เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 389-390
บทที่ 389 ข้าอีเพียวเพียว
“อะไรนะ?”
ร่างกายของเจียงอี้สั่นเทานี่เป็นคำตอบที่เขาสืบเสาะในการมายังเกาะดาวตก เขาไม่ได้คาดคิดว่าสุ่ยโย่วหลานจะทำให้เขาประหลาดใจได้ในทันทีที่เขาเจอนาง
เขารีบถามทันทีว่า“นายหญิง มีความเป็นไปได้มากเท่าไหร่ที่นางจะยังมีชีวิตอยู่?”
สุ่ยโย่วหลานปล่อยรอยยิ้มจางๆและยื่นมือที่งดงามราวกับหยกออกมาพร้อมทำสัญญาณมือแล้วพูดว่า“เจ็ดส่วน!”
บุฟ!
ดวงตาของเจียงอี้ส่องสว่างราวกับดวงดาวคนที่สูงส่งเช่นสุ่ยโย่วหลานคงจะไม่ได้ล้อเขาเล่นใช่ไหม? นอกจากนี้นางยังลดความเป็นไปได้ลงมาอีก ดังนั้นความเป็นไปได้ที่อีเพียวเพียวจะยังมีชีวิตอยู่อาจจะอยู่ที่แปดถึงเก้าส่วนเลยก็ได้!
“ถ้าอย่างนั้น..”
เขากลืนน้ำลายแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่น“ในเมื่อท่านแม่ยังไม่ตาย ทำไม..นางถึงต้องแสร้งตาย? หากนางยังไม่ตายแล้วนางอยู่ที่ใด? ทำไมนางไม่มาหาข้าหลังจากผ่านมาหลายปีแล้วหลายปีเล่าเช่นนี้?”
“เจียงอี้อย่ารีบร้อนไป! ฟังเรื่องราวเสียก่อน!”
สุ่ยโย่วหลานโบกมือแล้วหันไปนอกหน้าต่างนางหยุดครู่หนึ่งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงคลุมเครือ “เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน…ข้าไม่ใช่ผู้ที่โดดเด่นของรุ่นนั้น นายของข้าปลื้มข้ามาก แต่ชีวิตนางกำลังจะดับสูญไป นางจึงมุ่งมั่นให้ข้าเป็นนายหญิงคนต่อไป”
“เมื่อตอนนั้นพี่สาวของข้าบรรลุถึงขอบเขตจินกังแล้ว เมื่อนางรู้ว่านายของข้ากำลังจะมอบตำแหน่งนายหญิงให้ข้า นางก็เริ่มขุ่นเคืองมากขึ้นและขอให้บางคนพาข้าไปแถบตะวันออกของเกาะดาวตก นางล่อหมู่ปีศาจทะเลออกมาและต้องการใช้พวกมันกำจัดข้า!”
“ในตอนนั้นตัวข้าเปียกโชกไปด้วยเลือดในการต่อสู้ที่ดุเดือดและพยายามฆ่าปีศาจทะเลทั้งหมดข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสและเมื่อพี่สาวข้าปรากฏตัว เหล่าปีศาจทะเลพวกนั้นไม่สามารถฆ่าข้าได้นางจึงตัดสินใจจะสังหารข้าด้วยมือตัวเอง ในตอนนั้นข้าอยู่เพียงขั้นสูงสุดขอบเขตเสินโหยวและไม่ใช่คู่มือของนางเลยแม้จะอยู่ในสภาพปกติ ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงตอนที่ข้าได้รับบาดเจ็บ”
“เมื่อข้ากำลังสิ้นหวัง…รถม้ายักษ์ก็บินมาจากตะวันออกของทะเลนี่ไม่ใช่รถม้าสงครามศักดิ์สิทธิ์โบราณของทวีปเทียนชิง มันเป็นรถม้าจริงๆซึ่งถูกผูกไว้ด้วยราชันอสูรสองตน! ผู้ที่นั่งอยู่บนรถม้าเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์ที่มากล้นที่สุดที่ข้าเคยพบมาในชั่วชีวิตของข้า! นางคือแม่ของเจ้า!”
“แม่ของเจ้าช่วยชีวิตข้าและจัดการกับพี่สาวข้าจนบาดเจ็บสาหัสในกระบวนท่าเดียวพี่สาวข้าถอยกลับไปยังเกาะดาวตกและร้องไห้ออกมาพร้อมกล่าวโทษข้า นางยังขอให้ผู้อาวุโสที่เข้าการบำเพ็ญมาหลายปีออกมาช่วยนางด้วย และเมื่อผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดของหอดาราสุ่ยเยว่มาถึงและข้ากำลังจะอธิบายสถานการณ์ต่างๆ แม่ของเจ้าก็ต่อสู้กับผู้อาวุโสและนายของข้า นางยังปราบปรามพวกนางทั้งสองได้และสุดท้ายก็เอาชนะพวกนางได้….”
“หลังการต่อสู้พี่สาวข้าเห็นท่าไม่ดีนางจึงบีบน้ำตาออกมาและคุกเข่าต่อหน้าผู้คนนับหมื่นเพื่อร้องขอความเมตตาจากข้าและนายของข้า นางกล่าวว่านางจะปรับตัวให้ดีขึ้นและจะไม่มองตำแหน่งนายหญิงอีก และจะอุทิศตนเพื่อช่วยข้า ข้าก็เลยอดไม่ได้ที่จะให้อภัยนาง แต่ก็นะ…แม่ของเจ้าลงมือสังหารพี่สาวข้าลงไปในทันที!”
“แม่ของเจ้าพักอยู่ที่หอดาราสุ่ยเยว่ในวันนั้นและพูดคุยกับข้าสองชั่วโมงในช่วงเย็นซึ่งช่วยให้ข้าได้ทะลวงคอขวดที่ข้าติดอยู่ตรงนั้นมาสามปีได้และก้าวขึ้นไปสู่ขอบเขตจินกัง! ในปีนั้น ข้าอายุเพียงยี่สิบห้าปีและข้าคิดว่าข้าเป็นอัจฉริยะที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่สามารถทะลวงขอบเขตจินกังได้ หลังจากเหตุการณ์นั้น ข้าเพิ่งมารู้ว่า… แม่ของเจ้าอายุเพียงสิบเจ็ดปีในปีนั้น! และอยู่ขั้นที่ห้าของขอบเขตจินกังแล้ว อีกทั้งยังมีพร้อมด้วยสิ่งประดิษฐ์นับไม่ถ้วน ความแข็งแกร่งโดยรวมของนางนั้น…ไม่มีผู้ใดในทวีปเทียนชิงที่จะสู้นางได้เลยสักคน!”
“จากนั้นแม่ของเจ้าก็ท่องไปยังทวีปเทียนชิงและสร้างหายนะตลอดทาง เช่น ทำลายหอพิชิตมารของอารามเซน, บดขยี้โถงอำไพของจักรวรรดิมังกรเวหา,และทำลายที่อื่นอีกมากมาย ความประทับใจที่นางมอบให้แก่ผู้เชี่ยวชาญของทวีปนี้ก็คือนางเป็นผู้หญิงป่าเถื่อนและไร้เหตุผลที่มาจากตระกูลที่ยอดเยี่ยม จริงๆแล้วข้าค่อนข้างรู้จักนางดี และรู้ว่านางจะไม่สร้างปัญหาก่อน อย่างไรก็ตาม นางถูกมองว่าเป็นปีศาจพยาบาท หากไม่มีผู้ใดมายั่วยุนาง นางจะไม่ยั่วยุผู้อื่น และเมื่อมีคนทำให้นางโกรธนางก็จะไม่มีความเมตตาต่อผู้ใด”
“เจ้าน่าจะรู้เรื่องนี้แล้วแม่ของเจ้าพบกับเจียงเปี๋ยหลีและทั้งสองต่างก็รักซึ่งกันและกัน แม่เจ้านั้นทำหลายสิ่งให้แก่เขาแต่ก็ถูกแทงข้างหลัง นางใจสลายและตั้งครรภ์ นางเลยเดินทางไปยังที่ที่ห่างไกลและในที่สุดก็พบเมืองเล็กๆที่เงียบสงบและให้กำเนิดเจ้า”
“หลังจากที่นางให้กำเนิดเจ้านางออกท่องโลกในปีที่สองและผ่านมายังเกาะดาวตก ในเวลานั้น ข้าได้กลายเป็นนายหญิงของหอดาราสุ่ยเยว่แล้ว และในคืนนั้นนางก็ได้พูดคุยกับข้าหลายสิ่งหลายอย่าง นางยังคงให้คำแนะนำข้าเรื่องการทำให้ความแข็งแกร่งของข้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในไม่กี่เดือน! จากนั้นนางก็เดินทางไปยังอีกฟากหนึ่งของทะเลและกลับมาในอีกหลายเดือนต่อมา นางได้พาทารกน้อยกลับมา…ซึ่งก็คือสาวใช้ของเจ้า เจียงเสี่ยวนู๋”
“เสี่ยวนู๋!”
เมื่อเจียงอี้ฟังเรื่องราวจนถึงตอนนี้ร่างกายของเขาก็สั่นเทา ต้นกำเนิดของเสี่ยวนู๋นั้นพิเศษจริงๆและนางไม่ได้มาจากทวีปเทียนชิง นางคงจะเป็นเผ่าพันธุ์พิเศษและแม่ของเขาก็เลยรับนางให้มาเป็นหญิงรับใช้ของเขา
ดวงตาของเจียงอี้กระพริบหลายครั้งก่อนที่จะพูดว่า“นายหญิงใช้สิ่งใดตัดสินว่าท่านแม่ของข้ายังมีชีวิตอยู่หรือ?”
“เพราะนี่!”
ทันใดนั้นรูปปั้นไม้แกะสลักก็ปรากฏขึ้นหลังจากที่แหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณของสุ่ยโย่วหลานสว่างขึ้นรูปปั้นไม้นี้เหมือนกันกับรูปปั้นหยกขาวด้านนอก แต่มันเล็กกว่ามากและสามารถถือได้ด้วยมือเดียว และมันยังมีรายละเอียดมากกว่าและเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่น่าหลงใหล
สุ่ยโย่วหลานมอบรูปปั้นไม้แกะสลักนี้ให้เจียงอี้และพูดว่า“แม่เจ้ามอบสิ่งนี้ให้ข้าและฝากข้อความไว้ว่า หาก…เจ้ามีความสามารถมายังเกาะแห่งนี้ด้วยตัวเองได้แล้ว ให้ส่งมอบรูปปั้นนี้ให้แก่เจ้า! หลังจากที่นางทิ้งรูปปั้นไม้แกะสลักนี้ไว้และกลับไปยังทวีปเทียนชิง หน่วยลับของข้าพบว่านางได้ล่วงลับไปแล้ว ข้าก็เลยไปสำรวจหลุมฝังศพนางด้วยตัวเองและพบว่าข้างในนั้นว่างเปล่า แม่เจ้าทรงพลังเป็นอย่างยิ่งและนางอาจใจสลายเพราะเจียงเปี๋ยหลี แต่..ข้าก็ไม่คิดว่านางจะล่วงลับไปเพราะความเจ็บป่วย”
บุฟ!
ดวงตาของเจียงอี้สว่างขึ้นอีกครั้งเขาสั่นเมื่อได้รับรูปปั้นไม้แกะสลักนั้นมา เขาถูใบหน้าของรูปปั้นเบาๆและยิ้มที่มุมปากของเขา
หลังจากถูได้ครู่หนึ่งเขาก็เงยหน้าขึ้นเพื่อถามว่า“นายหญิง หากท่านแม่ข้ายังไม่ตาย เป็นไปได้ไหมว่านางจะกลับไปยังตระกูลของนาง? นางได้บอกท่านไหมว่านางมาจากที่ใด? นอกจากนี้…นางไม่ได้กลับมาหลังจากผ่านมาหลายปี นางกำลังพบปัญหาที่ไม่สามารถกล่าวออกมาได้หรือไม่กัน? นางได้พูดอะไรกับท่านไว้บ้างไหม?”
“ไม่มั่นใจ!”
สุ่ยโย่วหลานส่ายหัวแล้วถอนหายใจ“ไม่มีใครรู้ว่านางไปที่ใด บางที…เจียงเปี๋ยหลีอาจจะรู้ว่าทำไมนางไม่กลับมา ข้าไม่รู้เรื่องนี้และเจ้าคงต้องพึ่งพาตัวเองในเรื่องนี้แล้ว ข้ารู้เรื่องเพียงเท่านี้”
“โอ้!”
เจียงอี้ไม่ได้ถามอะไรอีกแล้วและจ้องมองรูปปั้นไม้ในมือของเขาเมื่อสุ่ยโย่วหลานเห็นเจียงอี้จ้องมองรูปปั้นอย่างว่างเปล่า นางก็ถอนหายใจเบาๆและเดินออกจากศาลาฟ้ากระจ่างไปและปล่อยให้เจียงอี้อยู่กับตัวเอง
“หากเจ้ามีความสามารถมายังเกาะแห่งนี้ด้วยตัวเองได้แล้วให้ส่งมอบรูปปั้นนี้ให้แก่เจ้า!”
หลังจากจ้องมองมันอยู่นานจิตใจของเจียงอี้ก็ล่องลอยไปพร้อมกับข้อความที่อีเพียวเพียวทิ้งไว้ให้สุ่ยโย่วหลาน เขาขมวดคิ้วและพึมพำอย่างสงสัย “ตันเทียนของข้าถูกผนึกตั้งแต่ยังเด็ก หากข้าไม่ทำลายผนึกก็จะไม่สามารถมายังเกาะดาวตกได้ด้วยกำลังของตัวเอง ผนึกนี้อาจไม่ได้มาจากท่านแม่ แต่ด้วยความแข็งแกร่งของนาง นางจะต้องรู้ถึงการมีอยู่ของผนึกนี้”
“นั่นหมายความว่า…เมื่อข้าได้บ่มเพาะพลังในระดับหนึ่งข้าถึงจะมีคุณสมบัติที่จะรู้เรื่องราวของนางหรือเปล่านะ? หากข้าไม่สามารถบ่มเพาะพลังได้ตลอดชีวิต ข้าก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองเทียนอวี่อย่างสงบไปตลอด? เช่นนั้น รูปปั้นไม้แกะสลักนี่จะต้องมีคำอธิบายทั้งหมดอยู่ในนี้!”
มีความคิดหนึ่งในใจของเจียงอี้แวบเข้ามาทันใดนั้นเขาก็หมุนวัยนแก่นแท้พลังไปรอบรูปปั้นไม้แกะสลัก เขามองรูปปั้นอย่างใจจดใจจ่อและเหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้น
บุฟ!
เขาคาดไว้ไม่มีผิดทันใดนั้นรูปปั้นไม้แกะสลักก็สว่างขึ้นมาด้วยแสงอันสว่างไสวซึ่งทำให้เจียงอี้มองไม่เห็น ในวินาทีต่อมา รูปปั้นไม้แกะสลักก็หายไปจากมือของเขา
เมื่อเขากำลังตื่นตระหนกก็มีภาพปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา มันเป็นผู้งดงามที่ไร้ที่ติที่กำลังมองเขาอย่างเอ็นดูขณะที่นางพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ลูกน้อยของข้า ข้าอีเพียวเพียว แม่ผู้ไร้ความสามารถของเจ้าเอง!”
บทที่ 390 ทวีปจักรพรรดิบูรพา
อีเพียวเพียว!
เจียงอี้รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า ในขณะที่เขามองไปยังภาพของหญิงสาวตรงหน้า เขาเผลอคิดไปว่านางมีตัวตนอยู่จริง แต่ประโยคต่อมาก็ทำให้เขาตื่นจากความฝัน
“ลูกแม่ แม่จำเป็นต้องบอกเจ้าก่อนว่าสิ่งที่เจ้าเห็นอยู่ตอนนี้เป็นเพียงแค่ภาพบันทึกเท่านั้น”
“ภาพบันทึก!”
ร่างกายของเจียงอี้สั่นเทาและเผลอก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ภาพบันทึกของอีเพียวเพียวที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่เศษเสี้ยววิญญาณเหมือนกับจอมเวทย์ แต่เป็นภาพที่ถูกบันทึกไว้โดยวิชาลับบางอย่าง
“ลูกแม่ หากว่าเจ้ากำลังฟังอยู่ มันก็หมายความว่าผนึกในตันเทียนของเจ้าได้คลายออกแล้วและยังทะลวงสู่ขอบเขตเสินโหยวก่อนอายุยี่สิบปี”
“แม่ได้บอกกล่าวกับสุ่ยโย่วหลานไว้แล้วว่าหากเจ้าไม่สามารถมาถึงเกาะดาวตกด้วยพลังของตัวเอง รูปสลักไม้นี้ก็จะไม่ถูกส่งมอบให้เจ้า นอกจากนี้ หากเจ้าไม่เดินทางมายังเกาะดาวตกก่อนที่อายุครบยี่สิบปี รูปสลักไม้ชินนี้ก็จะทำลายตัวเอง”
“เจ้าอาจจะคิดว่าแม่นั้นไร้หัวใจ แต่แม่อยากจะบอกเจ้าว่า… แม่ไม่ใช่คนผนึกตันเทียนของเจ้า หากให้กล่าวตามตรง มันมีมาตั้งแต่ตอนที่เจ้าเกิดแล้ว ในเวลานั้นแม่ของเจ้าไม่สามารถทำลายมันได้!”
“ดังนั้นแม่จึงทำได้เพียงแค่เฝ้ารอปาฏิหาริย์ ถ้าหากว่าเจ้าไม่อาจบ่มเพาะพลังได้ เจ้าก็ควรที่จะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่ในเมืองเทียนอวี่… แต่ถ้าเจ้ากำลังเฝ้าดูภาพบันทึกนี้อยู่ มันก็หมายความว่าเจ้ามีพลังมากพอที่จะล่วงรู้ความลับในระดับหนึ่งแล้ว”
“ลูกรัก การที่เจ้ามาที่นี่ก็แสดงว่าเจ้ารู้แล้วว่าหลุมศพของแม่นั้นว่างเปล่า… แม่ขอโทษที่ต้องโกหกเจ้า… แม่ยังไม่ตาย! โปรดยกโทษให้แม่ผู้ไม่ได้เรื่องคนนี้ด้วยนะ”
“แม่ไม่ได้อยากทิ้งเจ้ามา แต่เป็นเพราะความจำเป็นบางอย่างที่ไม่สามารถบอกเล่าออกไปได้ หากว่าสวรรค์ยังมีเมตตา บางทีพวกเราอาจจะได้เจอกันอีกครั้งหนึ่ง”
“ลูกแม่ หยุดความคิดที่จะตามหาแม่เสีย แม้กระทั่งพ่อของเจ้าก็ไม่รู้ถึงภูมิหลังที่แท้จริงของแม่ ในขณะเดียวกันการที่เจ้าเห็นภาพบันทึกนี้ นั่นก็หมายความว่าแม่ยังไม่กลับมา แต่เชื่อในตัวแม่เถิด แม่จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้พวกเราสองแม่ลูกได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง”
“แต่อีกทางหนึ่ง หากว่าเจ้าสามารถทะลวงสู่จุดสูงสุดของขอบเขตจินกังได้ก่อนอายุยี่สิบปี เจ้าจะมีคุณสมบัติมากพอในการออกตามหาแม่”
“เมื่อถึงตอนนั้น เจ้าจงเดินทางไปยังทวีปจักรพรรดิบูรพาและตามหาคนชื่อหยูเวิน เขาจะบอกเจ้าเองว่าควรจะตามหาแม่เช่นไร”
“แต่จงจำไว้ให้ดี หากยังไปไม่ถึงจุดสูงสุดขอบเขตจินกัง แม้ว่าเจ้าจะหาหยูเวินพบ แต่เขาจะไม่มีทางบอกกล่าวสิ่งใดต่อเจ้า”
“ลูกเอ๋ย ถึงชาตินี้เราอาจจะไม่มีวาสนาได้พบเจอกันอีก แต่จงอย่าได้เศร้าใจไป คิดเสียว่ามันคือชะตากรรมที่สวรรค์มอบให้”
“ส่วนพ่อของเจ้า อย่าได้โกรธหรือเกลียดเขาเลยนะ ย้อนกลับไปตอนนั้น อาจจะเป็นแม่เองที่ก้าวร้าวเกินไป… ถ้าเป็นไปได้ แม่ไม่อยากให้เจ้ากับเขามีความบาดหมางกันเพราะถึงยังไงเขาก็เป็นคนทำให้เจ้าเกิดมา”
“สุดท้ายนี้ แม่ก็ทำได้เพียงแค่อวยพรให้เจ้าจงมีสุขภาพแข็งแรง จงรู้ไว้นะลูก แม่รักและคิดถึงเจ้าตลอดเวลา เจ้า…”
เมื่อถึงช่วงท้าย ภายเสมือนของอีเพียวเพียวค่อยๆพร่ามัวและทิ้งไว้เพียงรอยยิ้มสุดท้ายก่อนที่จะจางหายไปอย่างสมบูรณ์
อีเพียวเพียวไม่ได้ทิ้งอะไรไว้เบื้องหลังมากนัก กระทั่งภาพบันทึกของนางก็ยังไม่สมบูรณ์ อย่างไรก็ตามสภาพจิตใจของเจียงอี้ก็ฟื้นฟูขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและยังยืนยันได้หลายสิ่ง
ประการแรกอีเพียวเพียวยังมีชีวิตอยู่ ประการที่สองนางได้จากไปเพราะความจำเป็นบางอย่าง ประการสุดท้ายพวกเขาสองแม่ลูกยังมีโอกาสได้พบกันอีกในอนาคต
เพียงแค่สามสิ่งนี้ก็ทำให้ประกายแห่งความหวังเกาะกุมไปทั่วหัวใจของเจียงอี้แล้ว
“ทะลวงสู่จุดสูงสุดขอบเขตจินกังก่อนอายุยี่สิบปี! ทวีปจักรพรรดิบูรพา! หยูเวิน!”
เจียงอี้ทวนความทรงจำขณะดวงตาของเขาฉายแววเด็ดเดี่ยว ปัจจุบันเขามีอายุสิบเจ็ดปีแต่ความแข็งแกร่งของเขาสามารถเทียบได้กับครึ่งก้าวขอบเขตจินกังแล้ว และต้องอย่าลืมว่าเมื่อสองปีก่อนเขาเป็นเพียงแค่เศษขยะขอบเขตฉูติ่งขั้นที่หนึ่งเท่านั้น!
ด้วยเวลาที่เหลืออีกสองปีนับจากนี้ แม้ว่าจะยากลำบากเพียงใด เขาก็คาดหวังว่าตัวเองจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมาได้อีกครั้ง
“ท่านแม่ โปรดรอลูกชายคนนี้ ข้าจะออกตามหาท่านแม้ว่าจะต้องพลิกทั้งแผ่นดินก็ตาม!”
ในขณะนี้ เจียงอี้มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะแข็งแกร่งขึ้น มีเพียงพลังเท่านั้นที่จะทำให้เขาและแม่หลุดพ้นจากชะตากรรมที่น่าเศร้านี้ไปได้
จากภาพที่เห็นไปเมื่อครู่ มันก็แสดงให้เห็นแล้วว่าอีเพียวเพียวยังคงห่วงใยเจียงอี้ แต่ในฐานะมารดาคนหนึ่ง จะมีสักกี่เรื่องกันที่ทำให้นางต้องจำใจทิ้งบุตรชายไว้เบื้องหลังและจากไป?
อีเพียวเพียวเป็นยอดฝีมือผู้มีพลังอันน่าเกรงขามและอยู่เหนือผู้คนทั้งปวง แต่การที่นางถูกบังคับให้ต้องจากไปก็หมายความว่าจะต้องมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น
ยิ่งเจียงอี้ครุ่นคิดมากเท่าไหร่ หัวใจของเขาก็รู้สึกราวกับถูกมีดกรีดแทง เวลานี้เขายังคงยืนอยู่ที่เดิมอย่างเงียบๆในขณะที่ภายในใจกำลังสลักใบหน้าอันอ่อนโยนและงดงามของมารดาเอาไว้
หลังจากที่ผ่านไปสองชั่วโมง เจียงอี้ก็เดินลงมาจากศาลาฟ้ากระจ่างเมื่อสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ในเวลาเดียวกันดวงตาของเขาก็อัดแน่นไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
สุ่ยโย่วหลายนั่งอยู่ในห้องโถงหลักและดื่มชาด้วยท่าทีสบายๆ จากนั้นนางก็เหลือบไปมองเจียงอี้ที่เดินออกมาและพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
“เด็กคนนี้ช่างมีหัวใจที่เข้มแข็งยิ่งนัก สมแล้วที่เป็นบุตรชายของแม่นางอีเพียวเพียว!”
ที่อยู่ไม่ไกลออกไปก็มีบรรดาหญิงชราอีกสามคนของหอดาราสุ่ยเยว่คอยยืนสังเกตการณ์อยู่ เมื่อได้ยินคำพูดของสุ่ยโย่วหลาน พวกนางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจ
นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่พวกนางได้ยินนายหญิงกล่าวยกย่องใครสักคน ในฐานะของยอดฝีมืออันดับหนึ่งของทวีป สุ่ยโย่วหลานย่อมมีความภาคภูมิใจและไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะมีคนได้รับคำชมจากนาง
เมื่อเจียงอี้เดินทางมาถึง เขาก็โค้งคำนับให้คนทั้งสี่ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นมา
“นายหญิง ท่านรู้จักทวีปจักรพรรดิบูรพาหรือไม่?”
“หืม?”
คิ้วของสุ่ยโย่วหลานขมวดเข้าหากันก่อนที่จะส่ายหัวและกล่าว
“ข้าไม่รู้จัก บางทีมันอาจจะเป็นทวีปที่อยู่อีกฟากหนึ่งของทะเล อย่างไรก็ตามในประวัติศาสตร์ของหอดาราสุ่ยเยว่ไม่เคยมีใครที่ข้ามทะเลได้สำเร็จมาก่อนรวมถึงข้าด้วย!”
“แน่นอนว่าเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว เคยมีตัวตนระดับราชันสวรรค์สองสามคนที่ออกเดินทางข้ามทะเล แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยมีผู้ใดได้กลับมาอีกเลย”
“แต่ก็ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว…”
“อืม… แล้วจะเป็นไปได้หรือไม่หากว่าข้าจะเดินทางข้ามทะเลเมื่อบรรลุความแข็งแกร่งระดับเดียวกับท่าน?” เจียงอี้เอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง
อีเพียวเพียวกล่าวว่าเมื่อเขาทะลวงสู่จุดสูงสุดขอบเขตจินกัง เขาจะมีคุณสมบัติมากพอที่จะออกตามหานาง และนี่ก็ยังเป็นระดับความแข็งแกร่งในปัจจุบันของสุ่ยโย่วหลาน
“ข้าไม่อาจรับประกันได้!”
สุ่ยโย่วหลานไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะเอ่ยออกมา
“ในความคิดของข้า หากว่าข้าเดินทางข้ามทะเล มันมีโอกาสหกถึงเจ็ดส่วนที่ข้าจะตกตายระหว่างทาง เจ้ายังไม่เข้าใจว่าพื้นทะเลรอบทวีปเทียนชิงนั้นอันตรายขนาดไหน”
“ยกตัวอย่างเช่นทะเลมรณะ… เพียงมองจากภายนอก ข้าก็สัมผัสได้แล้วว่าข้าจะต้องตายอย่างแน่นอนหากย่างเท้าเข้าไป”
“ทะเลมรณะ? โลงศพโบราณ ศพของหญิงสาว!”
เมื่อเจียงอี้นึกถึงประสบการณเสี่ยงตายเมื่อไม่นานมานี้ หัวใจของเขาก็เต้นรัวขณะที่ร่างกายเกิดอาการสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้
“อะไรนะ?”
เมื่อสุ่ยโย่วหลานได้ยินสิ่งที่เจียงอี้เผลออุทานออกมา ดวงตาของนางก็สั่นไหวพร้อมทั้งเอ่ยถามออกมาด้วยความรีบเร่ง
“เจียงอี้ เจ้ารู้ได้ยังไงว่าในทะเลมรณะมีโลงศพโบราณกับศพของหญิงสาว? นี่เจ้าเข้าไปในนั้นมาหรือ?!”
เมื่อเห็นว่าเจียงอี้พยักหน้ารับ นางก็เผยความตกใจออกมายิ่งกว่าเดิม
“เจียงอี้ เจ้าหนีออกมาจากที่นั่นได้ยังไง?! น่าเหลือเชื่อนัก รีบบอกข้ามาเร็วเข้า! ข้ามีความสงสัยว่าศพของหญิงสาวผู้นั้นอาจจะเป็นมหันตภัยที่ซ่อนเร้นอยู่ซึ่งอาจทำลายล้างทวีปเทียนชิงได้ในอนาคต!”