เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 435-436
บทที่ 435 ผู้ทรยศ
ตูม!
เจียงอี้รู้สึกราวกับว่าจิตใจของเขากำลังระเบิดออกมาร่างของเขาเซลงไปและรู้สึกโลกหมุน หากไม่ใช่เพราะจ้านอู๋ซวงที่ช่วยพยุงเขาเอาไว้เขาก็อาจจะทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว
เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาเพิ่งแยกทางกับจูเก๋อชิงหยุนเองผู้อาวุโสที่อ่อนโยนและเป็นผู้ที่เขานับถือกลับเสียชีวิตลงไปเพียงไม่กี่วัน? เขาจะสามารถรับเรื่องนี้ได้อย่างไร?
ในตอนแรกที่เจอกันเขาไม่ได้ชอบจูเก๋อชิงหยุนเท่าไหร่นักเพราะเขาเป็นสหายของเจียงเปี๋ยหลี แต่เมื่อได้รู้จักกัน เขาก็ค่อยๆเคารพในตัวจู๋เก๋อชิงหยุนมากขึ้น
และเหตุการณ์นอกเมืองเซี่ยยวี่ที่จูเก๋อชิงหยุนต่อสู้กับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังสองคนด้วยตัวเองเพื่อปกป้องเจียงอี้นับแต่นั้นมาเจียงอี้ก็ยอมรับว่าจูเก๋อชิงหยุนเป็นผู้อาวุโสและเป็นผู้ที่คอยห่วงใยและดูแลเขา และในคราวนี้เขาก็รู้สึกผิดมากเพราะว่าจูเก๋อชิงหยุนเกือบถูกเถาวัลย์ดารามารสังหาร
และในตอนนี้เขาตายแล้วเขาถูกลอบสังหาร!
ไม่เพียงแต่เจียงอี้แต่จ้านอู๋ซวง, เฉียนว่านก้วนและซูรั่วเสวี่ยต่างก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน พวกเขาอาศัยอยู่ที่สำนักจิตอสูรมานานพอสมควร จูเก๋อชิงหยุนนั้นถือเป็นเทพผู้พิทักษ์ที่คอยอยู่กับพวกเขาตลอดมา แต่เทพผู้พิทักษ์นี้ได้ถูกสังหารไปแล้ว
ทหารจากทั้งสามตระกูลต่างก็พูดไม่ออกและมีสีหน้าโศกเศร้าจูเก๋อชิงหยุนมีชื่อเสียงที่ดีมาตลอดชีวิตของเขา เขาเป็นผู้อยู่ในทางธรรม ตรงไปตรงมาและเป็นผู้ไม่ถือตัวมาตลอด จอมยุทธส่วนใหญ่ในทวีปต่างเคารพนับถือเขา ข่าวนี้จึงเป็นข่าวที่น่าเศ้ราที่ทำให้ทุกคนต่างพากันสลดใจ
ฮู่ฮู่!
ทันใดนั้นเจียงอี้ก็ปล่อยลมหายใจออกมาขณะที่ใบหน้าของเขากลับกลายเป็นความเกรี้ยวกราด ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิตโดยไม่รู้ตัวและจิตสังหารก็หลั่งไหลออกมาในขณะที่เขาคำรามจนเสียงกังวานไปทั่วท้องฟ้า!
“อ๊ากกก!”
เสียงที่ดังออกไปทั่วท้องฟ้าและผืนดินได้สร้างความเจ็บปวดแก่แก้วหูของทุกคนเสียงของเขาดังก้องไปทั่วเมืองเซี่ยยวี่อยู่นาน มันเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความไม่พอใจและทุกคนในเมืองต่างก็รู้สึกใจสั่นและอีกหลายคนที่หวาดกลัวจนล้มลงไปกองกับพื้น
“ข้าจะไปสำนัก!”
หลังจากที่คำรามออกมาเจียงอี้ก็ไม่ได้ดูโหดร้ายอีกต่อไป แต่มันก็ยังคงมืดมนอย่างน่ากลัว เขาหันหลังออกไปอย่างรวดเร็ว จ้านอู๋ซวง, เฉียนว่านก้วนและซูรั่วเสวี่ยตะโกนออกมาอย่างรีบร้อนว่า “พวกเราจะไปกับเจ้า”
เจียงอี้ก็คิดไว้อยู่แล้วพวกเขาทั้งหมดเป็นศิษย์สำนักจิตอสูร โดยเฉพาะซูรั่วเสวี่ยที่อยู่ที่สำนักมานานหลายปี พวกเขาจะต้องไปเคารพศพเมื่อจูเก๋อชิงหยุนจากไป และเจียงอี้ก็ได้ตอบตกลงในทันที
“รายงาน!”
ในขณะที่เขากำลังจะนำทุกคนเข้าไปในราชวังจักรวาลแม่ทัพคนหนึ่งก็รีบเข้ามา เมื่อเห็นว่าซูรั่วเสวี่ยและเจียงอี้ยังอยู่ เขาก็คุกเข่าและรายงานว่า “องค์ราชินี, ท่านอุปราช เราเพิ่งได้รับรายงานว่าองค์หญิงหยุนเฟยถูกบุคคลลึกลับลอบโจมตีเมื่อกลับไปยังเมืองเซวี่ยนเทียนและทหารอารักขาทั้งหมดก็ถูกกวาดล้างไปจนหมดหลังจากที่พยายามรั้งศัตรูเอาไว้ องค์หญิงหยุนเฟยสามารถหลบหนีไปได้โดยใช้ศาสตร์วิญญาณพฤกษาและนางได้รับการช่วยเหลือจากแม่เฒ่าบุปผาสีเงิน องค์หญิงหยุนเฟยได้ส่งข้อความมาว่า…บอกให้ทุกคนระวัง นางใช้ศาสตร์วิญญาณพฤกษาแทรกซึมไปฟังบทสนทนาของเหล่ากลุ่มผู้โจมตีนั้น ศัตรูพูดว่าพวกเขากำลังจะไปลงมือเก็บองค์ราชินี, นายน้อยจ้าน,และนายน้อยเฉียนพะยะค่ะ!”
“หืม?”
ดวงตาของเจียงอี้กลับมาเย็นชาอีกครั้งใบหน้าของจ้านอู๋ซวงก็แปรเปลี่ยนไปเป็นตึงเครียด ส่วนเฉียนว่านก้วนและซูรั่วเสวี่ยก็มีสีหน้าที่ย่ำแย่เช่นกัน
“บุคคลลึกลับอีกแล้ว?”
เจียงอี้มองขึ้นไปบนฟ้าและทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงมือที่มองไม่เห็นซึ่งกำลังพยายามจะห่อหุ้มพวกเขาและสังหารพวกเขาทั้งหมด!
สถานะของจูเก๋อชิงหยุนเป็นใคร?หยุนเฟยเป็นใคร?
แทบจะไม่มีผู้ใดในทวีปที่กล้าลงมือทำร้ายพวกเขาทั้งสองแต่นี่ไม่ใช่แค่ลงมือแต่ดันทำสำเร็จ…หากหยุนเฟยไม่มีศาสตร์วิญญาณพฤกษาที่สามารถมองเห็นอันตรายได้ล่วงหน้า นางอาจจะไม่สามารถหลบหนีไปได้
เขาไม่รู้ว่าผู้บงการเป็นใครเขาไม่รู้ว่าใช่คนกลุ่มเดียวกับที่โจมตีจูเก๋อชิงหยุนหรือไม่ เขารู้สึกราวกับว่ามีภูเขาลูกใหญ่กำลังกดลงบนไหล่ของเขา หากเขาไม่จัดการกับสิ่งนี้อย่างเหมาะสม เขาก็อาจจะถูกบดขยี้ได้เช่นกัน
“พวกมันกำลังจะมาเก็บองค์ราชินี,นายน้อยจ้าน,และนายน้อยเฉียน?”
เมื่อเขานึกถึงข้อความของหยุนเฟยดวงตาของเจียงอี้ก็เย็นชาขณะที่พูดว่า “จากนี้ไป พวกเจ้าทุกคนจงอยู่กับข้า ไม่ว่าข้าจะไปที่ใด พวกเจ้าจงไปกับข้าจนกว่าข้าจะเจอตัวผู้บงการและสังหารพวกมันทั้งหมด หากว่าข้าตาย เช่นนั้นเราก็จะตายด้วยกัน!”
ซูรั่วเสวี่ยไม่คัดค้านใดๆส่วนเฉียนว่านก้วนก็ยินดีที่จะติดตามเจียงอี้เช่นกัน ตราบใดที่เขายังสามารถควบคุมทรัพย์สมบัติของตระกูลได้เท่านั้นก็พอแล้ว ส่วนจ้านอู๋ซวงลังเลเล็กน้อย เขาไม่สามารถปล่อยให้หยุนเฟยตายได้ ตระกูลจ้านนั้นได้เตรียมการสู่ขอไว้แล้วและรอนำตัวหยุนเฟยกลับมา
“พี่อู๋ซวงไม่ต้องร้อนรนไป ข้าจะช่วยเจ้าจัดการเรื่องหยุนเฟยให้ แต่ก่อนอื่น ไปยังสำนักจิตอสูรก่อน!”
เจียงอี้รู้ถึงความลังเลของจ้านอู๋ซวงหลังจากที่จ้านอู๋ซวงพยักหน้า เขาก็รีบนำทุกคนเข้าไปอยู่ในราชวังจักรวาลก่อนที่จะเรียกสัตว์อสูรหยาจื้อให้ตรงไปยังสำนักจิตอสูรทันที
ใครสังหารเจ้าสำนัก?คงไม่ใช่เพียงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังธรรมดาที่จะสามารถลอบโจมตีเขาได้ใช่ไหม? ที่ที่พวกเขาสู้กันอยู่นอกสำนักซึ่งมีสายตาหลายคู่สามารถเป็นพยานได้ แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าผู้ใดเป็นคนสังหารเขา?
ในขณะที่เจียงอี้กำลังกุมขมับอยู่นั้นจู่ๆเขาก็นึกถึงใบว่านน้ำขึ้นมา เขาจึงนำมันออกมาและมองดูใกล้ๆ หลังจากที่ได้กลิ่นหอมของมันแล้ว เขาก็มั่นใจว่านี่คือใบว่านน้ำแน่ๆ เขาจึงรีบหยิบใบว่านน้ำทั้งสองใบขึ้นมาขัดเกลาทันทีพร้อมกับนั่งขัดสมาธิอยู่บนหลังของสัตว์อสูรหยาจื้อ
ใบว่านน้ำนี้ขัดเกลาได้ง่ายดายและมีประโยชน์ในการเสริมสร้างดวงจิตวิญญาณมากเจียงอี้จะต้องขัดเกลาพวกมันก่อนเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
หลังจากที่ใช้เวลาขัดเกลาทั้งวันในที่สุดเขาก็ขัดเกลาใบว่านน้ำทั้งสองใบเสร็จสิ้น ด้านสัตว์อสูรหยาจื้อเองก็ยังคงรีบเร่งไปด้วยความเร็วสูงสุดและมองเห็นสำนักจิตอสูรอยู่ลิบตาแล้ว เจียงอี้มองดูวิญญาณภายในของเขาเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติกับใบว่านน้ำ จากนั้นเขาก็มองไปยังหุบเขาจิตอสูรด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
ฟึ่บ!
สัตว์อสูรหยาจื้อมาถึงสำนักอย่างรวดเร็วซึ่งทำให้ด้านล่างเกิดความวุ่นวายเป็นอย่างมาก
ฟั่บ!
แสงสีขาวสว่างขึ้นในมือของเจียงอี้ขณะที่สัตว์อสูรหยาจื้อกลับเข้าไปจากนั้นเขาก็ร่อนลงไปที่พื้น มือของเขาสว่างอีกครั้งและซูรั่วเสวี่ย, เฉียนว่านก้วนและคนอื่นๆก็ปรากฏตัวขึ้นมาทันใด
ว้าว!
หลังจากที่รู้ว่าเป็นเจียงอี้ศิษย์และอาจารย์ทุกคนก็รีบพุ่งตรงมาหาพวกเขา อาจารย์บางคนจำเจียงอี้ได้และตะโกนมาแต่ไกล “เจียงอี้ เจ้าต้องแก้แค้นให้ท่านเจ้าสำนัก! ท่านเจ้าสำนักสิ้นลมอย่างไม่ยุติธรรม!”
ฟึ่บ!
ร่างสีขาวพุ่งออกมาจากตำหนักด้านในจากนั้นก็ตะโกนออกมาว่า“เจียงอี้ ท่านเจ้าสำนักฉีส่งข้อความมาว่าพวกเขาค้นพบที่อยู่ของหลิ่วอวี้และกำลังไล่ล่ามัน เจ้าควรรีบไปสมทบ!”
“หลิ่วอวี้?”
ดวงตาของเจียงอี้เผยร่องรอยของความสับสนออกมาขณะที่ร่างของซูรั่วเสวี่ยสั่นสะท้านและพูดว่า“รองเจ้าสำนักหลิ่ว? เขาเป็นคนทำร้ายเจ้าสำนัก?”
“มีใครอีกนอกจากไอ้คนทรยศนั่น?หากเขาไม่ได้วางแผนต่อกรกับเจ้าสำนักมา พวกบุคคลลึกลับนั้นจะสามารถสังหารเจ้าสำนักที่มีความแข็งแกร่งเช่นนั้นได้อย่างไร?”
“ใช่เราเองก็เห็นไอ้หลิ่วอวี้ปลดปล่อยฝ่ามือใส่ท่านเจ้าสำนัก! ถ้าเราจับมันได้ พวกเราจะฉีกมันเป็นชิ้นๆแน่!”
“…”
ทุกคนเริ่มตะโกนออกมาและปรักปรำหลิ่วอวี้เจียงอี้เป็นบุคคลน่าเกรงขามและมีชื่อเสียงในเรื่องความสามารถในการต่อสู้ เขายังเป็นความภาคภูมิใจของสำนักจิตอสูร ซึ่งทุกคนเห็นเขาเป็นผู้สนับสนุนของสำนัก เมื่อจูเก๋อชิงหยุนเสียชีวิตในขณะที่รองเจ้าสำนักที่เหลือนั้นอยู่เพียงขั้นที่แปดหรือเก้าของขอบเขตเสินโหยว มันจึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะให้เจียงอี้ช่วยแก้แค้นแทนเจ้าสำนัก….
บทที่ 436 ตามล่านับหมื่นกิโล
เจียงอี้เข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาทันทีหลิ่วอวี้เป็นหนึ่งในรองเจ้าสำนัก ครั้งนี้เขาเป็นผู้นำกลุ่มค้นหาผึ้งทมิฬและเจียงอี้ก็เคยเห็นเขาในงานเลี้ยงของสุ่ยเชียนโหรว
หลังจากที่เถาวัลย์ดารามารปรากฏตัวและพันรอบเจียงอี้มันก็ได้สร้างความหวาดกลัวให้กับนายน้อยและคุณหนูทุกคน จึงไม่มีใครกล้าไปฉกฉวยน้ำผึ้งและพากันกลับไป
หลิ่วอวี้นำลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งกลับไปที่สำนักจิตอสูรและปะทะกับสัตว์อสูรโดยไม่ทันคาดคิดศิษย์บางคนได้รับบาดเจ็บสาหัสและหลิ่วอวี้ก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน และเมื่อจูเก๋อชิงหยุนบังเอิญผ่านไปเจอจึงได้พาพวกเขาขี่มังกรทองกลับมายังสำนัก
แต่ใครจะไปคาดคิด…?
เมื่อพวกเขามาถึงสำนักจิตอสูรหลิ่วอวี้ก็ได้ลอบโจมตีและปลดปล่อยฝ่ามือใส่จูเก๋อชิงหยุนทันที และในเวลาเดียวกันก็มีเงาดำเหาะมาจากด้านล่างและสังหารจูเก๋อชิงหยุนในกระบวนท่าเดียว มังกรทองก็ได้ตกตายไปในเวลาต่อมาเช่นกัน หน่วยลาดตระเวนในบริเวณใกล้เคียงทั้งหมดเห็นเหตุการณ์นี้ในขณะที่ศิษย์ที่ขึ้นมังกรทองมากับจูเก๋อชิงหยุนก็มองหลิ่วอวี้เป็นฆาตกร
หลิ่วอวี้อยู่ในสำนักแห่งนี้มานานกว่าสามสิบปีเขาเป็นอาจารย์มายี่สิบปีและได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองเจ้าสำนักหลังจากที่เขาถึงขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุด ตำแหน่งของเขาเป็นรองแค่เพียงรองเจ้าสำนักฉีเท่านั้นและเขายังเปรียบเสมือนเป็นหนึ่งในตัวแทนสำนักอีกด้วย จูเก๋อชิงหยุนไว้ใจเขามากและไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะเคลื่อนไหวอย่างลับๆเช่นนี้
จิตใจของจูเก๋อชิงหยุนกำลังหมกมุ่นและมัวแต่รีบเร่งกลับสำนักจึงทำให้เขาลดเกราะป้องกันลงซึ่งหลิ่วอวี้ที่อยู่ข้างๆเขาก็ได้ลอบกัดเขา เช่นนั้นแล้วเขาจะไม่ตกหลุมพรางของหลิ่วอวี้ได้อย่างไร?
จิตใจของเจียงอี้เหม่อลอยไปและนึกถึงสีหน้าของช่วงเวลาที่จูเก๋อชิงหยุนสิ้นลมใบหน้าของเขาต้องเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ, ความผิดหวัง, ทุกข์ทรมานและเสียใจ ช่วงเวลาที่ถูกคนที่ไว้ใจที่สุดแทงข้างหลัง มันคงจะต้องเจ็บปวดยิ่งกว่าการเจ็บปวดร่างกายภายนอกเป็นแน่
“หลิ่วอวี้อยู่ที่ไหน?”
ชายชุดดำนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังที่ลงไปใต้ดินทันทีหลังจากที่ลงมือเสร็จสิ้นแล้วทุกคนไม่สามารถตอบโต้ได้ทัน นับประสาอะไรกับการหาตัวเขา
หลิ่วอวี้ก็หนีไปทันทีและตรงไปยังอาณาจักรเสินหวู่หลังจากที่รองเจ้าสำนักฉีได้ข้อมูลนี้มานางก็พารองเจ้าสำนักหลายคนไปติดตามเขาทันทีและเพิ่งส่งข้อความกลับมา
รองเจ้าสำนักที่อยู่ที่สำนักในตอนนี้รู้สึกใจสั่นไปหมดเมื่อมองผ่านดวงตาของเจียงอี้ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหารเขารีบส่งป้ายสื่อสารให้เจียงอี้และกล่าวว่า “เจียงอี้ เจ้าส่งข้อความไปหารองเจ้าสำนักฉีเลย ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ใดกันแน่!”
“ไปกันเถอะ!”
เจียงอี้สะบัดมือและนำซูรั่วเสวี่ยและคนอื่นๆเข้าไปยังราชวังจักรวาลจากนั้นเขาก็เรียกสัตว์อสูรหยาจื้อออกมาและทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า และทิ้งคำพูดที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร “อย่าเพิ่งฝังศพเจ้าสำนัก รอข้านำหัวหลิ่วอวี้กลับมาคำนับเจ้าสำนักก่อน!”
โฮกกก!
ดูเหมือนว่ามันรับรู้ได้ถึงความโกรธในใจของเจียงอี้สัตว์อสูรหยาจื้อจึงคำรามดังกังวานจนทำให้ทั้งหุบเขาจิตอสูรสั่นไหว มันหมุนขึ้นไปบนท้องฟ้าและบินไปทางทิศเหนือ
เหล่าศิษย์เกือบหมื่นคนต่างมองไปยังเจียงอี้ด้วยอารมณ์มากมายและดวงตาแดงก่ำพวกเขาส่วนใหญ่กำหมัดแน่นและหวังว่าพวกเขาจะอยู่ในขอบเขตจินกังเดี๋ยวนั้นและตามเจียงอี้ไปสังหารคนทรยศและแก้แค้นให้จูเก๋อชิงหยุน
หลิ่วอวี้เป็นสายลับอยู่ในสำนักมาสามสิบปีแล้วหลิ่วอวี้เป็นตัวหมากของฝ่ายใดกัน? ถ้าเราหาผู้ที่เป็นหัวหน้าเจอ เราก็จะเจอผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังได้
เขากำลังหลบหนีไปยังอาณาจักรเสินหวู่?หรือเขาจะเป็นคนของอาณาจักรเสินหวู่? แล้วทำไมเซี่ยถิงเวยจึงต้องการสังหารเจ้าสำนัก?
หากเขาเป็นลูกไล่เซี่ยถิงเวยจริงข้าอาจจะต้องปะทะกับขันทีหลิน หรือบางที….เจียงเปี๋ยหลีก็อาจจะเข้ามาจุ้นจ้านด้วย
มันไม่สำคัญหรอกหากขันทีหลินนั่นกล้าเข้ามาพัวพัน ข้าจะสังหารเขา! หากเจียงเปี๋ยหลีกล้าที่จะลงมือก็อย่าโทษว่าข้าโหดเหี้ยม ข้าจะต้องแก้แค้นให้เจ้าสำนัก!
เจียงอี้ตัดสินใจไปแล้วขณะที่เขารีบส่งข้อความถึงรองเจ้าสำนักฉีและตรวจสอบตำแหน่งของพวกเขาหลิ่วอวี้จะต้องตาย ไม่อย่างนั้น เขาจะเอาหน้าไปเคารพจูเก๋อชิงหยุนได้อย่างไร?
รองเจ้าสำนักฉีรีบส่งข้อความกลับมาโดยบอกว่าพวกเขากำลังตามล่าและเกือบสังหารหลิ่วอวี้ได้สองสามครั้งแล้วแต่ก็มีชายลึกลับปรากฏตัวออกมาและขัดขวางพวกเขา ในระหว่างการไล่ล่า พวกเขาได้สังหารชายชุดดำไปอย่างน้อยก็หลายโหลแล้ว ตอนนี้หลิ่วอวี้กำลังหลบหนีไปยังเมืองหวัง (เมืองหลวง)
ชายลึกลับเข้ามาขัดขวาง?เมืองหวัง? เป็นไปได้ไหมว่าหลิ่วอวี้จะเป็นลูกไล่ของเซี่ยถิงเวย?
ดวงตาของเจียงอี้กลับกลายเป็นความเย็นชาและเขาก็เกิดความมุ่งมั่นมากขึ้นเขาตะโกนออกมา “ราชันอสูร เร็วเข้า เราต้องหยุดหลิ่วอวี้ก่อนที่เขาจะเข้าสู่เมืองหวัง”
เมืองหวังเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเสินหวู่ไม่สำคัญว่าเจียงอี้จะมีเหตุผลอะไร ตราบใดที่เขาลงมือสังหารในเมืองหวัง อาณาจักรเสินหวู่จะต้องไม่ยินยอม ดังนั้นหากเขากำจัดหลิ่วอวี้ได้ก่อนที่หลิ่วอวี้จะเข้าไปในเมืองหวัง มันก็จะลดปัญหาลงไปมาก
สัตว์อสูรหยาจื้อเพิ่มความเร็วเต็มกำลังในตอนที่มันอยู่ในพิภพใต้ดินมันไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆและเพียงถูกกลิ่นอายสีดำรุกรานก็เท่านั้น หลังจากที่เจียงอี้ช่วยขับไล่กลิ่นอายสีดำออกจากตัวมันแล้ว ความแข็งแกร่งของมันก็คืนสู่ปกติอย่างสมบูรณ์
หุบเขาจิตอสูรอยู่ทางตอนใต้สุดของอาณาจักรเสินหวู่ในขณะที่เมืองหวังตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือไม่ว่าสัตว์อสูรหยาจื้อจะเร็วเพียงใด แต่มันก็ยังต้องใช้เวลาประมาณสี่ถึงห้าวัน หลิ่วอวี้อาจจะหนีไปตั้งแต่สองวันแรกแล้ว แต่เขาก็ถูกไล่ตามตลอดทางซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาประมาณเจ็ดถึงแปดวันกว่าเขาจะไปถึงเมืองหวัง นั่นก็หมายความว่าเจียงอี้ยังมีโอกาสไล่ตามเขาทัน
ตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงลมที่พัดผ่านมาค่อนข้างแรงซึ่งมันสร้างความเจ็บปวดให้กับใบหน้าของเขามาก
เจียงอี้นั่งขัดสมาธิบนสัตว์อสูรหยาจื้อในช่วงสองสามวันของการไล่ล่า เขาต้องคอยดูแลดวงจิตวิญญาณและในขณะเดียวกันก็ต้องคอยเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นไปด้วย
เขารู้สึกได้ถึงอันตรายที่น่ากลัวยิ่งกว่าสัญญาสามปีหากเขาไม่วางแผนเรื่องนี้ให้ดีพอ เขาอาจแหลกสลายเป็นชิ้นๆ และเมื่อเขาตาย ซูรั่วเสวี่ย, เฉียนว่านก้วน, จ้านอู๋ซวงและหยุนเฟยก็จะต้องตายไปพร้อมกับเขา และทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเขาก็จะถูกกำจัดเช่นกัน
ในตอนนี้เขาไม่ได้กังวลถึงความเป็นความตายเขาไม่ได้หวาดกลัวความตาย แต่เขาก็ต้องไม่ตายเช่นกัน
เพื่อทุกคนที่เขาหวงแหน,เพื่นคนที่รักเขา, เพื่อผู้คนที่เกี่ยวพันกับเขา….เขาจะต้องตั้งใจรอดชีวิตและใช้ดาบในมือร่ายสังหารและแปดเปื้อนเลือดเอง
เขาผ่อนคลายร่างกายขณะที่บ่มเพาะพลังและร่างของเขาก็จะบรรเทาจากความเหนื่อยล้าเช่นกันเมื่อเขาบ่มเพาะพลัง ร่างกายของเขาก็จะดูดซับพลังฟ้าดินเองซึ่งมันจะเติมเต็มพลังงานที่เขาเสียไป
ดังนั้นเจียงอี้จึงรู้สึกฟื้นฟูขึ้นมากจากการบ่มเพาะพลังเพียงไม่กี่ชั่วโมงเขาทานอาหารและเริ่มศึกษาศาสตร์เวทย์มนตร์ต่อ
ศาสตร์เวทย์มนตร์นั้นทรงพลังมากหากทักษะการต่อสู้นั้นแยกย่อยมาจากความลึกลับของรูปแบบเจ๋า ศาสตร์เวทย์มนตร์ก็คงถูกสร้างขึ้นมาจากแก่นของรูปแบบเต๋า
เจียงอี้มีประสบการณ์นี้เมื่อตอนที่เขาฝึกศาสตร์เวทย์ร่างจำแลงคณานับเขาเข้าถึงรูปแบบเต๋าวายุคณานับได้แล้ว ดังนั้นเขาจึงเข้าใจถึงแก่นแท้ของรูปแบบเต๋านี้ ร่างจำแลงคณานับนั้นมีแก่นเหมือนกัน
เปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ที่ถูกถ่ายทอดออกมาจากแก่นแท้พลังในดาวดวงแรกยังสามารถขับไล่เถาวัลย์ดารามารได้มันสามารถจินตนาการได้เลยว่าสวรรค์สยบเพลิงอเวจีทรงพลังเพียงใด!
ไฟนั้นเป็นการแสดงถึงความโกรธเกรี้ยวมีเปลวไฟที่ทรงพลังมากมายอยู่บนโลกนี้ เช่นเปลวไฟของหินวิญญาณเพลิงที่สามารถทำลายสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ ดังนั้นเจียงอี้จึงตัดสินใจที่จะศึกษาศาสตร์เวทย์นี้ต่อและฝึกฝนมันจนถึงขีดจำกัด เขาจะพยายามปรับแต่งเปลวเพลิงที่แม้แต่จอมเวทย์ก็ยังไม่สามารถทำได้ เปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ที่แท้จริง
หลังจากบ่มเพาะมาหลายชั่วโมงเจียงอี้ก็ฝึกฝนศาสตร์เวทย์นั่นต่อ และหลังจากเดินทางโดยไม่ได้หยุดพัก ในที่สุดเขาก็ได้พบกับรองเจ้าสำนักฉีและคนอื่นๆในวันที่ห้า
รองเจ้าสำนักฉีนำรองเจ้าสำนักอีกเจ็ดคนมาซึ่งทุกคนต่างเต็มไปด้วยบาดแผลและดวงตาของพวกเขาแดงก่ำเสื้อผ้าของพวกเขาหลุดรุ่ยราวกับว่าพวกเขาเป็นขอทานทั้งแปด ในตอนนี้พวกเขาอยู่ที่เมืองเสินปิง เมืองหลักอันดับหนึ่งทางตอนใต้ของอาณาจักรเสินหวู่ซึ่งพวกเขาถูกทหารราวพันนายล้อมรอบอยู่นอกประตู้ทางใต้ของเมือง คนพวกนี้สวมชุดเกราะของทหารเสินหวู่และผู้บัญชาการนั้นล้วนเป็นแม่ทัพจากกองทัพอาณาจักรเสินหวู่ทั้งสิ้น!
หลิ่วอวี้เป็นลูกน้องเซี่ยถิงเวยจริงๆ?
ดวงตาของเจียงอี้เป็นประกายด้วยแสงอันเย็นเยียบขณะที่เขาลงมาพร้อมกับสัตว์อสูรหยาจื้อเขาส่งเสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว “ทุกคนจงหยุดซะ ไม่งั้น….ตาย!”
…