เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 421 -422
บทที่ 421 รังผึ้งทมิฬ
มันเป็นอะไรที่พิสูจน์ได้ว่าเจียงอี้คงไม่กล้าที่จะหลับนอนกับนาง แต่เฉียนต้าเหยี่ยกล้า!
ตระกูลเซี่ยเป็นศัตรูของเจียงอี้เซี่ยเฟยหยูรู้ว่าเจียงอี้นั้นเป็นผู้ที่มีคุณธรรมและมีเสน่ห์ เมื่อเขามีสัมพันธ์กับสตรีผู้หนึ่งแล้ว เขาก็จะมีความรับผิดชอบต่อตัวเอง เจียงอี้และตระกูลเซี่ยเป็นศัตรูกัน ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าเจียงอี้จะไม่มีวันทำเช่นนั้นกับนาง
หากเฉียนต้าเหยี่ยไม่ใช่เจียงอี้ตราบใดที่นางลดตัวลงไปและไม่ต่อต้านเขา ในตอนที่เขากำลังจะละลาบละล้วงนาง นางก็จะสามารถตะโกนเรียกให้คนมาหยุดเขาได้ จากนั้นนางก็จะกล่าวหาเจียงอี้ให้เจียงอี้เป็นผู้ก่ออาชญากรรมชั่วร้าย การใช้แครอทล่อกระต่ายนั้นจะทำให้เฉียนต้าเหยี่ยภักดีต่อนางในไม่ช้า ซึ่งมันเหมือนเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลย
เซี่ยเฟยหยูยิ้มอย่างมีเลศนัยและหยุดพูดนางตั้งใจทานอาหารเป็นอันดับแรกแต่นางก็ทานไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะความอยากอาหารของนางถูกทำลายโดยการจ้องมองที่ไร้ยางอายของเจียงอี้ เขาจ้องมองนางในลักษณะที่เหมือนกำลังจะกลืนกินนางเข้าไป ซึ่งทำให้นางรู้สึกเหมือนตนเองเปลือยกายอยู่เมื่อนั่งตรงข้ามกับเขา
เซี่ยเฟยหยูพยายามเป็นอย่างมากในการรอให้เจียงอี้ทานอาหารเสร็จจากนั้นนางก็ลุกขึ้นอย่างสง่างามและหันกลับมายิ้มให้เขาด้วยเสน่ห์อันเหลือล้น “เฉียนต้าเหยี่ย เข้ามาข้างในสิ ข้ามีเรื่องจะปรึกษากับเจ้า”
นางจะยั่วยวนข้าอีกแล้วหรือ?
เจียงอี้ยิ้มเยาะอยู่ข้างในครั้งก่อนนั้นเขารู้สึกว่าเล่นกับนางมากพอแล้วและไม่คิดว่าจะเล่นกับนางอีกในครั้งนี้ เขาป้องมือด้วยความเคารพและกล่าวว่า “หากองค์หญิงมีสิ่งใดจะกล่าว โปรดเอ่ยมันที่นี่เถอะขอรับ มันคงจะเป็นการดูหมิ่นและไม่ดีนักหากจะให้ข้าเข้าไปข้างใน”
“ฮ่าฮ่าตอนนี้เจ้าเข้าใจเรื่องการดูหมิ่นแล้วหรือ?”
ดวงตาของเซี่ยเฟยหยูมีเสน่ห์และมีจุดมุ่งหมายที่จะพันรัดเหยื่อของพวกเขานางเปรยตาของนางไปที่เจียงอี้และพูดว่า “ข้าขอให้เจ้าเข้ามา นี่คือคำสั่ง หรือนี่เจ้ากำลังจะขัดขืนคำสั่งข้า?”
เวรเอ้ย!
เจียงอี้ถึงกับพูดไม่ออกองค์หญิงผู้นี้คิดจะเล่นตุกติกอะไรกับเขากัน?
เขาไม่มีอารมณ์ที่จะมามัวเสียเวลากับองค์หญิงผู้นี้อีกต่อไปทันใดนั้นเขาก็ป้องมือ “ข้าต้องขออภัยองค์หญิง ท่านประมุขน้อยยื่นคำขาดแก่ข้า หากข้ากล้าเข้าไปในห้องขององค์หญิง เขาจะหักขาข้า….ดังนั้น ไม่ว่าท่านต้องการจะกล่าวหรือกระทำสิ่งใด โปรดเอ่ยมาตรงนี้เถิดขอรับ”
ตอนนี้ถึงคราวที่เซี่ยเฟยหยูพูดไม่ออกบ้างเป็นไปได้ไหมว่าเฉียนต้าเหยี่ยจะสงสัยว่านางจะหลอกล่อเขาหรือว่าเฉียนว่านก้วนป้องกันไม่ให้นางมาสมรู้ร่วมคิดกับเฉียนต้าเหยี่ย? นางรู้สึกรำคาญใจเล็กน้อย “ข้าจะไม่บอกผู้ใด เจ้าก็คงจะไม่เช่นกัน แล้วเช่นนั้นเฉียนว่านก้วนจะไปรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?”
“ฮึฮึ!”
เจียงอี้ยิ้มขึ้นมาทันที“องค์หญิงต้องการจะทำสิ่งนั้นกับข้าหรือ? วันนี้ข้าคงต้องขออภัยจริงๆ ก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ ท่านประมุขน้อยคาดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ดังนั้นเขาจึงปิดผนึกใต้ร่มผ้าของข้าเอาไว้ เป็นวันอื่นดีไหมขอรับ? หากท่านไม่เชื่อข้า ข้าจะให้ท่านดูก็ได้นะ”
ขณะที่เขากำลังพูดอยู่เขาก็กำลังคลายเข็มขัดและถอดเสื้อคลุมและกำลังจะปลดกางเกงลงเพื่อแสดงให้นางเห็นผ้าเตี่ยวที่ถูกผนึกของเขา เซี่ยเฟยหยูเริ่มกลัวและรีบหันกลับไปพร้อมหน้าที่แดงระเรื่อ นางไม่สามารถกลั้นโทสะของนางได้อีกต่อไป นางตะโกนออกมาว่า “เฉียนต้าเหยี่ย ทุเรศนัก! เจ้ากล้าลามปามองค์หญิงได้อย่างไร! ใครก็ได้ สังหารกบฏที่น่ารังเกียจนี่ให้ข้าที!”
ฟึ่บฟั่บ!
ผู้เชี่ยวชาญที่เฝ้าอยู่ด้านนอกเหาะเข้ามาพร้อมศาสตราวุธที่พร้อมด้วยแก่นแท้พลังและพวกเขาพร้อมที่จะสังหารเจียงอี้
เจียงอี้ยิ้มกว้างออกมาเขาไม่กลัวการต่อสู้ แต่เขากังวลว่าจะต้องมาพัวพันกับองค์หญิงผู้นี้ ทันใดนั้นเขาก็ส่งเสียงออกมาไม่กี่ครั้งก่อนที่จะตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว “อะไรกัน! องค์หญิงต้องการให้ข้าตาย? ท่านคงต้องขออนุญาตตระกูลเฉียนของเราเสียหน่อย!”
วูวู!
ทันใดนั้นตระกูลเฉียนบนเรือก็ตอบสนองด้วยเสียงหอนอย่างต่อเนื่องผู้คนหลายสิบคนต่างพากันวิ่งออกมาจากเรือและหนึ่งในนั้นก็ตะโกนเสียงดังมาแต่ไกลว่า “ต้าเหยี่ย เกิดอะไรขึ้น?!”
สมาชิกตระกูลเซี่ยไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหวใดๆผู้เชี่ยวชาญจากตระกูลเฉียน ตระกูลจ้านและตระกูลหยุนมีจำนวนมากกว่าพวกเขาหลายเท่านัก หากเฉียนว่านก้วนและกลุ่มของเขากบฏขึ้นมา พวกเขาก็อาจจะต้องตายทั้งหมด
“ยอดเยี่ยมยอดเยี่ยม! เฉียนต้าเหยี่ย เจ้ากล้าหาญดีนี่!”
เซี่ยเฟยหยูกลอกตาไปมาและพูดอย่างบึ้งตึง“ข้าขอให้เจ้ากล้าหาญเช่นนี้ต่อไปแล้วกัน”
“ไม่!”
เจียงอี้ตอบอย่างเคร่งขรึม“องค์หญิงเข้าใจข้าผิดแล้ว ข้ามีความชื่นชอบต่อตัวท่าน เพียงแค่ข้าเกิดในชนบทและไม่รู้มารยาทไปบ้าง บางทีการแสดงออกของต้าเหยี่ยก็อาจดูหยาบคายเล็กน้อย แต่ความรักที่ต้าเหยี่ยมีต่อองค์หญิงนั้นจริงใจนะขอรับ”
ก่อนที่เขาจะพูดเซี่ยเฟยหยูยังเป็นปกติอยู่บ้าง แต่ตอนนี้หลังจากได้ฟังคำสารภาพของเขาแล้วนางก็โกรธมากจนตัวสั่น นางชี้ไปที่เจียงอี้และพูดอย่างขุ่นเคือง “ไสหัวไป! ไสหัวไปซะ!”
“เข้าใจแล้วขอรับ!”
เจียงอี้ยักไหล่และไม่ได้แสดงความกังวลใดๆเขาสะบัดตัวกลับออกไป เมื่อเขาเห็นผู้เชี่ยวชาญของทั้งสามตระกูล เขาก็ยิ้มอย่างรวดเร็ว “ทุกอย่างเรียบร้อยดี องค์หญิงเพียงแค่ต้องการที่จะฟังเสียงขอความช่วยเหลือของตระกูลเฉียนเราน่ะ ข้าเลยร้องให้นางฟัง”
แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญของทั้งสามตระกูลจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่พวกเขาก็ได้ยินเสียงที่โกรธเกรี้ยวของเซี่ยเฟยหยูและพอจะเดาได้ว่าเป็นเพราะเจียงอี้ทำบางสิ่งบางอย่างลงไป และอาจจะทำอะไรที่ไม่สุภาพออกไปด้วยซ้ำ แต่ในตอนนี้ทุกคนก็กลับไปพร้อมกลับเจียงอี้อย่างมีความสุข พวกเขาตื่นเต้นราวกับได้รับชัยชนะครั้งใหญ่มาครอง
และเมื่อเจียงอี้กลับไปยังเรือเขาก็ถูกเฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวงตั้งคำถามมากมายอย่างเลี่ยงไม่ได้ เจียงอี้นั้นทนไม่ได้กับการอ้อนวอนของเฉียนว่านก้วนจึงบอกเล่าทุกสิ่งไป และเมื่อได้ฟังแล้ว ทั้งสองต่างพากันตกตะลึงไปตามๆกัน บางทีคงมีเพียงเจียงอี้เท่านั้นที่จะกล้าทำตัวไร้ยางอายต่อองค์หญิงผู้เลื่องลือเช่นนี้
หลังจากได้เห็นการแสดงออกที่เกินจริงของทั้งสองเจียงอี้ก็ถูจมูกและกลับเข้าห้องของเขาไป พวกนั้นตกใจกับเรื่องเช่นนี้ แล้วเช่นนั้นพวกเขาจะไม่ตกใจตายเลยหรือหากเขาบอกพวกนั้นไปว่าเขาแกล้งหลิงเยว่เช่นไร?
…
เรือยังคงแล่นไปข้างหน้าน่าแปลกที่เซี่ยเฟยหยูไม่ปล่อยพวกเขาไปและคอยตามเรือของเฉียนว่านก้วนมาตลอดทาง หลังจากล่องเรือมานานกว่าสองชั่วโมง พวกเขาก็มาถึงเกาะที่ใดที่หนึ่ง
มีเรือของอีกสองตระกูลอื่นอยู่ที่เกาะนี้อยู่แล้วอย่างไรก็ตาม ทหารยามที่ด้านนอกของเรือนั้นต่างมีดวงตาที่แดงก่ำ พวกเขาอาจจะต่อสู้อย่างหนักทั้งวันทั้งคืนในการสังหารผึ้งทมิฬด้วยความยากลำบากและถอยกลับมา
เมื่อเหล่าทหารยามพวกนั้นเห็นทหารยามของทั้งสามตระกูลยังคงกระปรี้กระเปร่าราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นพวกเขาก็ต่างอิจฉาเบาๆ ในเวลานั้นก็ค่อนข้างค่ำแล้ว เจียงอี้จึงสั่งให้พวกเขาพักผ่อนใกล้ๆเกาะก่อนหนึ่งคืนและค่อยรวมตัวกันหารังผึ้งทมิฬต่อในรุ่งเช้า
“จุดเพลิงไฟเพื่อเตรียมอาหารเราจะเดินเรือหารังผึ้งทมิฬกันต่อหลังจากกินกันเสร็จแล้ว”
หลังจากที่เจียงอี้ออกคำสั่งลงไปเฉียนว่านก้วนก็รีบให้คนของเขาไปเตรียมตัวอย่างเงียบเชียบโดยไม่ให้ผู้อื่นรู้ ซึ่งเหล่านายน้อยและคุณหนูทั้งหลายที่พากันมาหลบที่เกาะตั้งแต่เมื่อคืนต่างก็สั่งให้เหล่าทหารยามของพวกเขาสำรวจรอบๆ ส่วนตระกูลที่เพิ่งจะกลับมาก็สาปแช่งอยู่ในใจ ในเมื่อทุกคนกำลังเริ่มค้นหาเช่นนี้ หากพวกเขาไม่ลงมือทำอะไรเลย พวกเขาก็อาจจะไม่ได้อะไรกลับไปเลย
หลังจากที่พวกเขาต่างออกค้นหาในยามบ่ายวันนั้นเอง กองเรือของอาณาจักรเซิ่งหลิงก็เป็นผู้พบรังผึ้งทมิฬอาณาจักรแรก
หลังจากพบรังผึ้งทมิฬแล้วคนของอาณาจักรเซิ่งหลิงก็ไม่กล้าลงมือหรือเข้าไปใกล้เลย เพราะรังนั้นอยู่บนเกาะที่มีขนาดใหญ่กว่าเกาะดาวตกถึงสองเท่า มีเหล่าฝูงผึ้งทมิฬคอยบินโฉบไปมาจึงไม่ต้องบอกเลยว่าเกาะแห่งนั้นอันตรายเพียงใด
“ลูกพี่เราจะทำยังไงดี? เราจะอ้อมไปขึ้นฝั่งด้านหลังของเกาะกันดีไหม?”
เฉียนว่านก้วนยืนอยู่บนดาดฟ้าและดวงตาเต็มไปด้วยความโลภแม้ว่าเจียงอี้จะอยู่ที่นี่ เฉียนว่านก้วนก็จะเป็นผู้ที่ได้กำไรมากที่สุด ส่วนคนอื่นๆก็จะได้รับส่วนแบ่งเล็กๆน้อยๆเช่นกัน เกาะแห่งนี้ใหญ่มากและผึ้งทมิฬก็อาศัยอยู่ที่นี่ อาจมีสมุนไพรวิญญาณหายากและยาวิเศษมากมาย
“ไม่ต้องลงมือ!ถอยเดี๋ยวนี้ เราจะกลับมาในอีกหนึ่งวัน!”
เจียงอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมเมื่อเห็นคนรอบข้างเขาต่างพากันงุนงง เขาก็มองไปยังเกาะแห่งนั้นและอธิบายว่า “เกาะนี้ทำให้ข้ารู้สึกถึงอันตรายยิ่งนัก อาจมีราชันสัตว์อสูรหรือสิ่งมีชีวิตทรงพลังอื่นอยู่ที่นี่ หากพลาดครั้งเดียว…..เราอาจจะได้อยู่ที่นี่กันตลอดไป”
บทที่ 422 ติดกับเข้าแล้ว
เมื่อเจียงอี้เอ่ยปากออกมาแล้วเฉียนว่านก้วนและคนอื่นๆที่เหลือก็ไม่กล้าที่จะขัดและแล่นเรือกลับไปอย่างเงียบๆ พวกเขาค่อนข้างอยู่ไกลจากเกาะนั้น ส่วนผู้คนบนเรือลำอื่นๆต่างหมกมุ่นอยู่กับการเฝ้าดูเกาะและป้องกันไม่ให้ตระกูลอื่นๆลงมือก่อน ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นเรือของตระกูลเฉียนที่อยู่ด้านหลังพวกเขาเลย
เฉียนว่านก้วนจอดเรือเทียบเกาะที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่กิโลเมตรส่วนเจียงอี้ก็สำรวจเกาะแห่งนั้นและปล่อยสัตว์อสูรหยาจื้อออกมาอย่างเงียบๆ เขาขอให้ทุกคนอยู่นิ่งๆและรอเขาก่อนที่เขาจะขึ้นไปนั่งบนสัตว์อสูรหยาจื้อและลงไปใต้ทะเล
สัตว์อสูรหยาจื้อตนนี้มีพลังวิเศษมากนักมันสามารถบินบนท้องฟ้าและแหวกว่ายดำลงไปในทะเลได้ ยิ่งกว่านั้นคือมันเคลื่อนที่ในทะเลได้เร็วกว่า จริงๆแล้วมันเป็นสัตว์อสูรใต้ทะเลชนิดหนึ่ง มันเคยอยู่ใต้ทะเลน้ำแข็งในช่วงที่อยู่ในราชวังจักรวาล
ความแข็งแกร่งของเจียงอี้นั้นไม่ด้อยเลยและเขาสามารถกลั้นหายใจได้นานกว่าชั่วโมงดังนั้นมันจึงปลอดภัยที่จะซ่อนตัวอยู่ใต้ทะเล เขาเพียงต้องขึ้นมาเหนือน้ำทุกๆชั่วโมงก็เท่านั้น
เขาให้สัตว์อสูรหยาจื้อพยายามซ่อนกลิ่นอายของมันและลงไปใต้ทะเลลึกกว่าสามกิโลเมตรพวกเขาแหวกว่ายไปยังเกาะที่ผึ้งทมิฬอาศัยอยู่อย่างรวดเร็ว เขารู้สึกได้ถึงแรงกดดันอันมหาศาลใต้ทะเลและลอบถอนหายใจ หากเขาเข้าใจศาสตร์เวทย์นทีเคลื่อนคล้อยที่จอมเวทย์ทิ้งไว้ให้เขาก็จะสามารถไปมาในทะเลได้ราวกับเดินอยู่บนบก ลองคิดดูสิว่าจะสบายขนาดไหนกัน!
หลังจากนั้นไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเจียงอี้ก็เข้าใกล้เกาะแล้ว เขาไม่กล้าเข้าไปใกล้เหล่ากองเรือมากไปเพราะแม้ว่าสัตว์อสูรหยาจื้อจะซ่อนกลิ่นอายของมันแล้ว แต่มันก็ยังอยู่ในระดับเกือบจักรพรรดิสัตว์อสูรและไม่สามารถซ่อนกลิ่นอายของมันได้เต็มที่ ระหว่างทางที่มาที่นี่ เหล่าปีศาจทะเลมากมายต่างพากันหนีด้วยความตกใจ ฉะนั้น หากว่าพวกเขาเข้าไปใกล้กองเรือ พวกเขาก็จะถูกพบอย่างรวดเร็ว
เขาให้สัตว์อสูรหยาจื้ออ้อมไปอีกฝั่งของเกาะหลังจากที่ตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีกองเรืออยู่บนเกาะ เขาก็นำหยาจื้อกลับเข้าไปยังราชวังจักรวาลและว่ายขึ้นสู่ผิวน้ำ
บูม!บูม!
ก่อนที่จะโผล่ขึ้นไปเหนือผืนทะเลเจียงอี้ก็รู้สึกว่าเกาะเริ่มสะเทือนไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าผู้เชี่ยวชาญของทุกตระกูลเริ่มลงมือแล้ว พวกเขาจะสังหารผึ้งทมิฬด้วยกันและหลังจากนั้นจะค่อยไปเอาน้ำผึ้ง
“บุฟ!พรึ่บ!”
ผึ้งทมิฬมากมายนับไม่ถ้วนบินขึ้นสู่ท้องฟ้าพวกมันปกคลุมไปทั่วผืนฟ้าและพื้นดิน ไม่มีใครรู้จำนวนที่แน่นอนได้ นอกจากผึ้งทมิฬแล้ว ก็ไม่มีสัตว์อสูรตนอื่นๆบนเกาะอีกซึ่งทำให้เจียงอี้รู้สึกแปลกใจและไม่รู้ว่าความอันตรายนั้นอยู่ตรงไหนกันแน่
อันตรายบนเกาะแห่งนี้คืออะไรกัน?
เมื่อมองไปที่เกาะที่มีป่าไม้หน้าทึบเจียงอี้ก็งงงวย หากว่ามีสัตว์อสูรที่ทรงพลังหรือปีศาจทะเล พวกมันก็น่าจะรู้ตัวตั้งนานแล้วสิ
ฟึ่บ!ฟึ่บ! ฟึ่บ!
แก่นแท้พลังนับล้านสายกำลังถูกปล่อยออกมาจากอีกฟากของเกาะซึ่งทำให้ท้องฟ้าสว่างไสวกลิ่นอายที่น่ากลัวมาจากที่นั่น ผึ้งทมิฬทั้งหลายต่างก็ดูดุร้ายมาก
เจียงอี้มองไปอย่างไม่ได้ตั้งใจมองขณะที่ความสงสัยผุดขึ้นมาในใจเขาอีกครั้งเมื่อเห็นผึ้งทมิฬมากมายที่กำลังปกคลุมผืนฟ้าอยู่คนพวกนี้นั้นเปรื่องปราดกันขนาดนี้ พวกเขาจะรีบลงมือก่อนที่จะจะเห็นคนของตระกูลจ้าน, ตระกูลเฉียน, ตระกูลหยุนได้อย่างไรกัน? พวกเขาไม่กลัวถูกทั้งสามตระกูลซุ่มโจมตีหรือ?
หลังจากที่พวกเขาเสี่ยงชีวิตและสังหารผึ้งทมิฬแล้วพวกเขาก็จะบาดเจ็บสาหัสและเหนื่อยล้า ในทางตรงกันข้าม เหล่าผู้เชี่ยวชาญของทั้งสามตระกูลกำลังรักษาพลังงานของพวกเขาเอาไว้และจะโจมตีจากที่ใดก็ได้ แล้วจะมีผู้ใดหยุดทั้งสามตระกูลไม่ให้ขโมยน้ำผึ้งไปดื้อๆได้อย่างไร?
ข้าควรจะพิจารณาสถานการณ์ให้ดีกว่านี้และดูว่าพวกมันกำลังทำอะไรกัน!
เจียงอี้สามารถตรงไปยังเกาะและขโมยน้ำผึ้งมาได้ในทันที,และขี่สัตว์อสูรหยาจื้อออกไปขณะที่พวกเขายังคงพากันต่อสู้กับผึ้งทมิฬอยู่ได้ง่ายๆแต่อย่างไรก็ตาม สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะระวังตัวไว้ก่อน.
เขาไม่กล้าขึ้นไปบนเกาะและดำน้ำอ้อมไปยังสนามรบในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเขาไม่เสี่ยงที่จะขึ้นไปเหนือทะเลเขาจึงปล่อยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เพื่อสำรวจสถานการณ์รอบตัวเขาแทน
มันเลวร้ายมาก!
นอกเหนือจากผู้เชี่ยวชาญทั้งสามตระกูลแล้วเหล่านายน้อยและคุณหนูตระกูลอื่นๆมาที่นี่หมดแล้ว อย่างไรก็ตาม นายน้อยและคุณหนูเหล่านี้ได้รวมตัวกันบนเรือลำใหญ่โดยมีผู้คุ้มกันหลายสิบคนคอยปกป้องพวกเขา ส่วนคนที่เหลืออีกหลายร้อยคนก็กระจัดกระจายกันอยู่ตามเรือมากมายและผลัดกันเข้าโจมตีผึ้งทมิฬ
พิษเหล็กในสาดลงมาจากท้องฟ้าเหมือนพายุฝนอย่างไรก็ตาม ยังมีโล่ที่คอยปกคลุมห้องโดยสารเรือเอาไว้ ตราบใดที่ผู้เชี่ยวชาญยังคงฉีดแก่นแท้พลังเข้าไปในม่านพลัง พิษของผึ้งทมิฬก็จะไม่สามารถทำลายโล่ได้
พลังของพิษเหล็กในนั้นเป็นยาพิษทหารคุ้มกันที่เหลือผลัดกันขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ บางคนปล่อยแก่นแท้พลังออกไปเพื่อทำให้เหล็กในกลายเป็นเถ้าถ่านหรือไม่ก็ปัดพวกมันออกไป ส่วนคนที่เหลือก็กำลังโจมตีผึ้งทมิฬบนฟ้าด้วยกำลังทั้งหมด
เนื่องจากมีความร่วมมือกันความปลอดภัยจึงเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ในขณะเดียวกัน ประสิทธิภาพในการสังหารผึ้งทมิฬก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน แน่นอนว่ามีผึ้งทมิฬมากเกินไป พวกเขาจึงไม่สามารถกำจัดพวกมันทั้งหมดได้ภายในหนึ่งวันหนึ่งคืน
นี่พวกเขากำลังต่อสู้กับผึ้งทมิฬจริงๆหรือ?
ดวงตาของเจียงอี้วูบไหวอยู่ใต้ทะเลเขาไม่รู้สึกว่ามีผู้เชี่ยวชาญของตระกูลใดแอบเข้าไปในเกาะเลย เห็นได้ชัดว่าทุกตระกูลนั้นรวมตัวกันจัดการสังหารผึ้งทมิฬทั้งหมดก่อน หลังจากนั้นพวกเขาอาจจะแก่งแย่งกันหรือไม่ก็แบ่งเท่าๆกัน
ปล้นหรือไม่ปล้นดี?
เจียงอี้เกิดความสับสนอยู่ในใจตอนนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุด ตราบใดที่เขาแอบเข้าไปในเกาะนั้น เขาก็จะได้น้ำผึ้งมาอย่างง่ายดาย จากนั้นเขาก็สามารถจากไปได้อย่างเงียบๆโดยไม่มีใครรู้
“รอไปอีกหกชั่วโมงแล้วกันหากไม่มีสิ่งใดน่าสงสัย เช่นนั้นข้าจะลงมือเอง!”
เจียงอี้กัดฟันแน่นเขาไม่ได้กลับไปที่อีกฟากของเกาะแต่เขาขึ้นมาเหนือผิวน้ำทะเลแถวแนวโขดหินใกล้ๆและรออย่างลับๆ
เมื่อผ่านไปสองชั่วโมงก็ยังไม่มีสิ่งใดผิดปกติผึ้งทมิฬมากมายถูกสังหารไป สมาชิกตระกูลสองคนเสียชีวิตไปและอีกห้าหกคนบาดเจ็บ ซึ่งทุกอย่างก็เป็นปกติ
เมื่อผ่านไปสี่ชั่วโมง…. ก็ยังไม่มีสิ่งใดแปลกประหลาดเกิดขึ้น
หลังจากผ่านไปหกชั่วโมงเจียงอี้ก็รู้สึกช่วยไม่ได้ จะเกิดอะไรขึ้นหากว่านี่เป็นการวางแผนกัน? พวกเขาจะกล้าส่งผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังมาซุ่มโจมตีเขาหรือไม่? เขานั้นอยู่กับสัตว์อสูรหยาจื้อ แล้วมันจะเป็นยังไงหากขันทีหลินมาที่นี่? นอกจากนี้ เมื่อผ่านมาหกชั่วโมง ท้องฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว หากมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกัง พวกนั้นก็คงจะโจมตีเขาไปแล้ว
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะลงมือในตอนนี้ เขาว่ายน้ำไปที่ด้านหลังของเกาะและปล่อยสัตว์อสูรหยาจื้อออกมา พร้อมถือดาบมังกรเพลิงและอยู่ที่ฝั่งอย่างสงบ หลังจากสำรวจด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์และแน่ใจว่าไม่มีอันตรายใดๆ เขาก็เดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เขามุ่งมั่นที่จะนำน้ำผึ้งออกไปให้เร็วที่สุดแล้วเขาก็จะกลับไปในทันที
เกาะแห่งนี้มีขนาดใหญ่แต่เจียงอี้เคลื่อนที่เร็วมาก เขาใช้เวลาเพียงสองนาทีครึ่งเพื่อตรงไปยังใจกลางเกาะ ระหว่างทางมาที่นี่เขาก็ไม่พบอันตรายใดๆ ไม่แม้แต่จะมีสัตว์อสูรเลย
“ราชันอสูรเจ้าสัมผัสถึงอันตรายของสัตว์อสูรบนเกาะนี้ได้บ้างหรือไม่?” เจียงอี้ถามสัตว์อสูรหยาจื้อที่อยู่ด้านหลังเขา หยาจื้อส่ายหัวแล้วตอบว่า “ข้าไม่รู้ว่าเกาะแห่งนี้อันตรายหรือเปล่า แต่นอกจากผึ้งทมิฬแล้ว ที่นี่ก็ไม่มีสัตว์อสูรตนอื่นๆเลย”
“ไปกันเถอะ!”
เจียงอี้เร่งฝีเท้าอย่างกระทันหันและเหินไปข้างหน้าราวกับวานรสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาจดจ่อไปที่รังยักษ์ใหญ่ด้านหน้าที่อยู่ไกลออกไป และเขาก็ได้กลิ่นที่หอมสดชื่นมาแต่ไกล
“น้ำผึ้งของผึ้งทมิฬ!”
ดวงตาของเจียงอี้สว่างวาบและใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์กวาดไปรอบๆ หลังจากแน่ใจว่าไม่มีอันตรายใดๆ เขาก็ไม่ลังเลและรีบวิ่งเข้าหารังราวกับดาบที่แหลมคม
“ฮ่าฮ่าเจียงอี้ติดกับแล้ว!”
ในเวลาเดียวกันเสียงหัวเราะก็ดังออกมาจากห้องโดยสารขนาดใหญ่ของห้องโดยสารบนเรือนอกชายฝั่ง
ในห้องนั้นลูกแก้วสีขาวกำลังส่องแสงและมีคนนั่งอยู่สองคน หนึ่งในนั้นคือผู้อาวุโสขอบเขตจินกังจากโถงวรยุทธ และอีกคนก็คือจีทิงยวี่ พวกเขาใช้ทักษะเวทย์มนตร์บางอย่างที่ทำให้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเจียงอี้ตรวจหาพวกเขาไม่เจอ
สิ่งที่ยิ่งกว่านั้นก็คือมีภาพฉายสองภาพภายในลูกแก้วขาวหนึ่งในนั้นเป็นสัตว์อสูรหยาจื้อและอีกภาพคือเจียงอี้ที่กำลังวิ่งเข้าไปที่รัง
จีทิงยวี่มองไปในลูกแก้วและยิ้มออกมานางกระซิบ “เจียงอี้ ผู้ใดในพิภพนี้ที่จะสามารถช่วยเจ้าได้ในครั้งนี้กัน?”