เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 445-446
บทที่ 445 นรกบนโลกมนุษย์
เจียงอี้ไม่เคยพูดเล่นซึ่งเห็นได้ชัดจากฉายาปีศาจกระหายเลือดของเขาสำหรับเขาแล้ว การสังหารคนหนึ่งคนกับการสังหารคนนับหมื่นนั้นมีความง่ายดายเช่นเดียวกัน เขาอาจจะอายุไม่ถึงสิบแปดปี แต่เขาอาจจะสังหารผู้คนมามากกว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็ได้
มันเป็นเหตุผลว่าทำไมจ่างซุนเหยียนถึงได้กลัวเขากวาดสายตาไปทั่วพี่น้อง ผู้อาวุโส ลูกหลานบางคนที่มีสายเลือดโดยตรง จากนั้นเขาก็เปล่งเสียงคำรามออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ใครเป็นคนทำ?! จงแสดงตัวออกมาเดี๋ยวนี้! เจ้าจะปล่อยให้ตระกูลทั้งตระกูลย่อยยับจริงๆ? ใต้เท้าเจียงกล่าวว่าตราบใดที่ผู้บงการถูกเปิดเผย เขาจะปล่อยเราไป ใต้เท้านั้นเป็นผู้ที่รักษาคำพูดของเขาแน่นอน!”
พรึ่บ!
ผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลจ่างซุนเดินไปอย่างช้าๆและคุกเข่าลงบนพื้นเขาร้องเสียงดัง “มันคือข้า เป็นข้าเองที่เป็นคนพาหลิ่วอวี้เข้ามา”
ปุ!
ก่อนที่เขาจะทันได้อธิบายจบก็มีคนพ่นเข็มพิษเล็กๆออกมามันเจาะเข้าไปในตัวผู้อาวุโสและทำให้ตายทันที
ฟึ่บ!ฟั่บ! ฟึ่บ!
ทุกคนจับจ้องไปยังผู้ที่พ่นเข็มพิษออกมาและพวกเขาก็ต้องประหลาดใจทันทีเพราะแท้จริงแล้วมันคือจ่างซุนอู๋จี้
ฟึ่บ!
ทุกคนถูกมัดกันหมดยกเว้นจ่างซุนเหยียนเขาเดินไปตบจ่างซุนอู๋จี้และตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาล “ไอลูกทรพี เจ้ารู้ไหมว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่? เจ้าต้องการให้ตระกูลเราถูกกำจัดทั้งตระกูลหรือ?”
มีบางคนที่เต็มใจที่จะรับโทษและจ่างซุนเหยียนก็เกิดความหวังขึ้นในใจแต่จ่างซุนอู๋จี้กลับสังหารเขาจริงๆ? จะไม่ให้จ่างซุนเหยียนโกรธได้อย่างไร?
เจียงอี้ยิ้มจางๆและเอื้อมมือไปจับไหล่ของจ่างซุนเหยียนและดึงตัวเขาออกไปจากนั้นเขาก็มองไปยังจ่างซุนอู๋จี้ด้วยสายตาที่สงบและพูดว่า “นายน้อยอู๋จี้ ดูเหมือนว่าเจ้าจะพยายามปกป้องเจ้านายของเจ้ามากเลยสินะ? เจ้าคิดหรือว่าข้าจะไม่กล้าสังหารตระกูลของเจ้าจริงๆ?”
“ฮึฮึ!”
จ่างซุนอู๋จี้ถุยท่อไม่ไผ่ขนาดเล็กออกมาและแสยะยิ้มพร้อมมองเจียงอี้ “เจียงอี้ เจ้าไม่ทำมันหรอก เจ้าไม่เคยสังหารผู้บริสุทธิ์ เจ้าอาจจะสังหารพ่อของข้า, ผู้เชี่ยวชาญตระกูลข้า แต่เจ้าจะไม่สังหารผู้หญิงและเด็ก ข้ารู้จักเจ้าดีและข้าได้รวบรวมข้อมูลเจ้าเอาไว้หมดแล้ว เจ้าหลอกข้าไม่ได้หรอก”
“โอ้?”
ดวงตาของเจียงอี้หรี่ลงเล็กน้อยขณะที่เขาหัวเราะออกมาและพูดว่า“ดูเหมือนว่าเจ้าจะรู้จักข้าดีเสียด้วย ฮึฮึ แม้ว่าข้าจะไม่สังหารผู้หญิงและเด็กๆ เจ้าก็พร้อมที่จะมองพ่อเจ้า ลุงเจ้า และพี่น้องของเจ้าตาย?”
“มันไม่มีทางเลือก!”
จ่างซุนอู๋จี้ปล่อยลมหายใจออกมาและตอบว่า“หากข้าบอกชื่อผู้บงการ ในเวลาไม่ถึงเดือน ตระกูลข้าทั้งตระกูลก็จะถูกกวาดล้างอยู่ดี หากข้าไม่พูด อย่างน้อยก็ยังมีผู้รอดชีวิตตระกูลจ่างซุนเหลืออยู่ไม่ใช่หรือ?”
“เอสิ่งที่เจ้าว่ามามันก็สมเหตุสมผลอยู่ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก่อนเจ้าจะตายไป ข้าจะให้เจ้าเห็นว่าตระกูลจ่างซุนของเจ้าถูกล้างบางอย่างไร! มันจะต้องมีบทลงโทษสำหรับใครก็ตามที่เลือกทำอะไรที่ผิดพลาด”
เจียงอี้พูดด้วยท่าทีที่สงบและมองไปที่แม่ทัพไท่สื่อและออกคำสั่ง“สังหารผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวทั้งหมด แม่ทัพไท่สื่อ หากเจ้าไม่กล้าสังหารพวกมัน ข้าจะสังหารตระกูลเจ้าทั้งตระกูล”
ฟึ่บ!ฟึ่บ! ฟั่บ!
ตระกูลจ่างซุนทั้งหมดมีการแสดงออกที่เปลี่ยนไปมากแต่ก็ไม่มีใครกล้าต่อต้านหรือสู้จนตาย ความแข็งแกร่งของเจียงอี้นั้นน่ากลัวเกินไปและหากพวกเขากล้าที่จะเคลื่อนไหว ตระกูลจ่างซุนจะถูกสังหารอย่างแท้จริง เขาเอ่ยถึงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวซึ่งนั่นก็ปราณีมากแล้ว เพราะท้ายที่สุดตระกูลจ่างซุนส่วนใหญ่นั้นอยู่ขอบเขตจื่อฝู่โดยมีผู้เชี่ยวชาญไม่ถึงร้อยคนที่อยู่ขอบเขตเสินโหยว
“ท่านจอมพลอภัยให้ข้าด้วย สังหารพวกเขาซะ!”
แม่ทัพไท่สื่อกัดฟันออกคำสั่งผู้บัญชาการทหารหลวงทุกคนต่างวาดกระบี่ขึ้นมาและปักลงที่คอของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวของตระกูลจ่างซุน
ฟิ้ว…
หัวกว่าร้อยหัวถูกส่งปลิวไปและซากศพนับร้อยก็นอนแน่นิ่งและนองไปด้วยเลือดผู้หญิงจากตระกูลจ่างซุนร้องไห้ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจขณะที่เด็กๆนับไม่ถ้วนเริ่มร่ำไห้ออกมาและสถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นนรกบนโลกมนุษย์ไปแล้ว
ปุบ!
จอมพลจ่างซุนไม่ได้แข็งแกร่งและอยู่ขอบเขตจื่อฝู่เท่านั้นเขารอดมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ร่างของเขาก็ทรุดลงไปกับพื้น อย่างน้อยเขาก็รู้ดีแล้วว่าตระกูลจ่างซุนจบสิ้นแล้ว พวกเขาจะถูกลบออกจากรายชื่อตระกูลที่ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดของอาณาจักรเสินหวู่แน่ๆ
นอกจากนี้ตระกูลจ่างซุนยังได้สร้างความขุ่นเคืองต่อตระกูลใหญ่และตระกูลเล็กๆนับไม่ถ้วนตลอดหลายปีที่ผ่านมาเมื่อกำแพงกำลังอ่อนแอ ทุกคนก็จะผลักมัน แม้ว่าเจียงอี้จะไม่กำจัดตระกูลของพวกเขา แต่มันก็สุดแล้วแต่ประสงค์สวรรค์แล้วหากพวกเขาสามารถรอดจากการทดสอบนี้ไปได้
ใบหน้าของจ่างซุนอู๋จี้บิดเบี้ยวไปโดยสมบูรณ์ขณะที่เขาตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง“เจียงอี้ แม้ว่าข้าจะกลายเป็นวิญญาณ ข้าก็จะไม่มีวันปล่อยเจ้า!”
เจียงอี้มองเขาอย่างสงบและไม่แยแสและไม่มีร่องรอยของอารมณ์ใดๆแม้ว่าจ่างซุนอู๋จี้จะกำลังด่าเขาอยู่ เขาก็ทำเหมือนว่าตัวเองไม่ได้ยินอะไรเลย แต่สายตาของเขาก็ขยับไปเมื่อได้รับข้อความที่ถูกส่งมา “หลานชาย ตระกูลของเรามีศาสตร์ลับที่เรียกว่าวิชากลืนวิญญาณ เจ้าสามารถใช้มันเค้นความลับจากจ่างซุนอู๋จี้ได้”
“ไม่มีประโยชน์หรอกมันสายไปแล้ว…”
เจียงอี้ส่ายหัวขณะที่มองจ้านอีหมิงมีแสงสีขาวสว่างออกมาจากร่างของเขาขณะที่สัตว์อสูรหยาจื้อปรากฏขึ้นในอากาศทันที จ่างซุนอู๋จี้เริ่มกระอักเลือดสีดำออกมาก่อนที่เขาจะตายลงและลงไปกองกับพื้น เมื่อเขายิงเข็มพิษไปที่ผู้อาวุโสตระกูลจ่างซุน เขาก็ได้กินยาพิษที่ซ่อนอยู่ในปากของเขาแล้ว เจียงอี้เห็นอยู่แล้วเพราะเขาใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นมันสายไปแล้วที่จะเค้นความลับจากเขา
“สมาชิกตระกูลจ่างซุนจงฟังให้ดี!”
เจียงอี้มองทุกคนและพูดเสียงดัง“ข้า มีนามว่าเจียงอี้ ผู้เชี่ยวชาญของตระกูลเจ้าอาจจะถูกสังหารโดยแม่ทัพไท่สื่อ แต่เขาถูกบังคับ ดังนั้นเจ้าสามารถล้างแค้นคืนได้ที่ข้า ตระกูลของพวกเจ้าพยายามจะสังหารข้ามาหลายต่อหลายครั้งแล้วและครั้งนี้ จ่างซุนอู๋จี้พยายามที่จะวางแผนต่อต้านข้า เหตุผลที่ข้าสังหารผู้เชี่ยวชาญของตระกูลเจ้าไปนั่นเป็นเพราะมันต้องมีบทลงโทษต่อผู้ใดก็ตามที่ทำผิดพลาดไปและมันรวมถึงตัวข้าด้วย ดังนั้นข้าจะไม่ตำหนิใดๆหากว่าในภายภาคหน้าตระกูลของเจ้าจะมาล้างแค้นข้า ข้า เจียงอี้ ไม่เคยสังหารผู้บริสุทธิ์ แต่หากพวกเจ้ากล้ายั่วยุข้า พวกเจ้าก็เตรียมตัวตายไว้ได้เลย”
เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวทั้งหมด แม่ทัพไท่สื่อ หากเจ้าไม่กล้าสังหารพวกมัน ข้าจะสังหารตระกูลเจ้าทั้งตระกูล”
ฟึ่บ!ฟึ่บ! ฟั่บ!
ตระกูลจ่างซุนทั้งหมดมีการแสดงออกที่เปลี่ยนไปมากแต่ก็ไม่มีใครกล้าต่อต้านหรือสู้จนตาย ความแข็งแกร่งของเจียงอี้นั้นน่ากลัวเกินไปและหากพวกเขากล้าที่จะเคลื่อนไหว ตระกูลจ่างซุนจะถูกสังหารอย่างแท้จริง เขาเอ่ยถึงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวซึ่งนั่นก็ปราณีมากแล้ว เพราะท้ายที่สุดตระกูลจ่างซุนส่วนใหญ่นั้นอยู่ขอบเขตจื่อฝู่โดยมีผู้เชี่ยวชาญไม่ถึงร้อยคนที่อยู่ขอบเขตเสินโหยว
“ท่านจอมพลอภัยให้ข้าด้วย สังหารพวกเขาซะ!”
แม่ทัพไท่สื่อกัดฟันออกคำสั่งผู้บัญชาการทหารหลวงทุกคนต่างวาดกระบี่ขึ้นมาและปักลงที่คอของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวของตระกูลจ่างซุน
ฟิ้ว…
หัวกว่าร้อยหัวถูกส่งปลิวไปและซากศพนับร้อยก็นอนแน่นิ่งและนองไปด้วยเลือดผู้หญิงจากตระกูลจ่างซุนร้องไห้ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจขณะที่เด็กๆนับไม่ถ้วนเริ่มร่ำไห้ออกมาและสถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นนรกบนโลกมนุษย์ไปแล้ว
ปุบ!
จอมพลจ่างซุนไม่ได้แข็งแกร่งและอยู่ขอบเขตจื่อฝู่เท่านั้นเขารอดมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ร่างของเขาก็ทรุดลงไปกับพื้น อย่างน้อยเขาก็รู้ดีแล้วว่าตระกูลจ่างซุนจบสิ้นแล้ว พวกเขาจะถูกลบออกจากรายชื่อตระกูลที่ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดของอาณาจักรเสินหวู่แน่ๆ
นอกจากนี้ตระกูลจ่างซุนยังได้สร้างความขุ่นเคืองต่อตระกูลใหญ่และตระกูลเล็กๆนับไม่ถ้วนตลอดหลายปีที่ผ่านมาเมื่อกำแพงกำลังอ่อนแอ ทุกคนก็จะผลักมัน แม้ว่าเจียงอี้จะไม่กำจัดตระกูลของพวกเขา แต่มันก็สุดแล้วแต่ประสงค์สวรรค์แล้วหากพวกเขาสามารถรอดจากการทดสอบนี้ไปได้
ใบหน้าของจ่างซุนอู๋จี้บิดเบี้ยวไปโดยสมบูรณ์ขณะที่เขาตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง“เจียงอี้ แม้ว่าข้าจะกลายเป็นวิญญาณ ข้าก็จะไม่มีวันปล่อยเจ้า!”
เจียงอี้มองเขาอย่างสงบและไม่แยแสและไม่มีร่องรอยของอารมณ์ใดๆแม้ว่าจ่างซุนอู๋จี้จะกำลังด่าเขาอยู่ เขาก็ทำเหมือนว่าตัวเองไม่ได้ยินอะไรเลย แต่สายตาของเขาก็ขยับไปเมื่อได้รับข้อความที่ถูกส่งมา “หลานชาย ตระกูลของเรามีศาสตร์ลับที่เรียกว่าวิชากลืนวิญญาณ เจ้าสามารถใช้มันเค้นความลับจากจ่างซุนอู๋จี้ได้”
“ไม่มีประโยชน์หรอกมันสายไปแล้ว…”
เจียงอี้ส่ายหัวขณะที่มองจ้านอีหมิงมีแสงสีขาวสว่างออกมาจากร่างของเขาขณะที่สัตว์อสูรหยาจื้อปรากฏขึ้นในอากาศทันที จ่างซุนอู๋จี้เริ่มกระอักเลือดสีดำออกมาก่อนที่เขาจะตายลงและลงไปกองกับพื้น เมื่อเขายิงเข็มพิษไปที่ผู้อาวุโสตระกูลจ่างซุน เขาก็ได้กินยาพิษที่ซ่อนอยู่ในปากของเขาแล้ว เจียงอี้เห็นอยู่แล้วเพราะเขาใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นมันสายไปแล้วที่จะเค้นความลับจากเขา
“สมาชิกตระกูลจ่างซุนจงฟังให้ดี!”
เจียงอี้มองทุกคนและพูดเสียงดัง“ข้า มีนามว่าเจียงอี้ ผู้เชี่ยวชาญของตระกูลเจ้าอาจจะถูกสังหารโดยแม่ทัพไท่สื่อ แต่เขาถูกบังคับ ดังนั้นเจ้าสามารถล้างแค้นคืนได้ที่ข้า ตระกูลของพวกเจ้าพยายามจะสังหารข้ามาหลายต่อหลายครั้งแล้วและครั้งนี้ จ่างซุนอู๋จี้พยายามที่จะวางแผนต่อต้านข้า เหตุผลที่ข้าสังหารผู้เชี่ยวชาญของตระกูลเจ้าไปนั่นเป็นเพราะมันต้องมีบทลงโทษต่อผู้ใดก็ตามที่ทำผิดพลาดไปและมันรวมถึงตัวข้าด้วย ดังนั้นข้าจะไม่ตำหนิใดๆหากว่าในภายภาคหน้าตระกูลของเจ้าจะมาล้างแค้นข้า ข้า เจียงอี้ ไม่เคยสังหารผู้บริสุทธิ์ แต่หากพวกเจ้ากล้ายั่วยุข้า พวกเจ้าก็เตรียมตัวตายไว้ได้เลย”
หลังจากพูดจบเจียงอี้ก็พยักหน้าให้เฉียนกุ้ยก่อนที่เขาจะบินไปทางทิศใต้พร้อมกับสัตว์อสูรหยาจื้อ ตอนนี้สิ่งต่างๆชัดเจนมากและเขาจะไม่พบสิ่งใดแม้ว่าเขาจะทำการสอบสวนต่อไป ขันทีหลินตายไปแล้ว และถ้าเซี่ยถิงเวยยังไม่สิ้นลม เขาก็คงยังไม่ปรากฏตัวในช่วงเวลานี้ มันไม่มีความหมายอะไรแล้วที่เขาจะอยู่ที่เมืองหวังแห่งนี้ต่อไป และเขาก็ไม่ต้องการเผชิญหน้ากับเจียงเปี๋ยหลีอีก
คนที่สังหารจูเก๋อชิงหยุนนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เซี่ยถิงเวยจ่างซุนเหยียนก็ไม่รู้เช่นกันและทุกอย่างก็ถูกควบคุมโดยผู้บงการที่ชาญฉลาด เจียงอี้ได้ชนะการต่อสู้กับเซี่ยถิงเวยหลังจากถูกหลิ่วอวี้ล่อลวงมาที่นี่ก็จริง แต่ผู้บงการผู้นั้นก็ได้รับชัยชนะเช่นกัน
ไม่มีสิ่งที่ถูกหรือผิดในการต่อสู้ระหว่างเขากับเซี่ยถิงเวยแต่เดิมแล้วมันก็ไม่มีเหตุผลใดๆในโลกนี้ เพราะสิ่งที่ถูกจารึกไว้นั้นมักมาจากปากของฝ่ายที่ได้รับชัยชนะเสมอ
หลิ่วอวี้บังเอิญได้รับบาดเจ็บจากสัตว์อสูรและบังเอิญได้พบกับจูเก๋อชิงหยุนเข้าหลังจากสังหารจูเก๋อชิงหยุนที่หุบเขาจิตอสูรแล้ว หลิ่วอวี้ก็ได้นำรองเจ้าสำนักฉีและคนอื่นๆเข้าเขตแดนอาณาจักรเสินหวู่และสร้างความยุ่งเหยิงตลอดทาง
ทุกสิ่งถูกวางแผนไว้อย่างสมบูรณ์แบบและไม่มีข้อบกพร่องของผู้บงการเลยพวกเขาไม่ทิ้งร่องรอยใดๆไว้ แม้ว่าพวกเขาจะเจอตัวบุคคลลึกลับและสอบสวนพวกนั้น เขาก็อาจจะไม่ได้อะไรเช่นกัน
เจียงอี้ไม่รู้ว่าผู้บงการที่วางแผนจัดฉากเรื่องราวทั้งหมดนี้ฉลาดเพียงใดเขาไม่รู้ว่าแผนการนี้ถูกวางโดยหลิงเสวี่ยหรือสตรีศักดิ์สิทธิ์จีเช่นกัน
ตอนนี้เขายืนอยู่บนสัตว์อสูรหยาจื้อและมองไปยังเมืองหวังซึ่งกำลังเล็กลง เขามีสีหน้าที่เคร่งเครียดและรู้สึกว่าตัวเองหายใจไม่ออกเล็กน้อย บางที อีกไม่นานเขาอาจจะถูกมือยักษ์ที่มองไม่เห็นเล่นงานจนตายก็ได้
บทที่ 446 เจ้าสำนัก
การต่อสู้ที่เมืองหวังทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่!
ที่เหล่าอาณาจักรและผู้มีอิทธิพลต่างๆมีความกังวลก่อนหน้านี้ตอนนี้ได้กลายเป็นความกลัวแล้ว เจียงอี้นำสัตว์อสูรหยาจื้อเข้าไปสร้างหายนะในเมืองหวัง เขาสังหารขันทีหลินขณะที่ทำร้ายเซี่ยถิงเวยและเจียงเปี๋ยหลีอย่างสาหัส
หน่วยสอดแนมจากตระกูลต่างๆกลับมารายงานว่ากำลังรบที่แท้จริงของเซี่ยถิงเวยอยู่ในขั้นที่ห้าของขอบเขตจินกังแล้วไม่ต้องพูดถึงเจียงเปี๋ยหลีที่มีฐานะเป็นหนึ่งในสิบอันดับนักสู้ของทวีป สัตว์อสูรหยาจื้ออาจจะทรงพลังแต่มันยังทะลวงไปไม่ถึงจักรพรรดิสัตว์อสูรดังนั้นความแข็งแกร่งของมันยังมีขีดจำกัดอยู่ ในตอนนี้มันอยู่ราวๆผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นที่ห้าถึงหกของขอบเขตจินกัง แต่หากมันทะลวงสู่จักรพรรดิแล้ว ความแข็งแกร่งของมมันจะแปรเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์
ในความเป็นจริงหากไม่ได้มองดูจากเหตุการณ์หรือวิธีที่เจียงอี้ใช้และดูแค่ผลลัพธ์ มีสิ่งหนึ่งที่แน่นอนมาก เจียงอี้สามารถต่อกรกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังได้ถึงสามคนแล้ว อาจกล่าวได้เลยว่าเขาสามารถประมือกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นที่ห้าทั้งสามคนได้แล้ว
เมื่อเรื่องนี้ถูกแพร่ออกไปทั้งทวีปก็อยู่ในความโกลาหล!
มีผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งเทียบเท่าหรือมากกว่าขอบเขตจินกังขั้นที่ห้าเพียงสิบคนในทวีปซึ่งรวมถึงเซี่ยถิงเวยด้วย
ในตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเซี่ยถิงเวยนั้นเป็นตายร้ายดียังไงและเจียงเปี๋ยหลีก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสซึ่งหมายความว่าเขาจะไม่สามารถพักฟื้นร่างกายได้ในเวลาอันสั้นหากเจียงอี้ไปยังอาณาจักรเป่ยเหลียง, สำนักมังกรเวหา, อาณาจักรเป่ยหมาง และไปยังเมืองเทียนชิงเพื่อตามหาและกำจัดผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังทั้งหมด ทั้งทวีปจะต้องเปลี่ยนแซ่ตระกูลของพวกเขาเป็นแซ่เจียงหรือไม่?
เจ้าสำนักหยูตื่นตระหนกและออกเดินทางไปยังเมืองเทียนชิงทันทีจอมพลของอาณาจักรเซิ่งหลิงก็ถูกเรียกตัวไปยังเมืองเทียนชิง หลิงเสวี่ยก็สั่งให้เซียวหลงหวางและชาตี้มาด้วย เพื่อที่พวกเขาจะได้หาทางรับมือกับเรื่องนี้
ผ่านไปเพียงหนึ่งปีนับตั้งแต่ได้ทำสัญญาสามปีความแข็งแกร่งของเจียงอี้ก็อยู่ในระดับนี้แล้ว หากเจียงอี้ยังคงฝึกฝนต่อไปอีกสองปี เขาจะทะลวงสู่ขอบเขตเทียนจุนได้ไหม? ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้! หากพวกเขาไม่มีแผนการที่ดีพอ เช่นนั้นเมื่อครบกำหนดสัญญาสามปี ทุกคนก็คงจะต้องมานั่งซังกะตายกันแน่ๆ
…
ฟึ่บ!
เจียงอี้ใช้เวลาบินกลับไปประมาณสี่ถึงห้าวันและเวลาเพียงเท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองหวังแพร่ไปทั่วอาณาจักรเสินหวู่แล้ว รองเจ้าสำนักฉีและคนอื่นๆยังอยู่ในเมืองเสินปิงก็ได้รับข่าวมาเช่นกัน พวกเขาอาจจะยังอยู่ระหว่างทางกลับสำนัก แต่พวกเขาก็ได้ส่งข้อความกลับไปยังสำนักแล้ว
ตอนนี้ที่เจียงอี้กำลังกลับมาทั้งสำนักก็ลุกเป็นไฟ เจียงอี้ได้บุกเข้าไปยังเมืองหวังเพียงลำพัง เขาไม่เพียงแต่จะนำศีรษะของหลิ่วอวี้กลับมาเท่านั้น แต่เขายังสังหารขันทีหลินที่ถูกสงสัยว่าเป็นผู้บงการด้วย
ข่าวนี้ได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับเหล่าศิษย์และอาจารย์มากมายที่แต่เดิมรู้สึกสูญเสียเมื่อจูเก๋อชิงหยุนจากไปพวกเขาหลายคนหวาดกลัวว่าเหล่ากลุ่มผู้มีอิทธิพลกลุ่มหนึ่งอาจโจมตีสำนักและฉกคู่มือการฝึกฝนสัตว์วิญญาณไป และเมื่อเป็นเช่นนั้น ทั้งสำนักก็อาจจะเกิดการนองเลือดขึ้น
แต่ในตอนนี้เจียงอี้ได้แก้แค้นให้กับสำนักและใช้ความกล้าหาญของเขายับยั้งเอาไว้ ใครก็ตามที่กล้ายั่วยุสำนักจิตอสูรจะต้องคิดพิจารณาว่าเจียงอี้จะเกิดคลั่งหรือไม่
…
ฟึ่บ!
สัตว์อสูรขนาดใหญ่กำลังบินไปที่หุบเขาจิตอสูรและตรงไปยังสำนักอาจารย์หลายคนรับรู้ได้จากกลิ่นอายที่ปรากฏออกมาของสัตว์อสูรหยาจื้อและเมื่อตอนที่พวกเขารีบออกไปดูเจียงอี้และสัตว์อสูรหยาจื้อ พวกเขาต่างก็เอ่อล้นไปด้วยความสุขและอารมณ์ดีในทันที
สัตว์อสูรหยาจื้อค่อยๆร่อนลงมาที่จัตุรัสทางประตูทิศใต้ของหุบเขาสัตว์อสูรเจียงอี้มีสีหน้าที่มัวหมองขณะที่เขากระโดดลงมาและเก็บสัตว์อสูรหยาจื้อกลับเข้าไปในราชวังจักรวาลและนำซูรั่วเสวี่ย, เฉียนว่านก้วนและคนอื่นๆออกมา จากนั้นเขาก็มองไปที่รองเจ้าสำนักที่คอยดูแลสำนักและถามว่า “เจ้าสำนักอยู่ที่ไหน? ข้าอยากไปคำนับเขา”
“เขาอยู่ที่สวนตำหนักเจ้าสำนัก”
เจียงอี้ได้สั่งเอาไว้ดังนั้นรองเจ้าสำนักผู้นี้จึงยังไม่ได้ฝังจูเก๋อชิงหยุนและวางเขาไว้ในโลงศพเฉยๆขณะที่รอให้เจียงอี้กลับมา สภาพอากาศนั้นยังคงเย็นอยู่ดังนั้นศพของเขาจึงไม่เน่าเปื่อย
เจียงอี้นำทุกคนเดินเข้าไปในสวนด้านในหลังจากนั้นเขาก็เข้าไปในสวนตำหนักจูเก๋อชิงหยุน ซึ่งมันเต็มไปด้วยผ้าไหมสีขาว, ชุดสีดำ, เทียน และกระดาษธูป เจียงอี้เห็นโลงศพสีดำขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงกลางสวน มีอาจารย์อาวุโสหญิงอยู่ไม่กี่คนที่กำลังเผากระดาษเงินและธูปขณะที่น้ำตาก็ไหลอาบไปทั่วใบหน้า
พรึ่บ!
เจียงอี้คุกเข่าทั้งสองข้างและนำศีรษะของหลิ่วอวี้ออกมาจากไข่มุกวิญญาณเพลิงก่อนที่เขาจะกราบคำนับซูรั่วเสวี่ยและคนอื่นๆก็คุกเข่าอยู่ด้านหลังเจียงอี้และคำนับอย่างเคารพเช่นกัน ดวงตาของซูรั่วเสวี่ยแดงก่ำ เนื่องจากจูเก๋อชิงหยุนเป็นผู้อาวุโสที่ดูแลนางเป็นอย่างดี
“ท่านเจ้าสำนักข้านำศีรษะของหลิ่วอวี้กลับมาขอขมาท่านแล้ว ตอนนี้ท่านก็ตายตาหลับได้แล้วนะ”
เจียงอี้คำนับศพเก้าครั้งขณะที่ดวงตาเต็มไปด้วยความเศร้าโศกริมฝีปากของเขากระตุกขณะที่พึมพำออกมา “ท่านเจ้าสำนัก ผู้บงการไม่น่าจะเป็นเซี่ยถิงเวยและขันทีหลิน แต่ไม่ต้องกังวล ข้าจะตรวจสอบเรื่องนี้และคืนความยุติธรรมที่ท่านควรจะได้รับแน่”
…
หลายวันต่อมารองเจ้าสำนักฉีและคนอื่นๆก็กลับมา ทุกคนคำนับจูเก๋อชิงหยุนและฝังเขาไว้ข้างในศาลาผู้พลีชีพซึ่งเป็นที่ฝังศพเจ้าสำนักรุ่นก่อนๆทั้งหมด
หลังจากจัดการเรื่องของจูเก๋อชิงหยุนเสร็จสิ้นแล้วรองเจ้าสำนักฉีก็ได้รวมตัวรองเจ้าสำนักคนอื่นๆเพื่อหาตัวเจียงอี้และขอให้เขารับตำแหน่งเจ้าสำนัก สำนักจิตอสูรไม่มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังแต่พวกเขามีศาสตร์วิชาฝึกสัตว์วิญญาณอันล้ำค่า ยิ่งไปกว่านั้น มีเพียงแค่เจ้าสำนักเท่านั้นที่สามารถสร้างเครื่องรางสัตว์วิญญาณได้
สำนักจิตอสูรยังมีจารึกเทพอันล้ำค่าอีกด้วยทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ล้ำค่าทั้งหมด ด้วยความไม่สงบในทวีปตอนนี้ สำนักจิตอสูรจะต้องประสบกับการล้างผลาญอย่างแน่นอนหากไม่มีเจ้าสำนักที่น่าเกรงขาม
แม้ว่ารองเจ้าสำนักทุกคนปรารถนาที่จะได้ตำแหน่งนี้แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าพวกเขานั้นเหมาะสม และหลังจากที่ได้หารือกันแล้วพวกเขาก็ตัดสินใจจะให้เจียงอี้รับตำแหน่งนี้ไป
“ไม่มีทาง!”
เจียงอี้ยังไม่ทันพิจารณาก็ปัดปฏิเสธทันที“ข้าได้ปฏิเสธเจ้าสำนักไปแล้วเกิดคลั่งหรือไม่
…
ฟึ่บ!
สัตว์อสูรขนาดใหญ่กำลังบินไปที่หุบเขาจิตอสูรและตรงไปยังสำนักอาจารย์หลายคนรับรู้ได้จากกลิ่นอายที่ปรากฏออกมาของสัตว์อสูรหยาจื้อและเมื่อตอนที่พวกเขารีบออกไปดูเจียงอี้และสัตว์อสูรหยาจื้อ พวกเขาต่างก็เอ่อล้นไปด้วยความสุขและอารมณ์ดีในทันที
สัตว์อสูรหยาจื้อค่อยๆร่อนลงมาที่จัตุรัสทางประตูทิศใต้ของหุบเขาสัตว์อสูรเจียงอี้มีสีหน้าที่มัวหมองขณะที่เขากระโดดลงมาและเก็บสัตว์อสูรหยาจื้อกลับเข้าไปในราชวังจักรวาลและนำซูรั่วเสวี่ย, เฉียนว่านก้วนและคนอื่นๆออกมา จากนั้นเขาก็มองไปที่รองเจ้าสำนักที่คอยดูแลสำนักและถามว่า “เจ้าสำนักอยู่ที่ไหน? ข้าอยากไปคำนับเขา”
“เขาอยู่ที่สวนตำหนักเจ้าสำนัก”
เจียงอี้ได้สั่งเอาไว้ดังนั้นรองเจ้าสำนักผู้นี้จึงยังไม่ได้ฝังจูเก๋อชิงหยุนและวางเขาไว้ในโลงศพเฉยๆขณะที่รอให้เจียงอี้กลับมา สภาพอากาศนั้นยังคงเย็นอยู่ดังนั้นศพของเขาจึงไม่เน่าเปื่อย
เจียงอี้นำทุกคนเดินเข้าไปในสวนด้านในหลังจากนั้นเขาก็เข้าไปในสวนตำหนักจูเก๋อชิงหยุน ซึ่งมันเต็มไปด้วยผ้าไหมสีขาว, ชุดสีดำ, เทียน และกระดาษธูป เจียงอี้เห็นโลงศพสีดำขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงกลางสวน มีอาจารย์อาวุโสหญิงอยู่ไม่กี่คนที่กำลังเผากระดาษเงินและธูปขณะที่น้ำตาก็ไหลอาบไปทั่วใบหน้า
พรึ่บ!
เจียงอี้คุกเข่าทั้งสองข้างและนำศีรษะของหลิ่วอวี้ออกมาจากไข่มุกวิญญาณเพลิงก่อนที่เขาจะกราบคำนับซูรั่วเสวี่ยและคนอื่นๆก็คุกเข่าอยู่ด้านหลังเจียงอี้และคำนับอย่างเคารพเช่นกัน ดวงตาของซูรั่วเสวี่ยแดงก่ำ เนื่องจากจูเก๋อชิงหยุนเป็นผู้อาวุโสที่ดูแลนางเป็นอย่างดี
“ท่านเจ้าสำนักข้านำศีรษะของหลิ่วอวี้กลับมาขอขมาท่านแล้ว ตอนนี้ท่านก็ตายตาหลับได้แล้วนะ”
เจียงอี้คำนับศพเก้าครั้งขณะที่ดวงตาเต็มไปด้วยความเศร้าโศกริมฝีปากของเขากระตุกขณะที่พึมพำออกมา “ท่านเจ้าสำนัก ผู้บงการไม่น่าจะเป็นเซี่ยถิงเวยและขันทีหลิน แต่ไม่ต้องกังวล ข้าจะตรวจสอบเรื่องนี้และคืนความยุติธรรมที่ท่านควรจะได้รับแน่”
…
หลายวันต่อมารองเจ้าสำนักฉีและคนอื่นๆก็กลับมา ทุกคนคำนับจูเก๋อชิงหยุนและฝังเขาไว้ข้างในศาลาผู้พลีชีพซึ่งเป็นที่ฝังศพเจ้าสำนักรุ่นก่อนๆทั้งหมด
หลังจากจัดการเรื่องของจูเก๋อชิงหยุนเสร็จสิ้นแล้วรองเจ้าสำนักฉีก็ได้รวมตัวรองเจ้าสำนักคนอื่นๆเพื่อหาตัวเจียงอี้และขอให้เขารับตำแหน่งเจ้าสำนัก สำนักจิตอสูรไม่มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังแต่พวกเขามีศาสตร์วิชาฝึกสัตว์วิญญาณอันล้ำค่า ยิ่งไปกว่านั้น มีเพียงแค่เจ้าสำนักเท่านั้นที่สามารถสร้างเครื่องรางสัตว์วิญญาณได้
สำนักจิตอสูรยังมีจารึกเทพอันล้ำค่าอีกด้วยทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ล้ำค่าทั้งหมด ด้วยความไม่สงบในทวีปตอนนี้ สำนักจิตอสูรจะต้องประสบกับการล้างผลาญอย่างแน่นอนหากไม่มีเจ้าสำนักที่น่าเกรงขาม
แม้ว่ารองเจ้าสำนักทุกคนปรารถนาที่จะได้ตำแหน่งนี้แต่ก็ไม่มีใครคิดว่าพวกเขานั้นเหมาะสม และหลังจากที่ได้หารือกันแล้วพวกเขาก็ตัดสินใจจะให้เจียงอี้รับตำแหน่งนี้ไป
“ไม่มีทาง!”
เจียงอี้ยังไม่ทันพิจารณาก็ปัดปฏิเสธทันที“ข้าได้ปฏิเสธเจ้าสำนักไปแล้วตอนที่เขาเสนอตำแหน่งรองเจ้าสำนักให้ข้า ข้ายังเด็กเกินไปและจะไม่มีผู้ใดเชื่อมั่นในตัวข้า พวกศิษย์เหล่านั้นจะคิดยังไง? ศิษย์บางคนยังแก่กว่าข้าเสียด้วยซ้ำ?”
“เชื่อมั่น?”
รองเจ้าสำนักฉีเผยรอยยิ้มที่ขมขื่นออกมาและกล่าวว่า“เจียงอี้ เจ้าไม่รู้ถึงชื่อเสียงที่เจ้ามีในตอนนี้เลยหรือ? อย่าว่าแต่พวกศิษย์เลย แม้แต่อาจารย์และพวกเราก็ยังเห็นด้วย ผู้ใดเหมาะจะเป็นเจ้าสำนักอีกหากไม่ใช่เจ้า? ผู้ใดมีความแข็งแกร่งและความสามารถที่จะปราบปรามผู้อื่นได้?”
“เฮ้อออ….”
เจียงอี้ถอนหายใจเบาๆและพูดว่า“จริงๆแล้ว นั่นเป็นเพียงเหตุผลรองของข้า ข้าไม่อยากลากทุกคนเข้ามาในความมืด ข้ามีศัตรูมากเกินไปและเมื่อครบกำหนดสามปี ข้าก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าข้าจะรอด หากท่านให้ข้าเป็นเจ้าสำนัก มันอาจจะเกิดอันตรายต่อสำนักได้”
มีจักรวรรดิมังกรเวหา,อาณาจักรเสินหวู่, อาณาจักรเซิ่งหลิง, อาณาจักรเป่ยหมาง, อาณาจักรเป่ยเหลียง, สำนักมังกรเวหา, สำนักฮวาเหลี่ยงและไหนจะมีโถงวรยุทธอีก!
เจียงอี้ค้นพบแล้วว่ามันยากที่จะหายใจได้ภายใต้การกดดันของพวกเขาเหตุการณ์ของผึ้งทมิฬ การสังหารจูเก๋อชิงหยุน และผู้บงการที่พยายามรัดคอเขา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะสามารถสานต่อได้นานขนาดไหน แล้วเขาจะกล้าเป็นภาระให้กับสำนักได้อย่างไร?
ด้วยการมีคนพึ่งพาเขามากขึ้นความรับผิดชอบของเขาก็จะมากขึ้น และความกดดันของเขาก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น บางที อาจจะมีสักวันหนึ่งที่เขาจะถูกบดขยี้ด้วยแรงกดดันไปก่อนที่ศัตรูจะทันได้ลงมือสังหารเขาก็ได้
“ฮิฮิ!”
รองเจ้าสำนักฉีหัวเราะอย่างโศกเศร้าและพูดด้วยสีหน้าที่เจ็บปวด“เจียงอี้ หากเจ้ารับตำแหน่งเจ้าสำนัก สำนักก็จะยังอยู่รอดตราบใดที่เจ้ายังไม่ตาย แต่หากเจ้าไม่รับตำแหน่งเจ้าสำนัก ข้ารับรองได้เลยว่าภายในครึ่งปี สำนักแห่งนี้จะต้องถูกทำลายลงไป….เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะอยู่ในสำนักตลอดไป หากเจ้าไม่ครองตำแหน่งเจ้าสำนัก สำนักพวกเราก้จะล่มสลาย ทุกคนก็จะแยกย้ายไปใช้ชีวิตของตนเอง อย่างไรก็ตาม ข้าคิดว่าหากว่าท่านเจ้าสำนักผู้ล่วงลับล่วงรู้เรื่องนี้ในปรโลก เขาคงไม่สามารถจากไปอย่างสงบได้”
“ใช่!เจียงอี้ หากเจ้าไม่รับตำแหน่งเจ้าสำนัก ข้าก็จะไม่ขอเป็นรองเจ้าสำนักอีกต่อไป เราเพียงแค่จะรอความตายอยู่ที่นี่”
“ใช่แล้ว!”
“ท่านเจ้าสำนักจูเก๋อ…พวกเราก่อบาปแล้วสำนักจิตอสูรที่ก่อตั้งมานับหมื่นปี อาจจะทลายลงไปด้วยน้ำมือของพวกเราแล้ว…”
“…”
รองเจ้าสำนักคนอื่นที่เหลือต่างออกความเห็นออกมาหัวใจของเจียงอี้จมดิ่งลงเมื่อนึกถึงใบหน้าเหี่ยวย่นของจูเก๋อชิงหยุน เขากัดฟันและยืนขึ้นมาก่อนที่จะพูดเสียงดังว่า “งั้นก็ได้ ข้าจะเป็นเจ้าสำนัก ตราบใดที่ข้า เจียงอี้ยังมีชีวิตอยู่ จะไม่มีผู้ใดก้าวเข้ามาเหยียบสำนักได้!”