เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 457-458
บทที่ 457 การจากไปของจักรพรรดินีสัตว์อสูร
“ออกจากทวีป!”
เจียงอี้ตกใจมากยังเหลือเวลาอีกเป็นปีก่อนถึงกำหนดสามปี แต่จักรพรรดินีสัตว์อสูรต้องการออกจากที่นี่ไปก่อน? หากพิภพล่วงรู้ถึงการจากไปของนาง พวกเขาจะเริ่มเคลื่อนไหวมายังเขาอย่างแน่นอน
เขาตอบอย่างเคร่งเครียดว่า“เกิดอะไรขึ้น ทำไมท่านจึงได้ด่วนไปเช่นนี้?”
“วิกฤติกาลอสูรกำลังเกิดขึ้นแล้ว!”
สายตาของจักรพรรดินีสัตว์อสูรมองไปยังตะวันออกขณะที่พูดออกมา“วิกฤติกาลอสูรครั้งนี้มันหนักหนามากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ครึ่งปีหลังจากพ้นวิกฤติกาลอสูรไปแล้ว ทะเลตะวันออกจะปลอดภัยมากขึ้น ขณะเดียวกันเหล่าราชันสัตว์อสูรต่างก็จะพากันไปซ่อนตัวพักฟื้น ดังนั้นมันจึงเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่ข้าจะออกจากทวีปและกลับถิ่นเกิดข้า ข้าจะต้องไม่พลาดโอกาสนี้”
“ถิ่นเกิด!”
คิ้วของเจียงอี้ขมวดขึ้นจักรพรรดินีเคยกล่าวถึงเรื่องนี้และเจียงอี้ก็เดาได้ว่าจักรพรรดินีสัตว์อสูรต้องการที่จะกลับไปเพื่อแก้แค้น นางจึงไม่สามารถพาจิ้งจอกน้อยไปด้วยได้ ศัตรูของนางอาจแข็งแกร่งมาก
ราวกับว่าจักรพรรดินีสัตว์อสูรรู้ถึงความคิดของเจียงอี้นางนิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะอธิบายว่า “ถิ่นเกิดข้าอยู่ในทวีปจิ้งจอกสวรรค์และนั่นคือต้นกำเนิดของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกสวรรค์ของเรา โลกภายนอกนั้นมีอคติกับเผ่าจิ้งจอกสวรรค์ของเรามาโดยตลอด เราจึงแทบไม่ได้ออกจากถิ่นของเราเลย จนเมื่อพันกว่าปีก่อนเผ่าพันธุ์ข้าได้ถูกเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งกว่ารุกรานทำให้ตระกูลของข้าต้องตายไปและเหลือเพียงข้าที่รอดมาได้”
“ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตข้าคือการกลับไปยังทวีปจิ้งจอกสวรรค์และชำระแค้นหลังจากที่ฝึกฝนในทวีปเทียนชิงเป็นเวลากว่าพันปี ข้าก็สามารถทะลวงสู่ขั้นจักรพรรดิสัตว์อสูรเสียที”
“อืม…”
เจียงอี้พยักหน้าเรื่องเช่นนี้สามารถพบได้ในทุกทวีป โลกนี้ถูกครอบครองโดยผู้ที่แข็งแกร่งเสมอและผู้ที่อ่อนแอก็จะตกเป็นเหยื่อของพวกเขา
เขาเม้มฝีปากและตอบว่า“ศัตรูของท่านแข็งแกร่งมากเลยหรือ? ที่นั่นมีผู้ที่อยู่ขั้นจักรพรรดิด้วยไหม?”
“ใช่!อย่างน้อยก็มีประมาณสาม”
จักรพรรดินีสัตว์อสูรพยักหน้าก่อนที่จะพูดต่อ“ข้าก็เลยไม่สามารถพาเสี่ยวเฟยกลับไปกับข้าได้ นางยังเด็กเกินไปและเมื่อเกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ ข้าจะปกป้องนางไม่ได้”
“จี๊จี๊!”
เห็นได้ชัดว่าเสี่ยวเฟยรู้เรื่องนี้มานานแล้วอย่างไรก็ตาม นางยังคงร้องไห้ด้วยความเศร้าโศก
“อื้ม”
เจียงอี้กัดฟันและตอบว่า“จักรพรรดินี ข้าอาจไม่มีความสามารถปกป้องเสี่ยวเฟยได้อย่างเต็มที่ แต่ข้าให้สัญญากับท่านได้เลยว่าผู้ใดก็ตามที่ต้องการทำร้ายเสี่ยวเฟย มันจะต้องข้ามศพข้าไปก่อน”
“ดีล่ะ!”
จักรพรรดินีสัตว์อสูรตัดสินใจแล้วนางนั้นรู้อย่างชัดเจนว่าการเดินทางครั้งนี้ผลอาจจะจบลงที่ความตาย หากเสี่ยวเฟยติดสอยห้อยตามไปด้วยนางก็คงจะต้องดับสูญไปเช่นกัน แม้ว่าเสี่ยวเฟยจะติดตามเจียงอี้มันก็อันตรายเหมือนกัน แต่นางก็ยังมีโอกาสที่จะมีชีวิตรอดไปพร้อมกับเขา
ที่สำคัญที่สุดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเจียงอี้ได้สร้างปาฏิหาริย์มากมายและดาวเก้าดวงที่อยู่ในตันเทียนเขาลึกลับมาก แม้ว่าจักรพรรดินีสัตว์อสูรจะมีประสบการณ์มากมาย แต่ก็ยังเป็นสิ่งที่นางไม่เคยพบเห็นมาก่อน มันเหมือนเป็นการเดิมพันของนางเมื่อนางเลือกเจียงอี้ แม้ว่าเขาจะทำลายอนาคตตัวเองไปแล้วก็ตาม
นางเคยล้างเลือดทวีปครั้งหนึ่งและหากมีผู้ใดรู้ว่านางจากไปแล้วเสี่ยวเฟยจะต้องถูกทำให้กลายเป็นสัตว์วิญญาณอย่างแน่นอนเมื่อไม่มีใครอยู่ปกป้องนาง ท้ายที่สุดแล้วเมื่อจิ้งจอกสวรรค์เติบโตเต็มที่ พวกมันก็จะน่าเกรงขามมาก อย่างน้อยที่สุดพวกมันก็จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่คงกะพันในหมู่สัตว์อสูรระดับสาม
นางไม่มีสหายในทวีปนี้และคนที่นางไว้ใจคือเจียงอี้แต่เพียงผู้เดียว!ตอนนี้นางไม่มีทางเลือกอื่นและทำได้เพียงฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเจียงอี้
“อ้อใช่แล้ว!”
จู่ๆจักรพรรดินีสัตว์อสูรก็นึกบางอย่างขึ้นได้“เจียงอี้ หากเจ้ามีโอกาสได้ออกจากทวีปนี้ มันจะเป็นการดีที่สุดที่เจ้าจะลองตามหาสมุนไพรลึกลับ ในอดีตข้าเคยได้ยินมาว่ามีสิ่งที่เรียกว่าหญ้ามังกรยาจก มันสามารถที่จะสร้างโครงร่างของมนุษย์ขึ้นใหม่ได้ราวกับการได้มีไขกระดูกและเส้นเอ็นบริสุทธิ์ใหม่ เจ้าอาจยังมีหวังที่จะเปลี่ยนร่างที่พิการของเจ้าให้กลับคืนมาได้และมันจะไม่ส่งผลต่อการบ่มเพาะพลังในภายหน้า แต่ก็แน่นอนว่า…สิ่งนี้หายากมาก”
“หญ้ามังกรยาจก?ข้าจะจำมันไว้”
เจียงอี้จำมันไว้ในใจแน่นอนว่าเขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะสามารถทำให้มันกลับมาเป็นเช่นเดิมได้หรือไม่ สุดท้ายแล้ว หากทวีปนี้ไม่สงบ แล้วเขาจะออกไปได้อย่างไร? หากจักรพรรดินีสัตว์อสูรไม่อยากให้เสี่ยวเฟยถูกสังหาร ทำไมนางจึงไม่กำจัดผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดในทวีปนี้ไปล่ะ?
ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาถือว่าค่อนข้างดีอยู่หากจักรพรรดินีสัตว์อสูรสังหารโถงวรยุทธ, บรรพบุรุษตระกูลหลิง, เซียวหลงหวางและคนอื่นๆ เขาจะครองตำแหน่งสูงสุดในทวีปนี้ อย่างน้อยก็ไม่มีใครสามารถคุกคามชีวิตเขาได้และเสี่ยวเฟยก็จะปลอดภัยจากอันตรายเช่นกัน
แน่นอนว่า…
มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะพูดมันออกมาอย่างไรก็ตาม เขาเป็นหนี้จักรพรรดินีสัตว์อสูรมากเกินไปและนางก็มีจุดยืนของนางเอง มันจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนางจึงไม่ลงมือด้วยตัวเอง
“เจียงอี้!”
สีหน้าของนางเปลี่ยนไปทันทีขณะที่นางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง“เจ้าสามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญใดก็ได้ในทวีปนี้ แม้ว่าเจ้าจะกำจัดผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังทั้งหมดไปก็ยังได้ แต่เจ้าจะต้องจำไว้ว่า อย่าได้เข้าไปเป็นศัตรูกับโถงวรยุทธเด็ดขาด ตราบใดที่เจ้าไม่ไปยุ่งกับเรื่องของโถงวรยุทธและไม่สังหารคนของเขา พวกเขาก็จะไม่ล้ำเส้นมา”
“เอ่อ?”
ครู่ก่อนเจียงอี้ยังคงครุ่นคิดว่าทำไมจักรพรรดินีสัตว์อสูรจึงไม่ลงมือใดๆ และเขาก็ได้รับคำตอบในทันที ดูเหมือนว่าจักรพรรดินีสัตว์อสูรจะระวังโถงวรยุทธ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ….มีความเป็นไปได้มากว่าโถงวรยุทธนั้นมีความสามารถที่จะสังหารจักรพรรดินีสัตว์อสูรได้
เมื่อเขาได้ข้อสรุปดังกล่าวมาหัวใจของเจียงอี้ก็หนักอึ้งทันที ก่อนหน้านี้เขาได้พินิจว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารจูเก๋อชิงหยุนและเฉียนซวีนั้นเป็นโถงวรยุทธ และตอนนี้เขาก็ได้เห็นว่าจักรพรรดินีสัตว์อสูรพยายามที่จะหลีกเลี่ยงพวกเขาอย่างไรนั้น เขาจะยังมีโอกาสรอดอยู่หรือหากผู้บงการนั้นเป็นโถงวรยุทธจริงๆ?
“จักรพรรดินีสัตว์อสูรโถงวรยุทธนั้นทรงพลังเช่นนั้นเชียวหรือ?” เจียงอี้สูดหายใจลึกและถาม
นางโบกมือและตอบว่า“เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้อะไรมากเกินจำเป็น จำไว้เพียงว่าอย่าไปยั่วยุพวกเขาไม่ว่าจะในสถานการณ์ใดๆ และพวกเขาจะไม่ทำสิ่งใดบุ่มบ่าม”
“ข้า….ได้ยั่วยุพวกเขาไปแล้วล่ะ”
เจียงอี้ยิ้มอย่างขมขื่นเมื่อเขาเห็นสีหน้าที่งงงวยของจักรพรรดินีสัตว์อสูร เขาก็อธิบายต่อว่า “โถงวรยุทธได้พยายามให้ข้าไปเป็นผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์สองครั้ง แต่ข้าปฏิเสธพวกเขาไป และข้าก็ยังได้ทำให้สตรีศักดิ์สิทธิ์นามตู๋กูเยี่ยนขุ่นเคืองแล้ว…”
เมื่อจักรพรรดินีสัตว์อสูรฟังคำอธิบายของเจียงอี้นางก็สะบัดมือและตอบว่า “ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น โถงวรยุทธมักจะมีรายละเอียดน้อยอยู่เสมอ มันจะเป็นการดีตราบใดที่เจ้าไม่โจมตีสำนักงานใหญ่ของพวกเขาและสังหารคนของพวกเขาที่มีระดับประมุขโถงวรยุทธสาขาขึ้นไป ประมุขใหญ่โถงวรยุทธในปัจจุบันนั้นฝีมือไม่ใช่ย่อยและความประทับใจของข้าที่ได้พบเขานั้นคือเขาเป็นคนสุภาพมาก”
“โอ้?”
คิ้วของเจียงอี้กระตุกการคาดคะเนของเขาผิดพลาดไปหรือ? ผู้บงการไม่ใช่โถงวรยุทธ? แต่..ทำไมสุ่ยโย่วหลานถึงได้บอกให้ระวังสตรีศักดิ์สิทธิ์จี?
เขากระพริบตาก่อนจะถามต่อ“จักรพรรดินีสัตว์อสูร ท่านคิดว่าโลกใต้พิภพเกี่ยวข้องกับโถงวรยุทธไหม?”
“ไม่!”
นางตอบอย่างหนักแน่น“โถงวรยุทธนั้นมีความชอบธรรมและมีเกียรติมาโดยตลอด พวกเขาจะข้องเกี่ยวกับเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร ทำไมเจ้าจึงถามเช่นนี้ล่ะ?”
เจียงอี้รู้สึกสับสนมากขึ้นและมันคงจะไม่สุภาพหากเขาจะตั้งคำถามต่อไปท้ายที่สุดแล้ว หลายๆสิ่งนั้นก็เป็นเพียงการคาดเดาของเขาและไม่มีหลักฐานใด
เมื่อนางเห็นว่าเจียงอี้ไม่ได้พูดอะไรนางก็ตอบอย่างหมดความอดทนว่า “เอาล่ะ ข้าจะต้องกลับไปยังหุบเขาเทพธิดาแล้วและคอยดูสถานการณ์ทางทะเลตะวันออก เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ข้าจะจากไปทันที เสี่ยวเฟยอยู่ในความดูแลของเจ้า หากข้าไม่กลับมาในอีกหนึ่งร้อยปี นั่นก็หมายความว่าข้าได้สิ้นชีพไปแล้ว เจ้าจะต้องไม่มายังทวีปจิ้งจอกสวรรค์เพื่อตามหาข้า เว้นเสียแต่ว่าเจ้าจะไปถึงขอบเขตเทียนจุนแล้วมิฉะนั้นเจ้าก็คงจะไม่สามารถเลี่ยงความตายได้….”
หลังจากที่นางบอกเจียงอี้จบแล้วนางก็ไม่ได้รอให้เจียงอี้ตอบอะไรกลับ แหวนบนนิ้วของนางสว่างขึ้นและพระราชวังสีขาวก็ปรากฏขึ้นในฝ่ามือของนาง นางมอบพระราชวังให้เจียงอี้และกล่าวว่า “นี่คือพระราชวังจักรพรรดิ และมันยังเป็นสิ่งประดิษฐ์สำหรับป้องกันอีกด้วย มันสามารถต้านทานการโจมตีสิบผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นสูงสุดได้เต็มที่ก็สิบวัน ตราบใดที่เจ้าไม่รุกรานโถงวรยุทธ ก็จะไม่มีผู้ใดทำร้ายเจ้าในทวีปเทียนชิงได้หากเจ้ามีราชวังจักรพรรดินี้”
“ฮะ!”
ในตอนแรกเขาต้องการที่จะปฏิเสธมันเพราะเขาคิดว่าสิ่งนี้ควรถูกทิ้งไว้ให้แก่เสี่ยวเฟยแต่มันก็คงไม่ดีหากเขาจะปฏิเสธความปรารถนาดีของนาง
“เสี่ยวเฟยลูกรัก แม่กำลังจะจากไปแล้วนะ โปรดอย่าได้เศร้าใจไป แม่จะจากไปเพื่อแก้แค้นให้แก่เผ่าพันธุ์ของเราและจะคิดหาวิธีทั้งหมดที่จะรอดชีวิตให้ได้ รอแม่กลับมานะ!”
จักรพรรดินีสัตว์อสูรมองไปยังเสี่ยวเฟยและส่งข้อความให้นางจากนั้นนางก็กัดฟันแน่นและกลายเป็นแสงสีขาวหายลับไปจากท้องฟ้าและทิ้งเจียงอี้ผู้ที่กำลังรู้สึกสับสนและจิ้งจอกน้อยที่กำลังร้องไห้เอาไว้ข้างหลัง…
บทที่ 458 พระราชวังจักรพรรดิ
วิกฤติกาลอสูรได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นทั้งอาณาจักรเป่ยเหลียงและอาณาจักรเสินหวู่ต่างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ปีศาจทะเลที่ขึ้นมาบนฝั่งนั้นมีมากเกินไป โชคดีที่รองเจ้าสำนักฉีได้นำกลุ่มอาจารย์และศิษย์สำนักชั้นยอดมาสมทบขณะที่อาณาจักรเซิ่งหลิงก็ได้ส่งกองทัพมาเสริมกำลัง พวกเขาลดความกดดันจากความช่วยเหลือของอาณาจักรต้าเซี่ยด้วย พวกเขาจึงไม่ได้เกิดความสูญเสียเท่าอีกสองอาณาจักร
อาณาจักรเสินหวู่ก็เอาเยี่ยงอย่างอาณาจักรต้าเซี่ยโดยอพยพชาวเมืองทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในเมืองและหมู่บ้านที่ติดริมทะเลหากจักรวรรดิมังกรเวหาและอาณาจักรอื่นๆไม่ส่งกองหนุนมา กองทัพทั้งสองอาณาจักรจะถูกกำจัดไปทั้งหมดหากมันยังเป็นเช่นนี้ต่อไป
ชาตี้ไม่ใช่คนโง่และสั่งให้ชาวเมืองทุกคนที่อาศัยอยู่ทางตะวันออกอพยพไปมิฉะนั้นพวกเขาจะถูกประหารโดยกองทัพเพราะไม่ว่ายังไงพวกเขาก็ต้องตายหากพวกเขายังอยู่ตรงนั้น
เมื่อทุกฝ่ายลงมือพร้อมกันแล้วการบาดเจ็บล้มตายจะไม่รุนแรงเท่า แต่อย่างไรก็ตาม เขตแนวรบได้แผ่ขยายพื้นที่ออกไปและมีปีศาจทะเลเข้ามาในทวีปมากขึ้น เมืองทั้งหมดรอบๆนั้นถูกทำลายจนไม่เหลือซาก
มีราชันปีศาจสองตนที่เข้ามายังเขตแดนของอาณาจักรเป่ยเหลียงซึ่งชาตี้พยายามต่อสู้ด้วยตัวเองอย่างสุดกำลัง
และเมื่อเวลาผ่านไปวิกฤติกาลอสูรได้เริ่มลดลงในห้าวันต่อมา แน่นอนว่าจำนวนของปีศาจทะเลนั้นลดลงมากกว่าตอนที่มันเกิดวิกฤติกาลขึ้นแรกๆ ภายในเวลาไม่ถึงสิบวัน ปีศาจทะเลประมาณสิบห้าล้านตนได้ขึ้นมาบนบกซึ่งรวมไปถึงราชันปีศาจห้าตนด้วย มันไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าจะมีปีศาจทะเลอีกมากมายขนาดไหนอยู่ในทะเลน้ำลึกนั่นระหว่างช่วงเวลานี้? มีราชันปีศาจอีกกี่ตนที่อยู่ที่นั่น? เมื่อมองดูแล้ว มันอาจจะมีจักรพรรดิปีศาจปะปนอยู่ด้วยซ้ำ
อาณาจักรเสินหวู่และอาณาจักรเป่ยเหลียงได้สูญเสียทหารไปอย่างน้อยห้าแสนนายซึ่งถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่และเมื่อพวกเขาอ่อนแอลง อาณาจักรอื่นๆก็จะแข็งแกร่งขึ้น
โดยเฉพาะอาณาจักรเป่ยหมางและอาณาจักรเทียนเซวี่ยนเดิมทีพวกเขาไม่ได้มีอำนาจเท่าใดนัก แต่ตอนนี้พวกเขาได้กลายเป็นสองอาณาจักรที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว ในระหว่างช่วงที่จักรพรรดินีสัตว์อสูรก่อจลาจล อาณาจักรทั้งสองนั้นก็ไม่ได้รับการสูญเสียใดๆและวิกฤติกาลอสูรในครั้งนี้ก็เช่นกัน
แต่ก็แน่นอนว่าผู้ที่มีความสุขที่สุดย่อมเป็นจักรวรรดิมังกรเวหาอยู่แล้ว
แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถปกครองทั้งทวีปได้แต่อาณาจักรอื่นๆก็ไม่กล้าโจมตีเมืองเทียนชิงอย่างน้อยก็หนึ่งศตวรรษ อายุขัยของบรรพบุรุษเฒ่าตระกูลหลิงก็อาจจะหมดลง แต่มันก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับเขาในเรื่องที่จะมีชีวิตอยู่ได้อีกสิบปี ยี่สิบปี หรือศตวรรษนึง ท้ายที่สุดแล้วความแข็งแกร่งของเขาก็อยู่ขั้นสูงสุดของขอบเขตจินกังแล้ว
จักรพรรดินีสัตว์อสูรออกจากทวีปไปเงียบๆปีศาจทะเลธรรมดานั้นไม่ได้สร้างปัญหาแก่นางและนางสนใจเพียงจักรพรรดิปีศาจในทะเลน้ำลึกเท่านั้น มันหมายความว่าอย่างไรเมื่อวิกฤติกาลอสูรได้เริ่มเบาลงแล้ว? มันหมายความว่าการต่อสู้ระหว่างราชันปีศาจได้จบสิ้นลงแล้ว มิฉะนั้นการปรากฏตัวของราชันปีศาจจะกระตุ้นให้เหล่าปีศาจทะเลพุ่งขึ้นมาบนบกมากขึ้น
หลังจากที่ราชันปีศาจสิ้นสุดการต่อสู้แล้วพวกมันก็คงจะเหนื่อยล้าและมองหาที่ที่จะแยกตัวออกมา นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเดินทางออกจากทวีปและเป็นโอกาสที่ดีที่นางจะไม่พลาดมัน
นางได้สั่งราชันสัตว์อสูรทั้งสิบแปดให้ปกป้องบริเวณรอบๆหุบเขาเทพธิดาและห้ามผู้ใดเข้าใกล้มันเป็นหนึ่งในวิธีการของนางเพื่อปกป้องเจียงอี้ หากไม่มีผู้ใดรู้ว่านางจากไปแล้วก็จะไม่มีผู้ใดกล้าบุ่มบ่ามก่อนจะสิ้นสัญญาสามปี
ฟึ่บ!
ในเวลาเดียวกับที่จักรพรรดินีสัตว์อสูรจากไปก่อนหน้านี้ได้ครึ่งชั่วโมงบุคคลที่สวมชุดดำได้โผล่ออกมาจากแนวปะการังและนั่นคือผู้อาวุโสหลู่จากโถงวรยุทธ เขามองไปยังทะเลอันกว้างใหญ่และเผยรอยยิ้มออกมา เขาพึมพำว่า “สตรีศักดิ์สิทธิ์จีนั้นเป็นผู้ที่ไร้ที่ติจริงๆ จักรพรรดินีสัตว์อสูรได้จากไปแล้ว”
ผู้อาวุโสหลู่ไม่ได้จากไปในเดี๋ยวนั้นแต่รีบไปยังหุบเขาสามหมื่นลี้แทนเขาใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์คอยหลบเลี่ยงเหล่าสัตว์อสูรและในที่สุดเขาก็พบถ้ำใกล้ๆยอดเขาเทพธิดาและซ่อนตัวอยู่ที่นั่น
จีทิงยวี่สั่งเพียงแค่ให้เขาไปดูให้เห็นกับตาว่าจักรพรรดินีสัตว์อสูรได้จากไปแล้วก่อนจะให้เขากลับไปที่หุบเหวอเวจีแต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขาไม่สบายใจและอยากรอดูสถานการณ์สักสองสามวันก่อนว่าจักรพรรดินีสัตว์อสูรจะไม่กลับมาแล้ว
หลังจากซ่อนตัวอยู่ในถ้ำเขาก็ได้ปิดบังกลิ่นอายทั้งหมดของเขาและปิดผนึกทางเข้าถ้ำ จากนั้นเขาก็หยิบยันต์หยกออกมาและบดขยี้มัน
บึฟ!
ในโถงใหญ่ของหุบเหวอเวจียันต์หยกของผู้อาวุโสเจิงก็สว่างขึ้น หลังจากที่เขาเห็นมัน เขาก็มีความสุขขึ้นทันทีและรีบเดินออกจากโถงใหญ่ไปยังโถงด้านข้าง จากนั้นเขาก็พูดกับจีทิงยวี่ “สตรีศักดิ์สิทธิ์จี ท่านนี่น่าเหลือเชื่อเสียจริง จักรพรรดินีสัตว์อสูรจากไปแล้วจริงๆ!”
“ฮิฮิ”
จีทิงยวี่หัวเราะเบาๆแต่ใบหน้าของนางไม่ได้มีอารมณ์มากนักนางนิ่งเงียบและจิบชาของนางไปเรื่อยๆ ส่วนผู้อาวุโสเจิงก็ไม่ได้ดูรีบร้อนและเพียงยืนรอจีทิงยวี่พูดออกมา
จากนั้นไม่ช้าจีทิงยวี่ก็เลิกคิ้วขึ้นและถามว่า“เมื่อไหร่ท่านประมุขโถงวรยุทธจะกลับมา?”
ผู้อาวุโสเจิงคำนวณและตอบว่า“ตามการคาดการณ์ของข้าแล้ว เขาน่าจะกลับมาในอีกหนึ่งเดือน”
“เข้าใจล่ะ!”
จีทิงยวี่พยักหน้าและกล่าวว่า“เราคอยจัดการวางแผนไว้ก่อนและรอท่านประมุขกลับมาก่อนค่อยลงมือ”
“เข้าใจแล้ว!”
ก่อนนี้ผู้อาวุโสเจิงกังวลว่าจีทิงยวี่อาจจะต้องการลงมือในทันทีแต่หากนางเลือกที่จะรอประมุขใหญ่โถงวรยุทธ เขาก็ไม่ได้มีความกังวลใดๆอีก เขาพยักหน้าให้จีทิงยวี่อย่างเคารพและออกไปเตรียมการ เขาเชื่อมั่นสตรีผู้นี้อย่างสุดซึ้ง และนอกเหนือจากประมุขโถงวรยุทธแล้ว เป็นครั้งแรกเลยที่เขาให้ความเคารพนับถือต่อผู้อื่นในโถงวรยุทธ
“หนึ่งเดือน!”
จีทิงยวี่ยิ้มจางๆนางเม้มปากและมองไปยังทิศใต้และพูดพึมพำ “เจียงอี้ เจ้าจะตายในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า ข้าจะเป็นคนส่งเจ้าไปตามทางของเจ้าด้วยตัวเองเลย”
…
ปัจจุบันนี้เจียงอี้อยู่ข้างๆหุบเขาชิงวิญญาณเขามาถึงหุบเขาชิงวิญญาณนานแล้วแต่เมื่อเห็นว่าจิ้งจอกน้อยนั้นเศร้าเพียงใด มันก็คงจะไม่ใช่เรื่องดีที่จะปล่อยจิ้งจอกน้อยไว้ในราชวังจักรวาลตามลำพัง เจียงอี้จึงคอยอยู่กับจิ้งจอกน้อยอยู่หลายวันและจะขัดเกลาราชวังจักรพรรดิในยามว่าง ยังไงมันก็เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เอาไว้ช่วยชีวิตได้
จักรพรรดินีสัตว์อสูรบอกทุกสิ่งกับจิ้งจอกน้อยว่าการเดินทางของนางในครั้งนี้อาจเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายจิ้งจอกน้อยจึงรู้ดีว่าที่จักรพรรดินีสัตว์อสูรไม่พานางไปด้วยนั้นเป็นสิ่งที่ดีต่อตัวนางแล้ว แต่มันก็ยิ่งทำให้นางเสียใจมากขึ้นและทำให้นางกังวลกับจักรพรรดินีสัตว์อสูรยิ่งกว่าเดิม ท้ายที่สุดแล้ว ตามอายุขัยของเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้น นางยังมีอายุเพียงสี่ถึงห้าปีเท่านั้น
“เสี่ยวเฟยเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะเข้มแข็ง ข้ามีชะตากรรมที่เลวร้ายมาก แม่ของข้าได้จากไปเมื่อข้าอายุได้เพียงสองขวบ ข้าไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่าในตอนนี้นางมีชีวิตอยู่หรือไม่ อย่างน้อยๆจักรพรรดินีก็ใช้เวลาอยู่กับเจ้ามาหลายปี เจ้าไม่เห็นหรือว่าข้าต้องอดทนมาตลอดหลายปีที่ผ่านมายังไงบ้าง? ตอนนี้ เจ้าก็ยังมีข้าที่คอยอยู่ด้วยนะ…”
เจียงอี้กอดจิ้งจอกน้อยและใช้น้ำเสียงแผ่วเบาเพื่อปลอบใจนาง
หลังจากปลอบนางและเล่าเรื่องในตอนเด็กของเขาจิ้งจอกน้อยก็เริ่มสงบลง ทันใดนั้นนางก็ส่งข้อความหาเขา “พี่ใหญ่ เสี่ยวเฟยอยากบ่มเพาะพลังและพยายามอย่างขันแข็งเพื่อขึ้นเป็นจักรพรรดินีอย่างท่านแม่ให้ได้ ด้วยวิธีนั้นข้าจะสามารถช่วยท่านแม่ของข้าได้ พี่ใหญ่ เสี่ยวเฟยจะเข้าสู่สันโดษเดี๋ยวนี้เลยและเมื่อข้าออกจาก ข้าจะต้องทำให้ท่านตกใจแน่นอน”
“ได้เลย!”
เจียงอี้รอคำสั่งนี้อยู่จากนั้นเขาก็พาเสี่ยวเฟยเข้าไปยังราชวังจักรวาลอย่างรวดเร็วและเมื่อเห็นว่านางหลับตาฝึกฝนไปแล้ว เขาก็นำราชวังจักรพรรดิออกมาขัดเกลามันต่อ จักรพรรดินีสัตว์อสูรได้ปลดผนึกการประทับวิญญาณบนพระราชวังจักรพรรดิไปแล้วและด้วยพลังดวงจิตวิญญาณของเจียงอี้ในตอนนี้ที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง มันจึงไม่ใช่เรื่องยากในการขัดเกลาพระราชวังจักรพรรดินี้
สามวันต่อมาพระราชวังจักรพรรดิสว่างไสวขึ้นมาด้วยแสงสีขาวขณะที่เจียงอี้ก็เชื่อมดวงจิตกับสิ่งประดิษฐ์นี้และปรับแต่งมันจนสมบูรณ์ หลังจากเข้าใจโครางร่างพระราชวังจักรพรรดิแล้ว เขาก็รีบลุกขึ้นและตรงไปยังหุบเขาชิงวิญญาณในทันใด
จักรพรรดินีสัตว์อสูรได้จากไปแล้วและหากมีใครรู้เรื่องนี้บรรพบุรุษเฒ่าตระกูลหลิงและคนอื่นๆนั้นก็จะบุกอาณาจักรต้าเซ่ยได้ทุกเมื่อ ดังนั้นเขาจึงต้องใช้ความเร็วที่เร็วที่สุดในการปรับแต่งเปลวเพลิงอเวจี
“กู่ดู่กู่ดู่!”
ขณะที่เจียงอี้ยินอยู่บนหน้าผาของหุบเขาชิงวิญญาณเขานึกถึงเสียงประหลาดในคราวก่อนที่เขามาที่นี่ เขารู้สึกไม่ดีอย่างบอกไม่ถูกและพยายามคาดเดาว่ามีสิ่งใดที่อยู่ใต้หุบเขาแห่งนี้
…