เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 386 หลบหนีสำเร็จ
บทที่ 386 หลบหนีสำเร็จ
ฟึ่บ! ฟึ่บ!
หวายทะเลที่รัดพันร่างกายของเจียงเสี่ยวนู๋คลายออกและถอยกลับไปด้วยความเร็วสูงราวกับกำลังหวาดกลัวนาง
ในขณะเดียวกัน นางก็พุ่งเข้าหาเจียงอี้ด้วยความเร็วราวกับสายฟ้าและใช้ฝ่ามือที่แปรเปลี่ยนเป็นกรงเล็บเฉือนตัดหวายทะเลที่พันธนาการร่างของเขาไว้
ฟับ! ฟับ!
ไม่น่าเชื่อว่าหวายทะเลที่ทรงพลังมากพอในการพันธนาการยอดฝีมือขอบเขตจินกังจะเปราะบางและฉีกขาดอย่างง่ายได้ราวกับกระดาษเมื่ออยู่ต่อหน้ากรงเล็บของเจียงเสี่ยวนู๋!
“เสี่ยวนู๋!”
เจียงอี้ตะโกนออกมาด้วยความตื่นตระหนกและสับสน แต่ทางด้านของหญิงสาวก็ยังไม่ได้ตอบโต้กลับทันที นางเพียงแค่ขยับไปอีกทางและพุ่งเข้าหาผู้อาวุโสเฮ่อก่อนที่จะช่วยเหลือชายชราจากหวายทะเลที่รัดพันร่างกาย
“…”
เจียงอี้และเฮ่อเถี่ยซู่ลอบมองหน้ากันและรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน พวกเขาจ้องมองการเคลื่อนไหวของเจียงเสี่ยวนู๋ตลอดเวลาและตระหนักได้ว่าความเร็วของนางนั้นรวดเร็วยิ่งกว่าสัตว์อสูรหยาจื้อเสียอีก!
วินาทีต่อมา นางก็แบกร่างของทั้งสองคนไว้และกางปีกออก จากนั้นก็ทะยานขึ้นไปบนผิวน้ำด้วยความเร็วที่แม้แต่ยอดฝีมือขอบเขตจินกังขั้นสูงสุดยังต้องรู้สึกอับอาย
ครื้นนน!
หลังจากที่ม่านพลังถูกแหวกออกและปล่อยให้คนทั้งสามจากไป จู่ๆโลงศพโบราณก็บังเกิดปฏิกิริยาบางอย่าง… ไม่สิ ไม่ใช่โลงศพ แต่ผู้ที่ถูกกระตุ้นนั้นคือหญิงสาวเปลือยกายที่นอนอยู่ในนั้นต่างหาก!
เปลือกตาของนางค่อยๆเปิดขึ้นซึ่งเผยให้เห็นดวงตาอันงดงามและดูลึกลับราวกับหมู่ดาว นางกระพริบตาเล็กน้อยและเอ่ยออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา
“ช่างเป็นตัวตนที่ทรงพลังยิ่งนัก นางเป็นคนของทวีปเทียนชิง? แปลก แปลกมาก ดูเหมือนข้าจะต้องไถ่ถามเสร็จพ่อหลังจากที่กลับไป…”
เมื่อสิ้นสุดวาจา เปลือกตาของนางก็ปิดลงอีกครั้งและกลับสู่ห้วงนิทรา ขณะเดียวกันนางก็ยังคงไร้ซึ่งสัญญาณชีพจรชีวิตราวกับศพอมตะที่คงอยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณกาล
…
ฟิ้ว!
ร่างของเจียงอี้และผู้อาวุโสเฮ่อถูกเจียงเสี่ยวนู๋พาขึ้นมาบนท้องฟ้าเหนือทะเลมรณะ เวลานี้เป็นช่วงกลางวัน เจียงอี้จึงสามารถมองเห็นความแตกต่างระหว่างทะเลมรณะและทะเลที่อยู่รอบด้านได้ทันที
อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้นและทะยานไปทางทิศเหนือด้วยความเร็วซึ่งเปรียบได้กับดาวตก
“เสี่ยวนู๋?”
เจียงอี้จ้องมองไปยังสิ่งมีชีวิตที่อยู่ข้างกายเขาด้วยความรู้สึกคุ้นเคยและไม่คุ้นเคยในเวลาเดียวกัน
รอบกายของเจียงเสี่ยวนู๋ในตอนนี้กำลังปลดปล่อยกลิ่นอายอันน่าเกรงขามออกมา ดวงตาของนางถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสีเขียวเข้มและดูเย็นชา ดังนั้นเขาจึงไม่แน่ใจแล้วว่าสาวใช้คนนี้ยังเป็นคนเดียวกับที่เขารู้จักอยู่หรือไม่?
เรื่องที่เกิดขึ้นมันกะทันหันเกินไป ตั้งแต่เด็ก เจียงเสี่ยวนู๋ไม่เคยบ่มเพาะพลังและใช้ชีวิตเหมือนกับเด็กสาวทั่วไป
แต่ไม่น่าเชื่อว่าเพียงพริบตาเดียว นางจะกลายเป็นตัวตนที่ทรงพลังเสมือนอยู่กันคนละโลก กระทั่งรูปลักษณ์ภายนอกยังเปลี่ยนไป แล้วแบบนี้จะไม่ให้เจียงอี้ตกใจได้อย่างไร?
เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเขา เจียงเสี่ยวนู๋ก็เหลือบมองเล็กน้อยและเร่งเอ่ยขึ้นมา
“นายน้อย ท่านอย่าเพิ่งถามอะไรเลยเจ้าค่ะ! เสี่ยวนู๋จะอธิบายให้ท่านเข้าใจในภายหลัง…”
“ฮู้วว!”
เจียงอี้รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าสติของนางยังคงอยู่ดี แม้ว่ารูปกายจะเปลี่ยนไปแต่ดูเหมือนว่านางยังคงเป็นคนเดิม
อีกด้านหนึ่ง ผู้อาวุโสเฮ่อไม่กล้าแม้กระทั่งจะหายใจแรงหรือเอ่ยสิ่งใด เวลานี้ภาพลักษณ์ของเจียงอี้ภายในใจของเขาได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง
ตลอดเวลาที่อยู่ร่วมกันมา เขาคิดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้แปลกประหลาดมากแล้ว แต่ชายชราไม่คิดเลยว่าสาวใช้ของเขาจะน่าตกตะลึงยิ่งกว่า
หญิงสาวที่ปกติจะนุ่มนวลอ่อนหวานและไม่โดดเด่น แต่เพียงแค่พริบตาเดียว นางได้กลับกลายเป็นตัวตนแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวไปเสียแล้ว!
อีเพียวเพียว!
นามของวีรสตรีในตำนานผุดขึ้นมาในใจของผู้อาวุโสเฮ่อ เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าอีเพียวเพียวไม่ได้มาจากทวีปเทียนชิง ในช่วงที่เจียงอี้ถือกำเนิดขึ้นมา นางได้รับอุปการะเจียงเสี่ยวนู๋เพื่อใช้ให้นางคอยปรนนิบัติรับใช้บุตรชายในอนาคต
แต่ในตอนนี้ ความคิดของชายชราได้เปลี่ยนไปและคาดเดาได้ถึงบางสิ่ง มีความเป็นไปได้ว่าอีเพียวเพียวจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเจียงเสี่ยวนู๋ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ดังนั้นนางจึงส่งเด็กสาวมาอยู่กับบุตรชายในฐานะผู้พิทักษ์!
เด็กน้อยผู้หนึ่งที่ไม่รู้แม้กระทั่งวิธีบ่มเพาะพลังและไร้ซึ่งความแข็งแกร่ง แต่ไม่น่าเชื่อว่าพริบตาเดียว นางกลับระเบิดพลังที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่ายอดฝีมือขอบเขตจินกังออกมา
เห็นได้ชัดว่านางย่อมต้องมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา หากว่าอีเพียวเพียวรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วจริง มันก็ยิ่งทำให้ตัวตนของนางดูลึกลับยิ่งกว่าเดิม!
ผู้อาวุโสเฮ่อลอบกลืนน้ำลายและบังคับไม่ให้ตัวเองสั่น ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกราวกับว่าทวยเทพกำลังประทานพร
จ้านอู๋ซวงขอให้เขามาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเจียงอี้ และการติดตามชายหนุ่มผู้นี้เองก็เปรียบเสมือนการได้รับพรจากสวรรค์ ตัวตนและภูมิหลังของเขาลึกลับเกินไป ผู้อาวุโสเฮ่อเชื่อว่าหากวันหนึ่งเขาเติบใหญ่ ชายหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นตัวตนที่สามารถมองเหยียดได้ทั้งโลกหล้า
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง มีหรือที่ผู้ใต้บังคับบัญชาเช่นเขาจะไม่ได้รับอานิสงส์ไปด้วย?
ฟิ้ว!
ไม่นานนัก พวกเขาทั้งสามก็มาถึงเกาะแห่งหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันร่างของเจียงเสี่ยวนู๋ก็เกิดอาการสั่นขึ้นมา
กลิ่นอายของนางค่อยๆอ่อนแอลง เส้นผมเองก็ถูกเปลี่ยนกลับเป็นสีดำ แสงสีเขียวที่อยู่ในดวงตาเกิดมัวหมอง มือและหูกลับคืนสู่รูปลักษณ์ปกติ ปีกที่อยู่ด้านหลังเองก็อันตรธานหายไป
เมื่อลงสู่พื้น ร่างของนางก็เกิดไร้เรี่ยวแรงและหล่นลงไปพร้อมกับเจียงอี้
“เสี่ยวนู๋!”
เจียงอี้ตื่นตกใจ เขารีบคว้าร่างของเจียงเสี่ยวนู๋และกอดไว้ จากนั้นก็ใช้ร่างของตัวเองเป็นที่กันกระแทกก่อนจะลงสู่พื้น
“เสี่ยวนู๋ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?!”
“พรวด!”
หญิงสาวกระอักเลือดออกมาขณะที่กลิ่นอายเริ่มอ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดก็เป็นลมล้มพับไป
“เสี่ยวนู๋! เสี่ยวนู๋!”
เจียงอี้รีบเช็ดเลือดบนใบหน้าของนางและตะโกนราวกับคนเสียสติ ทางด้านผู้อาวุโสเฮ่อก็ไม่กล้ารอช้า เขารีบเดินเข้ามาตรวจสอบสภาพของเจียงเสี่ยวนู๋และรีบนำเม็ดยารักษาป้อนใส่ปากนาง
“นายน้อยอี้ อย่าได้กังวล นางไม่ได้รับอันตรายร้ายแรง นางเพียงแค่สลบไปเพราะความเหนื่อยล้าเท่านั้น”
อย่างไรก็ตาม เจียงอี้ก็ยังไม่ไว้ใจ เขายังคงฝืนส่งแก่นแท้พลังเข้าไปในร่างกายของนางเพื่อกระตุ้นกระบวนการรักษา แต่วินาทีต่อมา แก่นแท้พลังของเขาถูกตีกลับและเป็นผลให้ร่างของเขาลอยกระเด็นออกไปไกลพร้อมกับอาการเจ็บปวด
“อัก!”
ผู้อาวุโสเฮ่อรีบเข้ามาพยุงและกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“นายน้อยอี้ อย่าได้ทำเช่นนี้อีก! เห็นชัดแล้วว่าคุณหนูเสี่ยวนู๋มาจากเผ่าพันธุ์พิเศษ การฝืนรักษานางด้วยวิธีทั่วไปอาจจะเป็นการทำร้ายนางได้!”
“บัดซบ!”
ก่อนหน้านี้ เจียงอี้หวาดวิตกเกินไป แต่เมื่อเขาได้สติและกลับไปตรวจสอบร่างกายของเจียงเสี่ยวนู๋อีกครั้ง เขาก็พบว่าร่างของนางได้รับภาระมากเกินไปจึงเป็นเหตุให้หมดสติ จากนั้นเขาก็มองไปรอบๆและกล่าวต่อ
“ผู้อาวุโสเฮ่อ ข้าจะรักษาอาการบาดเจ็บชั่วครู่ ท่านช่วยเฝ้าระวังให้ด้วย หลังจากนั้นพวกเราจะออกเดินทางทันที”
“ตกลง” ชายชราพยักหน้า
พวกเขาเพิ่งหนีออกจากทะเลมรณะได้ไม่นาน ใครจะรู้ล่ะว่าบริเวณแถวนี้ยังมีปีศาจทะเลตนอื่นอยู่อีกหรือไม่?
หลังจากที่ผ่านไปหกชั่วโมง อาการบาดเจ็บของเจียงอี้ดีขึ้นมากแล้ว แต่เส้นลมปราณของเขายังคงอยู่ในสภาพย่ำแย่ กระทั่งอวัยวะภายในก็ยังคงได้รับบาดเจ็บ
แก่นแท้พลังที่เขาใช้ในตอนนี้ล้วนมาจากเส้นลมปราณขนาดเล็ก แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อม แต่ก็นับว่าอยู่ในสถานการณ์ที่น่าพอใจ
“ไปกันเถอะ!”
เมื่อฟื้นฟูร่างกายได้ในระดับหนึ่ง เจียงอี้ก็ไม่กล้าที่จะรั้งรออยู่ที่นี่ ยิ่งพวกเขาไปไกลจากที่นี่มากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้น
ณ ปัจจุบัน เขานำผู้อาวุโสเฮ่อและเจียงเสี่ยวนู๋เข้าไปเก็บในแจกันเขียวพิสุทธิ์ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปทางเกาะดาวตกต่อ
เจียงอี้รู้สึกโชคดีมากที่ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ทำลายแจกันใบนี้ มิฉะนั้นสถานการณ์คงย่ำแย่กว่านี้มาก
การเคลื่อนย้ายในพริบตาไม่ได้ใช้แก่นแท้พลัง ดังนั้นมันจึงไร้ซึ่งปัญหา ยิ่งเขาใช้ศาสตร์แปรผันดวงจิตมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเข้าใจและพึงพอใจกับมัน
เจียงอี้เดินทางเป็นเวลาครึ่งวันโดยที่ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตำแหน่งไหนของทะเลอันกว้างใหญ่ แต่หลังจากที่มาเจอเกาะเล็กๆแห่งหนึ่งและสำรวจจนมั่นใจแล้วว่ามันปลอดภัย เขาจึงตัดสินใจที่จะพักที่นี่และปล่อยผู้อาวุโสเฮ่อกับเจียงเสี่ยวนู๋
ออกมา จากนั้นก็นอนแผ่อยู่กับพื้นด้วยความเหนื่อยล้า
ชายชราจ้องมองเด็กหนุ่มสาวที่กำลังหลับใหลโดยยังไม่รู้สึกตัว จากนั้นก็เบนสายตาไปบนท้องฟ้าขณะเหม่อลอย
ด้วยลางสังหรณ์บางอย่าง เขารู้สึกว่าในเวลาอันสั้น ทวีปเทียนชิงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และต้นเหตุจะต้องมาจากพวกเขาทั้งสองคนนี้!