เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 419-420
บทที่ 419 ปฏิบัติตามคำสั่งเดี๋ยวนี้
“โอ้?”
ดูเหมือนว่าเซี่ยเฟยหยูจะไม่ได้ยินที่เฉียนว่านก้วนกล่าวนางเบนสายตาของนางไปขณะพูดว่า “นายน้อยว่านก้วน องค์หญิงผู้นี้ฉงนสงสัยนัก พวกผึ้งทมิฬที่มาตรงนี้ก่อนหน้านี้ ทำไมพวกมันจึงถอยไปอีกแล้ว?”
ในขณะที่นางกำลังพูดเซี่ยเฟยหยูมองไปที่เจียงอี้อย่างไม่แยแสและเห็นได้ชัดว่ามีแววตาของความสงสัย
เจียงอี้ยังคงนิ่งเงียบในขณะที่สายตาของเฉียนว่านก้วนที่ถลนออกมานั้นมองไปยังเซี่ยเฟยหยูเขาพูดกล่าวออกมาด้วยความภาคภูมิใจ “องค์หญิงไม่ทราบว่านายน้อยผู้นี้เพิ่งได้เรียนรู้ความสามารถอันแข็งแกร่งมา มันสามารถบังคับเหล่าสัตว์อสูรให้ถอยไปได้ อย่าว่าแต่ผึ้งทมิฬเลย เพียงแค่เสียงคำรามของนายน้อยผู้นี้ครั้งเดียวก็สามารถขับไล่ได้แม้แต่ราชันสัตว์อสูรเลยล่ะขอรับ”
“อุ้บ….”
เซี่ยเฟยหยูขำออกมาอย่างช่วยไม่ได้ส่วนจ้านอู๋ซวงก็เบือนหน้าหนี แม้แต่หยุนเฟยและจ้านหลินเอ๋อร์เองก็ยังก้มหน้าก้มตากลั้นขำ ส่วนเจียงอี้ยังคงไร้อารมณ์ เฉียนว่านก้วนนั้นฝึกฝนมาหลายปีแล้วและแทบจะไปไม่ถึงขอบเขตจื่อฝู่ และความสามารถชนิดใดกันที่เขามี?
เซี่ยเฟยหยูคิดมันเช่นกันนางกรีดมือหยกของนางและชี้ไปทางหนึ่งและพูดว่า “หากนายน้อยว่านก้วนมีความสามารถเช่นนั้นจริง ถ้าอย่างนั้น…..โปรดช่วยข้าขับไล่ผึ้งทมิฬทางนั้นได้หรือไม่ มันจะได้ช่วยให้พวกเขาพ้นจากความเหนื่อยล้า ว่ายังไงล่ะ?”
“หนะ…นี่…..”
ดวงตาของเฉียนว่านก้วนกลับกลอกไปมาเขาคุยโวโอ้อวดมากเกินไปและไม่รู้วิธีที่จะกลบเกลื่อนอย่างถูกต้อง ด้วยเหตุนี้เขาจึงอ้างอย่างข้างๆคูๆว่า “องค์หญิง ท่านต้องรู้ว่าร่างกายของข้านั้นยังรู้สึกอ่อนเพลียและเหนื่อยล้าหลังจากปล่อยความสามารถนั้นอยู่เลย ข้าเกรงว่าตอนนี้ข้าคงจะไม่สามารถปลดปล่อยพลังงานนั้นได้ โปรดยกโทษให้ข้าด้วย!”
“ร่างกายเจ้ารู้สึกอ่อนเพลีย?”
เซี่ยเฟยหยูจับแหวนบนนิ้วของนางและพูดว่า“นายน้อยว่านก้วน ข้ามีสมุนไพรวิญญาณมากมาย ทำไมเจ้าไม่เอามันไปไว้เติมเต็มพลังงานให้ตัวเองล่ะ? บอกข้ามาว่าเจ้าต้องการสิ่งใด”
“….”
เฉียนว่านก้วนพูดไม่ออกวันนี้สมองขององค์หญิงนั้นผิดปกติอะไรหรือเปล่านะ? เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการอธิบาย แต่นางก็ยังยืนยัน แค่เขาส่งคนไปช่วยนางมันก็ดีมากพอแล้ว ตอนนี้เขายังปล่อยให้นางอยู่บนเรือลำนี้ นี่นางคิดจริงๆหรือว่าเฉียนว่านก้วนกลัวนาง?
เขายังรู้ด้วยว่าเซี่ยเฟยหยูสงสัยว่ามันเป็นฝีมือเจียงอี้เพราะมันเป็นเรื่องปกติสำหรับเจตจำนงสังหารที่จะทำให้เหล่าฝูงผึ้งทมิฬกลัวดังนั้นเขาจึงต้องการปกปิดมันอยู่แล้ว
ดวงตาของเขาสว่างขึ้นมาขณะเผยรอยยิ้มอันชั่วร้ายและพูดว่า“องค์หญิง ท่านคงจะไม่มีสิ่งที่ข้าต้องการเป็นแน่ ความสามารถของข้านั้นต้องการ…น้ำพรหมจารีสกัด น่ะขอรับ….”
อุ๊บบบส์!
หยุนเฟย,จ้านหลินเอ๋อร์และเซี่ยเฟยหยูพ่นเสียงออกมาในเวลาเดียวกัน ทั้งสองคนนั้นขอตัวกลับห้องทันทีและปล่อยให้คนที่เหลืออยู่ต่อไป เจียงอี้และจ้านอู๋ซวงมองหน้ากันอย่างทำอะไรไม่ได้นอกจากหัวเราะออกมา เจ้าเฉียนว่านก้วนนี่มันเป็นตัวตลกโดยแท้
ใบหน้าของเซี่ยเฟยหยูกลายเป็นสีแดงระเรื่อนางมองเฉียนว่านก้วนและไม่ได้ถามอะไรอีกต่อไป ดวงตาของนางสั่นไหวขณะที่นางสั่งผู้เชี่ยวชาญตระกูลเซี่ย “ให้พวกเขานำเรือมาที่นี่ ให้พวกเราได้อาศัยความสามารถของนายน้อยว่าก้วนกัน”
เวรเอ้ย…
เฉียนว่านก้วน,เจียงอี้และจ้านอู๋ซวงต่างก็สบถอยู่ในใจ เซี่ยเฟยหยูผู้นี้ทำตัวน่ารังเกียจเกินไป หากเรือแล่นมาที่นี่ เหล่าผึ้งทมิฬกลุ่มนั้นก็จะตามมาด้วยเช่นกัน เจียงอี้ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้อีกและผู้เชี่ยวชาญทั้งสามตระกูลก็ต้องต่อสู้กันอย่างสิ้นหวัง
แต่อย่างไรเซี่ยเฟยหยูก็ยังถือเป็นเชื้อสายตระกูลเซี่ยจ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนนั้นไม่สามารถพูดอะไรได้และได้แต่มองเรือที่แล่นมาและได้นำเหล่าผึ้งทมิฬมาด้วยเช่นกัน
“เตรียมจู่โจม!”
จ้านอู๋ซวงตะโกนออกมาขณะที่ตระกูลจ้านดึงอาวุธออกมาอย่างรวดเร็วทันใดนั้นเจียงอี้ก็พูดว่า “ท่านประมุขน้อย ท่านควรจะปลดปล่อยความสามารถของท่านอีกสักครา มิฉะนั้นเราทุกคนคงเหนื่อยล้าจนตายแน่ขอรับ”
เฉียนว่านก้วนหันกลับมามองเจียงอี้ด้วยสายตาประหลาดใจทันใดนั้นเขาก็เข้าใจความหมายของเจียงอี้ เขายกหัวของเขาขึ้นอย่างภาคภูมิและพูดอย่างภูมิใจ “เอาล่ะถ้างั้น เมื่อเรือแล่นมาถึง ข้าจะเสี่ยงชีวิตและปลดปล่อยความสามารถในการขับไล่ผึ้งทมิฬอีกครั้ง”
บุฟ!
ดวงตาที่งดงามของเซี่ยเฟยหยูสว่างขึ้นนางไม่ได้เข้ามาในห้องโดยสารและยืนอยู่บนดาดฟ้าเพื่อรอให้เฉียนว่านก้วนหรือ…..เจียงอี้เปิดเผยความลับออกมา
“คุ้มครองท่านประมุขน้อย!”
เจียงอี้มองไปที่คนฝั่งเขาขณะที่คนผู้นั้นก็ตะโกนออกมาดังมากและล้อมรอบเฉียนว่านก้วนเอาไว้ส่วนเจียงอี้ก็ตามเฉียนว่านก้วนออกไปด้วยกัน ชายกลุ่มหนึ่งยืนอยู่บนดาดฟ้าขณะที่เฉียนว่านก้วนหมุนเวียนแก่นแท้พลังที่อ่อนแอในร่างกายของเขาออกมา เขาเริ่มชูมือและส่ายหัวของเขาขณะที่ร่างทั้งร่างสั่นไหว เขาทำสัญญาณมือแปลกๆและพูดพึมพำบางอย่างซึ่งทำให้ทุกคนเปลี่ยนเป็นสีหน้าประหลาดออกมา
“มันกำลังจะมาแล้ว!พวกเจ้าทุกคนคอยระวังด้วย!”
ลูกน้องตระกูลเฉียนคนหนึ่งตะโกนออกมาขณะทองไปที่ผึ้งทมิฬและบรรยากาศก็ตึงเครียดขึ้นผู้คุ้มกันของเซี่ยเฟยหยูก็เครียดเช่นกันแต่นางกลับดูผ่อนคลายมาก ตาโตๆของนางจ้องมองไปที่เฉียนว่านก้วนและเจียงอี้ตั้งแต่ต้นเพื่อค้นหาความผิดปกติใดๆ
บุฟ!บุฟ!
เรือนั้นอยู่ห่างออกไปประมาณสามร้อยเมตรและผึ้งทมิฬก็ตามมาข้างหลังและใกล้จะถึงเรือของตระกูลเฉียนแล้ว
“ฟ้าดินสั่งสอนให้ข้าสังหารปีศาจและเหล่าอสูรโปรดมอบพลังที่สูงส่งแก่ข้า ข้าสามารถเรียกผู้อมตะเพื่อมาปราบสิ่งชั่วร้ายด้วยบุญญานุภาพและดวงดาราที่อยู่ใต้แทบเท้าข้า เปลือกทั้งหกทางซ้าย, เล็บทั้งหกทางขวา เทวาข้างหน้า, สิ่งเหนือธรรมชาติข้างหลัง พระผู้เป็นเจ้าจะลงโทษอย่างไม่มีหลีกเลี่ยง สังหารเหล่าปีศาจ จงปฏิบัติตามคำสั่งเดี๋ยวนี้!”
ดูเหมือน‘ความสามารถ’ ของเฉียนว่านก้วนนั้นจะพร้อมแล้ว เขาตะโกนออกมาไม่กี่ครั้งก่อนที่จะกระทืบพื้นขณะที่ชูนิ้วกลางออกมา มันเป็นเวลาเดียวกันกับที่เจียงอี้ปล่อยกลิ่นอายสังหารของเขา แต่เขาไม่ได้ปล่อยเจตจำนงสังหารออกมา เขาหมุนเวียนแก่นแท้พลังและปลดปล่อยกลิ่นอายออกมา เจียงอี้นั้นมีสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดเหมือนว่าเขากำลังกังวลกับประมุขน้อยของเขา
มีบางอย่างที่ทำให้เซี่ยเฟยหยูและผู้เชี่ยวชาญทั้งสองของตระกูลเซี่ยต่างพากันตกตะลึง!
หลังจากที่เฉียนว่านก้วนปลดปล่อยความสามารถของเขาออกมาผึ้งทมิฬเหล่านั้นก็ถอยกลับไปด้วยดวงตาที่ปนไปด้วยความกลัว พวกมันจ้องมองไปทางเฉียนว่านก้วนแต่ผึ้งทมิฬมากมายก็ปล่อยเจียง จื่อ จื่อ ออกมาและพากันถอยกลับไปทั้งหมด
“ฮู่วฮู่วววว….”
เฉียนว่านก้วนปล่อยลมหายใจออกมาและหลับตาลงเขาแสร้งทำเป็นเหมือนว่าร่างกายของเขาอ่อนเปลี้ยไป เจียงอี้และคนอื่นๆจับเขาไว้อย่างรวดเร็ว และหนึ่งในนั้นแสดงเหมือนเป็นเรื่องจริงและร้องออกมาว่า “ท่านประมุขน้อย เกิดอะไรขึ้นกับท่านขอรับ? ต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับท่านนะขอรับ ท่านประมุขน้อยของข้า….”
“นี่!นี่! นี่!”
เซี่ยเฟยหยูชี้ไปที่เฉียนว่านก้วนและมองผู้เชี่ยวชาญตระกูลเซี่ยทั้งสองด้วยทีท่าประหลาดใจนางไม่เห้นการเคลื่อนไหวแปลกๆจากเจียงอี้หรือผู้คุมคนอื่นๆเลยแต่ทำไมผึ้งทมิฬจึงได้ถอยกลับไป? จะเป็นไปได้ไหมว่าความสามารถของเฉียนว่านก้วนนั้นจะทรงพลังจริงๆ?
ผู้คุ้มกันทั้งสองส่ายหัวและไม่แน่ใจเช่นกันพวกเขาเพ่งความสนใจไปที่เจียงอี้และทุกอย่างก็ดูปกติ เจียงอี้ไม่ได้เคลื่อนไหวแปลกๆและเพียงแค่ปลดปล่อยกลิ่นอายออกมา ผู้คุ้มกันทุกคนก็ปลดปล่อยกลิ่นอายออกมาเพื่อปกป้องเฉียนว่านก้วนด้วยเช่นกัน ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องปกติมาก
พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่ากลิ่นอายของเจียงอี้นั้นแตกต่างจากคนอื่นอย่างไร?เขาใช้เจตจำนงสังหารขับไล่ผึ้งทมิฬก่อนหน้านี้ ครั้งนี้เขาปลดปล่อยเพียงแค่กลิ่นอายออกมา แต่ผึ้งทมิฬก็ยังสามารถแยกความแตกต่างได้เหมือนกัน อย่างไรก็ตามเจียงอี้นั้นแตกต่างจากคนอื่นๆอย่างแน่นอนเพราะเขาสังหารศัตรูมานับไม่ถ้วนแล้ว
เจียงอี้และคนอื่นๆไม่ได้ใส่ใจเซี่ยเฟยหยูและทำท่าทีหวาดกลัวในขณะที่อุ้มเฉียนว่านก้วนผู้อ่อนเปลี้ยพวกเขาเมินเซี่ยเฟยหยูไปโดยปริยายและหนึ่งในผู้คุ้มกันก็โห่ร้องออกมาขณะเคลื่อนย้าย “ท่านประมุขน้อย ได้โปรดอย่าจากพวกเราไปเลยนะขอรับ….”
“ข้าจะเข้าไปดูหน่อย!”
เซี่ยเฟยหยูนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเข้าไปดูนางต้องการเห็นว่าเฉียนว่านก้วนอ่อนแอหรือแสร้งทำ เหล่าผู้คุ้มกันทั้งสองของตระกูลเซี่ยก็ต้องการเข้าไปด้วยเช่นกันแต่พวกเขาก็ถูกห้ามไว้โดยสมาชิกตระกูลเฉียน หนึ่งในนั้นพูดอย่างเฉยเมยว่า “เรียนองค์หญิง มีสตรีอยู่ข้างในและมันไม่สะดวกมากพะยะค่ะ ได้โปรดรอด้านนอกด้วยพะยะค่ะ”
เซี่ยเฟยหยูโบกมือของนางขณะที่สมาชิกตระกุลเฉียนนำนางตรงไปยังห้องของเฉียนว่านก้วนก่อนจะเข้าห้อง นางจะได้ยินเสียงที่เหนื่อยล้าอยู่รำไรแต่น่ากลัวของเฉียนว่านก้วน “แค่กๆ เร็ว รีบนำน้ำพรหมจารีสกัดมาให้ข้า …. ข้าไม่ไหวแล้ว….ข้าต้องการน้ำพรหมจารีสกัด….. แค่กๆ”
ร่างกายที่บอบช้ำของเซี่ยเฟยหยูสั่นทันทีเมื่อนางได้ยินมันและนางก็กลัวว่าใบหน้าของนางนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวนางไม่กล้าเข้าไปข้างในอีกต่อไป จะเป็นอย่างไรหากว่าเฉียนว่านก้วนบ้าคลั่งเหมือนสัตว์ร้ายและทำร้ายนางอย่างรุนแรง? ไม่ใช่ว่านางจะจบเห่หรือ?
บทที่ 420 หยาบคาย
เซี่ยเฟยหยูกลับไปยังเรือของนางแล้ว แต่แทนที่จะแล่นเรือไปในทางของตน นางกลับรอดูทีท่าเรือของตระกูลเฉียนก่อน เห็นได้ชัดว่านางหวาดกลัวฝูงผึ้งทมิฬเป็นอย่างมากและรู้สึกปลอดภัยมากกว่าที่จะติดตามเรือของเฉียนว่านก้วน
อีกด้านหนึ่ง เจียงอี้ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องยุ่งยากภายนอกมากนักและมุ่งเน้นความสนใจไปที่การฝึกฝนศาสตร์เวทย์อย่างเงียบๆ
ในขณะเดียวกันเขาก็ละเลยการบ่มเพาะพลังไปอย่างสิ้นเชิง มันไม่ใช่เพราะเขาขี้เกียจแต่เนื่องจากดาวดวงที่สามภายในตันเทียนต้องการพลังงานมากเกินไป
หากเจียงอี้ใช้วิธีการบ่มเพาะโดยชักนำพลังงานฟ้าดินแบบปกติ เขาอาจต้องใช้เวลาถึงสิบปี ถึงกระนั้นก็ยังไม่แน่ว่าจะสามารถแปรสภาพดาวดวงที่สามได้ เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องกลับไปดูซับศิลาสวรรค์ที่เมืองเซี่ยยวี่
เขาหมกตัวอยู่ในห้องพักทั้งวันเพื่อศึกษาวิชาร่างจำแลงคณานับจนประสบความสำเร็จในขอบเขตเล็กๆ ในเวลานี้เขาสามารถสร้างร่างจำแลงได้ถึงสามร่างแล้ว แต่น่าเสียดายที่ยังไม่สามารถควบคุมพวกมันได้ ถึงอย่างนั้นความก้าวหน้าในครั้งนี้ก็นับว่าน่าพึงพอใจไม่น้อย
ยามราตรีเยื้องกรายเข้ามา ในขณะที่เรือลำอื่นถูกฝูงผึ้งทมิฬโจมตีอย่างไม่หยุดหย่อน เฉียนว่านก้วนก็ออกคำสั่งให้เรือวกกลับไปยังเกาะเดิมที่พวกเขาจากมา มันมีโอกาสมากที่ที่แห่งนั้นจะเป็นที่ตั้งของรังผึ้งทมิฬ
ฟึ่บ!
แต่ในจังหวะนั้นเอง ร่างเงาสายหนึ่งก็ทะยานมาจากเรือของเซี่ยเฟยหยู คนผู้นี้เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญของตระกูลเซี่ย เมื่อมาถึงเขาก็ตะโกนทันที
“ประกาศจากองค์หญิงเฟยหยู! องค์หญิงหยุนเฟย, นายน้อยว่านก้วน, นายน้อยอู๋ซวงและเฉียนต้าเหยี่ยได้รับเชิญไปงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้!”
เหล่าผู้ที่ถูกขานชื่อต่างก็กำลังดื่มด่ำอยู่กับอาหารเย็นของพวกเขา แต่เมื่อได้ยินเสียงประกาศจากภายนอก สีหน้าของพวกเขาก็เผยให้เห็นความเอือมระอา เห็นได้ชัดว่างานเลี้ยงนี้จะต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่
“ข้าไม่ไป เพียงบอกไปว่าข้าป่วยก็พอ”
หยุนเฟยไร้ซึ่งความประทับใจต่อเซี่ยเฟยหยูอย่างสิ้นเชิง สีหน้าของนางบ่งบอกถึงความหงุดหงิด จากนั้นนางก็สะบัดก้นกลับไปยังห้องพักทันที
เมื่อเห็นเช่นนั้น มีหรือที่จ้านอู๋ซวงจะยังนั่งต่อได้? เขาลุกขึ้นยืนและเดินตามหยุนเฟยออกไปติดๆโดยไม่รีรอ
“หากว่าหยุนเฟยไม่ไป ข้าก็ไม่ไปเช่นกัน”
”…”
เฉียนว่านก้วนกลอกตาไปมา เขาเพิ่งแสร้งทำเป็นเจ็บปางตายเมื่อเช้า มันคงเป็นข้ออ้างที่ดีเยี่ยมในการปฏิเสธคำชวนของเซี่ยเฟยหยู
แต่ด้วยสถานะองค์หญิงของนาง หากไม่มีผู้ใดเข้าร่วมงานเลี้ยงของนางแม้แต่คนเดียว มันจะไม่กลายเป็นความอัปยศอดสูอย่างนั้นหรือ?
จ้านอู๋ซวงและหยุนเฟยต่างก็กลับเข้าห้องของตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเจ้าอ้วนเฉียนจึงไม่มีทางเลือกนอกจากนี้บากหน้าไปยังห้องพักของเจียงอี้
“ลูกพี่ๆ เซี่ยเฟยหยูจัดงานเลี้ยงในคืนนี้ นางเชิญเจ้าด้วยแหละ ทำไมถึงไม่…”
“ไม่ไป!”
เป็นไปตามคาด เฉียนว่านก้วนยังไม่ทันพูดจบ อีกฝ่ายก็ตัดบทเสียแล้ว ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ยอมแพ้และพยายามหว่านล้อมต่อไป
“ลูกพี่ อย่าลืมสิว่าเจ้ากำลังสวมบทบาทเป็นผู้คุ้มกันของตระกูลเฉียนอยู่ ในเมื่อองค์หญิงเชื้อเชิญเจ้าด้วยตัวเอง หากไม่ไปล่ะก็ มันคงเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายให้ทางนั้นฟัง เจ้าว่าข้าพูดถูกไหม?”
“ก็หาทางจัดการสิ!”
เจียงอี้ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอันไม่แยแส แต่คราวนี้ เขาเป็นฝ่ายเปิดประตูออกมาเองและจ้องมองเฉียนว่านก้วนด้วยสายตามีเลศนัย
“เซี่ยเฟยหยูค่อนข้างดูดีไม่น้อย บางทีนางอาจจะกำลังรู้สึกเหงาอยู่ก็เป็นได้ หากว่าเจ้าเข้าร่วมงานเลี้ยงนั่นล่ะก็… บางทีนะ เจ้าอาจจะได้จุมพิตนางก็ได้ใครจะไปรู้? ฮ่าฮ่าฮ่า”
“จุมพิตก้นเจ้าสิ!”
เฉียนว่านก้วนยิ้มออกมาด้วยความขมขื่น แต่ก็ไม่ลดความพยายาม
“ลูกพี่ เจ้าก็เห็นว่าเมื่อเช้าข้าต้องแสร้งทำเป็นอยู่ในสภาพปางตาย ใครมันจะไปเชื่อกันว่าข้าจะหายดีในเวลาไม่ถึงวัน? หรือไม่ เจ้าก็ไปพูดโน้มน้าวหยุนเฟยกับพี่ใหญ่อู๋ซวงเสียหน่อย สองคนนั้นไม่ฟังข้าอยู่แล้ว แต่ถ้าคนพูดเป็นเจ้า มันก็ไม่แน่”
“ข้ากลัวว่าหากไม่มีใครไปงานเลี้ยงของเซี่ยเฟยหยูเลย มันจะทำให้นางเสียหน้ามาก และด้วยตัวเจ้าที่สวมบทคนของตระกูลเฉียน มันคงจะดูไม่ดีหากว่าไปขัดความประสงค์ขององค์หญิง ถูกต้องไหม? เจ้าจะใจไม้ไส้ระกําจนปล่อยให้ตระกูลเฉียนของข้าตกที่นั่งลำบากเชียวหรือ?”
“เห้ออ”
จู่ๆเจียงอี้ก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา แต่สุดท้ายเขาก็ต้องพยักหน้ารับเพราะไม่อาจทนเห็นตระกูลเฉียนตกอยู่ในปัญหาได้
“ก็ได้ ข้าจะไปเอง จริงๆข้าเองก็อยากเห็นนักว่าคราวนี้เซี่ยเฟยหยูจะมาไม้ไหน?”
เมื่อกล่าวจบ เจียงอี้ก็เตรียมตัวเดินทางทันที แต่เขากลับถูกเฉียนว่านก้วนฉุดรั้งไว้ก่อน
“ลูกพี่ที่รัก เจ้าจะไปงานเลี้ยงในสภาพนี้เลยหรือ? ไม่ดีมั้ง ข้าว่าเจ้าไปเปลี่ยนเป็นชุดที่เรียบร้อยกว่านี้หน่อยไหม?”
“ชุดของข้าไม่ดีตรงไหน!”
เจียงอี้ถลึงตาใส่อีกฝ่าย เขาเพียงแค่สวมชุดคลุมนักรบธรรมดาและออกเดินทางทันที
เมื่อไปถึงเรือของเซี่ยหยุนเฟย เขาก็ถูกคนรับใช้ของตระกูลเซี่ยนำทางไปยังห้องโถงขนาดเล็กภายในห้องโดยสาร
เมื่อเข้าไปถึง เซี่ยเฟยหยูผู้ซึ่งสวมชุดอันหรูหราก็กำลังนั่งรออยู่แล้ว เมื่อนางเห็นว่าเจียงอี้มาเพียงคนเดียว นางก็ไม่ได้แสดงความประหลาดใจแต่อย่างใด
“ถวายบังคมฝ่าบาท!”
เจียงอี้เพียงแค่โค้งตัวเล็กน้อยแต่ไม่ได้คุกเข่าแต่อย่างใด จากนั้นก็เอ่ยต่อ
“ประมุขน้อยของข้ายังอยู่ในอาการที่ไม่ดีนัก ส่วนองค์หญิงหยุนเฟยยังคงอยู่ในความหวาดผวาเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อวานซึ่งทำให้นายน้อยอู๋ซวงต้องคอยอยู่เป็นเพื่อน ดังนั้นคนที่ตอบรับคำเชิญขององค์หญิงได้มีเพียงแค่กระหม่อมผู้เดียวเท่านั้นพะยะค่ะ และข้าก็ต้องขอเป็นตัวแทนเพื่อกล่าวขออภัยแทนเหล่าเจ้านายของกระหม่อมด้วยนะพะยะค่ะ”
“โอ้… ไม่เป็นไร อันที่จริงเป็นเพราะองค์หญิงผู้นี้ที่เอาแต่ใจเกินไป มันไม่ใช่ความผิดของพวกเจ้าหรอก”
เซี่ยเฟยหยูยิ้มเล็กน้อยและเมินเฉยเรื่องที่เจียงอี้ขาดมารยาทต่อเชื้อพระวงศ์ จากนั้นนางก็โบกมือไล่เหล่าคนรับใช้ออกไปและกล่าวต่อ
“นั่งลงก่อนสิเฉียนต้าเหยี่ย ในเมื่อพวกนั้นไม่สะดวก เช่นนั้นพวกเราก็เริ่มทานอาหารกันเถอะ”
“นี่…”
เจียงอี้แสร้งทำเป็นอึดอัดใจพร้อมกับส่ายศีรษะ
“บ่าวผู้นี้มีสถานะอันต่ำต้อย คงไม่อาจนั่งเสมอกับฝ่าบาทได้ นอกจากนี้ กระหม่อมมาที่นี่เพื่อแจ้งข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์ของเหล่าเจ้านายเท่านั้นและคงไม่กล้าอยู่ขัดจังหวะมื้อเย็นขององค์หญิงไปมากกว่านี้แล้ว…”
“นั่ง!”
แต่ทันใดนั้นเซี่ยเฟยหยูก็กล่าวขึ้นมาด้วยโทนเสียงที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ขณะเดียวกันนางก็ปลดปล่อยกลิ่นอายที่แสดงให้เห็นถึงความเผด็จการออกมา
แม้ว่านางจะไม่ได้บันดาลโทสะ แต่ก็ไม่ปล่อยให้เขามีทางเลือกเช่นกัน
“หากองค์หญิงผู้นี้สั่งให้เจ้านั่ง เจ้าก็ต้องนั่ง หรือเจ้าไม่ฟังคำสั่งของข้า?”
นังสารเลว…
เจียงอี้ลอบสบถในใจขณะที่ภายนอกยังคงแสดงสีหน้าเรียบเฉย เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเล่นไปตามน้ำ เขานั่งลงและทำเป็นมองดูอาหารตรงหน้าด้วยความอึดอัดใจ
“หึหึ”
เมื่อเห็นเช่นนั้น การแสดงออกของเซี่ยเฟยหยูก็กลับไปเป็นปกติอีกครั้ง จากนั้นนางก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนลง
“เฉียนต้าเหยี่ย องค์หญิงผู้นี้คิดว่าเสมอว่าวีรบุรุษไม่ได้ถูกกำหนดโดยชาติกำเนิด ตัวเจ้านั้นแข็งแกร่งกว่าผู้ใดและนับได้ว่าเป็นชนชั้นแนวหน้าของอาณาจักรเสินหวู่ผู้หนึ่ง”
“เมื่อพวกเรากลับไป องค์หญิงผู้นี้จะขอร้องเสด็จพ่อให้ประทานตำแหน่งแม่ทัพให้กับเจ้า เจ้าคิดเช่นไร?”
มาไม้นี้อีกแล้ว!
ภายในใจของเจียงอี้เต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย เขารู้ว่าเซี่ยเฟยหยูกำลังจะใช้วิธีเดียวกับหลิงเยว่ แต่ดูเหมือนว่านางจะทำได้ดีกว่าเล็กน้อย
นางมีศักดิ์เป็นเจ้านายของเฉียนว่านก้วน ดังนั้นก็ถือว่าเป็นเจ้านายของเขาเช่นกัน ตราบเท่าที่เจียงอี้ยังไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง เขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องสวมบทบาท ‘เฉียนต้าเหยี่ย’ และแสดงความสุภาพต่อเซี่ยเฟยหยูต่อไป
แต่จู่ๆเขาก็คิดแผนแก้เผ็ดนางขึ้นมาได้ ดวงตาเขาค่อยๆเปลี่ยนจากความอึดอัดใจเป็นความหื่นกระหายขณะที่จ้องมองเซี่ยเฟยหยู
“ขอบพระทัยสำหรับความเมตตาขององค์หญิง แต่ข้าเป็นคนเช่นนี้มาตั้งแต่เด็กและเกลียดการปฏิบัติตามกฎ กลับกัน ข้าชมชอบความงดงามเสียมากกว่า…”
“เฉียนต้าเหยี่ย เจ้าคิดมากไปแล้ว”
แม้ว่าเซี่ยเฟยหยูจะมีแผนการบางอย่างอยู่ในใจ แต่เมื่อได้ยินคำพูดและมองเห็นท่าทีของอีกฝ่าย นางก็อดไม่ได้ที่จะมีโทสะขึ้นมา แต่มันก็ถูกกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มของนางอย่างรวดเร็ว
“หากเป็นในยามปกติ ข้าจะถือว่าเจ้าหยาบคายต่อเชื้อพระวงศ์เช่นข้า อย่างไรก็ตามสำหรับวันนี้ข้าให้อภัยเจ้า ตราบเท่าที่เจ้ายอมรับใช้อาณาจักร สาวงามล่มเมืองหลายนางจะถูกจัดส่งไปถึงหน้าห้องของเจ้าทันที”
“ประเสริฐ!”
เจียงอี้เริ่มแสดงสันดานของชนชั้นล่างออกมา เขาหยิบขาหมูขึ้นมากินโดยไม่สนมารยาท บางครั้งก็เหลือบมองเซี่ยเฟยหยูอย่างมีนัย จากนั้นไม่นานเขาก็เอ่ย
“หากว่าหญิงสาวเหล่านั้นงดงามเหมือนกับองค์หญิง มันก็คงจะดีไม่น้อย ฮ่าฮ่า!”
คนผู้นี้คือเจียงอี้จริงๆหรือ?
อันที่จริงเป้าหมายหลักที่เชิญกลุ่มของเฉียนว่านก้วนมางานเลี้ยงก็เพื่อที่จะจับตาดูชายที่ชื่อว่าเฉียนต้าเหยี่ยผู้นี้ นางมีความสงสัยว่าเขาอาจจะเป็นเจียงอี้ที่จะปลอมตัวมา
แต่เมื่อเห็นอุปนิสัยอันหยาบช้าของชายผู้นี้แล้ว นางก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าตัวเองคิดผิดไปหรือไม่?
หากว่าเขาไม่ใช่เจียงอี้ แล้วอะไรที่จะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าได้? เป็นไปได้ไหมว่าเฉียนว่านก้วนจะมีความสามารถพิเศษบางอย่างจริงๆ?
ไม่! คนตระกูลเฉียนไม่เคยชื่นชอบการฝึกฝนยุทธ แน่นอนว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเฉียนว่านก้วนจะต้องอยู่ในระดับที่น่าสมเพชมาก
มันน่าเวทนาถึงขั้นที่ต่อให้ยอดฝีมือชั้นแนวหน้าของโลกมอบทักษะวิชาที่ทรงพลังที่สุดให้กับเขา เขาก็ไม่คิดที่จะฝึกมันและคงจะหาทางขายมันให้ได้กำไรมากที่สุดเสียมากกว่า!
เซี่ยเฟยหยูยังคงเชื่อมั่นใจความคิดของตัวเอง เฉียนต้าเหยี่ยผู้นี้ดูแปลกประหลาดเกินไป ดวงตาที่เต็มไปด้วยตัณหาของเขาก่อนหน้านี้เป็นเพียงการเสแสร้งหรือไม่? เขากำลังเล่นละครอยู่?
ภายในใจของเซี่ยเฟยหยูเต็มไปด้วยคำถามมากมายขณะที่ภายนอกยังคงยิ้มแย้ม แต่ไม่นานนักความคิดสายหนึ่งก็แล่นผ่านเข้ามาในหัวของนาง อันที่จริงก็ยังมีวิธีที่ง่ายดายอย่างมากที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเฉียนต้าเหยี่ยคือเจียงอี้หรือไม่?!