เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 429-430
บทที่ 429 แดนใต้พิภพ
เมื่อเถาวัลย์ดารามารทั้งสองออกไปจู่โจมจักรพรรดินีสัตว์อสูรและคนอื่นๆมันก็ได้ทำให้สัตว์อสูรหยาจื้อที่อยู่ด้านล่างรับรู้ได้ในทันที สิ่งที่แปลกคือมันไม่ได้ปลุกเจียงอี้ เพราะเห็นว่าเขาอยู่ในสภาพที่เงียบสงบซึ่งเขาปิดความรู้สึกทั้งหมดของเขา เขาจะตายโดยที่ไม่รู้อะไรเลยและนี่เป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของเขา
เมื่อเถาวัลย์ดารามารเส้นที่สองขึ้นไปดวงตาของสัตว์อสูรหยาจื้อก็ประกายไปด้วยความสดใส หากเถาวัลย์ดารามารเส้นเดียวไม่สามารถต่อสู้ได้นั่นหมายความว่าผู้ที่ต่อกรกับมันจะต้องอยู่ในขอบเขตเทียนจุนแล้ว และคงเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากจักรพรรดินีสัตว์อสูร
สัตว์อสูรหยาจื้อไม่รู้ว่าจักรพรรดินีสัตว์อสูรนั้นทรงพลังมากมายเพียงใดแต่เมื่อตอนที่มันอยู่ที่หุบเขาสามหมื่นลี้มันรู้สึกหวาดกลัวกลิ่นอายของนาง แม้มันจะไม่ได้คิดว่าจักรพรรดินีสัตว์อสูรจะสามารถช่วยพวกเขาได้ แต่มันก็ยังคงมีร่องรอยแห่งความหวังอยู่ในใจ
ผลที่ตามมาก็ได้ทำให้ความหวังของมันดับลงเมื่อเถาวัลย์ดารามารทั้งสองกลับมาอย่างรวดเร็วเถาวัลย์เส้นหนึ่งอาจจะมีของเหลวสีดำไหลออกมา แต่ก็เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดินีสัตว์อสูรยังไม่ใช่คู่ปรับของพวกมัน
ฟั่บฟึ่บ!
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาเถาวัลย์ดารามารอีกเส้นก็ขึ้นไป ซึ่งทำให้สัตว์อสูรหยาจื้อลืมตาขึ้นอีกครั้งและมองไปที่เจียงอี้ มันรู้สึกประหลาดและคิดว่าหากว่าเจียงอี้กำลังเข้าใจศาสตร์พลังอย่างฉับพลันอีกวิชา ทำไมเขาจะต้องปิดกั้นตนเองลึกขนาดนี้?
ฟึ่บฟั่บ!
เถาวัลย์ดารามารที่เพิ่งขึ้นไปสู่ผิวน้ำได้กลับมาอย่างรวดเร็วสัตว์อสูรหยาจื้อชำเลืองมองครู่หนึ่งและมันก็ค่อนข้างโกรธเกรี้ยวและพูดด้วยน้ำเสียงอู้อี้ว่า “นังหนู เจ้าจะต้องเอาชีวิตมาทิ้งเช่นนี้เลยหรือ?”
เจียงเสี่ยวนู๋เมินเฉยต่อสัตว์อสูรหยาจื้อและกวาดสายตาไปยังเจียงอี้หลังจากที่นางมั่นใจแล้วว่าเจียงอี้ยังมีชีวิตอยู่นางก็ยิ้มหวานออกมาแล้วพูดว่า “นายน้อย เสี่ยวนู๋มาช่วยท่านแล้วนะเจ้าคะ”
“ฮึ….เจ้าน่ะหรือ?”
สัตว์อสูรหยาจื้อกลอกตาเหมือนมนุษย์แต่เมื่อร่างกายของเจียงเสี่ยวนู๋พรั่งพรูไปด้วยกลิ่นอายอันทรงพลังมันก็ได้ทำให้สัตว์อสูรหยาจื้อสั่นไหวโดยสัญชาตญาณ ดวงตาของมันสว่างขึ้นทันทีเมื่อจ้องมองไปยังเจียงเสี่ยวนู๋ด้วยดวงตาที่แวววาวราวกับระฆัง
พรึบ!
ร่างของเจียงเสี่ยวนู๋ส่องสว่างขึ้นแต่เป็นแสงสีเขียวแทนที่จะเป็นแสงสีขาว ผมสีดำเส้นเล็กของนางปลิวไสวและเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม หูของนางแหลมขึ้นและดวงตาของนางก็ประกายไปด้วยแสงสีเขียว เล็บทั้งสิบของนางโค้งเล็กน้อยเหมือนกับกรงเล็บของสัตว์ร้ายที่แวววาวไปด้วยสีเขียว สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้ทำให้จิตวิญญาณของสัตว์อสูรหยาจื้อสั่นสะท้าน
ปึกแคว่ก!
เสื้อผ้าที่หลังของนางฉีกขาดออกมาและเผยแผ่นหลังที่ขาวราวกับหิมะซึ่งมีปีกที่มีขนสีเขียวเข้มปรากฏออกมากลิ่นอายของเจียงเสี่ยวนู๋ก็ได้เปลี่ยนจากสาวน้อยที่อ่อนแอเป็นธิดาแห่งนักรบด้วยพลังอันสง่างามที่ทำให้ผู้ใดก็ตามไม่สามารถมองนางได้ตรงๆ
ฟึ่บฟั่บ!
กรงเล็บอันแหลมคมของนางตวัดไปยังเถาวัลย์ดารามารที่พันรอบเอวและขาของนางในทันทีซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้สัตว์อสูรหยาจื้อตกตะลึงเป็นอย่างมากที่เถาวัลย์ดารามารที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปนี้กลับกลายเป็นเหมือนกิ่งไม้ที่เปราะบางเมื่อถูกกรงเล็บของเจียงเสี่ยวนู๋ฟาดฟันใส่ ทุกครั้งที่นางกางกรงเล็บของนาง นางจะฉีกเถาวัลย์ดารามารออกเป็นชิ้นๆ
“น่ะ…นี่!”
สัตว์อสูรหยาจื้ออาจเป็นราชันสัตว์อสูรระดับสูงสุดแล้วซึ่งมันมักจะมีความภาคภูมิในตนเองอยู่เสมอแต่ในขณะนี้มันกลับต้องตกตะลึงกับสิ่งที่มันเห็นอยู่ตรงหน้า ในคราวที่จอมเวทย์ที่บรรลุขอบเขตเทียนจุนแล้ว เขายังไม่สามารถตัดเถาวัลย์ดารามารนี้ได้ แต่มันกลับง่ายดายเมื่ออยู่ต่อหน้าสาวน้อยผู้นี้ แล้วจะให้สัตว์อสูรหยาจื้อไม่ตกใจได้อย่างไรกัน?
หลังจากนั้นก็มีสิ่งที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นอีกเมื่อเถาวัลย์ดารามารอีกสองสายมองลงมาในยามที่เถาวัลย์ดารามารเส้นนี้กำลังถูกสับเป็นชิ้นๆ พวกมันก็ไม่กล้าเข้ามาช่วยและถอยไปอยู่ข้างๆแทน ดูเหมือนว่าพวกมันจะหวาดกลัวต่อเจียงเสี่ยวนู๋
“บูมม!”
เพียงอีกไม่กี่อึดใจต่อมาเถาวัลย์ดารามารเส้นนี้ก็ถูกเจียงเสี่ยวนู๋หั่นเป็นชิ้นๆด้วยกรงเล็บของนาง ส่วนบนของมันกระทบกับพื้นในขณะที่ส่วนล่างของมันได้ถอยกลับไปใต้พื้นและหายลับไป
ฟึ่บฟั่บ!
เมื่อเส้นเถาวัลย์ดารามารท่อนบนตกลงไปที่พื้นมันก็ปล่อยควันสีดำออกมาซึ่งกลายเป็นกลิ่นอายสีดำซึ่งทำให้สัตว์อสูรหยาจื้อและเจียงเสี่ยวนู๋อึดอัดเป็นอย่างมาก มันกระจายไปทั่วจัตุรัสใต้บาดาล ควันนั่นมีกลิ่นที่เหม็นกว่าปกติและให้ความรู้สึกเหมือนลมหนาวในฤดูหนาว
ฟึ่บ!
เจียงเสี่ยวนู๋กวาดสายตามองไปและนางก็ไม่ได้สนใจมันอีกต่อไปนางกระพือปีกบินไปยังเถาวัลย์ดารามารที่รัดเจียงอี้และสัตว์อสูรหยาจื้อเอาไว้และนางกำลังจะตัดเถาวัลย์ดารามารและช่วยเหลือพวกเขา
อย่างไรก็ตาม!
เถาวัลย์ดารามารที่รัดพันเจียงอี้และสัตว์อสูรหยาจื้อเอาไว้ได้ถอยกลับไปใต้จัตุรัสอย่างรวดเร็วเห็นได้ชัดว่ามันหวาดกลัวเจียงเสี่ยวนู๋และต้องการที่จะหลบหนีไป
“คิดจะหนีหรือ?ปล่อยนายน้อยของข้ามาซะ!”
เจียงเสี่ยวนู๋ตะโกนออกมาปีกของนางกระพือไปด้วยความเร็วที่ฉับไวและพุ่งไปในหลุมดำของจัตุรัสโดยใช้ความเร็วที่เร็วที่สุดเพื่อไล่ตามเถาวัลย์ดารามารไป
ฟึ่บฟั่บ!
เถาวัลย์ดารามารนั้นรวดเร็วเกินไปเจียงเสี่ยวนู๋อาจฝึกฝนสำเร็จเล็กๆน้อยๆหลังจากคอยฝึกฝนศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ขนนกสีหมึกมาไม่กี่เดือน อย่างไรก็ตาม นางยังไม่สามารถฝึกฝนไปจนถึงขั้นสูงสุดของระดับแรกได้ ความเร็วของนางจึงมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากเถาวัลย์ดารามารนั้นว่องไวกว่าจักรพรรดินีสัตว์อสูรแล้วนางจะไปตามทันได้อย่างไร?
“นายน้อยนายน้อย!”
เถาวัลย์ดารามารนั้นมีร่างที่หนาและทิ้งหลุมที่กว้างมากเอาไว้เจียงเสี่ยวนู๋ไม่ได้มีความหวาดกลัวใดๆขณะที่นางบินไปราวกับสายฟ้าสีเขียว อย่างไรก็ตาม เถาวัลย์ดารามารกำลังห่างออกไปไกลมากขึ้นอย่างรวดเร็วและทิ้งไว้เพียงหลุมลึกมากมาย
ฟึ่บ!
จัตุรัสใต้บาดาลนั้นอยู่ใต้ทะเลหลายสิบกิโลเมตรแล้วมันจะลงไปได้ไกลเท่าใดกัน? มันจะไปถึงแดนใต้พิภพเลยไหม? เจียงเสี่ยวนู๋ไม่รู้จริงๆว่ามันจะไปไกลกว่าเดิมเท่าใด แต่นางก็ไม่ได้กังวลเช่นกัน นางรู้เพียงว่านายน้อยของนางอยู่ที่นั่นและนางจะเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยชีวิตเขาให้ได้
“ฮู๊ฮู๊!”
เนื่องจากเกิดหลุมไวเกินไปหลุมลึกจึงสะท้อนเสียงแปลกๆที่น่ากลัวออกมา มันมืดสนิทไปทั่วทุกด้านและไม่มีก้นบึ้งซึ่งทำให้นางใจสั่นด้วยความหวาดกลัว หากเป็นเจียงเสี่ยวนู๋ในอดีตนางก็คงจะร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวไปแล้ว แต่ตอนนี้นางกลับมีใบหน้าที่มืดมนและเย็นชาซึ่งเผยแววตาที่มีความมุ่งมั่นออกมา แม้ว่าแดนใต้พิภพจะอยู่ด้านล่างแต่นางก็จะยังเข้าไปที่นั่นและนำนายน้อยของนางกลับมาจากเงื้อมมือของราชาอเวจีให้ได้
สิบห้านาทีต่อมาเจียงเสี่ยวนู๋ไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางลงมาลึกแค่ไหนแล้ว? ร้อยกิโลเมตร? พันกิโลเมตร? และในที่สุดนางก็พบร่องรอยของแสงสว่าง แต่แสงนั้นไม่ได้ดูเหมือนไข่มุกเรืองแสงที่อยู่บนพื้นดิน มันเป็นไฟสีเขียวชอุ่มซึ่งดูเหมือนดวงตาของหมาป่าที่หิวโหยจำนวนมากซึ่งทำให้ตัวสั่นได้แม้ว่าจะไม่หนาวก็ตาม
มันใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ
มีกลิ่นอายสีดำซึ่งเหมือนกับเถาวัลย์ดารามารที่ถูกเจียงเสี่ยวนู๋ตัดไปพุ่งเข้ามาหานางมันยิ่งอัดแน่นไปด้วยกลิ่นเน่าเหม็นและน่าคลื่นไส้มากขึ้นในขณะที่แสงสีเขียวด้านล่างเริ่มจางลง
เจียงเสี่ยวนู๋รู้สึกตกใจนางเหลือบมองไปขณะที่ร่างกายของนางสั่นเทา ปีกที่นางกางออกมาได้หยุดอยู่กลางอากาศ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ไหล่ที่อ่อนโยนของนางสั่นเบาๆและใบหน้าที่มีเสน่ห์ของนางในตอนนี้ก็ซีดขาวราวกับหิมะ
ไฟเขียวๆหลายดวงนั้นไม่ใช่ดวงตาของหมาป่าที่หิวโหยหากแต่เป็นดวงตาจากสัตว์ประหลาดกลุ่มหนึ่งซึ่งสัตว์ประหลาดเหล่านี้ไม่ใช่อสูรและพวกมันไม่ได้มีรูปร่างที่แปลกประหลาดเช่นกัน มันคือมนุษย์!
ไม่สิ…พวกมันไม่ควรถูกเรียกว่ามนุษย์แล้วเพราะมันไม่เหลือร่องรอยของการมีชีวิตแล้วพวกมันเพียงมีรูปร่างเหมือนมนุษย์ก็เท่านั้น
มีจัตุรัสที่ใหญ่กว่าอยู่ด้านล่างซึ่งไม่ม่ขอบเขตใดๆเช่นกันอาจจะกล่าวได้ว่านี่คือ….โลกอีกใบหนึ่ง
มีผีดิบอยู่มากมายจนสุดลูกหูลูกตาและไม่รู้จำนวนที่แน่ชัด แต่พวกนี้ทั้งหมดมีดวงตาเขียวชอุ่มและมีกลิ่นอายที่น่ากลัว พื้นที่นั้นถูกปกคลุมไปด้วยควันดำและมีกลิ่นเหมือนเลือด, กลิ่นคาว, กลิ่นศพและกลิ่นฉุนแปลกๆ
รากของเถาวัลย์ดารามารทั้งสามอยู่ในที่แห่งนี้รากของพวกมันตั้งหลักปักฐานอยุ่ที่ทะเลเลือดแห่งนี้ เถาวัลย์ดารามารที่เจียงเสี่ยวนู๋ได้เฉือนมันออกไปก่อนหน้านี้กำลังดูดซับเลือดจากทะเลเลือดในขณะที่ส่วนที่ถูกตัดออกไปก็ได้งอกขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว
ทุกอย่างดูแปลกมากและทำให้เลือดของนางเย็นเยียบมันน่ากลัวมากๆ! ในตอนนี้เจียงเสี่ยวนู๋และสัตว์อสูรหยาจื้อต่างก็รู้สึกว่าพวกเขาได้ลงมาถึงยังแดนใต้พิภพแล้ว…
บทที่ 430 การต่อสู้อย่างดุเดือดกับเหล่าผีดิบ
สิ่งที่อยู่ใต้ผืนทะเลกว่าพันกิโลเมตรเป็นพิภพใต้ดินที่กว้างใหญ่และไร้ขอบเขตมันเต็มไปด้วยผีดิบซึ่งส่งกลิ่นที่น่าสะอิดสะเอียน, หมอกสีดำ, บ่อเลือดและเถาวัลย์ประหลาดที่ดูดกลืนเลือด
ทุกสิ่งที่อยู่ที่นี่ทำให้สัตว์อสูรหยาจื้อและเจียงเสี่ยวนู๋มีความสงสัยอยู่ลึกๆว่าสถานที่แห่งนี้นั้นใช่ดินแดนใต้พิภพในตำนานหรือไม่
แดนใต้พิภพ!
ตามตำนานว่าไว้ทุกคนจะได้ไปที่แดนใต้พิภพ [อเวจี] หลังจากที่ตายไปแล้ว ผู้เก็บเกี่ยววิญญาณจะนำวิญญาณไปยังแดนใต้พิภพ ในแดนใต้พิภพ บางคนอาจกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนและโดดเดี่ยว หากโชคดี บางคนก็สามารถกลับชาติมาเกิดได้ แต่หากโชคร้ายก็อาจถูกวิญญาณชั่วร้ายเข้าครอบงำ บางคนอาจติดเชื้อและกลายพันธุ์เป็นผีดิบซึ่งจะคงอยู่ชั่วนิจนิรัดร์ในแดนใต้พิภพ
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดมักจะเป็นสิ่งที่เราไม่รู้เสมอนอกเหนือจากตำนานที่น่าสยดสยองทั้งหมดแล้ว แดนใต้พิภพยังเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในใจมนุษย์ด้วย มันเปรียบเสมือนปีศาจในยามค่ำคืนในใจของเด็กๆมาโดยตลอด หรือแม้แต่ผู้ใหญ่เองก็ยังมีความกลัวในระดับเดียวกันเพราะสิ่งเหล่านี้ถูกปลูกฝังอยู่ในส่วนลึกของจิตใจมนุษย์ไปแล้ว
ในตอนนี้สัตว์อสูรหยาจื้อและเจียงอี้ถูกพาตัวมาในสถานที่เหมือนแดนใต้พิภพส่วนเจียงเสี่ยวนู๋ก็ติดตามมาอย่างใกล้ชิด นางมีจิตใจที่บริสุทธิ์และไม่มีประสบการณ์ต่อโลกภายนอกมากนัก และหลังจากที่นางได้เห็นฉากที่น่าสยดสยองเช่นนี้นางก็สูญเสียการควบคุมไปโดยปริยาย
“เจ้าหนูอย่าไปคิดอะไรมากนักและช่วยพวกเราก่อน! อย่างมากเราก็แค่ตายอยู่ที่นี่ คิดเสียว่าพวกผีดิบเหล่านั้นเป็นสัตว์ประหลาดซะ!”
สัตว์อสูรหยาจื้อค่อนข้างเป็นกังวลเมื่อเห็นเจียงเสี่ยวนู๋ตัวสั่นไปด้วยความกลัวใครจะไปรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นที่นี่? จะเกิดอะไรขึ้นหากว่ามีสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวอีกตนปรากฏขึ้นและสังหารเสี่ยวนู๋? หากเป็นเช่นนั้นสัตว์อสูรหยาจื้อและเจียงอี้ก็คงต้องตายอยู่ที่นี่จริงๆ
ส่วนเจียงอี้นั้นยังคงเข้าสันโดษซึ่งเขาได้ทำการปิดประสาทสัมผัสทั้งหมดเขาไม่รับรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้และจะไม่รู้สึกเจ็บปวดด้วยซ้ำหากว่าหัวของเขาถูกผ่าออกจากกันในยามนี้ และถ้าหากว่าเขาตื่นขึ้นมาเขาคงจะไม่ยอมให้เจียงเสี่ยวนู๋ลงมาและให้นางหนีไปอย่างรวดเร็วด้วย
ฟึ่บ!
คำพูดของสัตว์อสูรหยาจื้อได้ทำให้เจียงเสี่ยวนู๋ดึงสติกลับมาจากสภาพจิตใจที่หวาดกลัวของนางนางมองไปยังเจียงอี้ที่ถูกพันอยู่และทันใดนั้นนางก็เกิดความกล้าหาญขึ้นมา เจียงอี้เป็นทุกอย่างสำหรับนางและนางก็ไม่หวั่นเกรงตราบใดที่นางทำเพื่อเจียงอี้
นางสยายปีกของนางและพุ่งตรงไปยังเถาวัลย์ดารามารที่พันรอบเจียงอี้อยู่ดวงตาของนางไร้วี่แววแห่งความหวาดกลัวและนางใช้กรงเล็บที่แหลมคมฟาดฟันลงไป
บุฟ!บุฟ!
เมื่อเจียงเสี่ยวนู๋เข้ามาใกล้มันก็ทำให้เถาวัลย์ดารามารไม่สบายใจเป็นอย่างมากเถาวัลย์ดารามารอีกสองเส้นไม่กล้าเข้ามาใกล้ และเถาวัลย์ที่ยาวเหยียดก็ยังคงแกว่งไปมาและส่งเสียงแสบแก้วหูออกมา
จื๊ดจื๊ด!
เสียงที่เกิดขึ้นนั้นได้กระตุ้นให้เหล่าผีดิบที่อยู่ใกล้ๆทั้งหมดเคลื่อนไหวผีดิบหลายร้อยร่างกระโดดขึ้นมาและตรงไปที่เจียงเสี่ยวนู๋ กรงเล็บสีเทาดำเหล่านั้นหมุนเวียนไปด้วยกลิ่นอายสีดำ ซึ่งยิ่งพวกเขาเข้าไปใกล้มากเท่าใด กลิ่นเหม็นเน่าก็ยิ่งมากขึ้นซึ่งเกือบทำให้เจียงเสี่ยวนู๋แทบจะเป็นลม
“ตายยย!”
เจียงเสี่ยวนู๋กัดฟันแน่นและตวัดกรงเล็บอันแหลมคมของนางเมื่อคมเล็บสีเขียวและคมเล็บสีดำปะทะกัน ดวงตาของสัตว์อสูรหยาจื้อก็สว่างขึ้น กรงเล็บของเจียงเสี่ยวนู๋มีอานุภาพมากเกินไป ในเมื่อมันสามารถตัดเถาวัลย์ขาดได้ เมื่อเทียบกับเหล่าผีดิบพวกนี้แล้ว ผีดิบพวกนี้ก็กลายเป็นฝุ่นผงไปทันทีเมื่อสัมผัสเข้ากับกรงเล็บของนาง
ฟึ่บฟั่บ!
ปีกของเจียงเสี่ยวนู๋ยังคงกระพือขณะที่คมเล็บของนางยังคงจัดการเหล่าผีดิบที่เข้ามาใกล้ทั้งหมดให้กลายเป็นผุยผงได้ก่อนที่พวกมันจะกลายเป็นควันดำตัวตนของนางนั้นทรงพลังมากนักและใบหน้าที่มีเสน่ห์ของนางก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร
จื๊ดจื๊ด!
แม้มันจะเป็นเช่นนั้นแต่ก็ยังคงมีผีดิบมากมายหลั่งไหลเข้ามาไม่รู้จักจบสิ้น พวกมันไม่มีสติและไม่รู้ว่าความเจ็บปวดเป็นเช่นไร พวกมันโจมตีโดยสัญชาตญาณและแม้ว่าเจียงเสี่ยวนู๋จะสังหารพวกมันไปมากมายแล้ว แต่พวกมันก็ยังคงโจมตีต่อไปเรื่อยๆ
“ยัยหนูอย่ามัวแต่เพ่งเล็งไปที่ผีดิบ รีบตัดเถาวัลย์ดารามารนี้เร็ว!”
สัตว์อสูรหยาจื้อรู้สึกกังวลเมื่อเห็นเจียงเสี่ยวนู๋มัวแต่สังหารเหล่าผีดิบอยู่ตลอดแต่ก็มีจำนวนมากขึ้น สาวน้อยผู้นี้ไร้เดียงสาเกินไปและไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้เลย หากนางยังคงสังหารต่อไปเช่นนี้ นางจะไม่มีทางยุติการต่อสู้ครั้งนี้ได้เลย
“อ๊ะ?”
เจียงเสี่ยวนู๋ที่หมกมุ่นไปกับการต่อสู้กับผีดิบก็ได้รีบตรงไปยังเถาวัลย์ดารามารในเพียงไม่กี่สิบอึดใจนางก็พุ่งตรงไปยังบ่อเลือดและเหวี่ยงคมเล็บของนางไปที่ต้นของเถาวัลย์ดารามาร
ฟึ่บฟั่บ!
เมื่อเถาวัลย์ดารามารถูกตัดจนขาดไปร่างของมันก็กระตุกอย่างต่อเนื่องและส่งเสียงอันแหลมคมและเรียกให้ผีดิบกรูเข้ามาหาเจียงเสี่ยวนู๋เพิ่มขึ้น เลือดในบ่อลดลงอย่างรวดเร็วขณะที่ร่างส่วนที่ถูกตัดขาดออกไปได้ถูกฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว
“ฮึ่ม!”
เจียงเสี่ยวนู๋ใช้กรงเล็บข้างหนึ่งของนางฟาดฟันไปยังเถาวัลย์ดารามารขณะที่อีกข้างหนึ่งก็กวัดแกว่งไปยังผีดิบที่พุ่งเข้ามาใกล้ทั้งหมดการฟื้นฟูของเถาวัลย์ดารามารอาจรวดเร็ว แต่ความเร็วของกรงเล็บของเจียงเสี่ยวนู๋นั้นเร็วกว่า ในเวลาสั้นๆนางได้ตัดเถาวัลย์ดารามารไปเกือบครึ่งหนึ่ง
“ดี!”
สัตว์อสูรหยาจื้อที่ถูกมัดไว้ก็ส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความยินดีทันทีทันใดนั้นเขาของมันก็เปล่งแสงและโจมตีไปที่ผีดิบรอบข้างเจียงเสี่ยวนู๋ทันที
ตูม!ตูมม!
สัตว์อสูรไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้แต่มันก็ยังคงใช้วิชาอสูรได้อยู่ ลำแสงที่สาดออกมานั้นได้กำจัดเหล่าผีดิบจนกลายเป็นผุยผงทันที และในช่วงที่เถาวัลย์ดารามารกำลังจะถูกตัดขาด ราชันอสูรก็ยิ่งตื่นตามากขึ้น ลำแสงสีขาวที่น่ากลัวเปล่งออกมาจากเขาของมันและถูกยิงออกไปรอบๆราวกับลูกปืนใหญ่ ทั่วทั้งพื้นที่นั้นเต็มไปด้วยเสียงระเบิดและเสียงร้องแปลกๆของผีดิบ
ปัง!
ในที่สุด..!
หลังจากที่เจียงเสี่ยวนู๋วาดกรงเล็บสุดท้ายของนางออกไปเถาวัลย์ดารามารก็พังทลายลงในขณะที่เจียงอี้และสัตว์อสูรหยาจื้อตกลงไปที่พื้นและกำลังจะพุ่งชนกับกลุ่มผีดิบที่อยู่ข้างล่างพวกเขา
ฟั่บฟึ่บ!
เป็นไปตามที่คาดเถาวัลย์ดารามารนี้กลายเป็นกลิ่นอายสีดำและฟุ้งกระจายไปรอบๆ
โฮกกโฮกก!
ดวงตาของสัตว์อสูรหยาจื้อนั้นเต็มไปด้วยความดีใจหลังจากที่หลุดออกจากกรงขังนี้ได้ในขณะที่มันต้องการที่จะพุ่งทะยานขึ้นไปในอากาศมันก็รู้ตัวว่ามันไม่สามารถบินได้ และยิ่งไปกว่านั้น พลังในร่างกายของมันอยู่ในสภาวะที่ผิดปกติ มีจุดปื้นสีดำๆปรากฏอยู่บนร่างของมันขณะที่สัตว์อสูรหยาจื้อคำรามออกมาในทันใด “ยัยหนู ระวัง! กลิ่นอายสีดำนี้มีพิษ!”
เจียงเสี่ยวนู๋เหลือบมองและไม่ได้สนใจมันเลยพวกผีดิบเหล่านี้ก็มีกลิ่นอายสีดำเช่นกัน แต่นางกลับไม่ได้รับผลกระทบใดๆเลย นางสังหารผีดิบใกล้ๆอย่างรวดเร็วและพุ่งเข้าหาเจียงอี้ด้วยความเร็วดุจสายฟ้า
จื๊ดจื๊ด!
เจียงอี้ถูกล้อมรอบไปด้วยผีดิบเป็นฝูงและหากไม่ใช่เพราะสัตว์อสูรที่กางกรงเล็บของมันออกมา เจียงอี้ก็คงจะตายไปแล้ว ราชันสัตว์อสูรไม่สามารถบินขึ้นได้ด้วยพลังที่แปรปรวน แต่มันก็ยังสามารถพึ่งพาความแข็งแกร่งของมันได้อยู่ ทุกครั้งที่มันโจมตีมันจะหั่นผีดิบออกเป็นเนื้อบด
แต่ยิ่งสัตว์อสูรหยาจื้อโจมตีมากเท่าไรกลิ่นอายสีดำก็จะปรากฏขึ้นมาบนตัวมันมากเท่านั้น และพลังอสูรของมันก็จะแปรปรวนมากขึ้น หากยังคงเป็นเช่นนี้มันอาจติดเชื้อจนกลายเป็นผีดิบไปเลยก็ได้
ทำไมเด็กคนนี้ยังไม่ตื่นนะร่างกายของเขากำลังติดเชื้อจากกลิ่นอายสีดำและถ้ามันยังเป็นเช่นนี้ต่อไป สุดท้ายมันจะกลายร่างเป็นผีดิบ แล้วทำไมนังหนูนั่นถึงยังไม่มาช่วยทางนี้กัน?
สัตว์อสูรกำลังฝืนทนทรมานโดยไม่ได้พูดออกมามันเหลือบมองไปที่เจียงอี้ขณะที่มันกำลังสังหารผีดิบ จากนั้นมันก็มองไปยังเจียงเสี่ยวนู๋และอุทานว่า “เอ๊ะ….ทำไมความเร็วของนางลดลง? ท่าไม่ดีแล้ว!”
ความเร็วของเจียงเสี่ยวนู๋กำลังช้าลงอย่างต่อเนื่องไม่เพียงแค่นั้น ผิวของนางก็ซีดลงเช่นกัน ร่างกายของนางสั่นไม่หยุดและรู้สึกราวกับว่านางจะทรุดได้ทุกเมื่อ
เวลาในการเปลี่ยนร่างของนางถึงขีดจำกัดแล้ว!
คราวก่อนที่นางเปลี่ยนร่างนางก็คงสภาพประมาณสิบห้านาทีหลังจากที่ฝึกฝนได้ไม่กี่เดือน นางก็สามารถเปลี่ยนร่างได้นานกว่าเดิมสองเท่า แต่ก็อยู่ได้เพียงสามสิบนาทีเท่านั้น นางใช้เวลาอย่างน้อยสิบห้านาทีจากพื้นผิวทะเลลงมายังแดนใต้พิภพนี้ หลังจากที่ต่อสู้มาอย่างหนักหน่วงเป็นเวลานานมันก็ดีมากแล้วที่นางสามารถทนได้นานขนาดนี้
“นายน้อยเสี่ยวนู๋นั้นไร้ประโยชน์นักและคงช่วยท่านได้เพียงเท่านี้”