เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 431-432
บทที่ 431 เปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์
เจียงอี้ได้พยายามที่จะเข้าถึงศาสตร์เวทย์ประเภทหนึ่งมันเป็นสวรรค์สยบเพลิงอเวจีแทนที่จะเป็นศาสตร์วิญญาณพฤกษา
หลังจากที่พยายามศึกษาศาสตร์วิญญาณพฤกษามากว่าสี่ชั่วโมงเขาก็ไม่มีความก้าวหน้าใดๆ ดังนั้นเข้าจึงไปศึกษาสวรรค์สยบเพลิงอเวจีและได้ค้นพบบางสิ่งที่ลึกลับ
เมื่อเขาโคจรศาสตร์พลังนี้เพื่อดูดซับเพลิงโลกาเขาก็เกิดแรงดลใจขึ้น เขาเลยรวบรวบธาตุอัคคีทั้งหมดไว้ในตันเทียนของเขา คราวก่อนที่เขาได้ปรับแต่งเปลวเพลิงเขาได้หมุนเวียนเพลิงโลกาจำนวนเล็กน้อยเข้าไปในตันเทียนของเขา และพบว่ามันได้หายไป เขาเลยต้องการดูว่าอัคคีธาตุเหล่านี้มันจะหายไปในตันเทียนของเขาหรือไม่
และในที่สุด….
อัคคีธาตุเหล่านี้ได้กลายเป็นพลังอัคคีและหายไปเช่นเดียวกันหลังจากที่มันเข้าสู่ตันเทียนของเขา!
เขาซึมซับอัคคีธาตุอีกครั้งและส่งไปยังตันเทียนของเขาอย่างรวดเร็วจากนั้นเขาก็ใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบตันเทียนของเขาและพยายามค้นหาว่าอัคคีธาตุหายไปอยู่ที่ใดกันแน่?
สุดท้ายเขาก็สังเกตได้ว่าปัญหาคืออะไรเมื่ออัคคีธาตุเข้าสู่ตันเทียนของเขา มันก็ถูกดาวดวงแรกดูดกลืนไปในทันที และเมื่อเขาใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์มองเข้าไปยังดาวดวงแรก เขาก็สังเกตเห็นว่ามันเต็มไปด้วยแก่นแท้พลังสีแดงเพลิง เพลิงโลกาทั้งหมดที่หายไปก็น่าจะ….เปลี่ยนเป็นแก่นแท้พลังสีแดงเพลิง
เมื่อเขาตระหนักถึงมันแล้วเขาก็กำลังจะเลิกฝึกฝนศาสตร์เวทย์นี้ มันยากมากที่จะไปสู่ขั้นบรรลุของศาสตร์นี้ได้ และความหวังเพียงทางเดียวก็คือการปรับแต่งเปลวเพลิง เขาต้องตามหาเปลวเพลิงที่หายากเหล่านั้นและปรับแต่งมันเพื่อเพิ่มความรุนแรงของเปลวเพลิงให้ได้มากขึ้นหลายเท่า! แต่ในตอนนี้ เปลวเพลิงทั้งหมดที่เข้าสู่ตันเทียนเขามันถูกดาวดวงแรกดูดกลืนไป แล้วจะมีอะไรเหลือให้ปรับแต่งกัน?
เขาไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับความลึกลับของดวงดาวทั้งเก้าดวงนี้เลยไม่มีประวัติศาสตร์ให้ไปค้นคว้าและไม่มีใครสามารถชี้แนะเขาได้ ดังนั้นเขาจึงต้องยอมรับความเป็นจริงนี้ว่าเขาไม่สามารถปรับแต่งเปลวเพลิงได้!
ในขณะที่เขากำลังจะถอดใจเขาก็ได้ตระหนักถึงบางสิ่งขึ้น ในเมื่ออัคคีธาตุถูกดาวดวงแรกดูดซับไปและถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นแก่นแท้พลังสีแดงเพลิง แล้ว….ทำไมมันจะทำแบบนั้นย้อนกลับไม่ได้? ไม่ใช่ว่าเขาจะสามารถเปลี่ยนแก่นแท้พลังสีแดงเพลิงให้กลายเป็นเปลวเพลิงได้หรอกหรือ?
เมื่อเขาฉุกคิดได้เขาก็ดีใจขึ้นมาในทันที!
แก่นแท้พลังในดวงดาวดูเหมือนจะลึกลับและทรงพลังมากจักรพรรดินีสัตว์อสูรอาจจะไม่ได้บอกเขาว่านี่เป็นแก่นแท้พลังที่แท้จริงที่มีเพียงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนเท่านั้นที่จะมีได้ แต่ที่สายแร่ศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ได้เห็นพลังของแก่นแท้พลังสีแดงเพลิงนี้แล้ว
ด้วยเหตุนี้เขาจึงปิดประสาทสัมผัสทั้งหมดและทุ่มเทความคิดของเขาเพื่อค้นหาวิธีแปรเปลี่ยนจากแก่นแท้พลังสีแดงเพลิงให้กลายเป็นเปลวเพลิง เขาเข้าสันโดษไปกว่าสองวันสามคืน หากไม่ใช่เพราะกลิ่นอายสีดำที่รุกรานร่างกายและจิตวิญญาณของเขา ซึ่งไข่มุกวิญญาณเพลิงต้องถ่ายโอนพลังงานเพื่อปกป้องวิญญาณของเขาและทำให้เขาตกใจ เขาก็อาจจะไม่ตื่นขึ้นมาก็ได้
“เสี่ยวนู๋!”
ในขณะที่เขาฟื้นคืนสติเขาก็เห็นเจียงเสี่ยวนู๋กำลังเป็นลมอยู่ในอ้อมแขนของเขาผมของนางเปลี่ยนกลับเป็นสีดำและปีกของนางก็หายไปจนเผยให้เห็นแผ่นหลังที่ขาวเนียน หูและนิ้วของนางก็ค่อยๆกลับคืนสู่สภาพเดิม แต่ผิวของนางยังคงซีดลงเรื่อยๆ
“เสี่ยวนู๋!เสี่ยวนู๋!”
การแสดงออกของเจียงอี้เปลี่ยนไปเขากอดเจียงเสี่ยวนู๋โดยสัญชาตญาณและตะโกนออกมาไม่หยุดหย่อน สัตว์อสูรหยาจื้อที่อยู่ข้างๆก็เกิดความหงุดหงิดใจ เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกแล้ว และเจ้าเด็กโง่ผู้นี้ก็ยังคงร่ำไห้เช่นเดิม? มันคำรามออกมาทันที “เจ้าหนู เจ้าจะไม่ลงมือหน่อยหรือ? เช่นนั้นเราทุกคนก็คงจะต้องตายอยู่ที่นี่ในอีกไม่ช้าแล้วล่ะ”
“อ๊ะ?”
เจียงอี้รีบมองไปรอบๆจากนั้นเขาก็เห็นว่าสถานที่แห่งนี้นั้นน่าขนลุกเพียงใด มันเต็มไปด้วยผีดิบ, เลือด, กลิ่นที่เหม็นเน่าและกลิ่นที่น่าสยดสยองอื่นๆ เขาเริ่มแปลกใจและถามว่า “ที่นี่ที่ไหนกัน? มันใช่แดนใต้พิภพหรือเปล่า?”
“เจ้าไม่ต้องไปสนใจว่าดินแดนแห่งนี้คือที่ใดสังหารพวกมันก่อนจะคุยกันเถอะ หากเจ้ายังไม่ทำอะไร ราชันผู้นี้ก็คงจะได้กลายเป็นผีดิบอสูรไปเสียก่อน!”
ราชันสัตว์อสูรแทบอยากจะร้องไห้ร่างกายของมันถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายสีดำและมันได้กลืนกินร่างของราชันสัตว์อสูรไปครึ่งหนึ่งแล้ว ความเร็วของสัตว์อสูรหยาจื้อช้าลงมากและวิญญาณของมันกำลังจะถูกกลืนกิน และเมื่อวิญญาณถูกกลืนกินมันก็เชื่อว่ามันจะกลายเป็นผีดิบสัตว์อสูรอย่างแน่นอน
“ก็ได้!”
เจียงอี้สงบสติอารมณ์ของตัวเองอย่างสุดกำลังสัตว์อสูรหยาจื้อพูดถูกแล้ว เขาไม่ควรสนใจว่าที่นี่คือที่ใด เขาจะต้องลงมือทำอะไรก่อนที่จะมาพูดพร่ำ หากที่นี่คือแดนใต้พิภพแล้วยังไง? เขาก็ยังคงต้องสังหารและทำลายสถานที่แห่งนี้อยู่ดี
เขานำตัวเจียงเสี่ยวนู๋ไปไว้ในพระราชวังจักรวาลนางมีร่างพิเศษซึ่งจะฟื้นตัวเองโดยธรรมชาติแบบไม่จำเป็นต้องมานั่งฟื้นฟูสภาพ ยิ่งกว่านั้นก็คือมันไม่มีประโยชน์ที่คนอื่นจะช่วยฟื้นฟูสภาพให้นางด้วย
จี๊ดจี๊ด!
เหล่าผีดิบนั้นตรงเข้ามาจากทุกทิศทางร่างกายของเจียงอี้ไม่ได้เคลื่อนไหวไปไหน เขาไม่ได้วาดดาบมังกรเพลิงเพื่อเผชิญหน้ากับพวกมันเช่นกัน แต่เขาคำรามออกมา “สวรรค์สยบเพลิงอเวจี!”
มือของเขาสว่างขึ้นมาอย่างรวดเร็วมีเปลวไฟก่อตัวขึ้นมาอยู่บนฝ่ามือของเขา เปลวไฟนี้แตกต่างจากเปลวไฟปกติ เปลวไฟทุกลูกนั้นให้ความรู้สึกราวกับว่ามีมังกรเพลิงกำลังแหวกว่ายอยู่ในนั้นทำให้มันดูลึกลับมาก
เมื่อเปลวไฟพุ่งออกมาอากาศทั้งหมดก็บิดเบี้ยวและความร้อนที่ลุกโชนนั้นรุนแรงกว่าเพลิงโลกาถึงร้อยเท่า เจียงอี้วาดฝ่ามือออกไปและทำให้เกิดคลื่นเพลิงด้านหน้าและสลายผีดิบนับไม่ถ้วนที่อยู่ด้านหน้า
“เอ๊ะ?เปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์?”
สัตว์อสูรหยาจื้อตื่นตระหนกกับอุณหภูมิที่สูงขึ้นทันใดนั้นมันก็หันกลับมาและร้องอุทานว่า “เจ้าหนู เจ้าปลดปล่อยเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ออกมาจริงๆหรือ? เป็นไปได้ยังไงกัน…?”
สัตว์อสูรหยาจื้ออยู่กับจอมเวทย์มาเป็นเวลาหลายปีมันมีเชาว์ปัญญาที่สูงและรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับศาสตร์เวทย์ของจอมเวทย์
สวรรค์สยบเพลิงโลกานั้นส่วนใหญ่แล้วใช่เพื่อปรับแต่งเปลวไฟเมื่อก้าวเข้าขั้นแรกแล้ว มันสามารถปลดปล่อยออกมาได้เพียงเปลวเพลิงธรรมดา หลังจากทำความเข้าใจศาสตร์นี้เพิ่มขึ้นแล้วผู้ฝึกจะสามารถปลดปล่อยเปลวไฟที่เหมือนกับเพลิงโลกาได้ ตามด้วยเปลวเพลิงนทีเก้าสวรรค์ และลำดับต่อไปก็คือเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ที่จอมเวทย์บรรลุถึง กล่าวกันว่า เมื่อได้ฝึกฝนจนถึงขั้นสุดท้ายแล้วผู้ฝึกฝนจะสามารถปลดปล่อยเปลวเพลิงเก้าสวรรค์ที่แท้จริงได้ซึ่งมันสามารถแผดเผาสุดยอดผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนได้อย่างง่ายดาย!
จอมเวทย์นั้นเป็นยอดอัจฉริยะและใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนในการสำเร็จขั้นแรกของศาสตร์นี้และปลดลป่อยเปลวเพลิงธรรมดาออกมาได้และเขาใช้เวลาอีกครึ่งปีในการเลื่อนขั้นปลดปล่อยเพลิงโลกาได้ แต่เขาต้องใช้เวลาอย่างน้อยก็สามสิบปีกว่าจะปลดปล่อยเปลวเพลิงนทีเก้าสวรรค์ได้ และหลังจากศึกษาศาสตร์นี้มาเป็นเวลาร้อยปี ในที่สุดเขาก็สามารถปลดปล่อยเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ได้
แล้วเจียงอี้ฝึกฝนศาสตร์เวทย์นี้นานเท่าใดกัน?
จะไม่ให้สัตว์อสูรหยาจื้อตกตะลึงได้อย่างไรในเมื่อเจียงอี้สามารถปลดปล่อยเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ออกมาได้ในทันที? เขาใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือนในการสำเร็จวิชานี้แต่จอมเวทย์ใช้เวลานับร้อยปี
“เปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์?นี่คือเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์หรือ? โอ้…เหมือนจะใช่แหละ มีมังกรศักดิ์สิทธิ์กำลังว่ายอยู่ในเปลวเพลิงนี่ด้วย”
เจียงอี้ก็ประหลาดใจเช่นกันแต่เขาก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่ามันคือเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ซึ่งเป็นระดับที่จอมเวทย์สำเร็จวิชานี้!
แต่ว่า….
ตำราคู่มือของสวรรค์สยบเพลิงอเวจีระบุไว้ว่าการปรับแต่งเปลวไฟนั้นต้องไปทีละขั้นตอนแต่เขาไม่ได้ปรับแต่งเพลิงโลกาหรือแม้แต่เพลิงนทีเก้าสวรรค์เลย แล้วเขาสามารถปลดปล่อยเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ได้อย่างไรกัน?
ไม่สิ!เปลวเพลิงนี่ไม่ได้ถูกปรับแต่งโดยข้า แต่มันถูกถ่ายทอดมาจากแก่นแท้พลังสีแดงเพลิงในดาวดวงแรกของข้า! พระเจ้า…..ดาวทั้งเก้าดวงในตันเทียนของข้าซ่อนความลับอะไรเอาไว้อีก? แก่นแท้พลังสีแดงเพลิงนี่คืออะไรกันแน่? ทำไมมันจึงสามารถเปลี่ยนเป็นเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ได้เลยนะ?
เจียงอี้พึมพำในขณะที่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ!
ใช่แล้ว…..
เขาไม่ได้เข้าถึงสวรรค์สยบอเวจีข้ามขั้นเขาเพียงแค่เปลี่ยนแก่นแท้พลังจากดาวดวงแรกให้กลายเป็นเปลวเพลิงเฉยๆ เขาเองก็ไม่ได้คาดหวังว่าแก่นแท้พลังสีแดงเพลิงจะแปรเปลี่ยนเป็นเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ได้ในทันทีแต่แรกเสียหน่อย
เปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์นั้นแข็งแกร่งกว่าเพลิงโลกาเป็นร้อยเท่าแม้ว่ามันจะด้อยกว่าหินวิญญาณเพลิงแต่มันก็ยังคงน่าหวั่นเกรงเป็นอย่างยิ่ง!
ที่สำคัญคือเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์นั้นไร้ขีดจำกัดตราบใดที่เขามีแก่นแท้พลังสีแดงเพลิงอยู่ในดาวดวงแรกของเขา เขาก็จะสามารถปลดปล่อยเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ได้ตลอดเวลา!
“ฆ่า!”
ร่างกายของเจียงอี้สั่นสะท้านขณะที่เขาพุ่งไปข้างหน้าสัตว์อสูรหยาจื้อด้วยความเร็วดุจสายฟ้าเขายกฝ่ามือขึ้นมาและปล่อยเปลวเพลิงออกไป ซึ่งมันแผดเผาเหล่าผีดิบเป็นผุยผงเมื่อพวกมันสัมผัสกับเปลวเพลิง เหล่าผีดิบที่น่ากลัวเหล่านั้นถูกเผาไปด้วยฝ่ามือเพียงฝ่ามือเดียวของเขา
บทที่ 432 แสวงโชคในอันตราย
ฟั่บฟึ่บ!
ในขณะนี้เถาวัลย์ดารามารอีกสองเส้นที่ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรได้ตรงมายังพวกเขา ทำให้เจียงอี้และสัตว์อสูรหยาจื้อต่างรู้สึกหวั่นเกรง
ดวงตาของสัตว์อสูรหยาจื้อเต็มไปด้วยความสับสนทำไมก่อนหน้านี้เถาวัลย์ดารามารทั้งสองถึงไม่เคลื่อนไหว? แล้วทำไมในตอนนี้ถึงได้โจมตี? หากพวกเขาถูกเถาวัลย์ดารามารรัดอีกครั้งพวกเขาก็คงนอนรอความตายได้เลยเพราะตอนนี้เจียงเสี่ยวนู๋หมดสติไปแล้ว
เมื่อสัตว์อสูรนึกถึงเจียงเสี่ยวนู๋มันก็ส่งเสียงคำรามออกมาทันที “เจ้าหนูรีบนำนังหนูนั่นออกมาเร็วเข้า! พวกมันกลัวกลิ่นอายของนาง!”
เจียงอี้นิ่งงันไปครู่หนึ่งและไม่ได้ฟังคำแนะนำของสัตว์อสูรหยาจื้อในตอนนี้เจียงเสี่ยวนู๋หมดสติไปและกลิ่นอายของนางในตอนนี้อ่อนแอเป็นอย่างมาก แล้วเถาวัลย์ดารามารพวกนี้จะยังเกรงกลัวหรือถ้าหากเขานำนางออกมา?
เขากระทืบพื้นและพุ่งออกไปตามด้วยปลดปล่อยฝ่ามือที่มีเปลวเพลิงพุ่งออกมาเถาวัลย์ดารามารอาจดูน่าเกรงขามและแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่เจียงอี้ไม่เชื่อเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ที่น่าสะพรึงนี้จะไม่สามารถแผดเผาเถาวัลย์ดารามารได้!
ฟึ่บฟั่บ!
เมื่อเปลวเพลิงพวยพุ่งออกมาพวกมันก็ลามไปเหมือนไฟป่าที่จู่ๆก็ถูกพายุลูกยักษ์โหมกระหน่ำเข้ามา และเถาวัลย์ดารามารก็ถูกเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ครอบคลุมไว้
ฟู่ฟู่!
เจียงอี้และสัตว์อสูรหยาจื้อต่างรู้สึกโล่งใจขึ้นมาในทันทีที่ได้ยินเสียงฟู่ฟู่จากเถาวัลย์ดารามารของเหลวสีดำหลั่งไหลออกมาและเกิดรอยไหม้ขึ้น ความเร็วในการแผดเผาของมันอาจไม่ได้เร็วมากพอแต่ที่แน่ๆคือเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์นั้นกำลังแผดเผามันอยู่
“ศาสตร์แปรผันดวงจิต!”
หลังจากที่ปล่อยการโจมตีออกไปไม่กี่ฝ่ามือแล้วเขาก็ย้ายร่างทันทีในขณะที่เถาวัลย์ดารามารอีกเส้นหนึ่งกำลังพุ่งมาจากอีกด้านหากเจียงอี้ปล่อยให้มันเข้าใกล้ มันอาจจะส่งผลต่อศาสตร์แปรผันดวงจิตของเขาอีก
พรึ่บ!
ร่างของเขาปรากฏอยู่ไกลๆและเขายกฝ่ามือขึ้นเพื่อจะระเบิดเปลวเพลิงไปยังเถาวัลย์ดารามารอีกครั้งหลังจากที่ปลดปล่อยเถาวัลย์ดารามารออกไปไม่กี่ฝ่ามือ เขาก็ย้ายร่างอีกครั้งพร้อมกับปลดปล่อยเปลวเพลิงออกมาตลอด ด้านของเถาวัลย์ดารามารเองก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อไล่ตามเจียงอี้แต่พวกมันก็มักจะเจอกับเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ที่เจียงอี้ปลดปล่อยออกมาเท่านั้น
ฟู่ฟู่!
หลังจากที่พุ่งเข้าหาเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์อยู่หลายครั้งเถาวัลย์ดารามารทั้งสองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสและในที่สุดพวกมันก็หวาดกลัว พวกมันจึงรีบถอยกลับเข้าไปในบ่อเลือดเพื่อพักฟื้นและไม่กล้าไล่ตามเจียงอี้อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม มันก็จะส่งเสียงแหลมออกมาอย่างต่อเนื่องซึ่งจะกระตุ้นให้เหล่าผีดิบเข้าจู่โจมเจียงอี้และสัตว์อสูรอยู่เรื่อยๆ
“เจ้าหนูเจ้าจะช่วยพาราชันผู้นี้เข้าไปยังราชวังจักรวาลได้หรือไม่? หากมันยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ข้าคงจะกลายเป็นผีดิบอสูรแน่!”
เสียงที่แฝงไปด้วยความขมขื่นดังมาจากด้านล่างเจียงอี้ก็นึกได้ในทันทีและย้ายร่างไปอยู่ข้างๆสัตว์อสูรหยาจื้อ เขาระเบิดเปลวเพลิงเพื่อเผาผีดิบที่อยู่ใกล้ๆก่อนที่เขาจะควบคุมไข่มุกมังกรเพลิงเพื่อถ่ายโอนพลังงานไปยังสัตว์อสูรหยาจื้ออย่างรวดเร็ว
หากพลังงานนี้สามารถปกป้องเขาและขับไล่กลิ่นอายสีดำออกไปได้มันก็คงจะสามารถช่วยราชันสัตว์อสูรได้เช่นกันเมื่อพลังงานไหลเข้าสู่ราชันสัตว์อสูรมันก็สั่นสะท้านทันทีและพูดด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความยินดีว่า “สุดยอด! เอามาให้ข้าอีก เจ้าหนู!”
“ไม่มีแล้ว!”
เจียงอี้โยนสัตว์อสูรหยาจื้อเข้าไปในราชวังจักรวาลอย่างไม่ลังเลและไม่ได้กังวลว่ามันจะอยู่หรือตายอีกต่อไปเขาเงยหน้าขึ้นไปที่หลุมดำขนาดยักษ์และเตรียมที่จะออกไป
พิภพใต้บาดาลนี้น่ากลัวเกินไปและใครจะไปรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นอีกหากเขายังอยู่ที่นี่ต่อ?เขาควรออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด
พรึ่บ!
ร่างของเขาย้ายไปอยู่กลางอากาศหลังจากที่สำรวจด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แล้วเขาก็กำลังจะย้ายร่างฉับพลันอีกครั้งหนึ่ง แต่ดวงตาของเขาก็สว่างขึ้นทันทีเมื่อมองไปยังบ่อเลือดจากที่ไกลๆ
เขาพบต้นสมุนไพรวิญญาณสองต้นอยู่ข้างๆบ่อเลือดแต่ละต้นนั้นมีใบไม้เพียงใบเดียวงอกออกมาและมันก็ดูคล้ายกับใบว่านน้ำมาก มันโปร่งแสงและมีสารเคลือบคล้ายๆกันและดูประกายเหมือนหยก
พวกมันคือใบว่านน้ำจริงๆ?
เจียงอี้เกิดความลังเลขึ้นหากเขาเข้าไปใกล้บ่อเลือดเขาอาจจะถูกเถาวัลย์ดารามารโจมตีและหากเขาประมาทก็จะถูกมันรัดได้ และในโลกนี้ก็จะไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้อีกแล้ว
แสวงโชคในอันตรายครั้งนี้เอาแล้วกัน!ข้าจะไปเอามัน!
ใบว่านน้ำนั้นล้ำค่าเกินไปและหากใบว่านน้ำเพียงใบเดียวสามารถเปลี่ยนระดับวิญญาณของเขาได้เช่นนั้นหากว่าเขาดูดซับอีกสองใบมันก็อาจจะช่วยเสริมพลังวิญญาณของเขาให้เลื่อนขึ้นไปได้อีกระดับก็ได้ การมีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งขึ้นก็จะทำให้การฝึกศาสตร์เวทย์ร่างจำแลงคณานับนั้นง่ายขึ้นมาก ยิ่งไปกว่านั้น หากเจียงอี้อยากฝึกฝนญาณศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ต้องมีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งขึ้นก่อน สัตว์อสูรหยาจื้อยังกล่าวอีกว่าทวีปนี้ไม่มีใบว่านน้ำอีกแล้ว
ดวงตาของเขากระพริบไม่หยุดขณะที่เขาย้ายร่างไปทางด้านซ้ายของบ่อเลือดเหล่าผีดิบทั้งหลายต่างพากันขึ้นมาและใช้กรงเล็บของพวกมันฉีกเนื้อเจียงอี้ออกเป็นชิ้นๆ แต่ในตอนนี้เขาค่อนข้างอยู่ห่างจากพื้นผิวพอตัวจึงทำให้เหล่าผีดิบไม่สามารถประชิดตัวเขาได้
เขาย้ายร่างไปอย่างช้าๆและเข้าใกล้ทีละนิดเมื่อเขาไปถึงจุดที่เขาต้องการจะไปแล้ว เขาก็รีบย้ายร่างไปอยู่เหนือบ่อเลือดและปลดปล่อยเปลวเพลิงออกมาอีกสองระลอกก่อนที่จะย้ายร่างฉับพลันอีกครั้ง
เขาย้ายร่างไปรอบๆบ่อเลือดอยู่ตลอดเวลาและปลดปล่อยเปลวเพลงิออกมาอย่างต่อเนื่อง,ซึ่งทำให้เถาวัลย์ดารามารต้องคอยหลบอย่างไม่หยุดหย่อนจนพวกมันไม่กล้าที่จะโต้ตอบกลับ
เมื่อมองเห็นโอกาสแล้วเจียงอี้ก็เล็งไปทางใบว่านน้ำด้านล่างและย้ายร่างไปข้างๆบ่อเลือดทันที เขายื่นมือออกไปดึงต้นสมุนไพรวิญญาณทั้งสองลำต้นและเก็บมันไว้ในไข่มุกวิญญาณเพลิงและย้ายร่างหนีไปทันทีโดยไม่ได้หันกลับมามอง
ฟึ่บฟั่บ!
เถาวัลย์ดารามารที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งได้ดูดซับเลือดจำนวนมากจากบ่อเลือดมาแล้วและฟื้นตัวขึ้นมาเล็กน้อยมันพุ่งเข้าหาเจียงอี้และไล่ตามเขามาอีกครั้ง!
“เจ้ากล้าไล่ล่าข้า?นายน้อยผู้นี้จะแผดเผาเจ้าให้ไม่มีชิ้นดีเลย!”
เจียงอี้ยังคงย้ายร่างผ่านอุโมงค์ขึ้นไปเรื่อยๆทุกครั้งที่เขาพักจากการย้ายร่างเขาก็จะทิ้งทะเลเพลิงที่ปกคลุมไปทั่วอุโมงค์ทั้งหมดไว้เบื้องหลัง หากเถาวัลย์ดารามารต้องการไล่ล่าเขา มันจะต้องฝ่าทะเลเพลิงออกมาหรือไม่ก็ต้องรอให้ไฟสลายไปก่อน
เปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์น่ากลัวเกินไป!
เถาวัลย์ดารามารเลือกอย่างหลังมันต้องการที่จะบดขยี้เจียงอี้ให้ตายจริงๆ แต่ต้องรอให้เปลวไฟพวกนี้มอดสลายไปก่อนมันถึงจะพุ่งไปได้ แม้ว่าความเร็วของมันจะเร็วมาก แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะตามเจียงอี้ได้ทัน
ฟึ่บฟั่บ ฟึ่บ!
เจียงอี้ย้ายร่างขึ้นไปอย่างต่อเนื่องและย้ายร่างไปหลายร้อยครั้งแล้วแต่เขาก็ยังมองไม่เห็นทางออก เขารู้สึกประหลาดใจและนึกถึงพิภพใต้ดินนั้น มันเป็นไปได้หรือไม่ว่านั่นจะเป็นแดนใต้พิภพจริงๆ?
ฟึ่บ!
เขาย้ายร่างอีกครั้งและพบแสงอ่อนๆที่ด้านบนเมื่อเขาย้ายร่างครั้งต่อไป เขาก็ได้มาถึงจัตุรัสใต้บาดาลแล้ว เขาสำรวจรอบๆและสงสัยว่ามีอะไรอยู่ที่ปลายสุดของจัตุรัสแห่งนี้ แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะอยู่ที่นี่ต่อและยังคงย้ายร่างไปเรื่อยๆ
สิบห้านาทีต่อมา!
ในที่สุดเขาก็ย้ายร่างออกมาได้เสียทีเขามองไปที่ท้องทะเลอันกว้างใหญ่และท้องฟ้าที่สดใสพร้อมกับสูดอากาศที่บริสุทธิ์ สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาแทบอยากจะร้องไห้ โลกข้างล่างและข้างบนนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิงและเขารู้สึกราวกับว่าเขาได้ไปปรโลกและได้กลับมายังโลกมนุษย์ยังไงอย่างงั้น
“เจียงอี้!”
ร่างทั้งสามพุ่งออกมาจากเรือแต่ไกลขณะที่พวกเขามองเจียงอี้อย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง เจียงเสี่ยวนู๋ลงไปเพียงครู่เดียวและเจียงอี้ก็กลับมาโดยที่เขายังไม่ตายจริงหรือ?
“ลูกพี่!”
เฉียนว่านก้วนและคนอื่นๆก็รับรู้ได้ในทันทีขณะที่พวกเขารีบออกมาจากโถงเรืออย่างร้อนรนเมื่อพวกเขาเห็นร่างที่ดูอ่อนแออยู่บนท้องฟ้าพวกเขาก็เริ่มน้ำตาซึมกันเป็นแถบ ในวินาทีต่อมาน้ำตาพวกเขาก็ต้องหยุดลงและแปรเปลี่ยนเป็นความประหลาดใจแทน!
ปัง!
มีคลื่นขนาดใหญ่ปะทุขึ้นมาจากทะเลด้านล่างเจียงอี้หนึ่งในเถาวัลย์ดารามารระเบิดออกมาแต่เจียงอี้ก็ยังคงสงบนิ่งฝ่ามือทั้งสองข้างของเขาสว่างขึ้นขณะที่เปลวไฟพุ่งออกมา น้ำทะเลที่พุ่งออกมานั้นได้ระเหยไปทันทีและเถาวัลย์ดารามารที่พุ่งขึ้นมาก็ได้ถอยกลับไปอย่างหวาดกลัว จากนั้นเจียงอี้ก็ย้ายร่างมาโดยไม่มีความรีบร้อนใดๆ
“เปลวเพลิงพวกนั้น!”
แม้แต่จักรพรรดินีสัตว์อสูรและคนอื่นๆที่อยู่ห่างไกลจากเขายังสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ดวงตาของแม่เฒ่าบุปผาสีเงินหดแคบลงเมื่อนางจินตนาการว่าตัวเองกลายเป็นเถ้าธุลีหากนางสัมผัสกับเปลวเพลิงเหล่านั้น
ส่วนจักรพรรดินีและสุ่ยโย่วหลานต่างหันมามองหน้ากันขณะที่ทั้งคู่ยิ้มออกมาเจียงอี้เป็นอัจฉริยะที่น่าทึ่งอย่างแท้จริง หลังจากที่รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดอีกครั้ง ความแข็งแกร่งของเขาก็เกิดพัฒนาการที่ก้าวกระโดดขึ้นอีกครั้ง