เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 451-452
บทที่ 451 เด็กคนนี้หมดสิ้นอย่างสมบูรณ์
เวลาผ่านไปราวกับสายลมชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปกว่าสามสัปดาห์แล้ว
แผนการของเจียงอี้นั้นดำเนินไปได้ด้วยดีจีทิงยวี่ไม่สามารถทำอะไรเขาได้ ส่วนหลิงเสวี่ยและกลุ่มของนางก็ไม่กล้าลงมือใดๆ อย่างไรก็ตาม โถงวรยุทธก็ยังจะจัดการกับเจียงอี้อีกครั้ง และพวกเขาไม่ใช่คนโง่…ทำไมพวกเขาจะต้องเอาตัวเองเข้าไปพัวพันด้วย? พวกเขาก็แค่เพียงนั่งรอเวลาเพื่อชมการแสดงก็เท่านั้น
ดังนั้นในช่วงเดือนที่ผ่านมา ทวีปจึงสงบสุขอย่างน่ากลัว เมืองเซี่ยยวี่ก็ยิ่งเงียบสงัด เจียงอี้ทุ่มเวลาไปกับการขัดเกลาศิลาสวรรค์ คืนที่ผ่านมา ในที่สุดเขาก็สามารถขัดเกลาศิลาสวรรค์ได้กว่าร้อยก้อนแล้วและแก่นแท้พลังในดาวดวงที่สามใกล้จะเต็มแล้ว
เขาออกจากสันโดษเพื่อบอกให้สัตว์อสูรหยาจื้อและเจียงเสี่ยวนู๋หยุดบ่มเพาะพลังชั่วคราวเขากำลังเตรียมตัวสำหรับการบ่มพลังรอบสุดท้าย และในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้จะไม่มีที่ว่างให้แก่ความผิดพลาดใดๆ หากศัตรูโจมตี สัตว์อสูรหยาจื้อและเจียงเสี่ยวนู๋จะสามารถต้านพวกเขาได้ชั่วขณะ
หลังจากที่จัดแจงทุกอย่างเสร็จแล้ว!
เขาก็เข้าสู่สันโดษอีกครั้งการขัดเกลาศิลาสวรรค์ทีละก้อนอย่างรวดเร็วทำให้แก่นแท้พลังภายในดาวดวงที่สามถึงขีดสุด เมื่อแก่นแท้พลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดาวดวงที่สามก็เริ่มขยายตัวตามคาด แก่นแท้พลังถูกดาวทั้งเจ็ดดวงที่เหลือพุ่งเข้าไปยังดาวดวงที่สามด้วยความเร็ว
ฟึ่บฟั่บ!
เหนือเมืองเซี่ยยวี่,ท้องฟ้าเปลี่ยนสีและแก่นแท้พลังฟ้าดินก็ได้พุ่งโถมเข้ามาที่เมืองอย่างดุเดือด ลมที่รุนแรงพัดปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองและเมฆขาวก็มารวมตัวอยู่รอบๆ แม้แต่คนทั่วไปก็ยังสัมผัสได้ถึงความแปรเปลี่ยนนั้น นับประสาอะไรกับเหล่าผู้เชี่ยวชาญ
มีชาวเมืองธรรมดามากมายอยู่ในเมืองเซี่ยยวี่และกำลังหวาดกลัวอยู่ในตอนนี้ความผิดปกติของฟ้าดินนั้นน่ากลัวมาก หากมองจากมุมของคนทั่วไปอาจคิดง่ายๆว่ามันเป็นการลงโทษจากเทพเจ้า
บุฟ!
เหนือสวรรค์เก้าชั้นฟ้ามีดาวอีกดวงหนึ่งสว่างขึ้นและสาดแสงจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าทะลุหมู่เมฆลงมายังพระราชวังเมืองเซี่ยยวี่ก่อนที่จะลับหายไป
“องค์เทพปรากฏแล้วรีบไปกราบไหว้เขากัน!”
“องค์เทพผู้ยิ่งใหญ่โปรดอวยพรและปกป้องอาณาจักรต้าเซี่ยและประชาชนของท่านด้วย…”
“…”
ไม่ใช่แค่คนธรรมดาแต่เหล่าจอมยุทธและทหารมากมายก็ทำเช่นกัน หลังจากนั้น ผู้คนในเมืองเซี่ยยวี่ก็คุกเข่าลง
ในตอนนี้เมื่อตอนที่ลำแสงดวงดาวได้ก่อขึ้น ทุกคนรู้สึกเหมือนกำลังจะตาย แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อมันถูกสาดแสงลงมาและพุ่งลงมาโดยไม่มีแม้แต่เสียงระเบิดใดๆในวังหลวง เหล่าทหารขอบเขตเสินโหยวร้อยคนก็ไม่ได้แสดงอาการใดๆ มันก็หมายความว่าวังหลวงนั้นยังปกติดีอยู่
ผู้ใดอาศัยอยู่ในวังหลวงอีก?เจียงอี้ ราชาแห่งอาณาจักรต้าเซี่ย, ผู้พิทักษ์และอุปราช
มีตำนานเกี่ยวกับเจียงอี้มากมายตอนนี้เขายังสามารถนำทางเทพลงมาและสร้างปาฏิหาริย์ได้ด้วย? นอกจากความตกใจแล้ว ผู้คนต่างก็มีความตื่นเต้นและคลั่งไคล้ ในขณะนี้ฝูงชนอาจจะเต็มใจตายหากเจียงอี้บอกให้ทำ
เมื่อความผิดปกติของสวรรค์และโลกเผยขึ้นทั่วทั้งทวีปก็สั่นสะเทือน
หลายคนสงสัยมานานแล้วว่าความแข็งแกร่งของเจียงอี้นั้นเกี่ยวกับความผิดปกติของสวรรค์และโลกที่เกิดขึ้นเมื่อสองครั้งก่อนและในตอนนี้เจียงอี้ก็ทำมันอีกครั้ง ไม่ต้องบอกเลยว่าความแข็งแกร่งของเขาได้พัฒนาขึ้นอีกครั้ง
บรรพบุรุษตระกูลหลิง,เซียวหลงหวาง, ชาตี้แห่งอาณาจักรเป่ยเหลียง, จอมพลสูงสุดแห่งอาณาจักรเซิ่งหลิง, เจ้าสำนักหยูและคนอื่นๆทั้งหมดต่างพากันตกตะลึง ผ่านไปเพียงสามเดือน ความแข็งแกร่งของเจียงอี้ก็เพิ่มขึ้นอีกแล้ว? เมื่อครบกำหนดสัญญาสามปี พวกเขาจะเอาชนะเจียงอี้ได้ไหม?
ผู้อาวุโสทั้งสองของโถงวรยุทธก็ประหลาดใจเช่นกันแต่ในทางตรงกันข้าม จีทิงยวี่ยังคงสงบ นางไร้กังวลมากและใช้เวลาขับดนตรีอย่างสำราญอยู่ภายในห้องของนาง
ส่วนสุ่ยโย่วหลานก็ยืนอยู่ในศาลาฟ้ากระจ่างดวงตาของนางเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ยิ่งเจียงอี้ขัดเกลาศิลาสวรรค์มากเท่าใดก็ยิ่งส่งผลต่ออนาคตของเขาเท่านั้น แม้ว่านางจะไม่รู้ว่าเจียงอี้กระตุ้นดาราเก้าสวรรค์ได้อย่างไร แต่นางก็มั่นใจว่าเจียงอี้ขัดเกลาศิลาสวรรค์อีกครั้งและในปริมาณมาก เขาจะขัดเกลามันไปจนกว่าเขาจะไม่สามารถขัดเกลามันต่อได้อีกแล้ว
บนระเบียงพระราชวังจักรพรรดิยอดเขาเทพธิดา จักรพรรดินีสัตว์อสูรลืมตาขึ้นและมองไปทางทิศใต้ นางพูดอย่างแผ่วเบาว่า “เด็กคนนี้ได้หมดสิ้นอย่างสมบูรณ์ ดาวดวงที่สามแปรสภาพแล้ว เขาไปถึงขีดจำกัดแล้ว….”
…
“เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นทำไมข้ารู้สึกหวาดกลัวเช่นนี้?”
พระราชวังหลวงในเมืองเซี่ยยวี่ตกอยู่ในความโกลาหลเฉียนว่านก้วนอ่อนแอที่สุด ด้วยความน่ากลัวของพลังดาราเก้าสวรรค์ เขาล้มลงไปกับพื้นและไม่สามารถตื่นจากความตกใจได้อยู่พักใหญ่ ในตอนนี้เขาฟื้นขึ้นมาและไม่สามารถหยุดอุทานได้
จ้านอู๋ซวง,หยุนเฟย, ซูรั่วเสวี่ยและเจียงหยุนไฮ่มองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ ในทางตรงกันข้าม เจียงเสี่ยวนู๋กลับยังมีสติอยู่ ในใจของนาง เจียงอี้คือคนที่น่าประทับใจที่สุดเสมอ นางจะประหลาดใจหากว่าวันหนึ่งเขาจะกลายเป็นอมตะขึ้นมา แต่นางก็จะยังรู้สึกดีกับเขาอยู่ดี
“อีกแล้ว?”
สัตว์อสูรหยาจื้อที่ก่อนหน้านี้นอนหลับอยู่ที่จัตุรัสด้านนอกวังหิมะเลื่อนลอยได้ตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจมันมองไปยังพระราชวังด้วยความหวาดกลัวและดวงตาของมันก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น จอมเวทย์เคยกล่าวไว้ว่าตราบใดที่มันติดตามเจียงอี้ไปอย่างบริสุทธิ์ใจ มันก็จะมีโอกาสได้บรรลุขั้นสุดท้ายไปได้ และตอนนี้ดูเหมือนว่าโอกาสนั้นจะเปล่งประกายขึ้นมาก
“ฮู่ววว…”
ในห้องนอน,เจียงอี้หายใจลึกและมองไปยังดาวที่ส่องแสงสีเหลืองในตันเทียนของเขาและพยักหน้าเงียบๆ ดาวสามดวงได้แปรสภาพแล้ว ในที่สุดเขาก็ก้าวเข้าสู่ขอบเขตจินกัง
ขอบเขตจินกัง!
เขาตื่นเต้นเล็กน้อยแม้ว่าเขาจะสังหารผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังไปเมื่อหลายเดือนก่อน แต่เขาก็ทำได้ด้วยเวทย์มนตร์ เขามักจะรู้สึกว่ามันไม่ใช่พลังจริงๆ แต่ในตอนนี้แก่นแท้พลังของเขาอยู่ขอบเขตจินกังแล้ว และเขาก็เข้าถึงรูปแบบเต๋าระดับกลางแล้ว เขาได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังอย่างแท้จริง
“ไม่สิ…ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังบินได้แต่ข้าทำไม่ได้”
ดวงตาที่กระตือรือร้นของเจียงอี้หม่นลงในทันทีแต่เขาก็ไม่ได้ขวัญเสียเพราะเขาก็เกือบจะบินได้ด้วยความช่วยเหลือจากศาสตร์แปรผันดวงจิตแล้ว เมื่อสำรวจภายนอกด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขา เขาก็ดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ จากนั้นเขาก็เริ่มสำรวจร่างกายและมองหาความผิดปกติอื่นๆ
หลังจากที่สำรวจอย่างรอบคอบแล้วเขาก็รู้สึกดีมากขึ้น ไม่มีสิ่งใดผิดปกติเลย เขาหมุนเวียนแก่นแท้พลังสีแดงไปยังยังฝ่ามือและแปรเปลี่ยนมันเป็นเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ ทันใดนั้นอุณหภูมิห้องก็เพิ่มขึ้นแต่ร่างกายของเขาไม่เป็นอะไรเลย
“อ๋า…แก่นแท้พลังสีแดงภายในดาวดวงแรกสามารถเปลี่ยนเป็นเปลวเพลิงได้แล้วแก่นแท้พลังสีส้มนั้นจะเปลี่ยนเป็นพลังอื่นได้ไหมนะ? แล้วแก่นแท้พลังสีเหลืองในดาวดวงที่สามใช้ประโยชน์อะไรได้นะ?”
ทันใดนั้นเจียงอี้ก็เกิดความคิดขึ้นมาเขาทำตามวิธีการแปรสภาพแบบเดิม เขาได้ย้ายแก่นแท้พลังสีส้มในดาวดวงที่สองเพื่อพยายามแปรสภาพมัน จะเกิดอะไรขึ้นหากว่าเกิดเปลวเพลิงที่ทรงพลังกว่านี้?
แต่ก็ปรากฏว่ามันไม่สามารถแปรแก่นแท้พลังสีส้มได้ไม่มีวี่แววของเปลวเพลิงปรากฏอยู่บนฝ่ามือของเจียงอี้เลย เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถอนแก่นแท้พลังสีส้มกลับไป จากนั้นเขาก็หมุนเวียนแก่นแท้พลังสีเหลืองในดาวดวงที่สามและพร้อมที่จะลองแปรสภาพมัน
ทันใดนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงโดยไม่คาดคิดขึ้น!
เมื่อแก่นแท้พลังปรากฏออกมาจากตันเทียนของเขาเจียงอี้ก็หมุนเวียนมันไปยังเส้นลมปราณของเขา แต่ผลก็คือแก่นแท้พลังพุ่งพล่านไปตามเส้นลมปราณอย่างบ้าคลั่งราวกับว่ามันสูญเสียการควบคุม เส้นลมปราณของเขาแตกซ่านเมื่อแก่นแท้พลังสีเหลืองไหลผ่าน
“อั้กก!”
วิสัยทัศน์การมองเห็นของเจียงอี้กลายเป็นสีดำเขากระอักเลือดออกมา ในช่วงฉุกละหุก เขารวบรวมลมปราณเข้าด้วยกันแล้วพยายามเอาแก่นแท้พลังสายนั้นออกจากตัวเขา มิฉะนั้นหากมันยังไหลเวียนอยู่ในเส้นลมปราณเขา เส้นลมปราณทั้งหมดของเขาจะแตกซ่านไป
ตูม!
ทันทีที่แก่นแท้พลังออกมาจากร่างกายของเขามันก็พุ่งปะทะเข้ากับผนังข้างๆเขา ทั่วทั้งพระราชวังสั่นสะเทือนและกำแพงก็พังทลายลงซึ่งได้สร้างความตกใจให้กับผู้ที่เฝ้าอยู่ด้านนอก
ฟึ่บ!ฟั่บ!
จ้านอู๋ซวงและคนที่เหลือรีบเข้ามาเมื่อเห็นเจียงอี้กระอักเลือดอยู่ตลอดเวลา ทุกคนต่างก็พากันหวาดกลัว ในที่สุดเจียงอี้ก็โล่งใจขึ้นเมื่อได้เห็นคนอื่นๆและหมดสติไป
ก่อนที่จะหมดสติคำพูดของสุ่ยโย่วหลาน, จักรพรรดินีสัตว์อสูรและจูเก๋อชิงหยุนก็ได้ก้องอยู่ในใจเขา เขาตระหนักได้ถึงปัญหาในทันใดว่าเขาได้ขัดเกลาศิลาสวรรค์มากเกินไปและในที่สุด…ก็มีบางอย่างผิดพลาด
บทที่ 452 กายเนื้อคือรากเกิด แก่นพลังคือแหล่งกำเนิด ดวงจิตวิญญาณคือฐานชีวิต!
เจียงอี้สลบไปสามวันสามคืนด้วยการใช้ยาที่ดีที่สุดของตระกูลราชวงศ์จึงทำให้ลมปราณของเขาไม่ได้มีผลร้ายแรงอะไรและจะไม่มีผลจากลมปราณแตกซ่านใดๆ
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ต่างทำให้คนอื่นๆหวาดกลัวอย่างมาก เจียงอี้เป็นเหมือนกระดูกสันหลังของทุกคน หากเขาล้มลง โลกทั้งใบของพวกเขาคงพังทลาย ทำไมจึงเกิดปัญหาเช่นนี้ในระหว่างที่เขาบ่มเพาะพลัง? หรือเป็นเพราะแสงศักดิ์สิทธิ์จากดาราเก้าสวรรค์ในครั้งนี้?
ไม่มีใครรู้ว่าควรจะทำอย่างไรมันเกินจริงไปมาก สามวันสามคืนนี้ได้ทำให้ทุกๆคนต่างรู้สึกแทบจะขาดอากาศหายใจโดยเฉพาะซูรั่วเสวี่ยและเจียงเสี่ยวนู๋ที่ไม่ได้พักผ่อนเลย
ดังนั้นเมื่อเจียงอี้ลืมตาขึ้นมา เขาก็เห็นผู้คนที่มีดวงตาแดงก่ำอยู่ข้างเตียงเขา เขาจึงพูดขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “ทุกคนกลับไปพักผ่อนได้แล้ว ข้าไม่เป็นไรแล้ว ข้าเพียงใช้กำลังมากไปหน่อย”
ไม่มีใครออกไปเฉียนว่านก้วนแสดงความกังวลออกมา “ลูกพี่? เจ้าไม่เป็นไรจริงๆหรือ? แสงศักดิ์สิทธิ์จากดาราเก้าสวรรค์ทำเจ้าบาดเจ็บหรือเปล่า?”
“แสงศักดิ์สิทธิ์เก้าสวรรค์?”
เจียงอี้กระพริบตาด้วยความสงสัยเขาไม่รู้เลยว่าการแปรสภาพของดวงดาวทั้งสามจะเกิดพลังจากดาราเก้าสวรรค์ หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของว่านก้วนแล้ว ความคิดหนึ่งก็ติดอยู่ในใจเขา อันที่จริงแล้ว พลังแปลกๆบางอย่างช่วยเขาแปรสภาพดาวทั้งหลายที่แปรเปลี่ยนไป
“กลับไปเถอะข้าไม่เป็นอะไรจริงๆ ข้าแค่ต้องการคิดอะไรบางอย่าง”
เมื่อเจียงอี้พูดอย่างหนักแน่นทุกคนก็ต้องจากไป มีเพียงซูรั่วเสวี่ยเท่านั้นที่ยังคงอยู่ที่นี่ นางจ้องมองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำของนางและไม่ยอมจากไป แต่หลังจากที่เจียงอี้จ้องมองนาง นางก็เม้มปากและจากไป
“ข้าขัดเกลาศิลาสวรรค์มากเกินไปและสุดท้ายมันก็มีบางอย่างผิดพลาด!”
เจียงอี้ถอนหายใจอย่างหนักเขาไม่ได้คิดถึงเรื่องแสงศักดิ์สิทธิ์แปลกๆจากเก้าสวรรค์แต่คิดเกี่ยวกับตันเทียนของเขา เมื่อเขาเทแก่นแท้พลังสีเหลืองออกมา มันควบคุมไม่ได้และได้ทำลายเส้นลมปราณของเขา มันก็เหมือนกับการมีระเบิดที่อาจจะ ระเบิดได้ทุกนาที เมื่อเขาต่อสู้กับศัตรูอยู่ เขาอาจจะถึงคราวเคราะห์หากว่าแก่นแท้พลังนั้นออกมาอีก
“กายเนื้อคือรากเกิดแก่นพลังคือแหล่งกำเนิด ดวงจิตวิญญาณคือฐานชีวิต!”
เจียงอี้นึกถึงตำราลับในหอหนังสือของเกาะดาวตกมันเป็นข้อมูลของการบ่มเพาะพลังที่ผู้อาวุโสหอดาราสุ่ยเยว่ทิ้งเอาไว้ ในตอนนั้นเขาไม่ได้เข้าใจมัน แต่ในตอนนี้เขาก็ได้ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและในที่สุดก็เข้าใจว่าเหตุใดจักรพรรดินีสัตว์อสูร, สุ่ยโย่วหลานและจูเก๋อชิงหยุนถึงได้ขัดขวางไม่ให้เขาขัดเกลาศิลาสวรรค์
มันเป็นความจริงที่ว่าการสกัดกลั่นศิลาสวรรค์นั้นสามารถทำให้แก่นแท้พลังของตนอยู่ในระดับที่สูงอย่างไม่น่าเชื่อในเวลาอันสั้นผู้มีอำนาจทั้งหลายนั้นชอบที่จะบำรุงผู้เชี่ยวชาญด้วยศิลาสวรรค์ เช่น หากราชวงศ์จักรวรรดิมังกรเวหาและราชวงศ์อื่นๆขุดพบศิลาสวรรค์ พวกเขาก็จะคอยฝึกฝนผู้เชี่ยวชาญแบบลับๆ
ในการต่อสู้ที่เมืองเทียนชิงในตอนที่จักรพรรดินีสัตว์อสูรอาละวาด ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวเกือบหมื่นคนปรากฏอยู่ในจักรวรรดิมังกรเวหา แต่พวกเขาทั้งหมดถูกบ่มเพาะโดยตระกูลราชวงศ์ด้วยศิลาสวรรค์ มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดอย่างน้อยก็พันคน แต่ก็ไม่มีผู้ใดทะลวงขอบเขตจินกังได้
กายเนื้อคือรากเกิดแก่นพลังคือแหล่งกำเนิด ดวงจิตวิญญาณคือฐานชีวิต!
ร่างกายมนุษย์นั้นน่าพิศวงร่างเล็กๆของมนุษย์สามารถกักเก็บพลังที่ยิ่งใหญ่ได้, เบิกภูผา, ผ่าก้อนหิน, เคลื่อนภูเขา และปลุกทะเล
ทำไมสัตว์อสูรทั้งหลายถึงกลายร่างเป็นมนุษย์หลังจากที่ไปถึงขั้นจักรพรรดิน่ะหรือ?มันก็เป็นเพราะว่าร่างกายมนุษย์นั้นเป็นพาหะที่เหมาะสมที่สุดที่จะบ่มเพาะพลัง
เจียงอี้จำย่อหน้าหนึ่งที่ผู้อาวุโสหอดาราสุ่ยเยว่ได้บันทึกเอาไว้: ร่างกายมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ก่อขึ้นจากธรรมชาติ เราสามารถหมุนเวียนพลัง, ดูดซับแก่นพลังฟ้าดิน และเปลี่ยนเป็นแก่นแท้พลังของตนได้ แก่นแท้พลังเหล่านี้สามารถเติบโตและสะท้อนอยู่ภายในในร่างกายมนุษย์และสุดท้ายก็สามารถก่อการโจมตีที่น่ากลัวออกมาได้
รูปแบบเต๋านั้นเป็นกฏสูงสุดของโลกมันเป็นการประยุกต์สิ่งอัศจรรย์มากมายจากสวรรค์และโลก สิ่งสำคัญของการหยั่งถึงรูปแบบเต๋าคือ…การขยายและเสริมสร้างร่างกายมนุษย์
กายเนื้อ,แก่นแท้พลังและดวงจิตวิญญาณเป็นรากฐานสามสิ่งในการสร้างร่างกายมนุษย์ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ พวกมันอยู่ร่วมกันและผสานกัน หากสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดความผิดพลาดไป ร่างมนุษย์ก็จะเกิดร้ายแรงได้!
และในตอนนี้แก่นแท้พลังของเจียงอี้ได้ไปในทางที่ผิด
เขาขยายแก่นแท้พลังของเขาอย่างรวดเร็วจากแก่นพลังภายนอกแต่กายเนื้อและดวงจิตวิญญาณไม่ได้เพิ่มขึ้นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือกายเนื้อของเขาไม่ได้รับการชำระและบำรุงจากพลังงานฟ้าดิน
ในอีกนัยหนึ่งก็คือแก่นแท้พลังของเขาไม่สอดคล้องกับกายเนื้อและจิตวิญญาณของเขาอีกต่อไป หนึ่งในรากฐานสำคัญมีพลังมากเป็นพิเศษซึ่งมันจะนำไปสู่ความผิดปกติของการผสานกัน ดังนั้น เจียงอี้จึงไม่สามารถควบคุมแก่นแท้พลังสีเหลืองได้อีกต่อไป
“เมื่อเจ้าไม่ฟังคนแก่เองเจ้าก็จะมอดไหม้ เฮ้อ..ตอนนี้ข้าควรทำยังไงดี? ”
เจียงอี้เกิดปวดหัวขึ้นมาก่อนหน้านี้เขาวางแผนที่จะขัดเกลาหินสวรรค์และแปรสภาพดาวดวงที่เหลือ แต่พอมองย้อนไปเขาก็รู้สึกว่าตนไร้สาระนัก หากเขากล้าที่จะขัดเกลามันต่อ บางทีร่างกายเขาอาจจะระเบิดออกเป็นชิ้นเนื้อหลายล้านชินเลยก็ได้
ดังนั้นหากเขายังไม่พบวิธีแก้ปัญหานี้ เขาจะไม่สามารถเพิ่มขอบเขตแก่นแท้พลังของเขาได้ และอนาคตของเขาต้องพินาศไปอย่างแน่นอน
แต่ก็แน่นอนว่ามันคืออนาคตเจียงอี้ไม่สามารถไปใส่ใจกับมันได้มากนัก ความกังวลหลักๆของเขาก็คือปัญหาในตอนนี้ การหมุนเวียนแก่นแท้พลังในดาวดวงที่สามเพียงเล็กน้อยก็เกิดหายนะขึ้นได้ หากเขาไม่สามารถจัดการมันได้ มันก็จะกลายเป็นหนามทิ่มแทงและระเบิดอยู่ในใจของเขาซึ่งสามารถฆ่าเขาได้ทุกเมื่อ
“มันไม่มีทางอื่นแล้วข้าจะต้องหาสมุนไพรวิญญาณมาบำรุงร่างกายข้าและคอยดูผล”
เจียงอี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเสริมสร้างกายเนื้อของเขาเพื่อให้เส้นลมปราณของเขาแข็งแกร่งขึ้นก่อนเขาจึงจะรับมือกับแก่นแท้พลังที่รุนแรงจากดาวดวงที่สามได้
เจียงอี้หลับใหลไปหลังจากที่เริ่มเข้าใจสิ่งต่างๆได้หลังจากผ่านไปสองวัน เขาก็ฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยและขอให้ซูรั่วเสวี่ยและเฉียนว่านก้วนหาสมุนไพรวิญญาณที่ทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น เขามีศิลาสวรรค์มากมาย ฉะนั้นเขาจึงซื้อสมุนไพรวิญญาณได้แน่นอน
สมุนไพรวิญญาณที่สริมสร้างร่างกายทั้งหมดในตลาดถูกกว้านซื้อและถูกส่งไปยังเมืองเซี่ยยวี่อย่างต่อเนื่องด้วยการที่มีเฉียนว่านก้วนคอยดูและอยู่เบื้องหลัง ผู้คนมากมายก็ไม่สามารถหาจุดหมายปลายทางของสมุนไพรวิญญาณเหล่านี้ได้
เจียงอี้เริ่มเข้าสู่สันโดษอีกครั้งแต่คราวนี้เขาขัดเกลาสมุนไพรวิญญาณ ในความเป็นจริงแล้ว มันชัดเจนสำหรับเขาอยู่แล้วว่าการพึ่งพาสมุนไพรเพื่อเพิ่มกายเนื้อของเขานั้นไม่ได้ต่างไปจากการใช้ศิลาสวรรค์เพื่อเพิ่มแก่นพลังเลย
ไม่มีความแข็งแกร่งใดที่จะอยู่ได้นานไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตาม เมื่อมันถูกใช้มากเกินไปก็มีแต่จะก่อให้เกิดผลเสีย
อย่างไรก็ตามแล้วในตอนนี้เขาจะทำสิ่งใดได้อีก? ดาวที่แปลกประหลาดอยู่ภายในตันเทียนของเขาและวิธีการบ่มเพาะพลังที่ไม่รู้จักและไม่เคยมีมาก่อน เขาได้แต่เรียนรู้มันจากการลองผิดลองถูกด้วยตนเองเท่านั้น เขาไม่สามารถขอความช่วยเหลือเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากใครได้ เจียงอี้จะต้องค่อยๆก้าวไปทีละก้าว
ภายในหนึ่งเดือนเจียงอี้ไม่สามารถนับได้แล้วว่าเขาขัดเกลาสมุนไพรและเม็ดยาระดับสูงไปเท่าใดแล้ว เนื้อกายของเขาดีขึ้นในเวลาอันสั้นเป็นอย่างมาก
แต่ด้วยความโล่งใจของเขาเมื่อเนื้อกายของเขาถึงขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุด ในที่สุดเขาก็สามารถควบคุมแก่นแท้พลังในดาวดวงที่สามได้เสียที และเส้นลมปราณของเขาก็รับแก่นแท้พลังได้แล้ว
เขาทำลายอนาคตของตัวเอง!
เจียงอี้ไม่ได้รู้สึกเสียใจเขาเพียงมีความกังวลเล็กน้อยว่า เขาจะเดินไปทางไหนต่อดี?
แก่นพลังนั้นถึงขีดจำกัดแล้วส่วนรูปแบบเต๋าระดับกลางที่เขาสามารถปลดปล่อยออกมาได้ในตอนนี้เทียบได้กับขั้นที่สี่หรือห้าของขอบเขตจินกัง หากเขาหาวิธีอื่นที่จะเพิ่มความสามารถของเขาได้ แล้วเขาจะมีโอกาสเทียบกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังเหล่านั้น รวมไปถึงบรรพบุรุษเก่าตระกูลหลิงที่อยู่ขอบเขตจินกังขั้นสูงสุดได้อย่างไร?
รูปแบบเต๋า?
เว้นแต่ว่าเขาจะเข้าถึงรูปแบบเต๋าระดับสูงได้มันจะเป็นไปได้ไหมนะ? แน่นอนแหละว่าไม่
สวรรค์สยบเพลิงอเวจี?
ในช่วงเวลาสั้นๆเขาไม่สามารถสร้างเปลวเพลิงใดที่จะแข็งแกร่งกว่าเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ได้! ส่วนศาสตร์เวทย์มนตร์อื่นๆ ยิ่งมีความเป็นไปได้น้อยลง
เมื่อนึกถึงสวรรค์สยบเพลิงอเวจีดวงตาของเจียงอี้ก็สว่างขึ้น เขาพึมพำ “การขัดเกลาเปลวเพลิง? ใช่แล้ว….ข้าสามารถลองฝึกฝนการปรับแต่งไฟที่มีระดับสูงได้ ไม่ใช่ว่ามีเปลวเพลิงอเวจีที่ทรงพลังมากอยู่ที่หุบเขาชิงวิญญาณในอาณาจักรเซิ่งหลิงหรอ? หากข้าเข้าใจเคล็ดวิชาการปรับแต่งเปลวเพลิงและฝึกฝนมันกับเปลวเพลิงอเวจี บางที…ข้าอาจจะจัดการกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังเหล่านั้นได้ก็ได้