เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 489-490
บทที่ 489 ศึกชี้ชะตา
ไม่ใช่ว่าหลิงเสวี่ย,เซียวหลงหวางและคนอื่นๆอยากจะนิ่งดูดาย แต่พวกเขารู้ดีว่าหากริมฝีปากหายไป ฟันก็จะเย็นเกินต้าน มันจึงไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาจะสามารถทำได้มากนัก
หลิงเสวี่ยส่งเรื่องไปยังประมุขสาขาโถงวรยุทธในเมืองเทียนชิงเพื่อขอพบประมุขใหญ่โถงวรยุทธแล้วในไม่ช้า ทางโถงวรยุทธก็ตอบกลับมาว่าประมุขใหญ่ไม่อยู่และไม่มีใครขอพบได้
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าสำนักงานใหญ่โถงวรยุทธอยู่ที่ใดแม้ว่าพวกเขาอยากจะไปที่นั่นแต่ก็ไม่รู้อยู่ดี และในตอนนี้พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรอีกต่อไป
หลิงเสวี่ยเรียกเซียวหลงหวาง,ชาตี้ และองค์ราชาอาณาจักรเซิ่งหลิงมาและถามพวกเขาถึงเรื่องของเจียงเสี่ยวนู๋ แต่ทั้งสามก็ปฏิเสธว่าไม่ได้เกี่ยวข้องและกลับสงสัยว่าหลิงเสวี่ยกำลังวางแผนร่วมมือกับเจียงอี้เพื่อที่จะกำจัดอาณาจักรของพวกเขาแทน
หลิงเสวี่ยก็จนปัญญาและขอความช่วยเหลือกับทางหอดาราสุ่ยเยว่และอารามเซนนางขอให้พวกเขาช่วยหยุดการสังหารที่โหดเหี้ยมของเจียงอี้ ที่นอกเมืองเซี่ยยวี่เอง นักบวชเฒ่าเคยให้สัญญาว่าจะสังหารเจียงอี้หากเขาเป็นผู้มีชะตาลิขิตที่จะเป็นผู้ทำลายล้าง
แต่ก็เป็นไปตามคาดสุ่ยโย่วหลานไม่มีการตอบสนองใดๆ หลังจากที่เรื่องนิ่งเงียบมาเป็นเวลาสามวัน นักบวชเฒ่าก็ส่งข้อความกลับมายังหลิงเสวี่ยโดยกล่าวว่า การร่วมมือโจมตีของห้าอาณาจักรที่อาณาจักรต้าเซี่ยในครั้งที่ผ่านมาไม่นานนี้ถือเป็นการละเมิดข้อตกลงในตอนที่ทำสัญญากันที่ศึกนอกเมืองเซี่ยยวี่ครั้งนั้นแล้ว อารามเซนจะไม่ขอเข้ามาพัวพันกับเหตุการณ์นี้
แม้ว่าเจียงอี้จะสังหารกองกำลังสี่แสนนายของอาณาจักรเสินหวู่ไปและพิสูจน์แล้วว่าตัวเขาเป็นผู้มีชะตาลิขิตแต่เขาก็ไม่ได้ออกนอกลู่นอกทางในสายตาของนักบวชเฒ่า คนที่เจียงอี้สังหารไปคือเหล่าทหาร จากข้อมูลที่นักบวชเฒ่ารวบรวมมาได้นั้น คือเมื่อกองทหารเจียงอี้กวาดล้างอาณาจักรเสินหวู่ มีเหล่าพลเมืองตกตายไปไม่ถึงพันคน แต่ในทางกลับกัน เมื่อคราวที่กองทัพพันธมิตรบุกโจมตีอาณาจักรต้าเซี่ยกลับมีพลเมืองบาดเจ็บล้มตายไปเกือบล้านคน
เมื่อตัดสินบนฐานศีลธรรมนั้นทั้งสองฝ่ายต่างก็ชั่วร้ายด้วยกันทั้งนั้น อารามเซนต่างอุทิศตนเพื่อประโยชน์ของผู้คนมาโดยตลอด แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่ามันเป็นเช่นนี้อยู่เสมอหรอกหรือ?
มีผู้คนกี่คนที่ตกตายไปในศึกมากมายในประวัติศาสตร์?ทุกครั้งที่เกิดสงครามราชอาณาจักรก็มีผู้คนล้มตายมากมายนับไม่ถ้วน
เจียงอี้เป็นคนเช่นไร?เขาเป็นคนที่ชั่วร้ายและไร้ความปรานีที่สังหารคนไปสี่แสนคน หากอารามเซนยื่นมือเข้าไปช่วย เจียงอี้ก็คงจะไม่ได้รู้สึกอะไรเช่นกันหากจะต้องทำลายอารามเซนจนย่อยยับไป
ส่วนปรมาจารย์หลิงนั้นก็ไม่มีผู้ใดพบเขาเลยตอนนี้เขาอาจจะตายไปแล้ว ซึ่งความแข็งแกร่งของนักบวชเฒ่าเองก็ถือว่าพอใช้ได้แต่เขาก็ยังไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับปรมาจารย์หลิง
หลิงเสวี่ยและคนอื่นๆสุดจะจนปัญญาแล้วเหล่าอาณาจักรเซิ่งหลิงยิ่งเคร่งเครียดมากกว่าเดิมและสั่งให้พวกเขาช่วยตามหาตัวเจียงเสี่ยวนู๋และกลุ่มของนางหลายต่อหลายครั้ง เขาส่งข้อความลงไปอย่างชัดเจนว่า “หากพวกเจ้าคนใดพาเจียงเสี่ยวนู๋และกลุ่มของนางไปโปรดนำพวกเขากลับมาทันที ไม่เช่นนั้นอาณาจักรเซิ่งหลิงจะพินาศลง”
หลิงเสวี่ยและคนอื่นๆไม่ได้ดำเนินการใดๆเมื่อครบกำหนดห้าวัน เจียงอี้ก็ได้สั่งให้กองกำลังนับล้านของเขาเดินทัพไปยังอาณาจักรเซิ่งหลิง เมื่อกองทหารเข้าสู่ดินแดนอาณาจักรเซิ่งหลิงแล้ว เมืองเพลิงภูตซึ่งเป็นเมืองสำคัญทางตะวันตกของอาณาจักรก็ถูกยึดครองในทันที หลังจากที่สังหารสมาชิกตระกูลหลานและทหารนับแสนในเมืองไป ทั่วทั้งอาณาจักรเซิ่งหลิงก็ตกอยู่ในความอลหม่าน
เจียงอี้ไม่ได้พูดเล่น!
เขาไม่ได้สนใจว่าจะสังหารผู้คนไปเท่าไหร่ผู้ใดก็ตามที่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของเขา เช่นนั้นก็มีเพียงความตายเท่านั้นที่รอพวกเขาอยู่
ดังนั้นกองทัพในเมืองด้านตะวันออกของอาณาจักรเซิ่งหลิงจึงเริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อยพวกเขากลับไปเป็นเพียงพลเมืองอีกครั้ง และเจียงอี้ก็คงจะไม่สังหารพวกเขาใช่ไหม?
มีพลเมืองเพียงไม่กี่คนในเมืองเพลิงภูติที่ตกตายไปและสิ่งนี้ก็ได้รับการพิสูจน์แล้ว….ในไม่กี่วันต่อมา กองทัพได้กวาดล้างไปหลายเมืองทางตะวันออก ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้อยู่ในเครื่องแบบทหาร, ไม่มีอาวุธและยอมคุกเข่าให้เหล่ากองทัพทหารที่มาถึง พวกเขาก็จะไม่เป็นอะไร กองทัพของเจียงอี้ไม่ได้สังหารใครเลยจริงๆ และเมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป เหล่าทหารในเมืองทางตะวันออกทั้งหมดก็เริ่มพากันหันเหไปเป็นจำนวนมาก และในไม่ช้าทหารเซิ่งหลิงทั้งหมดก็ทำเช่นเดียวกัน
ไม่มีผู้ใดอยากตายเมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง พวกเขาจะต้องตายหากพวกเขาต่อต้าน
จอมพลเฒ่าของอาณาจักรเซิ่งหลิงนั้นตายไปแล้วแล้วใครจะสามารถหยุดเจียงอี้ได้อีก?
ในเมื่อไม่มีความหวังเลยและไม่มีผู้ใดอยากตาย…เมื่อมีคนหนึ่งลงมือทำแล้วย่อมต้องมีผู้ที่ทำตามเป็นธรรมดาในเมืองเล็กๆบางเมือง ทหารนับพันได้หนีไปในคืนเดียวและไม่เหลือใครอยู่เลยนอกจากเจ้าเมือง
เจียงเหรินถูอยู่แนวหน้าของกองทัพนับล้านนี้ผู้เชี่ยวชาญตระกูลจ้านหลายคนก็เข้าร่วมกองกำลังและเป็นผู้นำทัพ ตระกูลเฉียนก็คอยดูแลจัดสรรเรื่องเสบียง แม่ทัพหลูเป็นผู้คอยจัดการ ส่วนแม่เฒ่าบุปผาสีเงินและสัตว์อสูรหยาจื้อคอยออกลาดตระเวน ฉะนั้นเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาพบผู้ต่อต้าน พวกเขาก็จะสามารถสังหารเหล่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวเพื่อให้กองทัพบุกเข้าเมืองได้อย่างง่ายดาย
ในเวลาเพียงสิบห้าวัน!
เจียงอี้ใช้เวลากว่ายี่สิบวันในการพิชิตอาณาจักรเสินหวู่แต่ตอนนี้เขาใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนในการพิชิตอาณาจักรเซิ่งหลิง แต่ก็แน่นอนว่า….มันคือความจริงที่ว่าสองในสามส่วนของกองทัพเซิ่งหลิงนั้นปลดหน้าที่ตนเองไป เมืองหลายเมืองไม่มีทหารเหลืออยู่เลยจึงทำให้กองทหารของเจียงอี้สามารถยึดครองได้ทันทีเมื่อกองทัพของเขามาถึง
ในวันที่สิบเจ็ดกองทหารได้ปิดล้อมเมืองหลวงของอาณาจักรเซิ่งหลิง ก่อนที่เจียงอี้จะสั่งให้กองทัพของเขาโจมตี เซิ่งเทียน ผู้ที่เป็นองค์ราชาของอาณาจักรเซิ่งหลิงก็ได้นำเหล่าขุนนางและแม่ทัพออกมาจากเมืองเพื่อยอมจำนนต่อเจียงอี้พร้อมกับทหารอีกสามแสนนาย
เจียงอี้เคยกล่าวไว้ครั้งหนึ่งแล้วว่าเขาจะไม่ยอมรับการจำนนใดๆทั้งสิ้น
เขากำลังจะสังหารพวกเขาทั้งหมดแต่จ้านอีหมิงและเฉียนกุ้ยชี้แนะให้เขานำคนเหล่านี้มาร่วมทัพด้วยเขาสามารถเนรเทศองค์ราชาแห่งอาณาจักรเซิ่งหลิงไปพร้อมกับพรรคพวกของเขาและรวบกองกำลังทหารให้กลายเป็นกองทัพของเขาเองได้ แม่เฒ่าบุปผาสีเงินก็คอยเกลี้ยกล่อมเขา หากไม่มีกองทัพ เขาก็ไม่สามารถควบคุมดินแดนทั้งหมดที่เขาพิชิตมาได้
เจียงอี้เองไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้นเขาไม่ได้คิดจะรวมทวีปด้วยซ้ำ ในขณะที่จ้านอีหมิง, เฉียนกุ้ยและแม่เฒ่าบุปผาสีเงินกลับมีความคิดเช่นนั้น เพราะท้ายที่สุดแล้วอำนาจของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกันหากเจียงอี้ได้กลายเป็นจักรพรรดิผู้ปกครองทวีปนี้
เจียงอี้ไม่สามารถปฏิเสธคำชี้แนะของพวกเขาได้และตกลงยอมรับการจำนนของราชาอาณาจักรเซิ่งหลิงเขานำทหารสามแสนนายเข้ามาร่วมกองทัพด้วยและอาณาจักรเซิ่งหลิงก็ได้ล่มสลายไปอย่างเป็นทางการ
ในไม่ช้าเจียงอี้ก็ประกาศที่จะโจมตีอาณาจักรเป่ยหมางในอีกห้าวัน เขาจะไม่ยอมรับการจำนนใดๆ และหากเหล่าทหารอยากที่จะมีชีวิตอยู่ ในตอนนี้มันก็เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่พวกเขาจะกลับใจได้
ข่าวดังกล่าวแพร่ไปยังอาณาจักรเป่ยหมางและสร้างความโกลาหลขึ้นแต่อย่างไรก็ตาม สามวันต่อมา อาณาจักรเป่ยหมางก็ได้ร่วมมือกับจักรวรรดิมังกรเวหาและอาณาจักรเป่ยเหลียง พวกเขาร่วมกันประกาศราชโองการลงมาซึ่งทำให้เกิดร่องรอยของความหวังแก่พลเมืองเป่ยหมางขึ้น
แต่การประกาศราชโองการนั้นค่อนข้างจะเป็นจดหมายท้าทายเสียมากกว่า!
จักรวรรดิมังกรเวหาผนึกกำลังกับอีกสองอาณาจักรและท้าทายเจียงอี้การต่อสู้ถูกกำหนดไว้ที่นอกเมืองเทียนชิง กองทัพของทั้งสองอาณาจักรได้รวมตัวกันที่เมืองเทียนชิงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเห็นได้ชัดว่าพวกเขาจะขอสู้กับเจียงอี้จนตัวตาย
ทวีปนี้เริ่มระส่ำระส่ายเมื่อข่าวถูกแพร่ออกไป
ทุกคนรู้ดีว่านี่อาจจะเป็นศึกชี้ชะตาหากเจียงอี้ชนะ ทวีปทั้งทวีปก็จะกลายเป็นปึกแผ่น แต่หากเจียงอี้แพ้ สถานการณ์ของทวีปนี้ก็จะซับซ้อนอีกครั้ง
ในที่สุดช่วงเวลาแห่งประวัติการณ์กำลังจะมาถึงแล้วหรือ?
“ท่านอุปราชท่านไม่สามารถรับคำท้าได้แม้ว่ามันจะกลายเป็นศึกชี้ชะตา แต่มันไม่สามารถเป็นเมืองเทียนชิงได้ เราควรที่จะยึดแผนการเดิมในการโจมตีอาณาจักรเป่ยหมางเอาไว้และคอยดูว่าเซียวหลงหวางและกองทัพเป่ยหมางจะกลับมาหรือไม่”
“ถูกต้องก่อนนี้จักรวรรดิมังกรเวหาและอีกสองอาณาจักรนั้นอยู่ในความเงียบมาตลอด แต่จู่ๆพวกเขากลับประกาศท้าสู้ออกมา มันอาจจะเป็นกับดักก็ได้ เราต้องไม่ไปเล่นตามพวกเขา เราควรจะให้พวกเขาเล่นตามกฏของเรา”
เมื่อจดหมายท้าทายถูกส่งไปยังกองทัพของเจียงอี้เจียงเหรินถู, จ้านอีหมิงและเฉียนกุ้ยต่างก็แสดงความเห็นของพวกเขาออกมา มีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเมื่อจักรวรรดิมังกรเวหาและอาณาจักรทั้งสองเกิดแข็งข้อขึ้นมา พวกเขาอาจจะวางข่ายกับดักในเมืองเทียนชิงอยู่ในตอนนี้และรอให้เจียงอี้เดินเข้าไปในกับดักก็ได้
“เหอะๆ”
เจียงอี้ยิ้มรางๆและส่ายหัว“ด้วยความแข็งแกร่ง กลอุบายใดๆก็จะไม่มีผลกับเรา หากพวกมันฆ่าข้าได้ ข้าก็จำต้องตาย หากแม้ว่าข้าจะหนีไปจนสุดขอบโลก แต่ในเมื่อมันเป็นศึกชี้ชะตา ไม่ว่าจะเร็วหรือช้า เช่นนั้นเรื่องสถานที่ก็คงไม่สำคัญ พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรไปมากกว่านี้หรอก ส่งคำสั่งของข้าลงไป ให้เหล่ากองทัพทั้งหมดออกเดินทัพไปยังเมืองเทียนชิงเดี๋ยวนี้!”
บทที่ 490 ถล่มเมืองเทียนชิงให้ข้า
มีบางอย่างไม่ชอบมาพากลแน่นอนในตอนที่จักรวรรดิมังกรเวหาและทั้งสองอาณาจักรลุกขึ้นมาท้าทายเจียงอี้ซึ่งมันก็คือฝีมือของโถงวรยุทธ!
เมื่อวานนี้ประมุขสาขาโถงวรยุทธในเมืองเทียนชิงได้นำข้อความกลับมาจากโถงวรยุทธ ประมุขใหญ่โถงวรยุทธนั้นเป็นผู้สั่งการให้จักรวรรดิมังกรเวหาและทั้งสองอาณาจักรท้าทายเจียงอี้ด้วยตัวเองและ….โถงวรยุทธจะยื่นมือเข้ามาเมื่อถึงคราวจำเป็น
ประมุขสาขาโถงวรยุทธนำป้ายคำสั่งจากประมุขโถงวรยุทธมาป้ายคำสั่งนี้มีความพิเศษมากและไม่สามารถเลียนแบบได้ ซึ่งแน่นอนว่าประมุขสาขาก็คงไม่กล้าเปิดเผยข้อมูลใดๆออกมา
ดังนั้นหลังจากที่หลิงเสวี่ยหารือกับเซียวหลงหวางและชาตี้อยู่นานพวกเขาก็ตัดสินใจที่จะส่งหมายท้าทายไปในที่สุด พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นหรือข้อต่อรองใดๆกับโถงวรยุทธ พวกเขาต้องท้าสู้กับเจียงอี้และตั้งความหวังสุดท้ายไว้กับโถงวรยุทธ
เจียงอี้สั่งให้เหล่ากองกำลังนับล้านตรงไปยังเมืองเทียนชิงกองทหารไม่ได้แยกออกเป็นหน่วยกองและได้แผ่ยาวไปห้ากิโลเมตร ขบวนทัพเดินไปอย่างยิ่งใหญ่ไปทางทิศเหนือ
แนวหน้าของทัพได้ไปถึงอาณาจักรเป่ยหมางแล้วแต่เจียงอี้ยังไม่ได้สั่งการให้โจมตีตราบใดที่พวกเขาชนะการต่อสู้ที่เมืองเทียนชิง การล่มสลายของอาณาจักรเป่ยหมางนั้นก็เหลือเพียงแค่เรื่องของเวลา
สิ่งที่ทำให้หลิงเสวี่ยและคนอื่นๆกังวลก็คือโถงวรยุทธยังไม่มีการดำเนินการใดๆโถงวรยุทธสาขาทั้งทวีปเองก็ไม่มีวี่แววว่าจะส่งผู้เชี่ยวชาญมายังเมืองเทียนชิง หลิงเสวี่ยขอให้ประมุขสาขาโถงวรยุทธส่งกองกำลังมา แต่ทางประมุขสาขาก็ตอบเพียงว่าเมื่อถึงเวลา พวกเขาจะส่งทหารไปเอง
อาณาจักรเป่ยหมางได้ส่งกองกำลังชั้นยอดมาห้าแสนนายอาณาจักรเป่ยเหลียงส่งมาอีกหกแสนนาย และยังมีกองกำลังอีกแสนนายจากจักรวรรดิมังกรเวหา ก็รวมได้ล้านสองแสนนาย มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวหลายพันคนในจักรวรรดิมังกรเวหาซึ่งนี่เป็นแนวร่วมที่ทรงพลังอย่างยิ่งและเซียวหลงหวางและชาตี้ก็จะสั่งการจากเมืองเทียนชิง แต่ทุกคนก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัย
นั่นเป็นเพราะคู่ต่อสู้ของพวกเขาคือเจียงอี้!
…
“รายงาน…”
ณพรมแดนระหว่างอาณาจักรเป่ยหมางและอาณาจักรเซิ่งหลิง เจียงอี้เพิ่งมาถึงพร้อมกับกองกำลังที่อยู่ด้านหลัง แม่ทัพผู้หนึ่งก็ขี่ม้ามาทางเจียงอี้และลงจากม้าและอยู่ห่างออกไปห้าสิบเมตร ทันใดนั้นแม่ทัพผู้นั้นก็แสดงความเคารพและตะโกนว่า “เรียนท่านอุปราช นักบวชเฒ่ามาจากทางตะวันตกและขอพบท่านพะยะค่ะ”
ก่อนหน้านี้เจียงอี้อยู่ตรงกลางของขบวนแต่จู่ๆเขาก็หายไปวันนึงในช่วงที่พวกเขาผ่านหุบเขาชิงวิญญาณเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาไม่ได้กล่าวว่าจะไปที่ใดจึงไม่มีผู้ใดถาม
“นักบวชเฒ่า?”
เจียงอี้เลิกคิ้วและแม่เฒ่าบุปผาสีเงินก็ลอยขึ้นไปกลางอากาศจากนั้นนางก็ร้องลั่นออกมา“นั่นเป็นท่านนักบวชหยวนทงแห่งอารามเซน!”
อารามเซนตั้งอยู่ในพรมแดนระหว่างทั้งสองอาณาจักรและอยู่ห่างออกไปเพียงห้าสิบกิโลเมตรมีเพียงนักบวชเฒ่าเท่านั้นที่กล้ามาที่นี่คนเดียวและต่อสู้กับเจียงอี้
“ให้กองทัพเดินหน้าต่อไปข้าจะรีบกลับมา”
เจียงอี้ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะโบกมือและควบม้าไปทางตะวันตกสัตว์อสูรหยาจื้อและแม่เฒ่าบุปผาสีเงินมองหน้ากันและตามเขาไปเงียบๆ หากนักบวชเฒ่านี่ดันทุรัง พวกเขาก็ไม่รังเกียจที่จะข่มขู่เขาเสียหน่อย
ที่ยอดเขาเล็กๆมีนักบวชชรายืนนิ่งเงียบถือ [1] ไม้ขักขระอยู่ ตาของเขาหลับอยู่และมีกลิ่นอายที่กลมกลืนไปกับภูเขาลูกเล็กนี้ เมื่อมองจากที่ไกลๆ เขาเหมือนต้นไม้หรือเสาหินที่ตั้งอยู่ในภูเขาซึ่งมันดูน่าหลงใหลยิ่งนัก
กร้อบ!กร้อบ! กร้อบ!
เจียงอี้ค่อยๆขี่ม้าศึกมาอย่างช้าๆเขาดูสงบมากและสัตว์อสูรหยาจื้อและแม่เฒ่าบุปผาสีเงินก็ลอยอยู่บนอากาศห่างไกลออกไป หากปราศจากคำสั่งของเจียงอี้ พวกเขาก็จะไม่เข้าไปใกล้กว่านี้
ใต้ยอดเขาเจียงอี้ลงจากหลังม้าและเดินไปที่ยอดเขา เขาดูเฉยเมยราวกับว่าเขากำลังเดินอยู่ในสวนของตัวเอง ส่วนนักบวชบนยอดเขาก็ยังไม่ลืมตาและดูเหมือนว่าเขาหลับอยู่
เมื่อขึ้นไปถึงยอดเขาเจียงอี้ก็ยืนอยู่ตรงหน้านักบวชผู้นั้น เขาค่อยๆป้องกำปั้นและพูดอย่างอ่อนน้อม “เจียงอี้คารวะท่านนักบวชหยวนทง”
เขาลืมตาขึ้นมาและโค้งคำนับเล็กน้อย“เราพบกันอีกครั้งแล้วนะ ประสกเจียง”
เจียงอี้ยิ้มออกมาและกล่าวว่า“ที่ท่านมาในครั้งนี้เพราะมีสิ่งใดชี้แนะหรือไม่?”
“ข้าไม่ได้จะชี้แนะเจ้า”
นักบวชเฒ่าดูเคร่งขรึมและน้ำเสียงของเขาก็ดูเคร่งเครียด“ข้าขอพบประสกเจียงเพื่อวิงวอนขอความเมตตาให้เหล่าคนธรรมดา เจ้ามีกลิ่นอายสังหารที่รุนแรงมาก และสิ่งนี้ไม่ได้ทำให้โลกสงบสุข เราต่างเวียนว่ายตายเกิด กรรมนั้นเป็นสิ่งที่ยังคงอยู่และจะต้องมีวันที่เราได้รับผลกรรม การสังหารผู้คนมากเกินไปอาจทำให้ประสกหน้ามืดตามัวและถูกจูงไปยังเส้นทางที่ชั่วร้าย บางทีเจ้าอาจไม่รู้สึกถึงมันในตอนนี้ แต่บาปที่สั่งสม วันหนึ่งมันจะปะทุและอาจทำลายอนาคตเจ้า…”
“อนาคตข้า?ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เจียงอี้ส่ายหัวและยิ้มออกมาร่างกายของเขาพิการไปแล้วในตอนที่เขาขัดเกลาศิลาสวรรค์ แล้วอนาคตแบบใดกันที่รอเขาอยู่?
เวรและกรรมนั้นไร้ค่าเขาจะปล่อยซูรั่วเสวี่ยและเจียงเสี่ยวนู๋ไปเพียงเพราะกลัวการลงโทษจากสวรรค์ในอนาคตได้อย่างไร?
ใบหน้าของเขาเย็นชาลงในทันใดเขามองไปที่นักบวชเฒ่าและถามว่า “เช่นนั้นท่านบอกข้าได้หรือไม่ว่าในตอนนี้ข้าควรทำเช่นไร? ลดดาบลงแล้วรอให้คนอื่นนำดาบมาจ่อคอข้า? แล้วข้าจะกลายเป็นอรหังหลังจากตายไปแล้วหรือ?”
“เฮ้อ..”
นักบวชเฒ่ารู้แล้วว่าตัวเขาไม่สามารถเกลี้ยกล่อมให้เจียงอี้หยุดศึกครั้งใหญ่ที่ใกล้เข้ามาได้เขาถอนใจเฮือกใหญ่ “ข้าไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่เจ้ากำลังทำอยู่ ข้าเพียงหวังอ้อนวอนแทนปุถุชน โปรดสังหารให้น้อยลงเมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ การช่วยชีวิตผู้คนนั้นดีกว่าการสร้างเจดีย์เจ็ดชั้นเสียอีก การไว้ชีวิตคนคนเดียวนั้นก็ถือเป็นพรสำหรับคนธรรมดาแล้ว”
น่าแปลกที่เจียงอี้ไม่โกรธแต่เขากลับพยักหน้าและตอบอย่างนับถือ “เจียงอี้จะจดจำคำชี้แนะของท่านเอาไว้”
นักบวชเฒ่าก้มหัวเล็กน้อยก่อนที่จะหันไปและเดินลงจากภูเขาทุกย่างก้าวของเขานั้นก้าวไปไกลหลายร้อยเมตรและเพียงไม่กี่พริบตา เขาก็หายลับไปแล้ว
“ฮู่ฮู่วว….”
เจียงอี้หายใจลึกๆและมองไปทางนักบวชเฒ่าอย่างช่วยไม่ได้เขายืนอยู่บนเขาเป็นเวลานานก่อนที่จะถอนใจและส่ายหัว “ท่านนักบวช ไม่ใช่ว่าข้ามีความสุขกับการสังหารคนหรอก พวกเขาบีบคั้นข้าหนักเกินไปและเลือกใช้ทางของพวกมันเองโดยไม่ได้คำนึงถึงความสมัครใจของข้า หากข้าไม่จับดาบขึ้นสู้ พวกมันก็จะสังหารข้าและครอบครัวของข้า เหตุผลไม่มีอยู่จริงในโลกนี้ ความยุติธรรมคือสิ่งใดและสิ่งใดคือชั่วร้ายกัน? แล้วผู้ใดกันที่จะสอนข้าได้?”
…
กองทัพแนวหน้าใช้เวลาประมาณเจ็ดแปดวันเพื่อเดินทางมาถึงเมืองเทียนชิงเจียงเหรินถูสั่งให้กองทหารตั้งค่ายห่างจากเมืองไปประมาณห้ากิโลเมตรเพื่อรอให้เจียงอี้มา
เมื่อสองปีก่อนจักรพรรดินีสัตว์อสูรก็เคยนำทัพอสูรมาโจมตีเมืองที่นี่ และตอนนี้ก็ยังคงมีร่องรอยของสัตว์อสูรอยู่ เกราะป้องกันยักษ์เรืองแสงอยู่รอบเมืองเทียนชิง ภายในโล่นั้นเต็มไปด้วยทหารที่อยู่บนกำแพงเมืองและทุกคนต่างรู้สึกไม่สบายใจนัก
ผู้ใดจะชนะศึกนี้?
พวกเขาไม่รู้เลยพวกเขารู้เพียงว่าพวกเขาทั้งหมดอาจตายอยู่ในเมืองเทียนชิงเมื่อการต่อสู้นั้นจบลง
หลิงเสวี่ยและคนของนางไม่ได้ปรากฏอยู่บนกำแพงเมืองแต่มีแม่ทัพทั้งห้าของเมืองมาแทน แม่ทัพหลงสามารถหนีออกมาจากเมืองเซี่ยยวี่ได้ พวกเขาทั้งหมดเกิดความรู้สึกที่หลากหลายมากมายเมื่อเห็นกองทัพที่รวมตัวกันอยู่ข้างนอกนั่น
ย้อนไปในตอนนั้นเจียงอี้เป็นทูตตรวจตราของจักรวรรดิมังกรเวหาและได้รับคำสั่งให้ตามหาจิ้งจอกน้อยในเมืองเทียนชิง เขาได้พาพวกเขาไปโจมตีที่พำนักขององค์ชายใหญ่ และในตอนนี้ ภาพของเจียงอี้ที่ออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดในวันนั้นก็ปรากฏขึ้นในความคิดพวกเขาทั้งหมด
สิ่งต่างๆย่อมแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลาผู้คนก็เช่นกัน!
เจียงอี้มาที่เมืองเทียนชิงอีกครั้งแต่คราวนี้เขามาพร้อมกับกองทัพนับล้านเพื่อต่อสู้ศึกที่ร้ายแรง
ในที่สุดกองทหารทั้งหมดก็มาถึงในอีกครึ่งวันของวันนี้ กองกำลังนับล้านทอดยาวไปไกลสุดลูกหูลูกตา มันไม่มีเสียงใดๆซึ่งสร้างความรู้สึกอัดแน่นในใจขึ้น พวกเขาเป็นเหมือนดั่งสัตว์อสูรนับล้านที่พร้อมจะแยกเขี้ยวของพวกมันตลอดเวลาและโค่นล้มเมืองเทียนชิงลงมา
เมื่อถึงรุ่งสาง,เมื่อแสงแรกสว่างขึ้นทางตะวันออก ผู้คนก็ได้ยินเสียงบางอย่างที่ทะลุผ่านอากาศมา สัตว์อสูรขนาดยักษ์บินมาอย่างช้าๆ ที่ด้านหลังของมันมีร่างร่างหนึ่งยืนนิ่งอยู่ และมีหญิงชราที่ถือคทาบินอยู่ข้างๆพวกเขา
เมื่อเจียงอี้อยู่เหนือกองทัพทหารเขาก็มองไปยังเมืองเทียนชิงและไม่ได้พูดอะไรที่ไม่จำเป็น แสงสีแดงกระพริบออกมาจากมือของเขาและดาบมังกรเพลิงก็ปรากฏขึ้น ทันใดนั้นเขาก็เหวี่ยงดาบไปข้างหน้าและตะโกนออกมาว่า “นักสู้ขอบเขตเสินโหยวทั้งหลาย โจมตี! ถล่มเมืองเทียนชิงนี้ให้ข้า!”
[1]ไม้ขักขระเป็นไม้เท้าที่พรงสงฆ์จีนโบราณถือ ลักษณะเป็นห่วงๆมีเสียงเล็กน้อย