เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 395-396
บทที่ 395 คนแปลกหน้าแม้ว่าจะพบกัน
เจียงอี้พำนักอยู่ที่เกาะดาวตกมาเป็นเวลากว่าแปดวันแล้วเขาออกเดินทางไปยังอาณาจักรต้าเซี่ยหลังจากที่สุ่ยโย่วหลานบอกวิธีขุดสายแร่ศักดิ์สิทธิ์แก่เขา ความจริงแล้ววิธีการนั้นง่ายมาก ชั้นนอกของสายแร่ศักดิ์สิทธิ์นั้นแข็งแกร่งเหมือนเหล็ก แต่โลกนี้ช่างลึกลับนัก อย่างเช่นองค์ประกอบธาตุทั้งห้า โลหะ, ไม้, น้ำ, ไฟและดิน ห้าธาตุนี้สามารถเข้ากันได้และสามารถสยบกันและกันได้ ซึ่งหินผลึกนี้ก็มีบางสิ่งที่สามารถสยบมันได้เช่นกัน
นทีเผยศิลา!
นี่เป็นวัตถุดิบในการหลอมละลายที่หายากชนิดหนึ่งมันแพงมากแต่ก็สามารถหาได้ในทวีปนี้ ตราบใดที่พวกเขามีนทีเผยศิลานี้ พวกเขาก็จะสามารถขุดสายแร่ศักดิ์สิทธ์ได้อย่างง่ายดาย
เจียงอี้นั้นลุล่วงทุกสิ่งที่ต้องการหลังจากแวะไปที่เกาะดาวตกมาแล้วและเจียงเสี่ยวนู๋ก็ฟื้นตัวแล้วเช่นกัน เขาจะไม่รั้งอยู่ที่นี่อีกต่อไปเพราะซูรั่วเสวี่ยกำลังรอเขากลับไปอย่างใจจดใจจ่อ
ครั้งนี้เขาไม่ได้เดินทางทางทะเลแต่เขาใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังเมืองหลักทางตะวันออกของอาณาจักรเป่ยเหลียงในทันที เมืองเหลียง!
เพื่อปกปิดตัวเองเขาสวมหน้ากากร้อยหน้าและกลายเป็นชายชรา เมื่อเขามาถึงเมืองเหลียงเขาก็ออกเดินทางและวิ่งไปด้วยความรวดเร็ว
ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้สร้างขึ้นโดยหอดาราสุ่ยเยว่ซึ่งหมายความว่านี่เป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ออกมาได้เพียงฝั่งเดียวเจียงอี้เป็นบุรุษที่ออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายของเกาะดาวตกและทำให้เหล่าทหารที่เฝ้าค่ายกลเคลื่อนย้ายต่างรู้สึกประหลาด เหล่าหน่วยลับของเมืองก็ได้รายงานเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว
เรื่องที่เจียงอี้ไปเยือนเกาะดาวตกนั้นอยู่ภายใต้การสังเกตการณ์จากผู้มีอิทธิพลหลายกลุ่มอย่างใกล้ชิดและพวกเขาก็คาดเดาได้อย่างรวดเร็วว่าชายชราผู้นั้นอาจเป็นเจียงอี้ปลอมแปลงกายราชาอาณาจักรเป่ยเหลียงก็ได้ส่งหน่วยลับออกไปคอยดูลาดเลาของเจียงอี้ บุคคลนี้เป็นเทพแห่งโรคระบาดและจะนำหายนะมาในทุกที่ที่เขาไป หากเขามาปลดปล่อยหายนะไว้ในอาณาจักรเป่ยเหลียง ใครจะต้องตามเช็ดล้างเรื่องนี้?
มันก็เป็นเช่นนั้น…
เมื่อหน่วยลับของอาณาจักรเป่ยเหลียงเคลื่อนไหวเจียงอี้ก็ได้ใช้เถาอู้ขุดใต้ดินลงไปสามสิบกิโลเมตรแล้ว แม้ว่าหน่วยลับเหล่านี้จะรู้ว่าเจียงอี้ลงไปใต้ดินแล้ว พวกเขาจะสามารถตามความเร็วของสัตว์อสูรเถาอู้ได้ทันหรือ?
หลังจากที่ลงไปใต้ดินเจียงอี้ก็ปล่อยเจียงเสี่ยวนู๋และผู้อาวุโสเฮ่อออกมาจากแจกันเขียวพิสุทธิ์ อย่างไรเสีย มันก็เป็นการทรมานสำหรับพวกเขาที่จะอยู่ในที่ที่เดียวกับสัตว์อสูรหยาจื้อซึ่งเขาไม่สามารถปกปิดพลังที่น่ากลัวของสัตว์อสูรนั่นได้
เมื่อทั้งสามเดินทางใต้ดินแต่เนื่องจากความกังวลของเจียงอี้ที่มีต่อเจียงเสี่ยวนู๋พวกเขาจะหยุดทุกๆสองวันเพื่อพักผ่อนในช่วงค่ำคืน พวกเขาจะมองหาป่าหรือภูเขาเพื่อล่าสัตว์ป่าและทานอาหารเป็นครั้งคราว
อาณาจักรเป่ยเหลียงตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปหากพวกเขาต้องการไปที่อาณาจักรต้าเซี่ย พวกเขาจะต้องผ่านอาณาจักรเป่ยเหลียงครึ่งหนึ่งและอาณาจักรเสินหวู่ เถาอู้นั้นค่อนข้างรวดเร็ว แต่แม้ว่าพวกเขาจะรีบร้อนไม่หลับไม่นอนทั้งวันทั้งคืน พวกเขาก็ยังต้องใช้เวลาครึ่งเดือน เมื่อรวมกับการพักเรื่อยๆแล้ว พวกเขาจะต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนในการเดินทางครั้งนี้
เนื่องจากพวกเขาแต่ละคนนั้นมีเรื่องให้ต้องทำมันจึงไม่ได้น่าเบื่อหน่ายเกินไป ด้วยการแก้ปัญหาของเจียงเสี่ยวนู๋ นางก็สามารถฝึกฝนได้อย่างง่ายดาย ส่วนเถาอู้นั้นก็เดินทางอย่างมั่นคงก็เลยทำให้ทั้งสามคนได้ฝึกฝนราวกับพวกเขานั่งอยู่บนพื้นราบ พวกเขาฝึกฝนกันระหว่างเดินทางจึงทำให้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
และเพราะว่าพวกเขาเดินทางใต้ดินจึงไม่มีใครสามารถจับตำแหน่งของพวกเขาได้ซึ่งทำให้การเดินทางนั้นสงบสุขมากหลังจากผ่านไปยี่สิบวัน พวกเขาก็ได้มาถึงหุบเขาสามหมื่นลี้อย่างปลอดภัย
เจียงอี้พาเสี่ยวนู๋และผู้อาวุโสเฮ่อมาเยี่ยมสำนักจิตอสูรและพวกเขาก็ได้พบปะเจียงหยุนไฮ่และจูเก๋อชิงหยุนอีกครั้งและสนทนากันสองชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะไปยังหุบเขาสามหมื่นลี้
เมื่อพวกเขาเข้าไปในหุบเขาเจียงอี้ก็เรียกสัตว์อสูรหยาจื้อออกมาและนำเจียงเสี่ยวนู๋กับผู้อาวุโสเฮ่อใส่กลับเข้าไปในแจกันเขียวพิสุทธิ์ จากนั้นพวกเขาก็เร่งรีบไปด้วยความเร็วเต็มที่ทันที หุบเขาสามหมื่นลี้นั้นปลอดภัยเหมือนเป็นสนามหลังบ้านของเจียงอี้ ซึ่งเขาไม่จำเป็นต้องมาคอยปิดบังตำแหน่งของตัวเองเลย
หลังจากขี่หยาจื้อไปยังยอดเขาเทพธิดาแล้วเจียงอี้ก็พาจิ้งจอกน้อยและราชันสัตว์อสูรไปด้วย เขาสัญญากับจิ้งจอกน้อยว่าเขาจะนำมันไปที่เมืองเซี่ยยวี่เพื่อเล่นสนุกหลังจากที่เขากลับมา ด้วยธรรมชาติของเขาแล้ว เขาก็คงจะไม่กลับคำเป็นแน่ และด้วยราชันสัตว์อสูรทั้งสองที่ติดตามมาด้วยและเกียรติศักดิ์ของจักรพรรดินีสัตว์อสูร จิ้งจอกน้อยย่อมต้องปลอดภัยเมื่อในเมืองเซี่ยยวี่
ครั้งนี้จักรพรรดินีสัตว์อสูรไม่ได้ปรากฏตัวออกมา นางเพียงส่งข้อความถึงเจียงอี้ว่าให้เขารีบกลับไปยังพื้นที่ต้องห้ามของจอมเวทย์เพื่อตั้งใจทำความเข้าใจศาสตร์เวทย์ จากนั้นนางก็แนะนำเจียงอี้อีกครั้งว่าอย่าขัดเกลาศิลาสวรรค์ดีกว่าและอย่าทำผิดพลาดร้ายแรง!
หลังจากเก็บจิ้งจอกน้อยไว้ในแจกันเขียวพิสุทธิ์เจียงอี้ก็ไม่ได้สนใจราชันสัตว์อสูรทั้งสองที่อยู่ข้างหลังเขาและยังคงรีบร้อนไปต่อ หลังจากทิ้งซูรั่วเสวี่ยไว้เกือบสองเดือน เจียงอี้ก็ถวิลหานางยิ่งนัก
“เร็วเข้าอสูรหยาจื้อ ทำไมเจ้าถึงช้าเช่นนี้?”
หยาจื้อไม่พูดอะไรเลยจากการถูกยั่วยุครั้งนี้มันบินด้วยความเร็วสูงสุดแล้วและไม่มองราชันปีศาจทั้งสองแล้วด้วยซ้ำ แต่เจียงอี้ก็ยังคงรีบร้อนต่อไป ความเร็วของมันไม่ได้เร็วมากนักแต่อย่างน้อยก็เร็วกว่าราชันอสูรสองเท่า ซึ่งเจียงอี้ก็ยังคงคิดว่ามันช้า
หลังจากใช้เวลากว่าหนึ่งวันสัตว์อสูรหยาจื้อก็บินออกจากหุบเขาสามหมื่นลี้แล้วเข้าสู่ดินแดนอาณาจักรต้าเซี่ย เจียงอี้คิดว่าพวกเขาน่าจะใช้เวลาอีกเกือบหนึ่งวันกว่าจะถึงเมืองเซี่ยยวี่
ฟึ่บ!
เมื่อพวกเขาเข้าไปยังดินแดนอาณาจักรต้าเซี่ยจู่ๆก็มีเงาดำเหินมาด้วยความเร็วสูงซึ่งสัตว์อสูรหยาจื้อก็หยุดอยู่กลางอากาศทันทีขณะที่มองไปยังทิศตะวันออกอย่างเคร่งขรึม คิ้วของเจียงอี้ยกขึ้น เขามองมาแต่ไกลและมุมปากก็เผยร่องรอยของความเย้ยหยันก่อนที่เขาจะค่อยๆสงบสติอารมณ์ของเขา
ร่างสีดำยังคงขยายขึ้นเรื่อยๆและใบหน้าก็เริ่มชัดเจนชายผู้นี้มีชีวิตชีวาและมีรูปร่างที่ดี ร่างกายของเขามีกลิ่นอายที่น่ากลัวและหากเขาสามารถเหินบินได้มันก็ไม่จำเป็นต้องบอกว่าชายผู้นี้อยู่ขอบเขตจินกังแล้ว และเขาคือผู้ที่ให้กำเนิดเจียงอี้ เจียงเปี๋ยหลี
“เจียงอี้!”
เจียงเปี๋ยหลีหยุดอยู่ห่างจากสัตว์อสูรหยาจื้อประมาณสามกิโลเมตรเขามีการแสดงออกที่ซับซ้อนเมื่อเขามองเจียงอี้อยู่ชั่วครู่ก่อนจะพูดว่า “เราจะลงไปคุยกันได้ไหม?”
เจียงอี้พูดอย่างเฉยเมย“พูดที่นี่ ข้ายังต้องรีบกลับบ้าน โปรดพูดในสิ่งที่ท่านต้องการเถอะ ท่านจอมพลแห่งกองทัพตะวันตก!”
“บ้าน?ท่านจอมพลแห่งกองทัพตะวันตก?”
ปากของเจียงเปี๋ยหลีกระตุกขณะที่เขายิ้มอย่างขมขื่นเขาไม่สามารถพูดถึงความเดียวดายของเขาและเย้ยหยันตนเอง เขามองเจียงอี้จากไกลๆและพูดว่า “เราจะเป็นกันอย่างนี้จริงหรือ? ยิ่งไปกว่านั้น…ข้ายังคงเป็นพ่อของเจ้าใช่ไหม?”
“ฮึๆ!”
เจียงอี้ขำออกมาและพูดว่า“เจียงเปี๋ยหลี ท่านไม่ละอายใจบ้างหรือที่พูดออกมาเช่นนี้? ตอนที่ข้าเกิด ท่านอยู่ไหน? ตอนข้าถูกกลั่นแกล้งเมื่ออายุยังน้อย ท่านอยู่ไหน? ตอนที่ข้าเกือบตกสู่ขอบเหวความตาย ท่านอยู่ไหน? เอาล่ะ…เราจะไม่พูดถึงเรื่องพวกนั้นแล้ว แต่เมื่อข้าได้ชัยชนะอันดับหนึ่งในสงครามราชอาณาจักร เมื่อตอนที่เซี่ยอู๋หุ่ยฉกฉวยสมุนไพรวิญญาณที่แต่เดิมมันเป็นของข้า ท่านได้ช่วยพูดแทนข้าไหม?”
“เมื่อข้ากลายเป็นกบฏและทั่วทั้งอาณาจักรเสินหวู่คอยไล่ล่าข้า ดูเหมือนว่าท่านจะขับไล่ข้าออกจากตระกูลเจียงใช่ไหม? เมื่อข้าเผชิญหน้ากับเหล่ากองทัพนับล้านกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังด้วยตัวเองที่เมืองเซี่ยยวี่ ท่านกำลังทำอะไรอยู่? ท่านไม่รู้สึกละอายกับการใช้คำว่า ‘พ่อ’ บ้างหรือ?”
การแสดงออกของเจียงอี้ยังคงสงบนิ่งตั้งแต่ต้นจนจบแม้ว่าเขาจะพูดสิ่งเหล่านี้ออกมาทั้งหมด เขาก็ไม่แยแสราวกับว่าเขากำลังพูดถึงบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขา
มันจึงทำให้การแสดงออกของเจียงเปี๋ยหลีเศร้ามากยิ่งขึ้นเขารู้ว่า….หัวใจของเจียงอี้นั้นได้รับความเจ็บปวดถึงที่สุดและช่องว่างระหว่างพวกเขาทั้งสองนั้นจะไม่มีวันถูกเติมเต็ม
เมื่อเจียงอี้เห็นว่าเจียงเปี๋ยหลีอยู่ในความเงียบงันเขาก็โบกมือแล้วพูดว่า “มีอะไรอีกไหม? หากไม่มี ข้าขอตัวลา ข้ายังคงมีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะต้องไปทำ”
“เอ่อ…”
เจียงเปี๋ยหลีลังเลอยู่ครู่หนึ่งและถอนหายใจ“ไม่มีอะไรมาก ข้าแค่อยากจะแนะนำให้เจ้าพาซูรั่วเสวี่ยหลบหนีไปยังสถานที่ที่ห่างไกลและหาเกาะที่ไร้ผู้คนเพื่อแยกตัวฝึกฝนหรือใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปตลอดชีวิตที่เหลือ เอาง่ายๆ อย่าคิดจะต่อต้านเหล่าผู้มีอิทธิพลทั้งหมดด้วยตัวเอง น้ำในทวีปแห่งนี้นั้น…ลึกเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้ นอกจากนี้ ข้าขอโทษเจ้าและแม่เจ้า ข้านั้นไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นพ่อของเจ้า”
เมื่อจบคำพูดของเขาเจียงเปี๋ยหลีก็มองไปยังเจียงอี้อย่างลึกซึ้งก่อนที่จะบินตรงกลับไปยังอาณาจักรเสินหวู่ แผ่นหลังของเขานั้นเยือกเย็นและเงียบเหงาเหมือนชายชราที่โดดเดี่ยว ในขณะนี้มันให้ความรู้สึกราวกับว่าเขามีอายุเพิ่มไปสิบปี
“หากท่านรู้ว่ามันจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นทำไมท่านจะต้องทำมันตั้งแต่แรก?”
เจียงอี้ถอนหายใจเบาๆดวงตาของเขาสั่นไหวก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่ดัง “เจียงเปี๋ยหลี หลังจากที่ข้าไปยังเกาะดาวตก ข้าได้รับรูปปั้นไม้แกะสลักที่ท่านแม่ทิ้งไว้ นางทิ้งข้อความไว้… บอกว่านางนั้นก้าวร้าวเกินไปและไม่ถือโทษท่าน นางยังขอให้ข้าอภัยให้ท่าน! สิ่งที่ข้าต้องการจะพูดก็คือ….ข้าสามารถให้อภัยในสิ่งที่ท่านทำกับข้าได้ แต่ข้าไม่สามารถอภัยในสิ่งที่ท่านทำกับแม่ของข้าได้ ดังนั้น…โปรดอย่าได้มาปรากฏตัวต่อหน้าข้าอีก ต่อแต่นี้ไป เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก และเราจะเป็นคนแปลกหน้าแม้ว่าจะพบกัน!”
ฟึ่บ!
หลังจากสิ้นประโยคเจียงอี้ก็ไม่ได้โหยหาหรือลังเลอีกต่อไปขณะที่เขาบอกให้สัตว์อสูรหยาจื้อบินทะลุตรงไปยังเมืองเซี่ยยวี่
“คนแปลกหน้าแม้ว่าจะพบกัน?”
ร่างกายของเจียงเปี๋ยหลีสั่นและหยุดอยู่กลางอากาศเขาหันกลับมามองเจียงอี้จากไป เขาปิดตาอย่างเจ็บปวดและมีสีหน้าที่ขมขื่น ในขณะนี้เมื่อเขาตระหนักได้ว่าเขานั้นเป็นคนผิด และความผิดนั้นก็เกินขอบเขตไปพอสมควร เขาตั้งใจจะพูดว่ามันมีการสมคบคิดครั้งใหญ่
บทที่ 396 จงทำในสิ่งที่ใจเจ้าปรารถนา
โฮกกก! โฮกกก!
ร่างอันใหญ่ยักษ์ของราชันสัตว์อสูรหยาจื้อบินผ่านเหนือน่านฟ้าเมืองเซี่ยยวี่ ขณะเดียวกันเสียงกู่คำรามของมันก็ทำให้ปุถุชนคนธรรมดาจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่เบื้องล่างต่างก็ต้องหมอบกราบลงกับพื้นด้วยความหวาดกลัว
“เจ้าจะคำรามหาพระแสงอะไร? เจ้าภูมิใจมากรึที่ทำให้เด็กน้อยเหล่านั้นต้องร้องไห้ หยุดโอ้อวดพลังของตัวเองสักวันมันจะตายหรือยังไง?!”
เจียงอี้ไม่ได้แค่ติเตียนเท่านั้น แต่เขายังใช้ฝ่ามือตบที่ไปศีรษะขนาดใหญ่ของสัตว์อสูรหยาจื้ออย่างไม่ลังเล
แน่นอนว่าชนชั้นราชันเช่นมันย่อมต้องบันดาลโทสะ แต่ก่อนที่มันจะได้โต้เถียงขึ้นมานั้น เจียงอี้ก็ชิงเอ่ยขึ้นมาก่อน
“หากว่าเจ้าเก่งนัก เช่นนั้นจงไปสังหารขันทีเฒ่าแห่งอาณาจักรเสินหวู่หรือไม่ก็บรรพบุรุษเฒ่าของจักรวรรดิมังกรเวหาเสียสิ ไม่ใช่มาทำอะไรไร้สาระในอาณาจักรต้าเซี่ยของข้าเช่นนี้!”
“หากเจ้ายังทำให้คนธรรมดาเดือดร้อนอีก ข้าจะตบเจ้าตามจำนวนคนเหล่านั้นเลยคอยดู!”
เมื่อได้ยินคำพูดแทงใจดำของเจียงอี้ มันก็ทำได้เพียงแสดงความหงุดหงิดออกมาแต่ก็ไม่ได้ตอบโต้กลับ
ราชันสัตว์อสูรหยาจื้ออาจจะมีความมั่นใจในการสังหารหลินกงกง แต่สำหรับบรรพบุรุษเฒ่าของจักรวรรดิมังกรเวหาผู้นั้น พลังของมันยังไม่อาจเทียบกับเขาได้
นอกจากนี้ หากว่ามันเปิดเผยตัวอย่างไม่รอบคอบ ตัวของมันจะตกเป็นเป้าสังหารของยอดฝีมือเผ่ามนุษย์ทันที
“จงไปพักอยู่แถวภูเขาทางตะวันออกและอย่าเผลอไปทำร้ายใครเข้าล่ะ” เจียงอี้ทิ้งคำพูดสุดท้ายไว้ ก่อนที่ร่างของเขาจะเปลี่ยนเป็นแสงสีขาวและไปปรากฏตัวในจัตุรัสด้านล่างในพริบตา
ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ เมืองทั้งเมืองต่างก็ตกอยู่ในความปั่นป่วนเนื่องจากการปรากฏตัวของสัตว์อสูรหยาจื้อ แต่เมื่อพวกเขาสังเกตเห็นแล้วว่าคนที่อยู่บนศีรษะของมันคือเจียงอี้
ความหวาดกลัวที่อยู่ภายในใจก็แปรเปลี่ยนเป็นความปิติยินดีทันที ด้วยพลังของเจียงอี้ที่ผสานกับราชันสัตว์อสูรตนนี้ โอกาสในการอยู่รอดของพวกเขาในอีกสามปีต่อจากนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเพิ่มขึ้นแล้ว!
“คารวะท่านอุปราช!”
เมื่อเจียงอี้ปรากฏตัวในจัตุรัสกลางเมือง ผู้คนต่างก็รีบคุกเข่าลงและแสดงความเคารพอย่างพร้อมเพรียง
“พวกเจ้าทั้งหมดจงลุกขึ้นเถิด นับแต่นี้ไป เพียงแค่ทักทายข้าแบบธรรมดาก็พอ ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าอีกแล้ว!”
เมื่อกล่าวจบเขาก็นำผู้อาวุโสเฮ่อ, เจียงเสี่ยวนู๋และจิ้งจอกน้อยออกมาจากแจกันเขียวพิสุทธิ์ จากนั้นคนทั้งกลุ่มก็มุ่งหน้าไปยังราชวังหลวง
ตลอดทาง จิ้งจอกน้อยยังคงซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเจียงอี้พร้อมกับใช้สายตาสอดส่องไปทั่วด้วยความอยากรู้อยากเห็น การกระทำของมันทำให้เจียงอี้รู้สึกขบขันไม่น้อย
“เสี่ยวเฟย หากว่าเจ้าต้องการที่จะไปวิ่งเล่น เจ้าสามารถพาผู้อาวุโสเฮ่อกับเสี่ยวนู๋ไปกับเจ้าได้ ด้วยการคุ้มกันจากอสูรหยาจื้อกับสองราชันสัตว์อสูรของเจ้า เมืองเซี่ยยวี่ในตอนนี้นับว่าปลอดภัยมาก แต่จำไว้ว่าห้ามออกไปจากเมืองเด็ดขาด ตกลงไหม?”
“จี๊ จี๊!”
จิ้งจอกน้อยฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับดวงตาที่โค้งเป็นรูปดวงจันทร์ มันมีความสุขทุกครั้งที่ได้ออกมาเที่ยวเล่นในโลกภายนอกพร้อมกับสหาย
“คารวะท่านอุปราช!”
เมื่อเจียงอี้เดินทางมาถึงวังหลวง เหล่าทหารหลวงต่างก็คุกเข่าลงและแสดงความเคารพในระดับสูงสุด แต่ภาพที่เห็นนี้กลับทำให้เขาถึงกับขมวดคิ้วและลอบเอ่ยกับผู้อาวุโสเฮ่อเบาๆ
“ผู้อาวุโสเฮ่อ ไปแจ้งแม่ทัพหลูให้ข้าที ต่อไปนี้เมื่อคนอื่นพบเห็นข้า ให้พวกเขาทำความเคารพแบบธรรมดาก็พอ ไม่ต้องคุกเข่า”
“ขอรับ!”
ชายชราพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม แต่ภายในใจของเขากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ในอดีต เขาอาจจะมีสถานะที่สูงส่งเมื่ออยู่ในตระกูลจ้าน แต่เมื่อเทียบกับอาณาจักรเสินหวู่ทั้งอาณาจักร เขากลับเป็นเพียงแค่จอมยุทธชั้นสูงคนหนึ่งเท่านั้น
แต่เมื่ออยู่ในอาณาจักรต้าเซี่ยที่ดูเหมือนว่าจะอยู่ภายใต้การควบคุมของเจียงอี้ ผู้อาวุโสเฮ่อก็ได้กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่และทรงอำนาจอย่างน่าเหลือเชื่อ
ด้วยสถานะมือขวาของเจียงอี้ เขาอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าคนเพียงสองคนเท่านั้น แต่กลับอยู่เหนือคนนับแสน กระทั่งขุนนางชั้นสูงก็ยังต้องสุภาพเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา!
อีกด้านหนึ่ง เจียงอี้ก็รีบมุ่งหน้าไปวังหิมะเลื่อนลอยอย่างไม่รอช้า ขณะเดียวกันซูรั่วเสวี่ยก็นำกลุ่มสาวใช้และขันทีออกมาต้อนรับเขาที่ด้านนอก
นางสวมชุดคลุมยาวสีชมพูซึ่งแต่งแต้มไปด้วยหยกและทองคำอันหรูหรา นางส่งรอยยิ้มให้กับชายผู้เป็นที่รักเมื่อเห็นเขาอยู่ตรงหน้า
เจียงอี้รีบเดินเร็วขึ้นและเข้าไปกุมมือของซูรั่วเสวี่ยเอาไว้ก่อนที่ทั้งคู่จะพากันเดินเข้าไปด้านใน แต่ไม่นานเขาก็ชะงักฝีเท้าและหันกลับไปเอ่ยกับเจียงเสี่ยวนู๋
“เสี่ยวนู๋ รีบมาเร็วเข้า!”
เด็กสาวตื่นตระหนกทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น ตลอดมานางเป็นเพียงแค่สาวใช้ของเขา แล้วแบบนี้นางจะกล้าเดินไปพร้อมกับพวกเขาทั้งสองได้อย่างไร?
เจียงอี้ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาคว้ามือของนางและเดินเข้าไปในวังพร้อมกับหญิงสาวทั้งสองคน
“เอ๊ะ?”
หลังจากที่เข้ามาในวังหิมะเลื่อนลอย ในที่สุดซูรั่วเสวี่ยก็มีเวลาได้สังเกตเจียงเสี่ยวนู๋อย่างใกล้ชิด จากนั้นนางก็เผยรอยยิ้มออกมาและกล่าว
“เสี่ยวนู๋ ข้าไม่ได้เห็นเจ้าเพียงแค่สองเดือน แต่ผิวพรรณของเจ้ากลับดูเปล่งปลั่งและงดงามขึ้นมาก กระทั่งพี่สาวคนนี้เองก็ถูกล่อลวงโดยเจ้า”
“มันจะเป็นไปได้อย่างไรเจ้าคะ? คุณหนูรั่วเสวี่ยคงล้อข้าเล่นแล้ว” เจียงเสี่ยวนู๋ก้มหน้าลงและบิดตัวด้วยท่าทีเขินอาย
“อย่าเรียกข้าว่าคุณหนู เจ้าต้องเรียกข้าว่าพี่สาวสิ!”
ซูรั่วเสวี่ยกุมมือของเด็กสาวไว้และกล่าวด้วยรอยยิ้มที่เป็นกันเอง
“เจ้ากับเจียงอี้พึ่งพาอาศัยกันตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็ก และพวกเจ้ายังมีความสัมพันธ์ที่เปรียบได้ดั่งพี่น้อง เช่นนั้นเจ้าก็นับว่าเป็นน้องสาวตัวน้อยของข้าเช่นกัน ดังนั้นอย่าคิดว่าตัวเองเป็นคนนอก ตกลงไหม?”
“ฮ่าฮ่า!”
เจียงอี้ชื่นชอบวิธีการพูดของซูรั่วเสวี่ยเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นเขาก็ขอให้เจียงเสี่ยวนู๋พาจิ้งจอกน้อยเสี่ยวเฟยออกไปเล่นรอบๆ ขณะเดียวกันก็เรียกตัวหัวหน้าขันทีมาเพื่อออกคำสั่งบางอย่าง
เขาบอกกับหัวหน้าขันทีว่าผู้อาวุโสเฮ่อคือคนของเขา ดังนั้นเจียงอี้จึงต้องการที่จะมอบตำแหน่งแม่ทัพชั่วคราวให้กับชายชราเพื่อที่ในอนาคตเขาจะได้ทำอะไรสะดวกมากขึ้น
และเขายังย้ำกับหัวหน้าขันทีอีกว่าการกระทำของผู้อาวุโสเฮ่อคือตัวแทนความประสงค์ของเขา เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนแอบอ้างและสร้างความลำบากให้ภายหลัง
หลังจากที่ผู้อาวุโสเฮ่อจากไป เจียงอี้ก็ใช้เวลาที่เหลืออยู่ร่วมกับซูรั่วเสวี่ยและเริ่มเล่าเกี่ยวกับการผจญภัยที่เขาเพิ่งไปเผชิญมา นางตกตะลึงมากเมื่อรู้ว่าเจียงเสี่ยวนู๋ไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นเผ่าพันธุ์ขนนกสีหมึก แต่หลังจากนั้นเมื่อได้ยินว่าอีเพียวเพียวยังมีชีวิตอยู่ นางก็รู้สึกยินดีกับเจียงอี้มากเช่นกัน
“นทีเผยศิลา? ข้าคิดว่าท้องพระคลังของเราคงจะไม่มีของสิ่งนี้…”
เจียงอี้พูดคุยเกี่ยวกับการขุดสายแร่ศักดิ์สิทธิ์และเอ่ยถึงวัตถุดิบที่เขาต้องการ ซูรั่วเสวี่ยก็ออกคำสั่งให้หัวหน้าขันทีไปตรวจสอบในท้องพระคลังทันที
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง พวกเขาก็ได้รับรายงานกลับมาว่าอาณาจักรต้าเซี่ยไม่มีของสิ่งนั้นอยู่จริงๆ
“เฉากงกง เจ้าจงส่งคนไปแจ้งให้เฉียนว่านก้วนได้ทราบ แม้ว่าคนอื่นอาจจะไม่สามารถหามันได้ แต่เขาคนนี้ต้องทำได้แน่”
เจียงอี้โบกมือเพื่อแสดงให้ซูรั่วเสวี่ยเห็นว่านางไม่จำเป็นต้องกังวล พวกเขาทั้งสองต่างก็ไม่กังขาในความสามารถของเจ้าอ้วนเฉียน
แทนที่จะมานั่งปวดหัวเกี่ยวกับวิธีการหานทีเผยศิลา ทำไมเขาถึงไม่โยนมันให้เฉียนว่านก้วนเสียล่ะ?
หลังจากที่ใช้เวลาตลอดทั้งบ่ายอยู่ด้วยกัน พวกเขาก็ส่งคนออกไปตามเจียงเสี่ยวนู๋และจิ้งจอกน้อยเพื่อให้มารับประทานอาหารร่วมกัน
ตลอดช่วงเวลาที่ร่วมรับประทานอาหารกันนั้น ซูรั่วเสวี่ยก็ลอบสังเกตท่าทีและสีหน้าที่เจียงเสี่ยวนู๋มีต่อเจียงอี้อย่างลับๆ แน่นอนว่านางไม่ได้กล่าวอะไรโผงผางขึ้นมา แต่นางรอจนกลับมายังที่พำนักและเอ่ยกับเจียงอี้เป็นการส่วนตัว
“เจียงอี้ ข้าคิดว่ามันคงจะเป็นการดีกว่าหากว่าเจ้ารับเสี่ยวนู๋มาเป็นผู้หญิงของเจ้าอีกคน ข้าสัมผัสได้ถึงความรักอันบริสุทธิ์ที่นางมีให้กับเจ้า”
“ถ้าเจ้าไม่รับนางเข้ามา ข้ากลัวว่าน้องสาวตัวน้อยคนนี้คงเลือกที่จะอยู่ตัวคนเดียวไปชั่วชีวิตแน่”
แน่นอนว่าเจียงอี้จะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?
ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่กล้าคิดเรื่องนี้ในตอนนี้ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตอันใกล้ เขาส่ายหัวเล็กน้อยและกล่าว
“อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เลย ข้าจะไปยังส่ายแร่ศักดิ์สิทธิ์หลังจากที่พักหนึ่งถึงสองวัน จากนั้นหนึ่งเดือน ข้าจะเดินทางไปยังพื้นที่ต้องห้ามจอมเวทย์”
“รั่วเสวี่ย… ข้าขอโทษนะที่ต้องทิ้งเจ้าไปอีกแล้ว แต่ข้าขอสัญญา หลังจากที่ข้ากลับมา พวกเราจะแต่งงานกันทันที!”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องห่วงข้า จงทำหน้าที่ของตัวเองให้เต็มที่เถิด!”
ซูรั่วเสวี่ยยื่นมืออันเรียวงามไปที่ใบหน้าของเจียงอี้และดึงเข้ามาใกล้ จากนั้นริมฝีปากของนางก็ประคบเข้าที่ริมฝีปากของเขา
ทั้งคู่จุมพิตกันอย่างดูดดื่มและยาวนาน มีหลายครั้งที่พวกเขาแทบจะยับยั้งชั่งใจไว้ไม่ได้และเกือบจะเกินเลยไปมากกว่านั้น
ในที่สุด ซูรั่วเสวี่ยก็ถอนริมฝีปากกลับมา ใบหน้าของนางร้อนผ่าวและเต็มไปด้วยเสน่ห์อันเหลือล้น นางจ้องมองใบหน้าของเจียงอี้อยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกัดฟันและตัดสินใจพูดบางสิ่งออกมา
“เจียงอี้… ข้ารู้ว่ามันยากเกินไปที่จะกดดันตัวเอง ดังนั้นเจ้าจงทำในสิ่งที่ใจเจ้าปรารถนาเถิด!”