เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 405-406
บทที่ 405 ใครก็ตามที่ได้มันมา เราจะไปเอามันมาจากพวกนั้น
เฉียนว่านก้วนตอบกลับข้อความในวันต่อมาและคำตอบนั้นก็ทำให้เจียงอี้พูดไม่ออก เฉียนว่านก้วนกล่าวว่ามีคนพบสัตว์อสูรหากยากในทะเลตะวันตก … ผึ้งทมิฬ
ผึ้งทมิฬเป็นผึ้งชนิดหนึ่งตามธรรมชาติแต่มันไม่ธรรมดา ไม่เพียงแต่มันจะสามารถเติบโตได้ยาวกว่าหนึ่งเมตร แต่ท้องของมันยังโป่งพองออกมาเหมือนสตรีมีครรภ์ด้วย ผึ้งทมิฬนี้มีเหล็กในที่เป็นพิษร้ายแรงและเหยื่อเกือบทั้งหมดจะตายเมื่อถูกเหล็กในของมัน อย่างไรก็ตาม น้ำผึ้งของผึ้งทมิฬนั้นก็เป็นวัตถุดิบเสริมระดับยอมเยี่ยมและอยู่ในอันอับที่สามในสิบของสมบัติฟ้าดิน
นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญสิ่งที่สำคัญคือ…น้ำผึ้งของผึ้งทมิฬสามารถยืดอายุของจอมยุทธได้ มันสามารถเพิ่มอายุขัยของพวกเขาได้มากกว่าสองสามทศวรรษหลังจากที่ลิ้มรสน้ำผึ้งไปแล้ว!
ไม่ใช่ว่าจอมยุทธทุกคนหมั่นฝึกฝนก็เพื่อยืดอายุขัยของพวกเขาหรอกหรือ?นอกจากนี้ยังมีผู้มีอิทธิพลมากมายที่มีตำแหน่งและอำนาจที่ดีเยี่ยมซึ่งคงต้องการมีชีวิตที่ยาวนานขึ้นเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว และแน่นอน! เหล่าสตรีที่มีสถานะอันสูงส่งนั้นคือผู้ที่กังวลเกี่ยวกับน้ำผึ้งที่สุด นอกจากมันจะสามารถยืดอายุขัยได้แล้ว มันยังคงสามารถบำรุงผิวพรรณและยังคงความเยาว์วัยของพวกนางได้ด้วย
ไม่กี่พันปีก่อนเมื่อมีคนพบรังผึ้งทมิฬ เหล่าผู้เชี่ยวชาญทั่วทวีปก็ได้รวมตัวกันเพื่อต่อสู้แย่งชิงน้ำผึ้งอันน้อยนิด ในที่สุดหลังจากที่ผู้เชี่ยวชาญนับร้อยตกตายไป ผู้ที่กุมชัยชนะไปก็คืออาณาจักรเป่ยเหลียงและองค์ราชาของรัชสมัยนั้นก็มีอายุขัยเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยปี
ผึ้งทมิฬนั้นเป็นสัตว์อสูรระดับสามขั้นสูงและจะมีอย่างน้อยสามหมื่นตัวในรังเดียวพวกมันมีพิษที่น่ากลัว แต่ตราบใดที่พวกเขาระมัดระวัง มันก็ไม่ยากที่จะจัดการกับมัน
เจียงอี้ไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนักแต่เฉียนว่านก้วน, จ้านอู๋ซวง และแม้แต่หยุนเฟยก็ยังไปที่นั่น เขาเลยอยากรู้อยากเฆ้นเล็กน้อยและหลังจากที่เขาได้ข้อมูลมาเขาก็พึมพำอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “ราชินีรั่วเสวี่ยได้ส่งใครไปบ้างหรือไม่?”
“นางส่งไปขอรับ!”
ผู้ดูแลพยักหน้าและตอบว่า“อย่างไรก็ตาม นางส่งไปเพียงแม่ทัพขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดไปพร้อมกับคนอีกเพียงไม่กี่คนและสมบัติมากมาย ข้าน้อยคิดว่านางไม่ได้ขอให้พวกเขาไปต่อสู้เพื่อมัน แต่ใช้สมบัติแลกมันมาบางส่วนขอรับ”
“เอ่อ!”
เจียงอี้รู้สึกไม่สบายอกไม่สบายใจนางเป็นองค์ราชินีของหนึ่งในหกอาณาจักรและนางส่งผู้คนไปเพียงไม่กี่คน? มันยังเทียบไม่ได้แม้แต่กับตระกูลชนชั้นสูงเลย ผู้ปกครองอาณาจักรต้องการบางอย่างและไม่กล้าส่งผู้คนมาฉกมัน แถมพวกเขายังต้องนำสมบัติไปแลกกับมันอย่างจำนน ด้วยการกระทำทั้งหมดนี้ มันก็เหมือนกันว่าผู้ปกครองผู้นี้นั้นก็ไร้อำนาจอย่างแท้จริงเช่นกัน
“รั่วเสวี่ยก็ต้องการน้ำผึ้งด้วยหรือ?”
ใจของเจียงอี้นั้นถูกล่อลวงนับตั้งแต่ที่เขารู้จักซูรั่วเสวี่ย เขาก็ไม่เคยมอบของขวัญที่นางชอบเลย นางชอบเกาทัณฑ์เทวะก็จริง แต่ก็น่าเสียดายที่ระดับพลังของนางนั้นต่ำเกินไปและนางก็ส่งมันไปให้เจียงเสี่ยวนู๋
“เรากำลังจะอภิเษกกันในไม่ช้าหากข้าสามารถนำน้ำผึ้งนั่นมาเป็นของขวัญให้รั่วเสวี่ยได้ นางคงจะดีใจไม่น้อย อืมม…..ข้าจะไปทะเลตะวันตกแล้วกัน ในเมื่อมีคนอยู่ที่นั่นมากมาย พวกเหล่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังคนใดจะกล้าสังหารข้าอย่างเปิดเผยหรือไม่กันนะ?”
เจียงอี้ตัดสินใจอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วของสัตว์อสูรหยาจื้อ การเดินทางจากที่นี่ไปเมืองซีหนิงอาจจะใช้เวลาไปกลับประมาณสองสัปดาห์ เนื่องจากเขาได้สืบทอดวิชาต่อจากจอมเวทย์มาแล้วจึงไม่ต้องกังวลเรื่องเวลาอีกแล้ว
“ส่งข้อความถึงราชินีรั่วเสวี่ยทีบอกนางว่าข้าจะไปเมืองซีหนิง บอกนางให้รอข้ากลับมาอย่างคลายกังวลด้วย”
เจียงอี้สั่งการผู้ดูแลและออกจากเมืองเล็กๆไปขณะที่เขาขี่อยู่บนสัตว์อสูรหยาจื้อเขาบินตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือและไปถึงบริเวณใกล้ๆป่าอเวจีอย่างรวดเร็ว
บุฟ!
เขามองไปรอบๆเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นก่อนที่เขาจะนำดาบมังกรเพลิงออกมาเขารวบรวมแก่นแท้พลังสีส้มและเทลงไปในดาบมังกรเพลิง จากนั้นเขาก็ผ่าลงไปที่ผืนป่าด้านหน้าอย่างแรง
ฟึ่บฟั่บ!
แก่นแท้พลังสีส้มได้แยกตัวออกเป็นมังกรเพลิงจิ๋วนับหมื่นทันทีและพุ่งไปข้าหน้าผืนป่าทั้งหมดถูกทำลายลงในทันทีขณะที่ดินและหินบนพื้นผิวดินกลายเป็นฝุ่นทันที มีการระเบิดอย่างรุนแรงซึ่งทำให้ท้องฟ้าถูกปกคลุมไปด้วยควันและฝุ่นทันที
“แม่เจ้า!”
เมื่อฝุ่นและควันเริ่มซาลงเจียงอี้ก็ตกตะลึงหลังจากที่มองดูรอบๆพื้นที่ที่ถูกทำลายไป ป่าทั้งหมดได้ถูกทำลายและรัศมีรอบๆก็ประมาณหนึ่งกิโลเมตร พื้นผิวดินกลายเป็นหลุมขนาดยักษ์ที่มีความลึกอย่างน้อยร้อยเมตร
“ราชันอสูรไปกันเถอะ!”
เจียงอี้นั้นมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นการโจมตีนี้เทียบได้กับการโจมตีของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดแล้ว เขาจะต้องสกัดกลั่นศิลาสวรรค์ให้มากขึ้นและความแข็งแกร่งด้านการโจมตีของเขาก็จะเปรียบได้กับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกัง
สัตว์อสูรหยาจื้อบินไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือและเจียงอี้ขอให้มันบินขึ้นไปบนท้องฟ้าอีกสามสิบกิโลเมตรซึ่งจอมยุทธทั่วไปจะไม่สามารถรับรู้ถึงพวกเขาได้แต่สำหรับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกัง? ตอนนี้เขากำลังเดินทางไปยังชายแดนของอาณาจักรเซิ่งหลิงและอาณาจักรเทียนเซวี่ยนซึ่งก็หมายความว่ามันไม่มีความเป็นไปได้ที่จะมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังอยู่ด้านล่าง
นอกจากนี้แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังจะสัมผัสถึงพวกเขาได้ แต่เขาก็ไม่ได้เกรงกลัวเลย ใครจะกล้าฆ่าเขาอย่างเปิดเผย? นอกจากนี้สัตว์อสูรหยาจื้อไม่ใช่เพียงแค่สัตว์อสูรที่มีแค่ร่างที่ใหญ่อย่างเดียวเสียหน่อย
…
เมืองซีหนิงซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอาณาจักรเทียนเซวี่ยนและยังใกล้ทะเลในปัจจุบันนี้ก็คึกคักไปด้วยความตื่นเต้น การมารวมตัวกันของเหล่าผู้เชี่ยวชาญทำให้ใต้เท้าแห่งเมืองซีหนิง หยุนลี่ ตื่นตระหนกจนทำให้เขาต้องอดนอนทั้งคืน
เมืองนี้อาจมีทหารนับหมื่นแต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวน้อยกว่าร้อยนาย ในตอนนี้ เหล่าคุณชายและคุณหนูจากตระกูลต่างๆก็ได้พาผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวมามากมายซึ่งนับได้กว่าห้าร้อยคน
โชคดีที่หยุนเฟยได้นำคนของนางมาด้วยขณะที่จ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนก็นำผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวมาด้วยเช่นกัน ด้วยคุณหนูและคุณชายจากตระกูลชั้นสูงรวมไปถึงองค์ชายและองค์หญิงอยู่แถวนี้ จึงไม่มีใครกล้าทำตัวมุทะลุ ดังนั้นมันจึงทำให้หยุนลี่โล่งใจเล็กน้อย
ในช่วงเวลานี้ยอดเขาทั้งหมดและถิ่นทุรกันดารในบริเวณรอบๆเมืองซีหนิงเต็มไปด้วยหน่วยสอดแนม แต่ก็ไม่มีใครสามารถหารังของผึ้งทมิฬพบ
เห็นได้ชัดว่ารังของผึ้งทมิฬน่าจะอยู่ที่เกาะใดเกาะหนึ่งของทะเลตะวันตกเมื่อไม่นานมานี้เหล่าองค์ชาย องค์หญิง คุณชายและคุณหนูต่างก็พากันหาซื้อสิ่งของที่จำเป็นต่อการออกทะเล สิ่งนี้จะช่วยให้ร้านค้าในเมืองซีหนิงทำกำไรได้เป็นจำนวนมหาศาล
แต่การออกทะเลนั้นเป็นสิ่งที่อันตรายมาก!
มีปีศาจทะเลมากมายอยู่ในทะเลและคุณหนูคุณชายเหล่านี้ไม่ได้มีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ หากพวกเขาบังเอิญตกลงไปในทะเล ผลที่ตามมาก็ไม่สามารถจะจินตนาการได้เลย ดังนั้นตระกูลต่างๆและเหล่าตระกูลราชวงศ์จึงได้เตรียมการอย่างดี พวกเขาเตรียมเรือไม้หลายสิบลำซึ่งได้ถูกเก็บไว้ในแหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณเพื่อป้องกันโชคร้ายหากเรือลำปัจจุบันของพวกเขาอับปาง
สามวันต่อมามีเรือหลายลำออกสู่ทะเล และเหล่าลูกหลานราชวงศ์และผู้สูงศักดิ์ทั้งหมดก็ตื่นเต้นมาก ทะเลนั้นถือเป็นพื้นที่ต้องห้ามของทวีปเทียนชิงและผู้คนเหล่านี้ก็ไม่มีโอกาสได้ออกท่องทะเลเลย
แต่ตอนนี้เป็นเพราะผึ้งทมิฬ ทุกคนจึงมารวมตัวกันมาที่นี่และคอยดูแลซึ่งกันและกันซึ่งทำให้พวกเขามีโอกาสอันยิ่งใหญ่นี้ เหล่าตระกูลราชวงศ์และตระกูลชั้นสูงนั้นต้องพิจารณาเรื่องนี้และปล่อยให้พวกเขาเสี่ยงเช่นนี้ เนื่องจากพวกเขาต้องประสบกับความลำบากบ้างจึงจะทำให้พวกเขาได้เติบโตอย่างรวดเร็ว
คราวนี้จักรวรรดิมังกรเวหาส่งองค์ชายหลิงเฟยและองค์หญิงหลิงเยว่มา อาณาจักรเป่ยหมางส่ง เซียวเทียนหูจากตระกูลขุนนางอันดับหนึ่ง, เตาจ้าน, และคนอื่นๆ ส่วนอาณาจักรเสินหวู่ส่งเซี่ยเฟยหยู, เจียงนี่หลิว, จ้านอู๋ซวง, จ้านหลินเอ๋อร์, เฉียนว่านก้วน, และคนอื่นๆมา อาณาจักรเทียนเซวี่ยนนั้นส่งหยุนเฟยและนายน้อยหั่วซู่มาเท่านั้น อาณาจักรเป่ยเหลียงส่งองค์หญิงและนายน้อยอีกแปดคนมา อาณาจักรเซิ่งหลิงก็ส่งองค์หญิงและนายน้อยกว่าสิบคนมาเช่นกัน
สำนักทั้งสามก็ได้ส่งรองเจ้าสำนักและศิษย์มากลุ่มหนึ่งสุ่ยเชี่ยนโหรวผู้ถูกเจียงอี้ฉีกหน้าไปก็ได้อยู่ในภาวะตกต่ำ ดังนั้นสุ่ยโย่วหลานจึงใช้โอกาสนี้ให้นางพาคนกลุ่มหนึ่งออกมาที่นี่เพื่อบรรเทาความเครียดของนางและกันไม่ให้นางลืมเลือนไป ส่วนอารามเซนก็ยังส่งนักบวชน้อยฮุ่ยเกินมาพร้อมกับภิกษุทั้งหลาย
ตู๋กูเยี่ยนก้มาที่นี่ด้วยเช่นกันและจำนวนคนที่นางนำมาด้วยก็ไม่น้อยไปกว่าตระกูลอื่นๆเลย สตรีส่วนใหญ่กังวลเกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอกของพวกนางและน้ำผึ้งของผึ้งทมิฬนี้ก็เป็นเครื่องบำรุงที่ดีที่สุดซึ่งสามารถยืดอายุขัยและยังชะลอการชราได้ นอกจากนี้นางยังจะได้เจอกับเหล่านายน้อยอัจฉริยะทั้งหมดในนทวีปนี้และนางเองก็คงจะไม่พลาดงานใหญ่ๆเช่นนี้อยู่แล้ว
นี่คือการรวมตัวกันของเหล่ารุ่นเยาว์ที่มีความสามารถและทุกตระกูลก็มีทหารคุ้มกันที่ทรงพลังติดตามมาด้วยมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวมากกว่าห้าร้อยคนและผู้เชี่ยวชาญขั้นสูงสุดนั้นมีมากกว่าร้อยคน แน่นอนว่า ไม่มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังมาเพราะมันเป็นเพียงรังของผึ้งทมิฬ หากว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังเคลื่อนไหว มันก็จะเหมือนกับว่าพวกเขากำลังสร้างเรื่องยุ่งยากให้กับเรื่องเล็กๆน้อยๆ
สิ่งที่ทุกคนไม่รู้ก็คือ…
สองวันหลังจากที่พวกเขาออกทะเลสัตว์ร้ายตนหนึ่งกำลังตามมาอย่างเงียบๆ เจียงอี้นั่งอยู่ข้างบนอย่างสบายใจและมองดูจุดดำเล็กๆจากไกลๆ เขาหัวเราะอย่างซุกซนและพูดว่า “ราชันอสูร ตามพวกเขาอยู่ไกลๆและอย่าเข้าไปใกล้มากเกินไป เราจะปล่อยให้พวกนั้นสู้กันที่ด้านหน้าขณะที่เราก็ค่อยเป็นอุปสรรคจากด้านหลัง ใครก็ตามที่ได้มันมา เราจะไปเอามันมาจากพวกนั้น!”
บทที่ 406 ผู้ใดกล้ากลั่นแกล้งเจ้าอ้วนของข้า?
เนื่องจากการปรากฏตัวของผึ้งทมิฬในบริเวณใกล้เคียงกับเมืองซีหนิง ดังนั้นรังของพวกมันจึงไม่ควรอยู่ไกลเกินไป บางทีมันน่าจะตั้งอยู่ในเกาะใดเกาะหนึ่งในระยะสามหมื่นกิโลเมตรของทะเลภูมิภาคตะวันตก
แม้บริเวณดังกล่าวจะเต็มไปด้วยปีศาจทะเลมากมายแต่กลับไร้ซึ่งชนชั้นราชันคอยปกครอง ดังนั้นจึงค่อนข้างปลอดภัยกับกองเรือที่กำลังแล่นอยู่บนผิวทะเล
เมื่อใดก็ตามที่มีปีศาจทะเลเข้ามาใกล้ หน่วยลาดตระเวนก็จะส่งสัญญาณทันที หลังจากนั้นกลุ่มผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวก็จะมุ่งหน้าไปกำราบพวกมัน
การเดินทางด้วยเรือเต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย พวกเขาออกค้นหาเกาะน้อยใหญ่ทุกแห่ง ทำให้ในเวลาไม่ช้า เหล่าชนชั้นสูงทั้งหลายต่างก็ลดหย่อนความตึงเครียดและหันไปเพลิดเพลินกับวิวทิวทัศน์แทน
อันที่จริง หลายคนเริ่มรู้สึกว่าการเดินทางในครั้งนี้ได้กลายเป็นการพักร้อนไปโดยปริยาย เหล่าคุณหนูและคุณชายหลายคนต่างก็เริ่มจับกลุ่มพูดคุยกันและปล่อยให้หน้าที่การค้นหารังของผึ้งทมิฬกลายเป็นงานของผู้ใต้บังคับบัญชา
อีกเหตุผลหนึ่งที่กลุ่มอิทธิพลต่างๆปล่อยให้ลูกหลานของพวกเขาออกมาผจญภัยก็เพราะต้องการที่จะขัดเกลาเด็กๆเหล่านั้นและยังอยากจะให้พวกสร้างความสัมพันธ์กับทายาทจากตระกูลอื่น
บัดซบ!
ในขณะที่ผู้คนในกองเรือด้านล่างกำลังสนุกสนานกับมื้ออาหาร เจียงอี้ที่อยู่เหนือขึ้นไปสามสิบกิโลเมตรก็สาปแช่งอยู่เงียบๆ
เนื่องจากอยู่บนฟ้า ทำให้เขาแทบจะต้องปะทะกับกระแสลมตลอดเวลาและไม่อาจพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ หลังจากที่ผ่านไปสามวันและเห็นว่ากองเรือเริ่มผ่อนความเร็วลง เขาเองก็รีบออกคำสั่งกับอสูรหยาจื้อทันที
“อสูรหยาจื้อ บินไปที่เกาะตรงนั้น!”
เจียงอี้มองเห็นเกาะขนาดกลางอยู่ด้านหน้า เขาสั่งให้อสูรหยาจื้อบินอ้อมกองเรือไปและร่อนลงที่นั่นอย่างเงียบๆ
ฟึ่บ!
เขานำราชันสัตว์อสูรกลับเข้าไปในราชวังจักรวาลก่อนที่จะหยิบหน้ากากร้อยหน้าขึ้นหน้าขึ้นมาและปลอมตัวเป็นชายวัยกลางคนที่ดูแข็งกระด้าง จากนั้นก็เดินสำรวจรอบเกาะด้วยความสบายใจ
ฟึ่บ! ฟึ่บ!
หนึ่งชั่วโมงต่อมา กองเรือก็มาถึงยังเกาะที่เจียงอี้อยู่ บรรดาผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวต่างก็ทยอยกันลงมาจากเรือและทำการสำรวจเกาะพร้อมกับค้นหารังของผึ้งทมิฬ
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ออกค้นหาไปได้สักระยะ พวกเขาไม่พบแม้แต่เงาของรังผึ้งทมิฬแต่กลับพบเจียงอี้แทน!
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวสี่คนปิดล้อมเขาไว้ หนึ่งในนั้นตะโกนออกมา
“เจ้าเป็นใคร?”
เจียงอี้ขมวดคิ้ว เขาไม่รู้สี่คนนี้เป็นคนของตระกูลใด อีกด้านหนึ่ง คนที่เหมือนจะเป็นผู้นำกลุ่มก็เอ่ยขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นว่าชายแปลกหน้ายังคงเงียบงัน
“เจ้าเป็นใคร? ทำไมถึงไม่คุ้นหน้าเลย?”
“นั่งไม่เปลี่ยนชื่อ ยืนไม่เปลี่ยนแซ่ ข้าผู้นี้มีนามว่าเฉียนป้าเทียน!”
“คนของตระกูลเฉียน?”
คนทั้งสี่ลอบส่งสายตากัน จากนั้นก็หันกลับมามองเจียงอี้ด้วยความเย้ยหยัน “เจ้าเป็นคนของตระกูลเฉียนแต่กลับไม่รู้จักพวกเรา? ไหน เอาป้ายแสดงตัวขึ้นมาดูหน่อย หรือแท้จริงแล้วเจ้าเป็นสายลับกันแน่? เหอะ หากว่าไม่มีหลักฐานยืนยันตัวตน เช่นนั้นก็อย่าได้หาว่าพวกเราหยาบคาย!”
ชิ้ง! ชิ้ง!
เมื่อกล่าวจบ สี่ผู้เชี่ยวชาญก็นำอาวุธออกมาและโคจรแก่นแท้พลังเพื่อเตรียมโจมตี
เจียงอี้เริ่มบ่นอุบอิบในใจ เดิมที่เขาคิดว่าถ้าหาเรือของเฉียนว่านก้วนเจอ เขาจะได้อยู่ในนั้นอย่างสุขสบายและรอเวลาสำหรับการปล้นสะดมเท่านั้น แต่เพียงแค่เวลาไม่นาน เขากลับต้องเปิดเผยตัวแล้ว? แล้วเช่นนี้จะไม่ทำให้เขาหงุดหงิดได้ยังไง?
เขาไม่ได้หวาดกลัวคนของตระกูลใหญ่ อันที่จริงเขาไม่หวาดกลัวผู้ใดทั้งสิ้น แต่มันจะเป็นการดีกว่าที่จะไม่เผยตัวเร็วเกินไป เขาไม่อยากเปลืองแรงที่จะออกค้นหารังผึ้งทมิฬด้วยตัวเอง นอกจากนี้เขาไม่รู้เคล็ดลับการเก็บน้ำผึ้งด้วยซ้ำ
หรือจะสังหารพวกมันดี?
ดวงตาของเจียงอี้เผยจิตสังหาร แต่วินาทีต่อมาเขาก็ปฏิเสธความคิดนี้ทันที หากพวกมันทั้งสี่คนตายไป มันจะกลายเป็นการแจ้งเตือนผู้อื่นและทำให้เรื่องทั้งหมดยุ่งยากมากกว่าเดิม
เขารีบกวาดสายตาสำรวจกลุ่มคนตรงหน้าและไปสะดุดกับสัญลักษณ์อันแสนคุ้นเคยที่อยู่ตรงมุมเสื้อของพวกมัน จากนั้นเขาก็หัวเราะเบาๆพร้อมกับเอ่ย
“ฮ่าฮ่า! ข้าก็นึกว่าตระกูลใดที่กล้าทำตัวเย่อหยิ่งเช่นนี้ พวกเจ้าคงจะเป็นคนของตระกูลเจียงสินะ ได้ยินมาว่านายน้อยนี่หลิวของพวกเจ้ากำลังวางแผนที่จะสังหารประมุขน้อยของข้าอยู่นิ?”
เจียงนี่หลิวถูกกักบริเวณเป็นเวลาหนึ่งปีและเพิ่งจะถูกปล่อยตัวออกมา เขาเบื่อจนแทบจะกลายเป็นบ้าแต่ก็ยังโชคดีที่เขาประสบความสำเร็จเล็กๆบนเส้นทางการบ่มเพาะ
ประจวบกับมีเหตุการณ์เกี่ยวกับผึ้งทมิฬเกิดขึ้นพอดี เขาจึงใช้โอกาสนี้ปลดปล่อยความเบื่อหน่ายและกลับสู่สังคมอีกครั้ง
เจียงอี้ได้รับข้อมูลเกี่ยวกับเจียงนี่หลิวจากผู้ดูแลหมู่บ้านตระกูลเฉียนที่เขาไปแวะก่อนหน้า ดังนั้นเมื่อเห็นสัญลักษณ์ตระกูลเจียงบนเสื้อของผู้เชี่ยวชาญทั้งสี่ เขาจึงตอบโต้และข่มขู่พวกมันกลับไปในเวลาเดียวกัน
เป็นไปตามคาด—!
เมื่อเจียงอี้พูดจบ พวกมันทั้งสี่ก็ผงะไปชั่วครู่ หลังจากที่ลอบสบตากัน พวกมันก็ยอมถอยกลับไปอย่างไม่เต็มใจ
โดยไม่รอช้า เมื่อเห็นว่าคนทั้งสี่จากไปแล้ว เจียงอี้ก็รีบมุ่งหน้าไปยังชายฝั่งและออกค้นหาเรือที่น่าจะเป็นของจ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนในทันที
ฟึ่บ!
หลังจากที่ใช้เวลามองหาอยู่ชั่วครู่ ในที่สุดเจียงอี้ก็ไปสะดุดตากับเรือลำหนึ่ง
“ธงเสือดาวทองคำ!”
เขาจำได้ว่ามันคือธงของตระกูลเฉียน ดังนั้นเขาจึงรีบมุ่งหน้าไปยังเรือลำนั้นทันที แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เข้าไปใกล้ จู่ๆผู้เชี่ยวชาญสามคนก็มาปรากฏตัวบนดาดฟ้าเรือและตะโกนออกมา
“ใครอยู่ตรงนั้น? หยุดเดี๋ยวนี้!”
“ข้าเอง!”
เจียงอี้ยิ้มพลางนำไข่มุกวิญญาณเพลิงขึ้นมาอย่างเงียบๆ เขาหยิบป้ายชิ้นหนึ่งออกมาและโยนไปบนเรือ จากนั้นก็กระโดดตามขึ้นไป
“นายน้อยว่านก้วนของพวกเจ้าไม่อยู่หรือ? ข้าต้องการพบเขาหน่อย”
เมื่อเห็นเจียงอี้ทะยานขึ้นมาบนเรือ เหล่าองครักษ์คนอื่นๆต่างก็กรูกันเข้ามาและเตรียมที่จะโจมตี แต่เมื่อผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดหยิบป้ายขึ้นมาดู เขาก็เร่งตะโกนทันที “พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้ ท่านผู้นี้คือ…”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! ตาแก่หลิว มีเจ้าผู้เดียวนี่แหละที่จำข้าได้!”
เมื่อเจียงอี้เห็นว่าคนตรงหน้ากำลังจะคุกเข่าลงและเตรียมเอ่ยชื่อของเขา เขาก็รีบทะยานเข้าหาชายชราผู้นั้นและแสร้งทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนก่อนที่จะแอบกระซิบที่ข้างหูของเขาเพื่อให้เล่นตามน้ำไป
“อย่าคุกเข่า และอย่าได้เปิดเผยตัวตนของข้า!”
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดผู้นั้นชะงักไปเสี้ยววิ แต่ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมานาน เขาก็สามารเล่นไปตามน้ำได้อย่างลื่นไหล หลังจากที่ทำเป็นพูดคุยเล็กน้อยเขาก็ปล่อยให้เจียงอี้เดินเข้ามาในห้องโดยสารภายในเรือ
เมื่อเจียงอี้ผ่านเข้าไป ชายชราผู้นั้นก็รีบถ่ายทอดคำสั่งให้บุคคลอื่นได้รับรู้ เขากำชับไม่ให้ทุกคนป่าวประกาศนามของเจียงอี้และห้ามคุกเข่าอย่างเปิดเผยเด็ดขาด
“นายน้อยอี้!”
เมื่อเข้ามาด้านในซึ่งปราศจากคนนอก ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดคนเดินก็เดินเข้ามาพร้อมกับคนอื่นๆ ในขณะเดียวกันก็จ้องมองเจียงอี้ด้วยดวงตาที่ส่องสว่าง
เดิมทีพวกเขาได้รับข่าวมาแล้วว่าเจียงอี้จะเดินทางมาสมทบ แต่พวกเขากลับไม่นึกว่าชายหนุ่มจะเดินทางมาถึงรวดเร็วขนาดนี้
เจียงอี้ถอดหน้ากากออกและเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง เขายิ้มออกมาพลางกล่าว
“ว่านก้วนกับอู๋ซวงล่ะ? พวกเขาอยู่ในเรือลำนี้ด้วยหรือเปล่า?”
“เรียนนายน้อยอี้!”
ชายชราทำความเคารพขณะกล่าวรายงาน
“ท่านประมุขน้อย, นายน้อยอู๋ซวงและองค์หญิงหยุนเฟยต่างก็ไปร่วมงานเลี้ยงของคุณหนูเชียนโหรวขอรับ หรือท่านจะให้ข้าส่งคนไปเชิญพวกเขากลับมาดี?”
“นั่นไม่จำเป็น… จริงสิ ช่วยเตรียมอาหารให้ข้าสักมื้อได้หรือไม่ ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว”
อันที่จริงเจียงอี้ต้องการที่จะมาพึ่งพิงเฉียนว่านก้วนเพราะเขาต้องการที่พักพิงอันแสนสบายและอาหารอันแสนอร่อย ในช่วงที่กำลังรอให้คนอื่นออกไปค้นหาน้ำผึ้งแทน เขาก็จะนอนรออยู่ในเรือลำนี้และค่อยปรากฏตัวทีหลังเพื่อกลายเป็นผู้ชนะคนสุดท้าย
ฮือฮา!
แต่หลังจากที่รับประทานอาหารไปได้ไม่นาน จู่ๆความปั่นป่วนด้านนอกก็บังเกิดขึ้น เจียงอี้ขมวดคิ้วและหยิบหน้ากากขึ้นมาสวมก่อนที่จะออกไปดูสถานการณ์ด้านนอก
เมื่อก้าวออกไป เขาก็มองเห็นคนรับใช้ของตระกูลเฉียนที่ทั่วทั้งตัวโชกไปด้วยเลือดราวกับเพิ่งผ่านการต่อสู้อันหนักหน่วงมา
“เกิดอะไรขึ้น?”
เมื่อผู้เชี่ยวชาญชราเห็นว่าเจียงอี้ปรากฏตัวออกมา เขาก็รีบอธิบายอย่างรวดเร็ว
“คืออย่างนี้ขอรับ ประมุขน้อยถูกคนตระกูลเซียวเยาะเย้ย พวกเขายังคงยั่วยุเขาอย่างต่อเนื่อง เมื่อเฉียนกังเห็นเช่นนั้น เขาจึงไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไปจึงทำให้เกิดการวิวาทขึ้น แต่สุดท้ายเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสกลับมา…”
“ตระกูลเซียว? ลูกหลานของเซียวหลงหวาง? ประเสริฐ! ในเมื่อพวกมันกล้ากลั่นแกล้งเจ้าอ้วนของข้า แสดงว่าพวกมันคงเหนื่อยที่จะมีชีวิตอยู่แล้ว!”
ดวงตาของเจียงอี้เผยให้เห็นความเย็นชา มุมปากของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้มอันชั่วร้าย จากนั้นก็เอ่ยต่อ
“ไปกันเถอะ ให้ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดทั้งหมดตามข้ามา ข้าจะไประบายความแค้นให้กับประมุขน้อยของพวกเจ้าเอง!”
……