เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 399-400
บทที่ 399 เวทย์ทรงพลัง
หมื่นปีที่แล้วจอมยุทธทั้งหมดของจักรวรรดิมังกรเวหาและเมืองเทียนชิงนั้นถูกทำลายจนสิ้นอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกัน เหล่าจอมพลทั้งหกก็ก่อกบฏและสถาปนาตนขึ้นเป็นแต่ละรัฐ จักรวรรดิมังกรเวหาสนับสนุนเด็กที่รอดชีวิตให้เป็นองค์จักรพรรดิ ส่วนจอมพลทั้งหกก็นำทัพไปยังเมืองเมืองเทียนชิง พวกเขานั้นจะสร้างองค์จักรพรรดิให้กลายเป็นหุ่นเชิดหรือไม่ก็อาจจะล้มล้างจักรวรรดิมังกรเวหาและพิชิตอาณาจักรขั้วอำนาจที่เหลือไปทีละหนึ่ง
กองทหารหลายล้านนายปิดล้อมเมืองเทียนชิงแต่ในที่สุดก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปข้างในและเดินกลับไปอย่างขายหน้า การขยายของอำนาจในทวีปนั้นก็ยังคงดำเนินต่อไปจวบจนถึงทุกวันนี้ เหตุใดทหารจึงไม่กล้าเข้าไปในเมืองเทียนชิงก็ยังคงเป็นข้อสงสัยที่ใหญ่ที่สุดในใจของผู้คนในทวีปนี้
หลังจากนั้นจักรวรรดิมังกรเวหาก็สั่งให้มีสงครามราชอาณาจักรระหว่างหกขั้วอำนาจณ ที่ราบหินผลึกในทุกๆสิบปี แม้แต่คนโง่ก็ยังบอกได้ว่าจักรวรรดิกำลังพยายามตัดทอนความแข็งแกร่งของขุนนางทั้งหกอาณาจักรเพื่อรักษาและค่อยๆสร้างอำนาจ
แม้แต่คนโง่ก็สามารถมองทะลุเรื่องนี้ได้โดยปกติแล้ว ราชาแห่งอาณาจักรทั้งหกต่างก็เข้าใจถึงความหมายซ่อนเร้นของจักรวรรดิมังกรเวหา อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังเข้าร่วมสงครามราชอาณาจักร จากนั้นพวกเขายังสร้างสงครามราชอาณาจักรย่อยขึ้นมาอีกด้วย!
นี่เป็นเรื่องพิศวงอีกเรื่องในทวีปแห่งนี้
ตอนนี้เรื่องลึกลับทั้งสองเรื่องนี้กระจ่างแล้ว ผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังแผนการทั้งหมดนี้ก็คือ โถงวรยุทธ!
แน่นอนว่าตู๋กูเยี่ยนไม่ได้โกหกเขาโถงวรยุทธนั้นทรงพลังมากพอที่จะสามารถปกครองทั้งทวีปได้! เมื่อประมุขใหญ่โถงวรทยุทธสั่งการลงมา ราชาของหกอาณาจักรก็ไม่กล้าขัดแข็ง ประมุขใหญ่โถงวรยุทธนั้นมีอำนาจเหมือนกับผู้ปกครองทวีปที่ไม่ได้สวมมงกุฎ!
ตอนนี้ปัญหาใหม่ก็ได้ผุดขึ้นมา โถงวรยุทธกลายเป็นราชาผู้ปกครองทวีปโดยไม่ได้ถูกแต่งตั้งได้อย่างไร? ตอนนี้ มีจอมยุทธมากมายในทวีปนี้รวมไปถึงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังมากกว่าสิบสองคน ไม่ต้องพูดถึงอดีตเลย บรรพบุรุษของสุ่ยโย่วหลานและจักรวรรดิคงจะอยู่ที่จุดสูงสุดของขอบเขตจินกังแล้ว จะเป็นไปได้ไหมว่า….จะมีผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ขอบเขตเทียนจุน(ราชันสวรรค์)อยู่ในโถงวรยุทธ?
เมื่อเจียงอี้สงสัยเสด็จลุงก็ไตร่ตรองสักพักก่อนที่จะส่ายหัว “ข้าไม่รู้รายละเอียดจริงๆ มีเพียงราชาแห่งอาณาจักรเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ข้าไม่คิดว่าจะมี กลิ่นอายของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนนั้นทรงพลังมากเกินไป แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังก็ยังไม่สามารถซ่อนเร้นกลิ่นอายได้ สิ่งที่แปลกคือ…ขั้วอำนาจทั้งหกตรวจไม่พบผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังคนอื่นเลยนอกจากประมุขใหญ่โถงวรยุทธ”
เจียงอี้ถามอย่างสงสัยว่า“เสด็จลุง ไม่ใช่ว่ามันมีบันทึกลับของตระกูลราชวงศ์ที่ส่งต่อกันมาหรือ? องค์ราชาองค์แรกของอาณาจักรต้าเซี่ยควรจะมีบันทึกเหตุการณ์ในปีนั้น”
“ฮึฮึ”
ซูรั่วเสวี่ยยิ้มอย่างขมขื่นและขัดบทสนทนา“มีบันทึกอยู่ แต่น่าเสียดาย ก่อนที่กองทัพจะเข้าโจมตีเมืองเซี่ยยวี่ เสด็จพ่อได้เผาทำลายบันทึกพงศาวดารทั้งหมด….”
“น่าเสียดาย…”
เจียงอี้ถอนหายใจเล็กน้อยท้ายที่สุดแล้ว เสด็จลุงผู้นี้ก็ไม่ใช่ราชาและไม่ได้รู้ความลับอะไรมากมาย บันทึกเหตุการณ์ในปีนั้นก็สลายไปแล้ว ดูเหมือนว่าเขาคงทำได้เพียงไปยังเมืองเซวี่ยนเทียนและถามหยุนฉิงเทียนหากเขาต้องการรู้ความจริง
“โถงวรยุทธ….เป็นอะไรกันแน่?”
เจียงอี้พึมพำเขาไม่กลัวโถงวรยุทธจริงๆ แม้ว่าเขาจะไม่พอใจตู๋กูเยี่ยน แต่ประมุขโถงวรยุทธนั้นจะไม่เป็นศัตรูกับเขาหากเขาไม่ใช่คนโง่ สำหรับตอนนี้เจียงอี้นั้นค่อนข้างสำคัญอยู่
มันไม่สำคัญอีกต่อไป!
เขาลุกขึ้นทันทีและขอตัวกลับไปที่ห้องเพื่อพักผ่อน
มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องมานั่งกังวลในสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เขามีศัตรูมากเกินไป หากโถงวรยุทธต้องการเป็นศัตรูกับเขา เขาก็ไม่สามารถทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงมันได้ อย่างไรก็ตาม นี่คือตัวเขา อยากให้เขาเข้าร่วมกับโถงวรยุทธงั้นหรอ? ไม่มีทาง!
…
กาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเพียงพริบตาก็ผ่านไปสิบวันแล้ว
เฉียนว่านก้วนได้ส่งนทีเผยศิลามาอีกครั้งซูรั่วเสวี่ยก็ซื้อมาได้บ้างเช่นกัน นางให้คนลงไปขุดสายแร่ศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นจึงมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ศิลาสวรรค์กว่าร้อยก้อนถูกขุดเจอภายในสิบวัน นอกจากนี้มีเพียงฝั่งซ้ายเท่านั้นที่ถูกขุดไป ทางฝั่งขวาและด้านหน้านั้นยังไม่ถึงขอบเขต ไม่มีผู้ใดรู้เลยว่าพื้นที่นี้ใหญ่เพียงใด
เกือบสี่เดือนแล้วที่เจียงอี้ออกมาจากพื้นที่ต้องห้ามของจอมเวทย์หากเขาไม่กลับไปตอนนี้ เสี้ยววิญญาณของจอมเวทย์ที่เหลืออยู่อาจมลายหายไปตลอดกาล
เจียงอี้ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า“รั่วเสวี่ย ข้าจะต้องไปแล้ว ข้าจะกลับมาทันทีที่ข้าได้สืบทอดวิชาจากจอมเวทย์แล้ว และเราจะแต่งงานกันทันที” เขามองไปที่ซูรั่วเสวี่ยที่กำลังฝืนใจ หัวใจของเจียงอี้ก็เต็มไปด้วยความขมขื่น
นางพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วโอบกอดเจียงอี้อย่างใกล้ชิดและจุมพิตเขา
“โอ้ใช่แล้ว!”
เจียงอี้นึกบางอย่างขึ้นมาได้ทันทีไข่มุกวิญญาณเพลิงส่องสว่างและมีดาบยาวและคันธนูที่งดงามออกมา ศาตราวุธทั้งสองนั้นเปล่งประกายระเรื่อและแผ่กลิ่นอายที่น่ากลัวออกมา แค่มองก็รู้ว่าพวกมันไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ธรรมดาเป็นแน่ เขาส่งศาสตราวุธทั้งสองชิ้นนี้ให้ซูรั่วเสวี่ย “พวกนี้เป็นสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าได้มาจากพื้นที่ต้องห้ามของจอมเวทย์ ข้าให้เจ้าทั้งคู่ เจ้าสามารถหาอันที่เหมาะสมกับเจ้าและขัดเกลามันเมื่อเจ้ามีเวลา”
“เกาทัณฑ์[1]เทวะ?”
ดวงตาของซูรั่วเสวี่ยกระพริบทันทีนางรับธนูมาและชอบมันมากจนไม่สามารถละสายตาจากมันไปได้ อย่างไรก็ตาม นางก็ไม่ได้รับมันมาและคืนเจียงอี้พร้อมกล่าวว่า “เจียงอี้ ธนูคันนี้แต่เดิมเคยเป็นของราชันสวรรค์ กล่าวกันว่าใครก็ตามที่เขาเล็งใส่ คนผู้นั้นจะตายแน่นอน มันทรงพลังเกินไป และมันจะไร้ประโยชน์หากอยู่ที่ข้า เจ้าควรจะเก็บมันเอาไว้นะ”
“ข้า?”
เจียงอี้เคยแกว่งดาบมังกรเพลิงมาแล้วซึ่งมันคงยากสำหรับเขาหากจะต้องเปลี่ยนมาใช้คันธนูนี้ เมื่อซูรั่วเสวี่ยเห็นว่าเขาเกิดความลังเล นางก็เอ่ยความคิดที่นึกขึ้นได้ออกมาทันที “ทำไมไม่มอบมันให้น้องเสี่ยวนู๋ล่ะ? บางทีธนูคันนี้อาจมีพลังมากกว่าเมื่ออยู่ในมือของนาง”
“เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยม!”
เขานำดาบอีกเล่มให้ซูรั่วเสวี่ยและเจียงอี้ก็ตรงไปหาเสี่ยวนู๋อย่างรีบเร่งเขายื่นคันธนูให้นางแล้วพูดว่า “เสี่ยวนู๋ เจ้าลองขัดเกลาธนูวิเศษนี้ได้ไหม? เจาสามารถบินได้หลังจากแปลงร่าง ด้วยธนูคันนี้ เจ้าจะต้องดุร้ายเป็นแน่”
“ช่างเป็นคันธนูที่งดงามจริงๆ!”
เจียงเสี่ยวนู๋ชอบธนูมากเมื่องนางส่งพลังงานสีเขียวออกมาจากฝ่ามือ ธนูก็เปล่งประกายอย่างแผ่วเบา เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวนู๋สามารถขัดเกลามันได้อย่างง่ายดาย
เจียงอี้หยิบแหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณออกมาจากไข่มุกวิญญาณเพลิงและมอบมันให้เสี่ยวนู๋เขาบอกให้นางอยู่ที่เมืองเซี่ยยวี่และรอเขากลับมาจากพื้นที่ต้องห้ามของจอมเวทย์
หลังจากร่ำลาซูรั่วเสวี่ย,เจียงเสี่ยวนู๋, จิ้งจอกน้อย เจียงอี้ก็เดินทางไปยังพื้นที่ต้องห้ามของจอมเวทย์อีกครั้ง
คราวนี้เขาไม่ได้ใช้หยาจื้อแต่เดินทางใต้ดินออกจากพระราชวังแทนนอกจากซูรั่วเสวี่ย, เจียงเสี่ยวนู๋, จิ้งจอกน้อยและผู้อาวุโสเฮ่อแล้วก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาออกไปแล้วแม้แต่เฉากงกง
หน้ากากหนังมนุษย์ที่ซูรั่วเสวี่ยสร้างไว้ก็ถูกนำออกมาใช้อีกครั้งหุ่นเชิดนั้นแสร้งทำเป็นเจียงอี้และแสดงตัวในเมืองเซี่ยยวี่เพื่อรักษาขวัญกำลังใจแก่กองทัพ
เจียงอี้ตรงไปยังป่าอเวจีผ่านทางใต้ดินเขาเดินทางทั้งวันทั้งคืนและใช้เวลาเพียงสิบวนเท่านั้นในการมาถึงป่าอเวจี และเข้าสู่พระราชวังจักรวาลอย่างง่ายดายโดยใช้ป้ายตราของเขาและตรงไปยังชั้นบนสุด
“ท่านจอมเวทย์ข้ากลับมาแล้ว!”
เขาโค้งคำนับต่อโครงกระดูกอย่างลึกซึ้งและอาคมยับยั้งก็สว่างไสวขึ้นทันทีและเกิดภาพฉายขึ้น ภาพนั้นริบหรี่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เสียงของจอมเวทย์ดังก้องอยู่ในโถงพระราชวัง “เจ้าหนู หากเจ้ากลับมาช้ากว่านี้เพียงเดือนเดียว ข้าเกรงว่าเวทย์มนตร์โบราณของข้าจะได้สาบสูญไป หยุดไร้สาระและรีบจดจำตำราคู่มือการหลั่งเวทย์มนตร์ทั้งสิบนี้ซะ”
บุฟ!
ตัวอักษรสีดำปรากฏตัวต่อกันบนผนังหยกสีขาวข้างหน้าเจียงอี้เขาสลัดความคิดทั้งหมดไปและอ่านมันอย่างตั้งใจ จิตใจของเขาล่องลอยไปเมื่อเขาเห็นทักษะเวทย์มนตร์ครั้งแรก
“ญาณศักดิ์สิทธิ์– ที่สามารถขยายรัศมีไปได้มากกว่าสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นับล้านเท่าและค้นทวีปทั้งทวีปอย่างลับๆได้อย่างง่ายดาย จอมยุทธที่ยังไม่บรรลุขอบเขตเทียนจุนนั้นจะไม่สามารถตรวจพบพวกเขาได้เลย”
สัตว์อสูรหยาจื้อได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับเวทย์มนตร์ให้เจียงอี้ฟังมาก่อนแต่เขาไม่ได้คิดว่าเขาจะได้มีโอกาสเรียนรู้เวทยืมนรต์ที่ทรงพลังเช่นนี้ มันสามารถเพิ่มสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้เป็นล้านเท่าและผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังไม่สามารถล่วงรู้ถึงพวกเขาได้! นี่เป็นทักษะเวทย์ที่สุดยอด หากเขามีพลังเช่นนี้ เขาก็คงจะอยู่ยงคงกระพัน, แม้กระทั่งต่อต้านผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกัง
[1]เกาทัณฑ์คือ ธนู
บทที่ 400 ร่างจำแลงคณานับ
หลังจากที่อ่านตำราญาณศักดิ์สิทธิ์ไปได้เพียงแค่ชั่วครู่ สีหน้าของเจียงอี้ก็มืดทะมึน เขาตระหนักได้ว่าศาสตร์วิชาแขนงนี้เรียนรู้ได้ไม่ยาก แต่ถ้าหากปราศจากจิตวิญญาณที่ทรงพลัง เขาจะไม่สามารถใช้มันได้
ตามที่บันทึกเขียนไว้ หากต้องการที่จะใช้มัน ผู้ฝึกฝนจำเป็นต้องยกระดับจิตวิญญาณให้อยู่ในระดับที่สามเสียก่อน ในขณะเดียวกันจิตวิญญาณของเจียงอี้ในตอนนี้ยังคงอยู่เพียงแค่ระดับที่สองเท่านั้น
เมื่อมาถึงศาสตร์เวทย์ที่สอง เขาก็พบว่ามันคือสิ่งที่เขาคุ้นเคยอย่างหุ่นเชิดมนุษย์โคลน แม้ว่าเนื้อหาจะแตกต่างไปจากที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ แต่ด้วยความทรงจำที่เป็นเลิศ เขาก็สามารถจดจำมันได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อเจียงอี้อ่านมาถึงศาสตร์เวทย์ชนิดที่สาม เขาก็ประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อพบว่ามันคือศาสตร์วิญญาณพฤกษาของหยุนเฟยนั่นเอง เขารู้ดีว่าศาสตร์วิชาแขนงนี้มีประโยชน์มหาศาล แต่ก็จำเป็นต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยผืนป่าเช่นกัน
ในศาสตร์เวทย์ชนิดที่สี่ มันถูกเรียกว่า ‘นทีเคลื่อนคล้อย’ ซึ่งมีพลังที่ทำให้ผู้ฝึกฝนสามารถเดินอยู่บนผิวน้ำได้ กระทั่งสามารถเคลื่อนตัวได้เร็วกว่าการวิ่งอยู่บนบกเสียอีก เห็นได้ชัดว่ามันเป็นวิชาที่ถูกพัฒนามาจากรูปแบบเต๋าวารีธาตุ
ศาสตร์เวทย์ลำดับต่อมาทำให้เจียงอี้ยิ้มกว้างและตระหนักได้ว่ามันอาจจะเป็นวิชาที่ง่ายที่สุดสำหรับเขา
มันมีชื่อว่า ‘ร่างจำแลงคณนานับ’ แม้จะไม่ได้ถูกกล่าวถึง แต่เขาก็มีความรู้สึกว่าศาสตร์เวทย์แขนงนี้อาจจะถูกตีความมาจากรูปแบบเต๋าระดับกลาง, วายุคณนานับ!
ข้ามมาที่ศาสตร์เวทย์ชนิดที่หก ชื่อของมันคือ ‘สวรรค์ดับเพลิงอเวจี’ ไม่ต้องเอ่ยถามก็รู้แล้วว่าวิชานี้จะต้องมาจากรูปแบบเต๋าอัคคีอย่างแน่นอน
เนื่องด้วยพลังทำลายของเพลิงโลกาและหินวิญญาณเพลิง เจียงอี้จึงมีความสนใจในอัคคีธาตุอยู่เสมอ ดังนั้นเขาจึงจดจำเนื้อหาของมันอย่างรวดเร็วและย้ำเตือนตัวเองว่าศาสตร์เวทย์ชนิดนี้คือสิ่งที่เขาจะต้องฝึกฝนให้ได้ในอนาคต
อย่างไรก็ตาม หลังจากศาสตร์เวทย์ชนิดที่เจ็ดขึ้นไป เจียงอี้ไม่สามารถทำความเข้าใจหรือเรียนรู้พวกมันได้เลยแม้แต่นิดเดียว เขาทำได้เพียงแค่บันทึกมันไว้ในหัวและศึกษาอย่างจริงจังในอนาคต
โดยใช้เวลาสองวัน ในที่สุดเขาก็สามารถจดจำเนื้อหาของเวทย์โบราณทั้งสิบได้ทั้งหมด
เมื่อเรียบเรียงเนื้อหาทั้งหมดไว้ในหัวเป็นอย่างดีแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมกับเอ่ย
“ท่านจอมเวทย์ ข้าจดจำพวกมันได้หมดแล้ว!”
“ประเสริฐ! แต่จงจำไว้ นอกเหนือจากคนตระกูลหยุนแล้ว เจ้าห้ามถ่ายทอดศาสตร์เวทย์เหล่านี้ให้กับคนนอกอย่างเด็ดขาด”
จอมเวทย์กล่าวด้วยน้ำเสียงอันจริงจัง
“นอกจากนี้ เจ้าห้ามบันทึกพวกมันในรูปแบบลายลักอักษร หรือไม่เจ้าก็ต้องทำลายบันทึกพวกนั้นทันทีหลังจากที่ถ่ายทอดวิชาให้กับผู้อื่นแล้ว”
“นี่คือกฎที่บรรพบุรุษตระกูลหยุนสร้างขึ้น พวกเรายอมที่จะทำลายมันเสียดีกว่าปล่อยให้คนนอกได้มันไป”
“งึก! งึก!”
เจียงอี้พยักหน้ารัวๆ ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกประหลาดใจในโชคของตัวเองอยู่ไม่น้อย
หากเขาไม่ได้บังเอิญพลัดหลงเข้ามาในที่แห่งนี้หรือมาถึงช้าไปอีกเล็กน้อย เกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้นเศษเสี้ยววิญญาณคงจะสูญสลายไปและทำให้เวทย์โบราณทั้งหมดต้องสูญหายไปด้วย
ศาสตร์เวทย์โบราณเหล่านี้คือวิชาที่ถูกพัฒนาโดยอาศัยความทุ่มเททั้งหมดของราชันสวรรค์ผู้หนึ่ง มันแตกต่างจากทักษะวิชาระดับต่ำอย่างสิ้นเชิง ทุกวิชาถูกบรรจุไว้ด้วยแก่นแท้และความรู้ที่ได้รับจากการตีความรูปแบบเต๋า พวกมันจะเป็นประโยชน์อนันต์สำหรับผู้ที่ฝึกฝน ในขณะเดียวกันต่อให้มีทองกองเท่าภูเขาก็ไม่อาจหาซื้อพวกมันได้
จอมเวทย์หยุดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยต่อ
“ข้าไม่สนใจลาภยศเงินทองและอุทิศชีวิตทั้งหมดเพื่อทำการศึกษาเต๋าวรยุทธ ดังนั้นข้าจึงทำความเข้าใจกับค่ายกลและอาคมยับยั้งตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา”
“พวกมันมีความซับซ้อนและจำเป็นต้องใช้เวลามากในการทำความเข้าใจ… อย่างน้อยก็ต้องร้อยปีล่ะนะหากต้องการที่จะเข้าใจพวกมันอย่างลึกซึ้ง”
“แน่นอน หากว่าเจ้าต้องการที่จะศึกษา มันก็จะเป็นประโยชน์ต่อการตีความรูปแบบเต๋าเช่นกัน เจ้าสมควรรู้ไว้ว่าค่ายกลที่น่ากลัวสามารถกำจัดยอดฝีมือขอบเขตจินกังหรือแม้กระทั่งราชันสวรรค์ได้เลยทีเดียว”
“ข้าได้ตกผนึกความรู้ทั้งหมดและจัดวางมันไว้ในห้องลับ ถ้าเจ้าต้องการที่จะเรียนรู้ เช่นนั้นก็จงทำมัน แต่ถ้าไม่ ข้าก็อยากไหว้วานให้เจ้าส่งผ่านพวกมันให้กับเหล่าลูกหลานที่มีพรสวรรค์ของตระกูลหยุนที”
ครื้นนนน!
เมื่อกล่าวจบ ผนังด้านขวาก็ส่องสว่าง ประตูหินเปิดออกและเผยให้เห็นห้องด้านใน เมื่อเจียงอี้มองเข้าไป เขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบเห็นตำรานับหมื่นเล่มที่เรียงรายกันอยู่บนกำแพง
จะต้องใช้เวลากี่ปีกันกว่าจะอ่านตำราพวกนี้จนหมด?
“เก็บมันไว้ก่อน ส่งต่อพวกมันให้กับตระกูลหยุนหากว่าเจ้าต้องการ”
เจียงอี้เดินเข้าไปด้านในและเก็บตำราทั้งหมดลงไปในไข่มุกวิญญาณเพลิง จากนั้นจอมเวทย์ก็เอ่ยต่อ
“ข้าจะปล่อยให้เจ้าทำความเข้าใจกับศาสตร์เวทย์โบราณไปก่อน… จริงสิ อย่าเพิ่งไปสนใจกับศาสตร์เวทย์สี่ลำดับสุดท้าย คุณสมบัติของเจ้าในตอนนี้ยังไม่เพียงพอที่จะฝึกฝนพวกมัน”
“สำหรับศาสตร์เวทย์หกลำดับแรก เจ้าจงเรียนรู้พวกมันให้ได้อย่างถ่องแท้ หากว่าติดขัดตรงไหน จงอย่าลังเลที่จะสอบถามข้า”
“ขอรับ!”
เจียงอี้พยักหน้าและเริ่มนั่งขัดสมาธิทันที สำหรับวิชาแรกนั้น เนื่องด้วยจิตวิญญาณของเขาไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขที่เพียงพอ เขาจึงไม่สามารถเรียนรู้มันได้
ศาสตร์หุ่นเชิดมนุษย์โคลนก็ไม่ได้มีประโยชน์มากนัก ในขณะที่ศาสตร์วิญญาณพฤกษาและศาสตร์นทีเคลื่อนคล้อยจำต้องเป็นพึ่งพาสภาพแวดล้อมมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงละความสนใจจากพวกมันอย่างรวดเร็วและหันมาให้กับความสำคัญกับสวรรค์สยบเพลิงอเวจีและร่างจำแลงคณานับแทน
สำหรับร่างจำแลงคณานับ แม้ว่าพวกมันจะเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา แต่จอมยุทธที่ปราศจากสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังก็ไม่สามารถที่จะบอกความแตกต่างระหว่างร่างจริงและร่างปลอมได้ ซึ่งวิชานี้เองที่จะกลายเป็นหนึ่งในไพ่ตายสำหรับหลบหนีที่ดีที่สุด!
เดิมทีศาสตร์ญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นหนึ่งในสิ่งที่เจียงอี้อยากจะเรียนรู้มากที่สุด แต่เนื่องจากไม่สามารถค้นหาสมุนไพรวิญญาณที่ช่วยในการยกระดับจิตวิญญาณ เขาก็เหลือเพียงแค่ทางเดียวนั่นก็คือการบ่มเพาะมันด้วยตัวเอง ดังนั้นศาสตร์ร่างจำแลงคณานับจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้
……
เมื่อฝึกฝนมาได้ระยะหนึ่ง เจียงอี้ก็มั่นใจแล้วว่าร่างจำแลงคณานับถูกพัฒนามาจากเต๋าวายุคณานับจริงๆ เขาสามารถทำความเข้าใจมันได้บางส่วนหลังจากที่ผ่านไปเพียงห้าวัน ขณะเดียวกันจิตวิญญาณของเขาก็กำลังถูกบ่มเพาะอย่างต่อเนื่อง
เมื่อผ่านไปอีกสามวัน ประกายแสงสีขาวก็กระพริบอยู่บนตัวของเจียงอี้ จากนั้นแก่นแท้พลังของเขาก็เริ่มโคจรไปรอบๆก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น
วิ้งง!
สายลมรอบตัวเริ่มหมุนวนและก่อเกิดเป็นร่างๆหนึ่งซึ่งดูเหมือนกับเจียงอี้ทุกประการ แม้ว่ามันจะพร่ามัวไปบ้าง แต่ถ้าหากพิจารณาเพียงแค่ลักษณะ ต่อให้เป็นซูรั่วเสวี่ยก็ไม่สามารถแยกแยะพวกเขาได้
ฟึ่บ!
แต่ในชั่วพริบตาต่อมา ร่างจำแลงของเขาก็จางหายไป
“ไม่เลวเลย! ในเวลาน้อยกว่าสิบวัน เจ้าสามารถเข้าใจศาสตร์ร่างจำแลงคณานับได้บางส่วนแล้ว หากวันใดที่เจ้ามีความเข้าใจมากกว่านี้ เจ้าจะสามารถสั่งให้พวกมันเคลื่อนไหวได้ตามใจปรารถนา”
“และถ้าหากเมื่อใดที่เจ้าสามารถสร้างร่างจำแลงได้หนึ่งหมื่นร่างและคงสภาพพวกมันไว้พร้อมกับสั่งให้พวกมันเคลื่อนไหวได้ตลอดหนึ่งวันเต็ม วันนั้นคือวันที่เจ้าสำเร็จขั้นบรรลุของวิชานี้ได้อย่างแท้จริง”
“อย่างไรก็ตามจิตวิญญาณของเจ้าในตอนนี้อ่อนแอเกินไป เจ้าควรที่จะออกตามหาสมุนไพรวิญญาณหรือไม่ก็ศาสตร์บ่มเพาะดวงจิตเพื่อยกระดับจิตวิญญาณของเจ้า มิฉะนั้นเจ้าจะไม่มีทางสำเร็จขั้นบรรลุของวิชานี้หรือแม้กระทั่งวิชาอื่นๆ”
เจียงอี้รับฟังอย่างตั้งใจ เขารู้ตัวดีว่าจิตวิญญาณของตนอ่อนแอนัก เขามีเพียงแค่สองทางในการยกระดับมัน หากไม่ใช่การหยิบยืมพลังจากสมุนไพรวิญญาณ เขาก็อาจจะต้องขอร้องให้ซูรั่วเสวี่ยถ่ายทอดศาสตร์บ่มเพาะดวงจิตให้ เพราะอย่าลืมว่าพลังวิญญาณคือจุดแข็งของตระกูลซู!
เขาเหลือเวลาไม่มากนัก ในขณะที่เศษเสี้ยววิญญาณของจอมเวทย์สามารถจางหายไปได้ทุกเมื่อ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าทิ้งเวลาให้สูญเปล่าและมุ่งสมาธิไปที่เวทย์โบราณลำดับต่อไปทันที
สวรรค์สยบเพลิงอเวจี!
นี่เป็นศาสตร์เวทย์ที่ทำให้เจียงอี้รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก! เพราะมันเกี่ยวข้องกับไฟ! หากว่าจอมยุทธสามารถฝึกฝนมันได้ถึงระดับหนึ่ง คนผู้นั้นสามารถกำราบยอดฝีมือขอบเขตจินกังด้วยไฟของเขาได้
และถ้าหากใช้มันร่วมกับเพลิงวิเศษแห่งฟ้าดิน มันกระทั่งสามารถแผดเผาราชันสวรรค์ผู้หนึ่งจนนำไปสู่ความตายได้เลยทีเดียว!
”เพลิงวิเศษแห่งฟ้าดิน?”
เจียงอี้นึกถึงเปลวเพลิงอเวจีที่อยู่ในหุบเขาชิงวิญญาณ มันจึงทำให้เขาอดที่จะรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ หากว่าเขาสำเร็จขั้นบรรลุของวิชานี้ เขาแทบจะไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวยอดฝีมือคนใดในทวีปแห่งนี้อีกเลย!