เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 447-448
บทที่ 447 สาวน้อยที่งดงาม
เจียงอี้กำลังจะกลายเป็นเจ้าสำนักจิตอสูรซึ่งบางคนก็พอจะเดาได้อยู่แล้วหลังจากที่ป่าวประกาศออกไปให้ทั่วพิภพได้รับรู้ มันก็ทำให้ทวีปเกิดความปั่นป่วนขึ้นอย่างมาก
เมื่อก่อนตอนที่เจียงอี้เป็นอุปราชของอาณาจักรต้าเซี่ย ทุกคนรู้สึกว่ามันไม่ได้มีค่าพอให้สนใจ เพราะยังไงเสียอาณาจักรต้าเซี่ยก็เกือบจะล่มสลายลงไปแล้ว ในระหว่างนั้น พวกเขารู้สึกว่าเมื่อครบสามปี อาณาจักรต้าเซี่ยจะถูกทำลายแน่นอน ไม่ต้องพูดถึงอุปราชเลย แม้แต่องค์ราชินีก็เป็นเพียงเรื่องตลกในสายตาผู้อื่น
แต่ตอนนี้มันไม่เป็นเช่นเดิมอีกต่อไปเจียงอี้กลายเป็นเจ้าสำนักของสำนักจิตอสูร และเขายังได้รับตำแหน่งนี้หลังจากจบการต่อสู้ที่เมืองหวังไม่กี่วันหลังจากนั้น สำนักจิตอสูรเป็นหนึ่งในสามอันดับสำนักยอดเยี่ยมและมีลูกหลานของตระกูลต่างๆอยู่ในนั้นนับไม่ถ้วน มันเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับเด็กที่มาจากตระกูลยากจนและต่ำต้อย ใครบ้างที่ไม่อยากฝึกสัตว์อสูร? ใครบ้างไม่อยากจะมีสัตว์วิญญาณที่น่าเกรงขามร่วมต่อสู้กับพวกเขาด้วย? หากพวกเขาอยากจะมีสัตว์วิญญาณ พวกเขาก็จะต้องหาทางเข้าสำนักให้ได้
เจียงอี้สามารถสังหารขันทีหลินและทำร้ายเซี่ยถิงเวยและเจียงเปี๋ยหลีได้อาจกล่าวได้เลยว่าความแข็งแกร่งของเขาติดอันดับหนึ่งในสิบนักสู้ที่แข็งแกร่งของทวีป นอกเหนือจากตำแหน่งเจ้าสำนักจิตอสูรแล้ว สถานะของเขาก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากจนสามารถเทียบกับเจ้าสำนักมังกรเวหาได้เลย สถานะของเขาในตอนนี้เทียบได้กับผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดของทวีป
เด็กน้อยคนหนึ่งซึ่งอายุไม่ถึงสิบแปดปีก็สามารถทัดเทียมกับผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลังและน่าเกรงขามได้เรื่องนี้ทำให้ทุกๆคนตกใจมากขนาดไหน? ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นศัตรูของอาณาจักรของเจียงอี้หรือศัตรูที่เกลียดชังเจียงอี้ พวกเขาก็ต้องยอมรับมัน
พวกเขาทั้งหมดนั้นเป็นเด็กน้อยแต่เจียงอี้ยังแข็งแกร่งกว่าพ่อหรือแม้กระทั่งปู่ของพวกเขาด้วยซ้ำ จะไม่ให้พวกเขาเชื่อมั่นได้อย่างไร?
…
“พวกเจ้าจะกลับแล้วหรือ?”
ณสวนของสำนักจิตอสูร, เจียงอี้มองไปที่จ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนขณะที่เขาถามอย่างจริงจัง เขาลบล้างคำพูดก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็ว “ไม่ ตอนนี้มันยังอันตรายเกินไป อาณาจักรเสินหวู่วุ่นวายมาก แม้ว่าตระกูลของพวกเจ้าจะมีอิทธิพลมากในอาณาจักรเสินหวู่ แต่หยุนเฟยก็ยังถูกโจมตีในอาณาจักรเทียนเซวี่ยนได้เลยไม่ใช่หรือ?”
เฉียนว่านก้วนตอบด้วยความเป็นกังวล“เป็นเพราะความวุ่นวายนั้นเราจึงต้องกลับไป เราได้นำคนออกมามาก หากเกิดกลียุคใดๆขึ้นในเมืองหวังและขาดกำลังคน เฉียนซวีและกลุ่มของเขายังคงสามารถไปร่วมด้วยได้หากเขากลับไป”
จ้านอู๋ซวงพยักหน้า“การอภิเษกระหว่งหยุนเฟยกับข้าไม่สามารถยืดเยื้อได้อีกแล้ว เมื่อข้ากลับไป ข้าต้องส่งคนของข้าไปคุ้มกันตัวเจ้าสาวทันที หากไม่มีนางอยู่เคียงข้างข้า ข้าคงไม่สามารถฝึกฝนได้อย่างสงบสุข”
“ไม่มีทาง!”
เจียงอี้ตอกกลับทันใด“เฉียนซวีและคนอื่นๆกลับไปได้ แต่พวกเจ้าทั้งสองต้องอยู่ข้างๆข้า ส่วนเรื่องการคุ้มกันขบวนเจ้าสาวนั้นเจ้าก็ส่งคนไปได้ และข้าจะไปรับแม่เฒ่าบุปผาสีเงินเพื่อนำตัวหยุนเฟยมา หลังจากนั้น ข้าจะจัดพิธีอภิเษกให้พวกเจ้าทั้งสองในเมืองเซี่ยยวี่ เชื่อในสัญชาตญาณของข้า จะต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นหากพวกเจ้ากลับไปอย่างแน่นอน”
จ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนมองหน้ากันก่อนที่จะถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้หลังจากนั้นจ้านอู๋ซวงก็แสดงความเห็นว่า “ก็ได้ ข้าคิดว่าตอนนี้เมืองหวังน่าจะยังวุ่นวายอยู่ มันคงไม่ใช่การดีที่จะจัดการเรื่องนี้โดยไม่มีความระมัดระวัง ข้าคงทำให้หยุนเฟยรั้งแต่จะผิดหวัง”
“จะไม่มีคำว่าผิดหวังเมื่อเรากลับไป ข้าจะจัดงานแต่งงานกับซูรั่วเสวี่ยด้วย พวกเราสามารถจัดงานแต่งพร้อมกันก็ได้!” เจียงอี้ออกคำสั่งด้วยการโบกมือวางอำนาจ ร่างกายของเขานั้นเริ่มบ่มเพาะความยิ่งใหญ่ที่จะทำให้ผู้อื่นรู้สึกเชื่อมั่นไปโดยไม่รู้ตัว
เขานิ่งงันชั่วขณะก่อนที่จะจ้องมองไปยังเฉียนว่านก้วน“ว่านก้วน แล้วเจ้าจะหาสาวของเจ้าด้วยไหม แล้วเราก็จะได้จัดงานแต่งพร้อมกันเลย?”
“ข้าน่ะนะ?”
เฉียนว่านก้วนส่ายหัว“ข้าก็อยากจะทำเช่นนั้นอยู่หรอก แต่น่าเสียดาย ข้าเคยจินตนาการถึงเรื่องนี้แล้วแต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แล้วทำไมข้าจะต้องแต่งงานด้วย?”
“เอาล่ะๆงั้นก็เป็นอันตกลง พาเฉียนซวีและคนของเขากลับไป พวกเขาจะได้อยู่ช่วยเหลือท่านลุงทั้งสองได้ พี่อู๋ซวงจะส่งข้อความไปหาลุงจ้านให้เขาส่งขบวนไปรับตัวเจ้าสาว และข้าจะไปพาแม่เฒ่าบุปผาสีเงินไปยังเมืองเซี่ยยวี่ด้วยตัวเอง อีกสามวัน เราจะกลับ”
หลังจากที่เจียงอี้สรุปแล้วเขาก็เดินออกไปจัดการเรื่องต่างๆเขามองหารองเจ้าสำนักฉีและทันทีที่เห็นนาง เขาก็รีบปรี่เข้าไป “รองเจ้าสำนักฉี ข้าอาจได้รับตำแหน่งเจ้าสำนัก แต่ข้าคงต้องรบกวนท่านเรื่องสำนัก ข้าขอบอกท่านตรงๆ มันเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะอยู่ที่สำนักได้นาน ดังนั้นข้าเป็นเจ้าสำนักเพียงในนามและเจ้าสำนักตัวจริงคือท่าน แน่นอนว่าหากมีปัญหาใดๆ ข้าจะรีบกลับมาทันที”
“นี่..”
รองเจ้าสำนักฉีเริ่มลังเลต่อจากนั้นนางก็ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ นางและรองเจ้าสำนักคนอื่นๆได้คาดว่ามันจะเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว เจียงอี้จะไม่มีวันยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของสำนัก และเพราะเขานั้นไม่มีเวลาทำเช่นนั้นด้วย สิ่งที่พวกเขาต้องการคือการใช้บารมีและความแข็งแกร่งของเขากันเอาไว้
ด้วยการมีเจียงอี้เป็นเจ้าสำนักตราบใดที่เขายังไม่สิ้นลมไป ก็ไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้องสำนัก การตายของขันทีหลินเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด ดังนั้นพวกเขาจึงค่อนข้างโล่งใจ
เฉียนซวีและคนของเขาจากไปในวันเดียวกันมันปลอดภัยสำหรับจ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนที่จะตามเจียงอี้ไปมากกว่าที่พวกเขาอยู่ที่ตระกูลเฉียนและตระกูลจ้าน ดังนั้นจึงไม่มีอะไรให้ต้องห่วงแล้ว
สามวันต่อมาเจียงอี้และคนอื่นๆก็ออกเดินทางไปยังเมืองเซี่ยยวี่ ด้วยการมีเหล่ารองเจ้าสำนักอยู่รอบๆ สำนักจิตอสูรก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรมาก ด้วยการมีสัตว์อสูรหยาจื้อจึงใช้เวลาเพียงวันเดียวในการเดินทางจากเมืองเซี่ยยวี่ไปยังสำนักจิตอสูร ดังนั้นหากมีปัญหาอะไรพวกเขาก็สามารถส่งข้อความถึงเจียงอี้ได้
เจียงอี้นำทุกคนเข้าไปในพระราชวังจักรวาลของเขาแต่ครั้งนี้มีผู้ร่วมทางเพิ่ม นั่นก็คือเจียงหยุนไฮ่! แม้ว่าเจียงหยุนไฮ่จะกลัวเป็นภาระให้เจียงอี้แต่เจียงอี้ก็ยังยืนกรานที่จะพาเขาไปด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องตามเจียงอี้ไป
เจียงอี้และเจียงเสี่ยวนู๋ขี่สัตว์อสูรหยาจื้อกลับไปยังเมืองเซี่ยยวี่ครั้งนี้เจียงเสี่ยวนู๋ฟื้นตัวได้เร็วขึ้นมาก นางตื่นขึ้นมาเมื่อสองวันก่อนทำให้เจียงอี้และซูรั่วเสวี่ยรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
เดิมทีสัตว์อสูรหยาจื้อไม่ยอมให้ผู้อื่นขี่หลังของมันนอกจากเจียงอี้แต่ตอนนี้มีอีกบุคคลหนึ่งที่เป็นข้อยกเว้นซึ่งก็คือเจียงเสี่ยวนู๋ นางช่วยมันและเจียงอี้เอาไว้เมื่ออยู่ในพิภพใต้ดิน ความแข็งแกร่งของนางทำให้สัตว์อสูรหยาจื้อเกิดความเกรงกลัว แต่ในเมื่อเจียงอี้นำนางมาด้วย สัตว์อสูรหยาจื้อก็คงไม่กล้าพูดอะไร
เจียงอี้อยู่กับเจียงเสี่ยวนู๋นานๆครั้งเขาจึงมีความรู้สึกผิดอยู่บ้าง และเขามีเวลาอยู่กับนางหนึ่งวัน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้บ่มเพาะพลังตลอดการเดินทางและเพียงแค่มองทิวทัศน์ด้านล่างที่เป็นภูเขาและแม่น้ำสายใหญ่
เจียงเสี่ยวนู๋ไม่ได้พูดอะไรและเพียงแอบอยู่ข้างๆเจียงอี้เงียบๆขณะที่นางยิ้มหวานเมื่อเจียงอี้เข้าสู่ดินแดนต้องห้ามของจอมเวทย์ไปหลายเดือน นางก็เอาแต่ฝึกฝนไม่หยุดหย่อนในขณะที่ร่างกายของนางก็เติบโตอย่างรวดเร็ว หน้าอกของนางเต่งตึงและไม่ได้มีผิวสองสีอีกต่อไป ผิวของนางลออและนวลขึ้น เจียงอี้ตกตะลึงในทันทีที่เขามองเจียงเสี่ยวนู๋อย่างใกล้ชิด
“นายน้อยมีอะไรหรือเจ้าคะ? มีอะไรเปื้อนหน้าข้าหรอ?” เจียงเสี่ยวนู๋เห็นเจียงอี้จ้องมองนางด้วยความงุนงง ใบหน้าที่มีเสน่ห์ของนางแดงระเรื่อขณะที่นางลูบใบหน้าด้วยความสงสัย
เจียงอี้สะอึกและลูบหัวเจียงเสี่ยวนู๋โดยไม่รู้ตัว“เปล่า ไม่มีอะไรเปื้อนหน้าเจ้าเลย ข้าเพิ่งเห็นว่าเสี่ยวนู๋ของเรานั้นเติบโตขึ้นและกลายเป็นสาวน้อยที่งดงามเสียแล้ว”
“จริงหรอเจ้าคะ?”
ดวงตาของเจียงเสี่ยวนู๋สว่างขึ้นขณะที่ใบหน้าของนางแดงขึ้นนางก้มหน้าลงด้วยท่าทางเขินอาย นางหลับตาลงในขณะที่พึมพำกับตัวเอง “จะมีประโยชน์อะไรกัน ถึงแม้ว่าข้าจะสวยกว่านี้ นายน้อยก็ยังคงไม่ต้องการข้า…”
“แค่กๆ!”
เจียงอี้สั่นไหวเขาต้องคอยสำรวจพื้นที่รอบๆตลอดการเดินทางดังนั้นเขาจึงใช้แก่นแท้พลังสีดำเพื่อเพิ่มการได้ยินของเขาทำให้เขาได้ยินสิ่งที่เจียงเสี่ยวนู๋พึมพำอย่างชัดเจน หัวใจของเขาก็สับสนขึ้นมาในทันใด เขาปฏิบัติกับเจียงเสี่ยวนู๋เหมือนน้องสาวมาตลอด เขาจะแต่งงานกับนางได้อย่างไร? เมื่อดูจากสถานการณ์แล้วดูเหมือนว่านางจะครองโสดไปตลอดชีวิตหากเขาไม่แต่งงานกับนาง
มันกลายเป็นเรื่องที่ทำให้เจียงอี้ปวดหัวเขาเดินทางไปอย่างเงียบๆตลอดการเดินทางของพวกเขาและได้มาถึงเมืองเซี่ยยวี่โดยไม่รู้ตัวและปล่อยเรื่องนี้ไป เขาตั้งใจที่จะปรับแต่งศิลาสวรรค์และทำให้ดาวดวงที่สามแปรสภาพก่อนค่อยคิดถึงเรื่องนั้น
ด้วยการกลับมาของเจียงอี้เมืองเซี่ยยวี่ทั้งเมืองก็ระเบิดออกมาด้วยความปิติยินดี
การต่อสู้ในเมืองหวังทำให้ชาวเมืองต้าเซี่ยเห็นความหวังขึ้นมาไม่ใช่ว่าอาณาจักรเสินหวู่นั้นน่าเกรงขามมากหรือ? ไม่ใช่ว่าช่วงปีนั้นอาณาจักรเสินหวู่กวาดล้างกองทัพต้าเซี่ยไปนับแสนหรอ? ไม่ใช่ว่าพวกเขามักจะทำเหมือนเสือและข่มอาณาจักรต้าเซี่ยไม่ให้ฟื้นขึ้นมาได้มาตลอดหรอกหรือ? ตอนนี้ เจียงอี้เพียงคนเดียวก็เพียงพอที่จะบุกเข้าไปในเมืองหวังแห่งอาณาจักรเสินหวู่ได้แล้ว
เจียงอี้ปล่อยทุกคนออกมาและไม่ได้สนใจฝูงชนขณะที่เขาเตรียมเข้าสันโดษเพื่อปรับแต่งศิลาสวรรค์อย่างไรก็ตาม แม่ทัพเฒ่าหลิวก็มาถึงอย่างรวดเร็วขณะที่และส่งข่าวที่น่าประหลาดใจให้เขา ระหว่างทางที่เฉียนซวีและคนของเขากลับไปยังเมืองหวังได้ถูกบุคคลลึกลับซุ่มโจมตี ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวกว่าร้อยคนของทั้งสองตระกูลถูกกวาดล้างทั้งหมด!
บทที่ 448 ใครจะเป็นผู้ได้ชัย
ลางสังหรณ์ของเจียงอี้แม่นยำมากหากจ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนกลับไป สองคนนั้นจะต้องตายอย่างแน่นอน!
เฉียนซวีกับคนของเขานั้นมีรวมกันมากถึงร้อยสามสิบคนพวกเขาทั้งหมดเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวและมีประมาณสิบห้าคนที่อยู่ขั้นสูงสุดแล้ว!
นี่ถือเป็นกลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่น่าเกรงขามแต่พวกเขาทั้งร้อยสามสิบคนก็ได้ถูกกวาดล้างในเขตแดนของอาณาจักรเสินหวู่ ในดินแดนของตระกูลจ้านและตระกูลเฉียน ไม่มีผู้ใดรอดมาส่งข่าวแม้แต่คนเดียว หากไม่ใช่เพราะความวุ่นวายจากการต่อสู้ดุเดือดจนทำให้ผู้เชี่ยวชาญใกล้ๆได้ยิน ตอนนี้ก็คงยังไม่มีผู้ใดรู้ข่าวเรื่องนี้
หลังจากที่จ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนทราบข่าวนี้พวกเขาก็เปลี่ยนไปเป็นมืดมนอย่างมากผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดนั่นมีกองกำลังชั้นยอดประมาณครึ่งหนึ่ง ในหมู่คนเหล่านั้นมีทั้งสายเลือดหรือแม้แต่ผู้อาวุโสตระกูล พวกเขาเรียกบางคนว่าท่านลุงในขณะที่ผู้อาวุโสบางคนก็เฝ้ามองพวกเขาเติบโตมาแต่ยังเล็ก
“หยุนเฟย,จูเก๋อชิงหยุน, เฉียนซวี….บุคคลลึกลับ…”
เจียงอี้เงียบไปหลังจากที่รู้ข่าวนี้เขากำลังวิเคราะห์เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดและก็ค้นพบว่าเรื่องทั้งหมดนี้เริ่มปะติดปะต่อกัน
ไม่นานดวงตาของเขาก็เผยความเย็นชาออกมาขณะที่ความเย็นชาของเขาเผยออกมาจากมุมปากของเขา ในที่สุดเขาก็นึกได้และเริ่มเดาผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังได้ลางๆแล้ว
โถงวรยุทธ!
มันคงเป็นปกติหากบุคคลลึกลับต้องการสังหารหยุนเฟยและจูเก๋อชิงหยุนแต่มันผิดปกติเมื่อพวกเขาสังหารเฉียนซวีและคนอื่นๆ จากเป้าหมายทั้งสามนี้ สิ่งที่เหมือนกันคือพวกเขาทั้งหมดกลับมาจากทะเลตะวันตก
อะไรที่อยู่ในทะเลตะวันตก?
พิภพใต้ดิน,เถาวัลย์ดารามารและผีดิบที่น่าสยดสยอง!
พิภพใต้ดินไม่ใช่พิภพแดนใต้พิภพ(ปรโลก)ภายในนั้นซ่อนความลับที่น่าตกใจเอาไว้และบางคนไม่ต้องการให้ความลับนี้ถูกเปิดเผยให้พิภพได้ล่วงรู้ ดังนั้นคนที่รู้เรื่องพิภพใต้ดินต้องตายทุกคน
สุ่ยโย่วหลานเคยพูดเรื่องนี้มาก่อนเหตุการณ์เรื่องผึ้งทมิฬอาจถูกสตรีศักดิ์สิทธิ์จีวางแผนไว้ เป้าหมายของนางคือล่อเจียงอี้เพื่อที่นางจะได้ยืมพลังของเถาวัลย์ดารามารสังหารเขา
ในเมื่อสตรีศักดิ์สิทธิ์จีรู้ว่ามีเถาวัลย์ดารามารอยู่ที่นั่นมันจึงมีโอกาสสูงที่นางจะรู้จักพิภพใต้ดินและมันน่าจะเกี่ยวข้องกับโถงวรยุทธ
โถงวรยุทธทรงพลังเพียงใด?
ไม่มีผู้ใดรู้อย่างไรก็ตาม มันเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขามากที่จะวางหมากเบี้ยหนึ่งไว้ในสำนักจิตอสูร มีข่าวลือว่าความแข็งแกร่งของประมุขใหญ่โถงวรยุทธนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าจะวัดได้ หากเขาเป็นผู้ที่สังหารจูเก๋อชิงหยุนมันก็สมเหตุสมผลมาก
บุคคลลึกลับที่ขัดขวางรองเจ้าสำนักฉีและคนอื่นๆ,บุคคลลึกลับที่พยายามสังหารหยุนเฟย รวมถึงการตายของเฉียนซวีและคนของเขา!
อาณาจักรเสินหวู่นั้นเป็นดินแดนที่ตระกูลเฉียนและตระกูลจ้านอยู่และคนของเขาถูกสังหารในดินแดนของพวกเขาอย่างลึกลับจริงๆ?เจียงอี้เชื่อว่าจักรวรรดิมังกรเวหาคงไม่มีความสามารถขนาดนี้
แต่โถงวรยุทธมี!
เมืองทุกเมืองของทวีปนี้มีโถงวรยุทธสาขาย่อยอยู่ส่วนเรื่องเกี่ยวกับจำนวนผู้คนที่ซ่อนอยู่ในโถงวรยุทธหรือมีกี่ตระกูลที่ถูกบงการโดยพวกเขานั้น ไม่มีผู้ใดรู้ได้
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในเมืองหวังเจียงอี้ก็รู้ได้จากน้ำเสียงที่เฉียนกุ้ยบอกว่าเขาไม่รู้เรื่องโถงวรยุทธมากนัก สำหรับความยิ่งใหญ่ดังกล่าวที่สามารถแฝงตัวอยู่ในทุกมุมเมืองทั่วทวีปได้และคงอยู่มาตั้งแต่ก่อตั้งประวัติศาสตร์มันก็เพียงพอแล้วที่จะบอกว่าพวกเขาแข็งแกร่งเพียงใด การสังหารผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวนับร้อย สำหรับพวกเขามันคงง่ายเหมือนการตัดเค้กหากพวกเขาต้องการจะสังหารคนเหล่านั้นไม่ใช่หรือ?
“หลังจากเข้าร่วมโถงวรยุทธแล้วมันจะลึกราวกับทะเลและต่อจากนั้น สวรรค์ก็จะกลายเป็นดั่งนรก!”
เจียงอี้นึกถึงคำพูดที่จูเก๋อชิงหยุนเคยบอกเขาไว้เขากล่าวว่าโถงวรยุทธรับผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ไปนับร้อย แต่สุดท้ายพวกเขาก็หายไป สิ่งเดียวที่จูเก๋อชิงหยุนรู้คือการหายตัวไปของเหล่าผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้น แล้วสิ่งที่เขาไม่รู้ล่ะ?
“อิทธิพลของโถงวรยุทธยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้!”
เขายังนึกถึงคำที่ประมุขโถงวรยุทธสาขาเมืองเทียนอวี่ใบหน้าของเขาก็ค่อยๆเยือกเย็น คราวนี้เขาได้ทำให้ศัตรูที่น่ากลัวขุ่นเคือง ศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าบรรพบุรุษจักรวรรดิมังกรเวหา เซียวหลงหวางและคนอื่นๆหลายเท่าโดยสิ้นเชิง
ที่สำคัญที่สุด…..
โถงวรยุทธซ่อนตัวอยู่ในความมืดเจียงอี้ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสำนักใหญ่ของโถงวรยุทธตั้งอยู่ที่ไหน เขาไม่อาจนำทัพไปทำลายโถงวรยุทธสาขาทีละเมืองได้หรอกใช่ไหม? นอกจากนี้ยังมีโถงวรยุทธอยู่ในทุกเมือง ไม่ใช่ว่ามันหมายความว่าเขาจะต้องพิชิตทั้งทวีปหรอกหรอ?
ศัตรูที่ซ่อนอยู่ในความมืดเป็นพวกที่น่ากลัวที่สุด,และยังมีสตรีศักดิ์สิทธิ์จีที่มีสมองราวกับปีศาจอีก จากเหตุการณ์หยุนเฟย, จูเก๋อชิงหยุนและเฉียนซวี เขาก็บอกได้เลยว่าคนคนนี้เป็นนักวางแผนที่แท้จริงซึ่งสามารถวางแผนจัดฉากนับไม่ถ้วน!
แม้จะวางแผนมาสามสถานการณ์แล้วแต่ก็ยังไม่ทิ้งร่องรอยใดๆไว้ คงเป็นไปได้ว่ามีเพียงเขาและสุ่ยโย่วหลานในทวีปนี้เท่านั้นที่มีความเคลือบแคลงใจต่อโถงวรยุทธ
ณตอนนี้!
เจียงอี้รู้สึกว่าเขาควรพาทุกคนหลบหนีออกจากทวีปเทียนชิงศัตรูผู้นี้น่ากลัวเกินไปสำหรับเขา เขากลัวว่าทุกคนจะถูกสังหารทีละคนและตายอย่างสยดสยอง
แต่เขาก็สลัดความคิดนั้นไปอย่างรวดเร็วซูรั่วเสวี่ยจะไม่มีวันละทิ้งพลเมืองของนางและเขาก็ได้มีความรู้สึกต่ออาณาจักรต้าเซี่ยไปบ้างแล้ว ไหนจะมีสำนักจิตอสูรอีก หากเขาไปจากทวีปนี้ เขาจะไม่มีวันรู้สึกสุขใจไปชั่วชีวิต
ใช้ชีวิตอย่างไม่สบายใจและรู้สึกผิด!
นี่ไม่ใช่ชีวิตที่เขาอยากมีดังนั้นเขาจึงคืนความมั่นใจอย่างรวดเร็วและตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าจะสู้ตาย!
“ส่งข้อความหาแม่เฒ่าบุปผาสีเงินบอกนางว่าอย่ารอขบวนคุ้มกันเจ้าสาวและพาหยุนเฟยไปทันที และบอกให้นางระมัดระวังตัวเองให้หนาแน่น และส่งคำสั่งข้าไปหาแม่หญิงสุ่ย บอกให้นางคอยขัดขวางสตรีศักดิ์สิทธิ์จี อีกอย่าง ว่านก้วน, พี่อู๋ซวง และพวกเจ้าทุกคนจะต้องไม่ออกจากวังหลวง การท้าทายคำสั่งข้านั้นเท่ากับการตัดสัมพันธ์กับข้า”
คำสั่งของเจียงอี้ค่อนข้างอุกอาจแต่มันก็ชัดเจนและเด็ดเดี่ยวเพื่อป้องกันไม่ให้ใครถามเรื่องนี้ เขามองไปที่ซูรั่วเสวี่ยและพูดต่อว่า “รั่วเสวี่ย งานแต่ของเราคงต้องเลื่อนไปก่อน ข้าต้องเข้าสู่สันโดษ ช่วยเตรียมศิลาสวรรค์ให้เพียงพอ เสี่ยวนู๋ เจ้าก็ควรเข้าสันโดษเดี๋ยวนี้เหมือนกัน”
พรึ่บ!
ราชวังจักรวาลบนมือเจียงอี้สว่างขึ้นและสัตว์อสูรหยาจื้อก็ปรากฏตัวขึ้นจากนั้นเจียงอี้ก็สั่งสัตว์อสูรหยาจื้อ “ราชันสัตว์อสูร ข้าจะเข้าสู่สันโดษเพื่อฝึกฝนและเข้าถึงศาสตร์เวทย์ ในขณะที่ข้าอยู่ระหว่างการสันโดษ เจ้าจะต้องดูแลวังหลวงทุกเมื่อ หากมีผู้ใดน่าสงสัยเข้ามาในวังหลวง เจ้าสามารถสังหารพวกมันได้เลย ไม่ต้องลังเล”
หลังจากคำสั่งต่างๆถูกส่งลงไปทุกคนก็รู้สึกถึงร่อยรอยของความเคร่งขรึมในน้ำเสียงของเจียงอี้ได้ ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะรุนแรงกว่าที่พวกเขาคิดไว้มาก
“แล้วท่านพ่อข้าและคนอื่นล่ะ?”เฉียนว่านก้วนถามอย่างเป็นกังวล
เมืองหวังอยู่ในความอลหม่านขณะที่เฉียนซวีและคนของเขาถูกสังหารไปในความคิดของเฉียนว่านก้วน คือมีบางคนพยายามจัดการตระกูลเฉียนและตระกูลจ้าน และจ้านอู๋ซวงก็เป็นกังวลมากเช่นกัน
เจียงอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบว่า“มีสองทาง ทางแรกคือให้กองทัพของเจ้าปกป้องเมืองหวังต่อไป แต่ขณะเดียวกันก็กระจายเด็กๆในตระกูลเจ้าไป ข้าคิดว่าไม่น่าจะมีตระกูลใหญ่ๆตระกูลไหนที่จะทำลายล้างกองทัพของพวกเจ้าในครั้งนี้ เป้าหมายของพวกมันคือเฉียนซวีและคนของเขา อีกทางหนึ่งก็คือย้ายตระกูลเจ้ามายังเมืองเซี่ยยวี่ แต่หากว่าข้าสิ้นลม ตระกูลพวกเจ้าทั้งสองตระกูลจะถูกทำลายล้างอย่างแน่นอน ส่งข้อความนี้ไปยังท่านลุงทั้งสองและให้พวกเขาตัดสินใจว่าจะเลือกทางไหน”
“ก็ได้…”
เฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวงพยักหน้าหากทั้งสองคนติดตามเจียงอี้ พวกเขาอาจไม่ทำให้ตระกูลของพวกเขาต้องมาติดร่างแหไปด้วย แต่หากพวกเขาจะโยกย้ายตระกูลพวกเขามา เมื่อเจียงอี้สิ้นลมไป ตระกูลของพวกเขาจะติดร่างแหไปด้วยเช่นกัน
“แม่ทัพเฒ่าหลู!”
เจียงอี้เดินออกมาและตะโกนเรียกแม่ทัพหลู“ตั้งแต่วันนี้ไป ไม่จำเป็นต้องมีทหารใดๆในวัง ทิ้งเพียงนางกำนัลและขันทีไว้นิดหน่อยก็พอ และเราไม่ต้องการนางกำนัลและขันทีที่มีขอบเขตเสินโหยว ส่งคำสั่งข้าลงไป วังหลวงมีสัตว์อสูรหยาจื้อคอยเฝ้าอยู่ หากใครก็ตามแทรกซึมเข้ามาในวังหลวงโดยไม่มีคำสั่งใดๆ พวกเขาจะถูกสังหารอย่างไม่ลังเล”
ตั้งกำแพงและกำจัดวัชพืช!
โถงวรยุทธมีหมากซ่อนอยู่มากมายไม่ใช่หรือ?เจียงอี้ต้องการกำจัดบุคคลภายนอกทั้งหมด สตรีศักดิ์สิทธิ์จีผู้นั้นอาจมีภูมิปัญญาที่ท้าทายสวรรค์ แต่ถ้าหากว่านางต้องการสังหารเจียงอี้ นางคงทำได้เพียงใช้กำลังของตัวเอง
เขามีเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์,สัตว์อสูรหยาจื้อ และเจียงเสี่ยวนู๋ที่มีพลังต่อสู้ที่น่าทึ่งหลังจากนางเปลี่ยนร่าง นั่นก็หมายความว่าในวังหลวงนี้มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นที่ห้าถึงสามคน
กำหนดสัญญาสามปียังมาไม่ถึงดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่บรรพบุรุษของจักรวรรดิมังกรเวหาจะโจมตีพวกเขาอย่างเปิดเผย สำหรับผู้ที่ชอบบงการอยู่เบื้องหลังในความมืด เจียงอี้เพียงแค่ต้องสังหารใครก็ตามที่เข้ามา เว้นแต่ว่าโถงวรยุทธจะมีสุดยอดผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนหรือไม่เกรงกลัวจักรพรรดินีสัตว์อสูร วังหลวงนี้จะปลอดภัยไปถึงสองปีข้างหน้าอย่างแน่นอน
เมื่อซูรั่วเสวี่ย,เฉียนว่านก้วนและคนอื่นๆได้ยินคำสั่งของเจียงอี้ ดวงตาของพวกเขาก็สว่างขึ้น มีเวลาอีกสองปีและหากเจียงอี้ทะลวงระดับต่อไปสำเร็จ ก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าสุดท้ายใครจะเป็นผู้ได้ชัย