เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 425-426
บทที่ 425 จัตุรัสใต้บาดาล
ฟึ่บฟั่บ!
เถาวัลย์ดารามารยังคงเลื้อยลงไปด้านล่างเรื่อยๆเจียงอี้ไม่รู้ว่าเขาจมลงไปลึกแค่ไหนแล้วแต่เขารู้สึกหายใจไม่ออก ระหว่างทางเขาพยายามใช้วิธีการต่างๆ เช่น การปล่อยเพลิงโลกาและขยับตัวอย่างแรง แต่ก็ล้มเหลว เถาวัลย์ดารามารนี้แปลกประหลาดราวกับหวายสีดำจากทะเลมรณะเลย
ครู่ต่อมาชายหนุ่มหนึ่งคนและสัตว์อสูรหนึ่งตนก็ถูกลากลงไปยังจัตุรัสใต้บาดาลขนาดยักษ์ และเถาวัลย์ดารามารก็ไม่ขยับอีกต่อไป เจียงอี้และสัตว์อสูรหยาจื้อมองไปรอบๆและอ้าปากค้าง
จัตุรัสใต้บาดาลนี้มีขนาดใหญ่มากและไม่รู้ว่ามันจะใหญ่ไปถึงจุดไหนแต่นี่ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ สิ่งที่สำคัญคือพื้นของจัตุรัสแห่งนี้ สภาพแวดล้อมนั้นเป็นห้องโถงในพระราชวังหยกขาว ที่มุมกำแพงนั้นมีไข่มุกส่องสว่างราวกับว่านี่คือพระราชวังใต้น้ำขนาดยักษ์
มีพระราชวังลึกลับอยู่ใต้ทะเลจริงๆ?ต้นกำเนิดของเถาวัลย์ดารามารนี้มาจากพระราชวังที่มนุษย์สร้างขึ้นมาได้จริงๆหรือ? ผู้ใดกันที่จะสร้างวังได้ในที่ที่ลึกเช่นนี้?
ทุกอย่างดูแปลกมากมากเสียจนเจียงอี้รู้สึกราวกับว่าเขาอยู่ในปรโลกแล้ว เขาและสัตว์อสูรหยาจื้อนั้นมีสายตาที่ตกตะลึง ไม่ต้องพูดถึงแสงสว่างเลย พวกเขามองผ่านความมืดนี้ไปไกลหลายกิโลเมตรแล้วพวกเขาก็ตระหนักได้ว่าจัตุรัสใต้บาดาลแห่งนี้ไม่มีที่สิ้นสุด นอกเหนือจากเถาวัลย์ดารามารแล้วพวกเขาก็ไม่พบสิ่งอื่นเลย
รากของเถาวัลย์ดารามารนั้นไม่ได้อยู่ที่จัตุรัสใต้บาดาลพวกมันหยั่งรากไปที่พื้น มีเพียงแค่ส่วนหนึ่งของมันเท่านั้นที่ปรากฏออกมาซึ่งมีความยาวกว่าหลายสิบเมตร มันไม่ใช่เถาวัลย์ดารามารเพียงเส้นเดียวแต่มีทั้งหมดสามเส้น พวกมันค่อยๆเคลื่อนไหวไปมาในจัตุรัสใต้บาดาลราวกับว่าพวกมันเป็นสาหร่ายทะเล
หลังจากที่เถาวัลย์ดารามารดึงเจียงอี้และสัตว์อสูรหยาจื้อลงมาแล้วพวกมันก็ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรแปลกๆเลยและเพียงแค่มัดพวกเขาไว้ มันแหวกว่ายไปมาในจัตุรัสใต้น้ำและไม่ได้ทำสิ่งอื่นใดเลย
เจียงอี้และสัตว์อสูรหยาจื้อสบตากันและมีความสงสัยอยู่เต็มดวงตาของเจียงอี้ เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเถาวัลย์ดารามารถึงได้จู่โจมเขาเมื่อเขาโจมตีรังของผึ้งทมิฬ เถาวัลย์ดารามารนั้นเกี่ยวข้องกับผึ้งทมิฬหรือว่ามันเป็นแค่เพียงเรื่องบังเอิญกัน?
เขามองไปยังเถาวัลย์ดารามารทั้งสามและได้รับคำตอบอย่างรวดเร็วที่เถาวัลย์ดารามารเส้นหนึ่งนั้นมีกลิ่นหอมอ่อนๆของน้ำผึ้งอยู่ ดูเหมือนว่าเถาวัลย์ดารามารเหล่านี้จะเกี่ยวข้องกับผึ้งทมิฬจริงๆ
ดวงตาของเจียงอี้มองไปรอบๆและเห็นว่าเถาวัลย์ดารามารจะไม่สังหารเขาและสัตว์อสูรหยาจื้อในทันทีซึ่งหมายความว่าพวกเขามีโอกาสรอด ตราบใดที่ยังมีความหวัง เขาจะไม่ยอมแพ้และเขาก็เกิดความคิดสายหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว
หากเขาต้องการช่วยเหลือตัวเองก็มีเพียงสองวิธีเท่านั้น!
วิธีแรกคือการเข้าถึงศาสตร์แห่งวิญญาณพฤกษาเถาวัลย์ดารามารนี้อาจเป็นวิญญาณอสูร แต่ฐานของมันยังคงเป็นพืชพันธุ์ ซึ่งศาสตร์แห่งวิญญาณพฤกษานั้นสามารถควบคุมพืชทั้งหมดในโลกได้ หากสามารถควบคุมต้นไม้ประหลาดในป่าอาถรรพ์ได้เขาก็อาจจะทำให้เถาวัลย์ดารามารปล่อยพวกเขาไปได้
วิธีที่สองคือเข้าใจสวรรค์สยบเพลิงอเวจีองค์ประกอบธาตุทั้งห้านั้นเอื้อประโยชน์และยับยั้งซึ่งกันและกัน อย่างที่ไฟสามารถยับยั้งไม้ได้ ตราบเท่าที่เขาสามารถฝึกฝนสวรรค์สยบเพลิงอเวจีได้ดีพอ เขาก็อาจจะปรับแต่งเปลวไฟที่น่ากลัวมาเผาเถาวัลย์ดารามารและหลบหนีไปจากที่นี่ได้
เขาไม่ได้มีเวลามากพอและไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เถาวัลย์ดารามารจะตัดสินใจกลืนกินเขากับสัตว์อสูรหยาจื้อเจียงอี้ได้ปัดเป่าความคิดฟุ้งซ่านออกไปอย่างรวดเร็วและเข้าสู่ห้วงสมาธิโดยการมุ่งเน้นไปยังการเข้าถึงศาสตร์วิญญาณพฤกษา
“ฮึ…”
สัตว์อสูรหยาจื้อมีแววตาที่ล้อเลียนอยู่ในดวงตาของมันเมื่อมันเห็นว่าเจียงอี้ที่ถูกรัดอยู่และอาจตายได้ทุกเมื่อแต่เขากำลังพยายามฝึกฝนอย่างไร้ประโยชน์ในเวลาสั้นๆอย่างนั้นหรือ?
ตอนนี้มันไม่มีหนทางอื่นเช่นกันย้อนกลับไปเมื่อตอนที่จอมเวทย์ถูกรัดโดยเถาวัลย์ดารามารในทะเลตะวันออก มันก็พยายามทุกวิถีทางและโจมตีด้วยพลังทั้งหมดแต่มันก็ยังไม่สามารถสร้างรอยขีดข่วนให้แก่เถาวัลย์ดารามารได้เลย ดังนั้นมันจึงไม่ต้องการที่จะสูญเสียพลังในการพยายามโจมตีใดๆ
“เช่นนั้นก็ฝึกฝนเถอะ!”
หลังจากที่มันรอมาระยะหนึ่งสัตว์อสูรหยาจื้อก็เต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย มันอาจได้รับแรงจูงใจจากจิตวิญญาณที่ไม่ย่อท้อของเจียงอี้และปิดตาของมันเพื่อฝึกฝนเช่นกัน จมูกของมันพ่นลมหายใจออกมาขณะที่พลังฟ้าดินทั้งหมดมารวมตัวอยู่ข้างหน้ามัน ในขณะที่มันหายใจเข้า-ออก แก่นแท้พลังฟ้าดินก็ถูกดูดซับอย่างรวดเร็วซึ่งมันดูลึกลับมาก
เกิดความเงียบขึ้นรอบๆและเถาวัลย์ดารามารทั้งสามก็กำลังแหวกว่ายไปมาอย่างนุ่มนวลในจัตุรัสใต้บาดาลที่กว้างขวางนี้มุมของผนังนั้นสว่างไสวไปด้วยไข่มุกเรืองแสง เจียงอี้และสัตว์อสูรถูกรัดไว้โดยเถาวัลย์ดารามารเส้นหนึ่ง แต่ทั้งคู่ก็พากันฝึกฝนอย่างเงียบๆ ซึ่งนี่เป็นฉากที่ดูประหลาดมาก
…
คนแรกที่มาถึงทะเลตะวันตกไม่ใช่สุ่ยโย่วหลานแต่เป็นแม่เฒ่าบุปผาสีเงินเมืองเซวี่ยนเทียนนั้นอยู่ใกล้กับทะเลตะวันตกมากและแม่เฒ่าบุปผาสีเงินก็บินมาเป็นเส้นทางตรงด้วยความเร็วที่เร็วที่สุดของนางโดยไม่หยุดพัก นางใช้เวลาทั้งวันกว่าจะมาถึงทะเลตะวันตกและพบเกาะที่หยุนเฟยและคนอื่นๆรออยู่ใกล้ๆอย่างใจจดใจจ่อ
“ท่านยายรีบไปช่วยเจียงอี้เถอะ!”
เมื่อหยุนเฟยเห็นแม่เฒ่าบุปผาสีเงินนางก็ตะโกนออกมาด้วยดวงตาที่แดงก่ำทันทีจ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนก็รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นเช่นกัน ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ทรมานสำหรับพวกเขามากนักและเมื่อผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังมาถึง พวกเขาก็ดูเหมือนจะมีความหวังขึ้นมา
ฟึ่บ!
แม่เฒ่าบุปผาสีเงินวนไปมารอบๆเกาะแต่ก็ไม่กล้าเข้าใกล้นางมองเห็นหลุมขนาดยักษ์ที่ลึกมาก ไม่ต้องพูดถึงการลงไปช่วยเจียงอี้เลย นางยังไม่กล้าเข้าใกล้มันด้วยซ้ำ!
“จี่จี่!”
ผึ้งทมิฬด้านล่างล่วงรู้ถึงการมาของนางและส่งเสียงออกมาและพุ่งเข้าหานางและแม่เฒ่าบุปผาสีเงินก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆและบินกลับมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นนางก็ใช้กลิ่นอายของนางข่มขู่ผึ้งทมิฬเหล่านั้น
“ท่านยายเป็นอย่างไรบ้าง?”
เมื่อเห็นแม่เฒ่าบุปผาสีเงินกลับมาหยุนเฟยและคนอื่นๆก็รีบไปหานางทันที นางส่ายหัวและกล่าวว่า “เถาวัลย์ดารามารนั้นน่ากลัวเกินไป ข้าไม่กล้าลงไปข้างล่างนั้น เรารอให้แม่หญิงสุ่ยและจักรพรรดินีสัตว์อสูรมาที่นี่ก่อนที่จะลงมือทำอะไรเถอะ”
“เถาวัลย์ดารามาร?”
เฉียนว่านก้วน,หยุนเฟยและจ้านอู๋ซวงต่างก็เป็นลูกหลานของตระกูลที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาได้ล่วงรู้ในประวัติศาสตร์ต่างๆมากมายและคุ้นเคยกับสิ่งที่คนทั่วไปไม่รู้ เมื่อพวกเขาทั้งสามได้ยินชื่อนี้แล้วก็พากันตกใจ หยุนเฟยไม่ได้รู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่นัก แต่ตอนนี้ใบหน้าของพวกเขาทั้งหมดต่างก็ซีดลงอย่างน่าสังเวช
ในประวัติศาสตร์เถาวัลย์ดารามารนั้นปรากฏขึ้นมาสามครั้งและทุกครั้งพวกมันจะสังหารสุดยอดผู้เชี่ยวชาญไปหลายคน
เถาวัลย์ดารามารนั้นคืออะไรกันแน่?มันมาจากที่ใดกัน?
ไม่มีผู้ใดรู้ไม่เคยมีใครเห็นพวกมันแบบเต็มๆมาก่อน มันทำให้ทุกคนรู้เพียงว่ามันเป็นเถาวัลย์สีดำและหนาที่มีกลิ่นอายที่น่ากลัวซึ่งใครก็ตามที่ถูกมันรัดลงไปไม่เคยได้กลับมาอีกเลย
ในความเป็นจริงเถาวัลย์ดารามารปรากฏขึ้นมาสี่ครั้งและมีคนที่หนีรอดไปได้ แต่จอมเวทย์นั้นเป็นผู้ไม่ฝักอยู่ฝ่ายใด ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าเขาได้บรรลุจุดสูงสุดของขอบเขตเทียนจุนแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าเขาได้ปะทะกับเถาวัลย์ดารามารในทะเลตะวันออก
บันทึกในประวัติศาสตร์ล่าสุดนั้นคือกว่าแปดหมื่นปีที่แล้วมีผู้เชี่ยวชาญที่กล้าแกร่งผู้หนึ่งไปฝึกฝนที่ทะเลทางเหนือเพื่อเข้าถึงรูปแบบเต๋าหิมะฉาย อย่างไรก็ตามพอพวกเขาได้เจอกับเถาวัลย์ดารามาร เรื่องนี้ก็ก่อให้เกิดความปั่นป่วนเป็นอย่างมากเนื่องจากผู้เชี่ยวชาญผู้นี้เป็นหลานขององค์ราชาในเวลานั้น องค์ราชาองค์นั้นยังเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนแล้วด้วย
องค์ราชาได้นำกลุ่มผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังไปช่วยเหลือด้วยตนเองแต่ก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในการต่อสู้ครานั้น เมื่อองค์ราชากลับมา เขาก็ช่วยหลานชายของเขาไม่ได้และยังสูญเสียผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังไปถึงสามคน
และในครั้งนี้เถาวัลย์ดารามารก็ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันดึงอัจฉริยะอันดับหนึ่งของทวีปเทียนชิงและราชันอสูรขั้นสูงสุดไป ในตอนนี้แม่เฒ่าบุปผาสีเงินได้มาถึงแล้วในขณะที่สุ่ยโย่วหลาน, จูเก๋อชิงหยุนและจักรพรรดินีสัตว์อสูรกำลังเดินทางมา
คราวนี้จะเกิดอะไรขึ้น?ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังจะตกตายอยู่ที่นี่หรือไม่? พลังที่น่าทึ่งของจักรพรรดินีสัตว์อสูรจะสามารถช่วยเหลือเจียงอี้ได้หรือไม่?
เฉียนว่านก้วนและคนอื่นๆไม่รู้สิ่งใดเลยแต่พวกเขารู้ว่าพวกเขากำลังจะได้เห็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่จะถูกทิ้งไว้ในบันทึกประวัติศาสตร์ แน่นอนว่าพวกเขาก็อาจได้เห็น….สหายรักที่สูญสลายไปเช่นกัน
….
บทที่ 426 กำเนิดการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่
จูเก๋อชิงหยุนมาถึงในวันรุ่งขึ้นแต่เขาก็ไม่กล้าเข้าไปเช่นกันเขาหารือกับแม่เฒ่าบุปผาสีเงินและตัดสินใจที่จะรอให้สุ่ยโย่วหลานและจักรพรรดินีสัตว์อสูรมาถึงก่อน ในเวลานั้น พวกเขาทั้งสี่จะลงมือพร้อมกันและดูว่าจะช่วยเจียงอี้ได้หรือไม่
ในวันที่สามสุ่ยโย่วหลานก็ได้มาถึง นางไม่ได้ไปดูสภาพของเกาะเสียด้วยซ้ำและกล่าวออกมาว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการกับเถาวัลย์ดารามารด้วยตัวเอง
เฉียนว่านก้วนและคนอื่นๆนั้นเริ่มหมดความหวังลงทั้งสามคนได้แต่ฝากความหวังไว้กับจักรพรรดินีสัตว์อสูร แต่ว่านางจะมาไหมนะ?
ในคืนนั้นสุ่ยโย่วหลานและผู้เชี่ยวชาญอีกสองคนต่างลืมตาขึ้นมาพร้อมกันและลุกขึ้นจากท่านั่งอย่างรวดเร็ว พวกเขาเดินออกไปที่ดาดฟ้าเรือและมองไปทางทิศตะวันออก ส่วนเฉียนว่านก้วนและคนอื่นๆต่างก็พากันรีบวิ่งออกมาอย่างร้อนรนและมองไปที่ท้องฟ้าทางทิศตะวันออกอย่างใจจดใจจ่อด้วยความหวังที่ลุกโชน
ท้องฟ้าในคืนนั้นไม่เป็นใจเท่าไรนักและมีฝนตกปรอยๆเล็กน้อยจึงทำให้ทุกคนเปียกโชกและท้องฟ้าก็มืดลงมากจนทำให้เฉียนว่านก้วนและคนอื่นๆไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ในระยะที่ไกลกว่าสามกิโลเมตรเลย ที่ท้องฟ้าทางทิศตะวันออกนั้นยังไม่มีสิ่งใดปรากฏแต่มีกลิ่นอายที่ทำให้หัวใจสั่นคลอนได้ปรากฏขึ้นมาราวกับว่ามีสัตว์อสูรโบราณที่ดุร้ายกำลังใกล้เข้ามา
ฟึ่บ!
เสียงสายลมแหวกดังขึ้นเบาๆขณะที่ร่างสีดำร่างหนึ่งพุ่งตรงมาหาพวกเขากลิ่นอายที่น่าเกรงขามเริ่มแผ่กระจายออกมามากขึ้น นอกจากผู้เชี่ยวชาญทั้งสามคนแล้วทุกคนก็รู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังหายใจไม่ออก
และมันก็ค่อยๆใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ทุกคนเห็นอย่างชัดเจนว่าผู้ใดมาที่นี่ดวงตาของบุรุษมากมายสว่างขึ้นมาโดยสัญชาตญาณเนื่องจากพบหญิงงามที่สมบูรณ์แบบ
“คารวะจักรพรรดินีสัตว์อสูร!”
จูเก๋อชิงหยุน,แม่เฒ่าบุปผาสีเงินและสุ่ยโย่วหลานโค้งคำนับด้วยความเคารพ
“คารวะจักรพรรดินีสัตว์อสูร!”
หยุนเฟย,จ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนต่างก็รู้ถึงมารยาทของพวกเขาและคุกเข่าข้างหนึ่งลง ไม่ใช่เพียงเพราะความสัมพันธ์ระหว่างเจียงอี้กับจักรพรรดินีเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะจักรพรรดินีสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้และสามารถปราบปรามผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดในทวีปนี้ได้ พวกเขาจึงรู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าพวกเขาสมควรที่จะคุกเข่าลง
“พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ!”
จักรพรรดินีสัตว์อสูรอาจมีเสน่ห์ที่มากล้นออกมาแต่มันเป็นเพราะร่างของจิ้งจอกวิญญาณห้าหางของนางที่มีแก่นพลังงานสวรรค์ที่ทำให้นางมีเสน่ห์ที่ดูเย้ายวนและกระจายกลิ่นหอมๆของจิ้งจอกออกมา จักรพรรดินีนั้นมีกลิ่นอายที่สง่างามและมั่นคงซึ่งเสริมด้วยม่านพลังที่ทรงพลังของนางด้วย
วันนี้นางสวมชุดไหมยาวสีดำซึ่งทำให้นางดูน่าเย้ายวนและมีเสน่ห์นัก
ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆแต่สิ่งที่แปลกคือเมื่อฝนตกลงมาบนตัวจักรพรรดินีสัตว์อสูรแล้วมันจะหายไปในทันใด ไม่มีร่องรอยความชื้นรอบตัวของนางเลย เช่นเดียวกับสุ่ยโย่วหลาน, แม่เฒ่าบุปผาสีเงินและจูเก๋อชิงหยุนซึ่งทำให้เฉียนว่านก้วนและคนอื่นๆต่างประหลาดใจ
จักรพรรดินีสัตว์อสูรโบกมืออย่างเฉยเมยอย่างเป็นพิธีและมองไปที่เกาะยักษ์ที่ห่างไกลออกไปจากนั้นร่างของนางก็พุ่งออกไปทางนั้น สุ่ยโย่วหลานและคนอื่นๆก็รีบลอยขึ้นไปในอากาศและตามหลังนางไปอย่างใกล้ชิด พวกเขาทั้งหมดเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ครั้งใหญ่แล้ว
ทุกคนที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือต่างก็กลั้นหายใจและไม่ได้สนใจฝนที่โปรยลงมากระทบร่างของพวกเขาหัวใจของเฉียนว่านก้วน, จ้านอู๋ซวงและหยุนเฟยนั้นแทบจะหลุดออกมาจากลำคอแล้ว หากว่าจักรพรรดินีสัตว์อสูรไม่สามารถทำอะไรได้ เช่นนั้นก็คงจะสิ้นหวังกับเจียงอี้แล้ว
ฟึ่บฟั่บ!
ทุกคนตกตะลึงเมื่อจักรพรรดินีสัตว์อสูรบินผ่านเกาะไปและเหวี่ยงมือของนางหลังจากนั้นลำแสงสีขาวก็พุ่งลงไปที่รังทันที
“อุกอาจ!”
เฉียนว่านก้วนยกนิ้วโป้งขึ้นมาจักรพรรดินีสัตว์อสูรไม่ได้สำรวจใดๆแต่เริ่มลงมือในทันที นางมีอำนาจเหนือนักสู้อันดับหนึ่งของทวีปเทียนชิงจริงๆ!
บูมบูมมม!
ก่อนที่ลำแสงนั้นจะพุ่งชนรังของผึ้งทมิฬเกาะทั้งเกาะก็สนั่นสั่นไหวและคลื่นยักษ์ก็ปะทุขึ้นจากทะเลรอบๆในขณะที่ผึ้งทมิฬต่างก็ร้อง จี่ จี่ ไม่หยุดหย่อน เฉียนว่านก้วนและคนอื่นๆเห็นเถาวัลย์สีดำพุ่งออกมาจากเกาะหลังจากที่จักรพรรดินีสาดลำแสงออกไป เถาวัลย์สีดำแปรเปลี่ยนเป็นพลังที่ไร้การยับยั้งและกวาดไปที่จักรพรรดินีสัตว์อสูร
เถาวัลย์นั้นแผ่กระจายไปยังพื้นที่รอบๆทั่วทุกสารทิศกลิ่นอายที่ทรงพลังของเถาวัลย์นั้นทำให้ท่าทีของสุ่ยโย่วหลานเปลี่ยนไป
“เถาวัลย์ดารามาร!”
เฉียนว่านก้วนและคนอื่นๆต่างอ้าปากค้างด้วยความตระหนกและรู้สึกว่าจิตวิญญาณของพวกเขาสะท้านไปชั่วขณะเถาวัลย์สีดำนั้นดูเหมือนแส้ที่คอยเกี่ยวดึงวิญญาณที่พุ่งออกมาจากโลกใต้พิภพ มันให้ความรู้สึกมีพลังอย่างท่วมท้นและไม่สามารถยับยั้งได้ ราวกับว่าโลกทั้งใบหายวับไปในสายตาของพวกเขาในทันใดและมีเพียงเถาวัลย์ยักษ์เท่านั้นที่กวาดไปทั่ว หัวใจของทุกคนต่างก็บีบแน่นและต่างก็สงสัยว่าจักรพรรดินีสัตว์อสูรจะสามารถต่อกรกับเถาวัลย์ดารามารได้หรือไม่ พวกเขาหวังเพียงว่าเหล่าผู้เชี่ยวชาญจะไม่ต้องสละชีวิตตัวเองกันไปด้วยเช่นกัน
“ฮึ่ม!”
จักรพรรดินีส่งเสียงและยื่นมือออกมานางชี้ไปในอากาศซึ่งทำให้พื้นที่รอบๆทั้งหมดสว่างขึ้น โลกเบื้องหน้าของเฉียนว่านก้วนและในสายตาคนอื่นๆเปลี่ยนไปอีกครั้ง พวกเขาเห็นดัชนีสีขาวค่อยๆชี้ไปยังเถาวัลย์ยักษ์นั้น นิ้วของนางนั้นเล็กแต่กลับทรงพลังไม่แพ้เถาวัลย์ยักษ์ที่มีขนาดใหญ่กว่ามันมากนัก
“ย๊าห์!”
แม่เฒ่าบุปผาสีเงินร่ายคาถาและกวัดแกว่งคฑาของนางซึ่งยิงเงาที่โป่งพอออกมาขณะที่มันพุ่งไปในอากาศมันกลายเป็นคฑายักษ์ที่มีความยาวหลายสิบเมตรที่พุ่งตรงไปยังเถาวัลย์ยักษ์นั่น
“จงรับกำปั้นจากชายชราผู้นี้ไปเสีย!”
จูเก๋อชิงหยุนกระแทกรถเข็นด้วยมือข้างเดียวและพุ่งออกไปกำปั้นขวาของเขาส่องแสงจนทำให้มองไม่เห็นก่อนที่จะส่งกำปั้นออกไปอย่างอุกอาจ
เงากำปั้นสีทองพุ่งออกมาจากหมัดของเขามันดูเหมือนไม่ใช่การโจมตีด้วยแก่นแท้พลังแต่รู้สึกเหมือนเป็นกำปั้นของจูเก๋อชิงหยุนที่มีขนาดใหญ่กว่าปกตินับสิบเท่า มันรุนแรงอย่างผิดปกติและส่งเสียงออกมาราวกับว่ามันสามารถทะลวงหัวใจและทำให้ทุกอย่างแหลกสลายได้ แม้แต่ภูเขายักษ์ก็อาจถูกกำปั้นนี้ทุบจนแหลกสลายเป็นผุยผง
จูเก๋อชิงหยุนไม่ได้ปลดปล่อยมังกรหกกรงเล็บออกมาเขารู้อย่างแจ่มแจ้งว่ามังกรทองนั้นจะไม่ช่วยอะไรมากเท่าไหร่นักและคิดว่ามันอาจจะเป็นภาระเสียด้วยซ้ำ หากราชันสัตว์อสูรระดับสูงสุดยังถูกรัดได้อย่างง่ายดายเช่นนั้นพลังของมังกรทองก็คงด้อยกว่ามาก
“จย๊าห์!”
สุ่ยโย่วหลานก็ลงมือเช่นกันชุดของนางกระพือขณะที่นางสร้างผนึกฝ่ามือ คลื่นทะเลด้านล่างเริ่มหมุนวนอย่างรุนแรงก่อนที่นางจะผลักมือไปข้างหน้า จู่ๆน้ำทะเลก็เกิดคลื่นขนาดยักษ์ที่มีความสูงเกือบสามสิบกิโลเมตร คลื่นยักษ์ได้ก่อตัวเป็นมังกรวารีซึ่งมีความยาวกว่าร้อยเมตรก่อนที่มันจะพุ่งตรงไปที่เถาวัลย์ดารามารอย่างรวดเร็ว
สุดยอดผู้เชี่ยวชาญทั้งสี่คนกำลังรวมพลังกันจู่โจมไปยังเถาวัลย์ดารามาร!
ตูม!ตูม! ตูมม!
ในขณะนั้นก็มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นอย่างกระทันหันเป็นรูปร่างคล้ายใยแมงมุมแผ่ออกมาทำให้ท้องฟ้าดูเหมือนแตกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและส่องสว่างไปทั่วเกาะฉากของท้องฟ้าในยามนี้นั้นตราตรึงอยู่ในใจของทุกๆคนและมันไม่อาจถูกลบเลือนไปจากใจของทุกคนตลอดชั่วชีวิต
ฟึ่บฟั่บ!
ฉากต่อไปก็จะเป็นสิ่งที่ไม่มีวันลืมเลือนไปชั่วนิรันดร์เมื่อเถาวัลย์ดารามารและพลังดัชนีของจักรพรรดินีสัตว์อสูรปะทะกัน มันก็ก่อระเบิดที่ดังสนั่นซึ่งฉีกผ่าพื้นที่ใกล้ๆทำให้เกิดแรงกระเพื่อมแผ่กระจายไปถึงท้องฟ้า เถาวัลย์ดารามารนั้นสั่นไหวเล็กน้อยก่อนที่จะตวัดไปข้างหน้า จักรพรรดินีกลายเป็นเพียงภาพติดตาก่อนที่จะหลบมันก่อนที่เถาวัลย์จะปะทะเข้ากับการโจมตีของผู้เชี่ยวชาญทั้งสามคน และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นน่าตกใจมากจนทำให้ทุกๆคนที่มองดูต่างพากันตกตะลึง