ามีคนคอยคุ้มกันอยู่มากมาย ดังนั้นน่าจะไม่มีปัญหาอะไร”
“ฮิฮิ!”
เฉียนว่านก้วนหัวเราะเล็กน้อยขณะที่ดวงตาของเขาเผยแววเจ้าเล่ห์
“พี่ใหญ่อู๋ซวง แม้ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งกว่าข้า แต่เรื่องการวางแผน เจ้าสู้ข้าไม่ได้หรอก ดังนั้นข้าจะไปด้วยและข้ารับรองได้เลยว่าทุกอย่างจะต้องถูกเตรียมการอย่างไม่มีที่ติ!”
ทางด้านเจียงอี้เองก็ไม่ยอมน้อยหน้า เขาโบกมือด้วยท่าทีสบายๆและกล่าว
“หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว เราก็ไปกันหมดนี่แหละ! เมื่อรั่วเสวี่ยกลับมา พวกเราจะเดินทางทันที!”
“รีบสั่งให้คนของพวกเจ้าเร่งเดินทางไปยังชายแดนเร็วเข้า แต่ต้องทำให้แน่ใจด้วยว่าจะไม่ถูกหน่วยสอดแนมของอาณาจักรต้าเซี่ยสังเกตเห็นเสียก่อน”
เฉียนว่านก้วนยิ้มกว้างและกล่าวออกมา
“เรื่องนั้นเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป อาณาจักรต้าเซี่ยเหลือกำลังพลทหารเพียงแค่หนึ่งแสนนายเท่านั้น ดังนั้นหน่วยสอดแนมจึงไม่น่าจะมีมากนัก”
“กองกำลังของฝ่ายเราจะไม่ใช้เส้นทางผ่านเมืองต่างๆ แต่จะกระจายตัวกันหลายกลุ่มและปลอมเป็นกลุ่มโจร แม้ว่าจะถูกสังเกตเห็นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร”
“ประเสริฐ!”
เจียงอี้พยักหน้า จากนั้นพวกเขาทั้งสามก็แบ่งเครื่องรางสื่อสารกันและออกคำสั่งให้กองกำลังของตนเดินทางไปยังชายแดน
ระยะห่างระหว่างเมืองเซี่ยยวี่และอาณาจักรเทียนเซวี่ยนจำเป็นต้องใช้เวลาเจ็ดถึงแปดวัน หยุนลู่ที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจนเคยตัวย่อมไม่เดินทางตลอดทั้งวันทั้งคืนซึ่งทำให้ตัวเองเหน็ดเหนื่อยเป็นแน่ ดังนั้นพวกเขาจึงมีเวลาเพียงพอในการเตรียมการ
“ฝ่าบาททรงเสด็จกลับมาแล้ว!”
หลังจากเสียงประกาศ จ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนก็รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เจียงอี้นั้นยังคงนั่งด้วยท่าทีสบายๆ
สำหรับคนอื่น ซูรั่วเสวี่ยอาจจะเป็นเจ้าผู้ปกครองอาณาจักรต้าเซี่ยผู้สูงส่ง แต่สำหรับเขา นางเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งที่เขารักก็เท่านั้น
ขบวนของขันทีและสาวใช้พากันเดินเข้ามาโดยที่มีซูรั่วเสวี่ยเป็นผู้เดินนำอยู่ด้านหน้า เมื่อเห็นเช่นนั้นจ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนก็รีบโค้งคำนับทันที
“ถวายบังคมองค์ราชินีรั่วเสวี่ย!”
“พวกเจ้าออกไปก่อน”
ซูรั่วเสวี่ยหันไปกล่าวกับกลุ่มคนด้านหลัง ในตอนนี้นางอยู่ในชุดคลุมมังกรซึ่งเผยให้เห็นราศีของชนชั้นสูง บนศีรษะของนางถูกสวมไว้ด้วยมงกุฎและปิ่นปักผมรูปวิหคเพลิงซึ่งส่งเสริมให้ภาพลักษณ์ของนางดูสูงส่งยิ่งขึ้น
“พอได้แล้วหน่า!”
หลังจากที่เหล่าขันทีและสาวใช้ออกไป เจียงอี้ก็โบกมือและหัวเราะ
“พวกเราก็คนกันเองทั้งนั้น อย่าได้มากพิธีเลย!”
ซูรั่วเสวี่ยเองก็หัวเราะคิกคัก นางดูมีความสุขไม่น้อยที่ได้พบสหายเก่าอย่างจ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วน
“จ้านอู๋ซวง เฉียนว่านก้วน พวกเจ้าเป็นพี่น้องของเจียงอี้ ดังนั้นทำตัวตามสบายเถิด คิดเสียว่าที่นี่เป็นบ้านของพวกเจ้า”
เฉียนว่านก้วนยิ้มขณะที่มองเจียงอี้และซูรั่วเสวี่ยสลับกันไปมา
“ราชินีรั่วเสวี่ย ข้ารู้สึกคุ้นเคยกับการพูดคุยกับท่านในฐานะอาจารย์ซู แต่… ข้าว่าข้าน่าจะเปลี่ยนไปเรียกท่านว่าพี่สะใภ้น่าจะเหมาะกว่า! ฮ่าฮ่า”
“เจ้าอ้วนเฉียน เจ้านี่มันเจ้าเล่ห์ไม่เปลี่ยนเลยนะ!” ใบหน้าของซูรั่วเสวี่ยกลายเป็นสีแดงระเรื่อ จากนั้นนางก็ขอตัวเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องก่อนที่จะกลับออกมาพร้อมกับชุดธรรมดา
เมื่อเห็นว่าได้จังหวะเหมาะแล้ว เจียงอี้ก็เริ่มพูดคุยกับนางเกี่ยวกับการสังหารหยุนลู่
หากว่าเขาต้องการที่จะเดินทางไปพร้อมกับจ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนในขณะที่ต้องการรับรายงานเกี่ยวกับหยุนลู่ในเวลาเดียวกัน เขาจำเป็นต้องได้การความร่วมมือจากซูรั่วเสวี่ย เพราะฐานะราชินีของนางจะช่วยให้ทำหลายๆอย่างนั้นง่ายขึ้น
เมื่อรับฟังเรื่องทั้งหมด ซูรั่วเสวี่ยก็เงียบไป ซึ่งตรงจุดนี้เองที่ทำให้จ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนกังวลใจไม่น้อย แม้ว่าเจียงอี้จะตกลงที่จะให้ความช่วยเหลือ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าซูรั่วเสวี่ยจะเห็นด้วย
เพราะไม่ว่ายังไงหากเกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นมา ด้วยสภาพของอาณาจักรต้าเซี่ยในตอนนี้จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะแบกรับผลกระทบที่จะตามมาได้
“ไม่มีปัญหา”
ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากที่รอลุ้นอยู่นาน ซูรั่วเสวี่ยจะตอบตกลงโดยไร้ซึ่งความกังวล
“พวกเจ้าสามารถลงมือได้เลย ส่วนที่เหลือปล่อยให้ข้าจัดการเอง ข้าจะคอยส่งรายงานเกี่ยวกับหยุนลู่ให้พวกเจ้าหากว่าได้รับข่าวสารใหม่ๆ”
จ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนถอนหายใจด้วยความโล่งอก ส่วนการแสดงออกทางสีหน้าของเจียงอี้นั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เพราะเขามั่นใจอยู่แล้วว่าซูรั่วเสวี่ยจะต้องไม่คัดค้านเป็นแน่
พวกเขาทั้งหมดร่วมกันกินอาหารอย่างง่ายๆมื้อหนึ่ง หลังจากนั้นเจียงอี้ก็ไปแจ้งให้เจียงเสี่ยวนู๋และจิ้งจอกน้อยทราบถึงสิ่งที่พวกเขากำลังจะทำและให้พวกนางล่วงหน้ากลับไปก่อน
จ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนนำจอมยุทธมาถึงสามพันคนและยังมีจำนวนผู้เชี่ยวชาญมากกว่าอีกฝ่ายถึงสามเท่า
เมื่อผนวกกับเจตจำนงสังหารของเขาแล้ว การกำจัดหยุนลู่และกองกำลังอารักขาของเขาก็ไม่น่าใช่ปัญหาอะไร
ทั้งสามเลือกใช้เส้นทางใต้ดินในการเดินทาง เจียงอี้มีเถาอู้เป็นสัตว์วิญญาณซึ่งทำให้สะดวกสบายต่อการเดินทางยิ่งนักและสามารถหลบเลี่ยงหน่วยสอดแนมได้อย่างง่ายดาย
“ว้าว! ลูกพี่ นี่คือสัตว์วิญญาณของเจ้าสินะ มันยอดเยี่ยมมิใช่น้อยเลย ความเร็วของมันยังไม่ธรรมดาอีกต่างหาก!”
นี่เป็นครั้งแรกที่เฉียนว่านก้วนได้เห็นหนึ่งในกำลังรบของเจียงอี้ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างตื่นเต้น ระดับการฝึกของเขาต่ำเกินไปและไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะกำราบสัตว์วิญญาณระดับสูง นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำให้เขาทำตัวราวกับเด็กน้อยที่อยากรู้อยากเห็นตลอดเวลา
ครื้นน!
แต่ในตอนนั้นเองเสียงที่คล้ายกับชั้นดินแตกดังขึ้นมาจากด้านหน้าของพวกเขา ทันใดนั้นม่านตาของเจียงอี้ก็หดแคบลง เขานำดาบมังกรเพลิงมาไว้ในมือและเตรียมที่จะลงมือ
แต่จู่ๆจ้านอู๋ซวงก็รีบตะโกนออกมาด้วยท่าทีร้อนรน “เจียงอี้หยุดมือก่อน! พวกเขาเป็นผู้คุ้มกันลับของพวกเราเอง!”
ในเวลาเดียวกันก็มีข้อความบางอย่างส่งมาในเครื่องรางสื่อสารของเขา จากนั้นเขาก็เอ่ย
“ใช่แล้วลูกพี่ พวกเขาเป็นคนจากตระกูลของพวกเรา”
ปัง!
เมื่อชั้นดินแตกออก ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดสองคนก็ปรากฏตัวออกมา จากนั้นพวกเขาก็หันมาทางเจียงอี้และกล่าว
“คารวะนายน้อยเจียงและนายน้อยทั้งสอง!”
“อืม!”
เจียงอี้พยักหน้าและเอ่ยกลับไป “พวกเรากำลังจะเดินทางไปที่นั่นพอดี ทำไมถึงไม่ขึ้นมานั่งบนเจ้าเหลืองใหญ่ด้วยกันเสียล่ะ?”
“ไม่เป็นไรขอรับ!”
หนึ่งในนั้นกล่าวตอบ จากนั้นก็อธิบายเพิ่ม
“พวกเราจะใช้วิธีประกบหน้าประกบหลังขบวนของพวกท่าน ข้าจะเป็นผู้นำหน้าซึ่งจะทำให้พวกท่านเดินทางได้ปลอดภัยมากขึ้น!”
ก่อนที่เจียงอี้จะทันได้กล่าวอะไรออกมา ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองคนนั้นก็นำสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์ขึ้นมาแล้ว จากนั้นก็ลงมือขุดทันที ด้วยระดับการบ่มเพาะที่สูงส่งผนวกกับสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์ทำให้ความเร็วของพวกเขาแทบจะไม่ต่างอะไรไปจากการเดินทางบนพื้นดิน
“ไปกันเถอะเจียงอี้!”
จ้านอู๋ซวงกล่าวเป็นเชิงว่าไม่ให้เจียงอี้สนใจพวกเขา เขาเองก็ไม่ได้คัดค้านอะไรและสั่งให้เถาอู้เดินทางต่อทันที
ครึ่งวันต่อมา เครื่องรางที่อยู่ในเสื้อของเจียงอี้ก็ส่องสว่างขึ้นมา นี่เป็นเครื่องรางพิเศษที่ซูรั่วเสวี่ยมอบให้ก่อนที่เขาจะออกเดินทาง นางจะส่งข้อความมาทุกสองสามชั่วโมงเพื่อที่จะแจ้งให้ทราบถึงตำแหน่งที่แน่ชัดของหยุนลู่
หยุนลู่และคนของเขาจะเดินทางตลอดทั้งวัน และจะเข้าไปพักในเมืองในเวลากลางคืน แต่ด้วยความเร็วเพียงเท่านี้ เขาอาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบวันกว่าจะเดินทางไปถึงชายแดนระหว่างสองอาณาจักร
หากว่ากลุ่มของเจียงอี้ใช้เวลาเดินทางทั้งวันทั้งคืน พวกเขาอาจจะต้องการเพียงแค่ห้าถึงหกวันเพื่อที่จะไปให้ถึงจุดหมายเดียวกัน
หากทุกอย่างเป็นไปตามแผนน่ะนะ…
ในวันที่สาม เจียงอี้ได้รับข้อความจากซูรั่วเสวี่ย จากนั้นเขาก็หยิบแผนที่ขึ้นมาและเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันแผ่วเบา
“กลุ่มของหยุนลู่กำลังจะกลับสู่อาณาจักรเทียนเซวี่ยนจากเมืองเซี่ยสุ่ย ดังนั้นพวกเราสมควรที่จะดักซุ่มอยู่ในป่าอเวจีซึ่งอยู่ทางใต้ห่างจากเมืองเทียนหมิงของอาณาจักรเทียนเซวี่ยนราวๆสามร้อยกิโลเมตร พวกเจ้าคิดว่ายังไง?
“ป่าอเวจี?”
ดวงตาของจ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนเป็นประกาย จากนั้นเจ้าอ้วนก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาก่อน
“ลูกพี่! เจ้าคิดเหมือนกับข้าเลย ข้าคิดว่าป่าอเวจีสมควรเป็นสถานที่ที่เหมาะที่สุดสำหรับแผนการนี้ พวกเราควรที่จะเดินทางไปสำรวจก่อน หากว่ามั่นใจแล้วว่าพวกหยุนลู่จะใช้เส้นทางผ่านป่าอเวจีแน่ พวกเราจะได้สังหารเขาที่นั่น!”