เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 493 -494
บทที่ 493 เขาช่างขี้ขลาดนัก
“ชาตี้ระวัง!”
เซียวหลงหวางคอยเฝ้าดูเจียงอี้ตลอดและหลังจากที่เจียงอี้หายตัวไปเขาก็ตะโกนขึ้นมาทันที
ดวงตาของชาตี้เย็นชาลงทันใดหอกในมือของเขาเปล่งแสงสีทองและกลายเป็นภาพหอกสิบๆล้านหอกซึ่งพุ่งไปยังแม่เฒ่าบุปผาสีเงิน เขากวาดตาไปรอบๆด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์และพบว่าห้วงอากาศข้างหลังเขาสั่นไหว เขาจึงควงหอกไปด้านหลังของเขาซึ่งมันพุ่งออกมาราวกับมังกรวารี
ฟรึ่บ!
ช่องว่างอากาศด้านหลังชาตี้สั่นไหวและรวมตัวกันเจียงอี้ไม่ได้เกิดความตกใจใดๆเมื่อเห็นหอกสีทองพุ่งมาทางเขาแต่เขากลับยิ้มออกมาด้วยความดูถูกแทน
เขาได้คำนวณตำแหน่งย้ายร่างฉับพลันแล้วเรียบร้อยเขาอยู่ห่างจากชาตี้ที่กำลังป้องกันการโจมตีจากแม่เฒ่าสามร้อยเมตรซึ่งมันต้องใช้เวลาพักหนึ่งกว่าที่ชาตี้จะเปลี่ยนเป้าหมายการโจมตีของเขาซึ่งมันก็เพียงพอสำหรับเจียงอี้แล้วที่จะเริ่มโจมตีก่อน
ฟึ่บ!ฟั่บ!
มือของเขาสว่างไปด้วยแสงสีเขียวเขาปลดปล่อยฝ่ามือออกมาสองสามครั้ง ทันใดนั้นเปลวเพลิงก็ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าและกำลังมอดไหม้ มังกรศักดิ์สิทธิ์หลายตัวกำลังแหวกว่ายอยู่ในเปลวเพลิงเหล่านี้และมีอุณหภูมิที่สูงมาก แม้แต่แม่เฒ่าบุปผาสีเงินที่อยู่ห่างออกไปก็ยังสัมผัสได้ถึงความร้อนที่น่ากลัวและเปียกโชกไปด้วยเม็ดเหงื่อ นับประสาอะไรกับชาตี้ที่กำลังจะพุ่งเข้าหาเจียงอี้
ฟึ่บ!
ชาตี้ไม่กล้าเข้าไปใกล้กว่านี้ซึ่งมันก็ถูกต้องแล้ว! หากเขายังโจมตีต่อไป เขาอาจจะสามารถโจมตีเจียงอี้ได้ทันที แต่มันจะเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเขาฝ่าทะเลเพลิงตรงหน้าไปได้
เขาจะข้ามทะเลเพลิงไปได้หรือ?
สตรีร้อยบุปผาและเจ้าสำนักหยูต่างก็ถูกเปลวเพลิงแผดเผาจนตายทั้งเป็นและแน่นอนว่าเขาจะต้องถูกเผาเช่นกันและเมื่อเขาบาดเจ็บแล้ว เขาจะสามารถจู่โจมเจียงอี้ได้หรือ?
เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องถอยหนีแต่แม่เฒ่าบุปผาสีเงินก็อยู่ข้างหลังเขา นางเหวี่ยงคทาไปทางชาตี้จนทำให้พื้นที่ตรงนั้นสั่นสะเทือน
ฟึ่บ!ฟั่บ!
ร่างของเจียงอี้กระพริบไปมาอยู่กลางอากาศเขายิงมังกรเพลิงนับหมื่นหรือทะเลเพลิงไปทางชาตี้เป็นครั้งคราว และแม่เฒ่าบุปผาสีเงินก็ยังคงคอยโจมตีเขา จนชาตี้เหนื่อยล้ากับการจัดการพวกเขาทั้งสองพร้อมกัน เขาอาจจะถูกสังหารภายในห้านาทีนี้
โฮกก!โฮกกก!
เซียวหลงหวางที่อยู่อีกด้านหนึ่งต้องการที่จะไปช่วยชาตี้แต่สัตว์อสูรหยาจื้อก็กะพรือปีกอยู่บนฟ้าอย่างบ้าคลั่ง มันสะบัดกรงเล็บอันแหลมคมของมันและคอยปลดปล่อยวิชาอสูรออกมาเป็นระยะเพื่อให้เซียวหลงหวางต้องติดอยู่ตรงนี้
แน่นอน….
ไม่ว่าจะเป็นเพราะเซียวหลงหวางยุ่งอยู่กับสัตว์อสูรหยาจื้อหรือไม่ได้ต้องการช่วยเหลือชาตี้นั้นก็มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้
“หยุดสู้ได้แล้วหยุดสู้ที! เจียงอี้ ข้ายอมแพ้ ข้าเต็มใจยอมให้ผนึกดวงจิตเจ้าและยอมเป็นทาสของเจ้า! ข้าขอเพียงให้เจ้ายอมไว้ชีวิตข้าเถอะ”
เจียงอี้ได้ยินเสียงของชาตี้ในหูและเมื่อฟังจากน้ำเสียงของเขาเขาไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ มันฟังเหมือนว่าเขายอมจำนนจริงๆและเจียงอี้ก็ตามน้ำไปด้วยเพราะมันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรที่จะรับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังมาเป็นทาสของเขา
แต่เจียงอี้ก็ไม่ใช่เด็กไร้เดียงสาอย่างที่เขาเคยเป็นอีกต่อไปโถงวรยุทธยังไม่ลงมือและจะเกิดอะไรขึ้นหากว่านี่เป็นกับดัก?ดังนั้นเจียงอี้จึงมองไปที่ชาตี้อย่างเย็นชาและมีท่าทีที่สงสัยและเขาไม่เคยเรียนรู้การสื่อสารผ่านเสียง เขาจึงได้แต่ถ่ายทอดความคิดของเขาออกมาผ่านท่าทาง
“เจ้าอยากให้ข้าโจมตีเซียวหลงหวาง?”
ชาตี้เป็นคนที่ฉลาดมากเขาเข้าใจท่าทางของเจียงอี้ในทันทีและสื่อสารกับเขาอีกครั้ง ความตั้งใจของเจียงอี้นั้นชัดเจนมาก หากชาตี้ลอบโจมตีเซียวหลงหวางและสังหารเขา เจียงอี้ก็จะยอมรับการจำนนของชาตี้
เจียงอี้ทำให้ชาตี้เกิดความลังเลแม่เฒ่าบุปผาสีเงินรู้ว่าพวกเขาทั้งสองแอบสื่อสารกันและยังคงโจมตีอย่างรุนแรง ซึ่งมันทำให้ชาตี้รู้สึกแย่จนสุดจะพรรณนาและยากที่จะคอยป้องกันการโจมตีของนาง หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ส่งเสียงออกมา “ก็ได้ เจียงอี้ เจ้านั้นเป็นคนเลื่องชื่อลือนามอยู่บ้าง ข้าหวังว่าเจ้าจะรักษาคำพูดของเจ้า ข้าจะส่งข้อความหาแม่เฒ่าบุปผาสีเงิน ส่วนเจ้าก็ร่วมมือกับข้าเพื่อโจมตีเซียวหลงหวาง”
ชาตี้ส่งข้อความไปยังแม่เฒ่าบุปผาสีเงินที่กำลังตกตะลึงและมองไปที่เจียงอี้นางนั้นก็เป็นคนที่รู้แจ้งและเข้าใจเขาทันที และนางก็พุ่งจู่โจมในทันที
“ชาตี้ตายซะ!”
เจียงอี้ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มเขาย้ายร่างฉับพลันและปล่อยทะเลเพลิงออกมาหลายครั้งจนทำให้ชาตี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหนีไปทางเซียวหลงหวาง แม่เฒ่าบุปผาสีเงินได้โอกาสและโจมตีไปที่หลังของชาตี้ด้วยคทาของนาง ส่วนชาตี้ก็บินไปหาเซียวหลงหวางราวกับว่าวที่สายป่านขาด หลังของเขาแตกหักและดูเหมือนว่าเขาจะบาดเจ็บสาหัส
“ชาตี้!”
การสื่อสารกันระหว่างชาตี้กับเจียงอี้นั้นมิดชิดมากและดูเหมือนว่าเซียวหลงหวางจะไม่ทันสังเกตเห็นมัน เมื่อเขาเห็นชาตี้เกือบจะถูกสังหาร เขาก็คำรามออกมาด้วยความโศกเศร้า
เขาใช้ง้าวในมือปลดปล่อยกำลังทั้งหมดออกมาและปล่อยสัตว์ร้ายออกมาเพื่อป้องกันสัตว์อสูรหยาจื้อเขาจับชาตี้ไว้ด้วยมือข้างเดียวและกวาดง้าวไปยังแม่เฒ่าบุปผาสีเงินที่ตามหลังมา เขาพยายามทำให้แม่เฒ่าบุปผาสีเงินต้องถอยร่นไปและช่วยชาตี้เอาไว้
ฟึ่บ!
แววตาของชาตี้นั้นกลับมืดมนขึ้นมาเขาแทงเซียวหลงหวางด้วยหอกในมือของเขา พวกเขาห่างกันไม่ถึงสามสิบเมตรและหอกก็กวัดแกว่งด้วยความเร็วที่ไวมากและกำลังจะไปถึงเซียวหลงหวาง
“หืมข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าเป็นพวกคนเนรคุณใจเหี้ยม”
ไม่เพียงแต่เซียวหลงหวางจะไม่ตื่นตระหนกแต่เขายังหัวเราะเยาะออกมาอีกเสื้อคลุมหลากสีของเขาทอประกายและง้าวที่ก่อนหน้านี้เล็งไปทางแม่เฒ่าบุปผาสีเงินก็เปลี่ยนทิศทางมายังเอวของชาตี้อย่างกะทันหัน
ปัง!
หอกของชาตี้แทงเข้าที่หน้าอกของเซียวหลงหวางแต่น่าแปลกที่มันไม่ทะลุร่างของเขา เสื้อคลุมหลากสีทอประกายแวววาวซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันคือสิ่งประดิษฐ์ป้องกันศักดิ์สิทธิ์
ปัง!
ในทางกลับกันชาตี้รู้สึกอนาถใจนักเพราะเซียวหลงหวางแข็งแกร่งและว่องไวกว่าเขามาก เขาจะรอดจากการโจมตีนี้ไปได้อย่างไรเมื่อพวกเขาทั้งสองอยู่ใกล้กันขนาดนี้? ง้าวที่ถูกวาดกลับมาด้วยแรงที่ท่วมท้นทำให้ร่างของชาตี้มลายไป
เจียงอี้และแม่เฒ่าบุปผาสีเงินทำอะไรไม่ได้นอกจากเบือนหน้าหนีทั้งสองคนรู้ว่าชาตี้ต้องตายแน่นอน มันคงเป็นเรื่องแปลกหากชาตี้จะรอดชีวิตจากการโจมตีที่รุนแรงของเซียวหลงหวางไปได้
ชาตี้อยากยอมจำนนอย่างแท้จริง!
เจียงอี้ถอนใจอย่างเวทนาเขาคิดว่ามันเป็นการจัดฉากของโถงวรยุทธหรือไม่ก็หลิงเสวี่ย ความสงสัยของเขายิ่งทวีคูณขึ้นเพราะโถงวรยุทธยังไม่ลงมือทำอะไรเลยจนถึงตอนนี้ พวกเขากำลังทำอะไรอยู่นะ?
เขาสำรวจพื้นที่ด้านล่างด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าไม่มีสิ่งใดน่าสงสัย แววตาของเขาก็แผ่กลิ่นอายสังหารออกมา เขามองไปที่แม่เฒ่าบุปผาสีเงินและสัตว์อสูรพร้อมตะโกนว่า “ฆ่า!”
“เซียวหลงหวางตายซะ!”
สัตว์อสูรหยาจื้อระเบิดเสียงคำรามออกมาและแม่เฒ่าบุปผาสีเงินก็เช่นกันทั้งสองกลายเป็นดาบคมที่เล็งไปยังเซียวหลงหวาง ในเวลาเดียวกัน เจียงอี้ก็หายไปในอากาศ
“สวะโถงวรยุทธโหดเหี้ยมนัก อย่าโทษที่ข้าทำเช่นเดิมแล้วกัน!”
เซียวหลงหวางตะโกนเสียงดังเขาโกรธมากหลังจากที่ใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์สำรวจดูและพบว่าโถงวรยุทธยังคงสงบนิ่ง เขายิงการโจมตีออกมาจากง้าวของเขาหลายครั้งก่อนที่จะบินหนีไปราวกับมังกรคลั่ง
ในอดีตเซียวหลงหวางหนีไปแล้วครั้งหนึ่งซึ่งมันได้ทำลายชื่อเสียงของเขาไปชั่วชีวิตแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจมันอีกต่อไป
ชาตี้ก็ตายไปแล้วทหารที่นี่กว่าครึ่งก็เสียชีวิตหรือไม่ก็บาดเจ็บ ขวัญกำลังใจก็ห่อเหี่ยวลง เมืองนี้กำลังจะถูกพิชิตและโถงวรยุทธก็ยังไม่ส่งกองกำลังใดๆออกมา
เขาเผชิญหน้ากับการโจมตีจากสัตว์อสูรหยาจื้อ,แม่เฒ่าบุปผาสีเงินและเจียงอี้ หากเขาไม่หนีไปในตอนนี้ เขาจะถูกสังหารในเวลาไม่ถึงห้านาที มันจะมีประโยชน์อะไรหากแม้ว่าเขาจะลากแม่เฒ่าบุปผาสีเงินและสัตว์อสูรหยาจื้อให้มาตายด้วย?
ไม่มีผู้ใดชอบที่จะตายโดยเฉพาะเหล่าผู้ที่มีอำนาจสูงส่งและผู้มีอำนาจที่รู้ดีว่าพวกเขาจะไม่มีวันทะลวงขอบเขตเทียนจุนได้ตลอดช่วงชีวิตของพวกเขาดังนั้นพวกเขาจึงหวงแหนชีวิตของพวกเขามากยิ่งขึ้น พวกเขานั้นอยู่มายาวนานและสูญเสียความปรารถนาอันสูงส่งและจิตวิญญาณนักสู้ที่พวกเขาเคยในวัยเยาว์
และในเมื่อพวกเขาไม่มีความละอายหรือศักดิ์ศรีใดๆพวกเขาจึงเลือกที่จะขอมีชีวิตอยู่ดีกว่า
ทวีปนั้นไม่ใหญ่มากแต่ก็ล้อมรอบด้วยเกาะมากมายสมาชิกตระกูลเซียวหลายคนออกเรือสู่ทะเลเป็นเวลานานเพื่อหาเกาะที่มิดชิดเพื่อตั้งรกราก
เขาสามารถไปยังทะเลเพื่อฝึกฝนอย่างลับๆและใช้ชีวิตอย่างสงบได้ราวกับว่าการที่อาณาจักรเป่ยหมางล่มสลาย มันมีธุระกงการอะไรที่เป็นเรื่องของเขาด้วยหรือ? แม้ว่าตระกูลเซียวจะเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในอาณาจักรเป่ยหมางและมีสัมพันธ์แนบชิดกับราชวงศ์ แต่ท้ายที่สุดแล้ว แซ่ของราชวงศ์ก็คือแซ่เซียว
“เขาช่างขี้ขลาดนัก….”
เมื่อมองไปที่เซียวหลงหวางที่กลายเป็นลำแสงและหายไปเจียงอี้ก็แตะจมูกของเขาอย่างไร้คำจะพูด เซียวหลงหวางนั้นว่องไวจนพวกเขาไม่สามารถตามได้ทัน ส่วนการต่อสู้ด้านล่างเริ่มรุนแรงขึ้นดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถตามเขาไปได้
เขาต้องย้ายร่างฉับพลันไปข้างล่างและตะโกนออกมาในเวลาเดียวกัน“สัตว์อสูรหยาจื้อ, แม่เฒ่าบุปผาสีเงิน จงลงไปโจมตีเมือง สังหารกองทหารที่เหลืออยู่อีกนับแสนให้ข้า!”
บทที่ 494 กับดักที่หนีไม่พ้น
ปัง!
ศพของชาตี้ตกลงมาทับทหารอาณาจักรต้าเซี่ยสองคนในเวลาเดียวกันเสียงของเซียวหลงหวางก็ดังก้องไปทั่วเมืองเทียนชิงและทุกคนก็มองเห็นจุดดำเล็กๆบนฟ้าที่บินออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ
ชาตี้ตายแล้วและเซียวหลงหวางก็หนีไป!
กองทัพพันธมิตรต่างพากันตกตะลึงขวัญกำลังใจที่แย่อยู่แล้วก็ยิ่งแย่ลงไปอีก ตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังสองคนไม่อยู่แล้ว แล้วมันยังจำเป็นจะต้องสู้ต่ออีกหรือ? เมื่อพวกเขาเห็นสัตว์อสูรหยาจื้อและแม่เฒ่าบุปผาสีเงินพุ่งลงมา พวกเขาก็พากันตื่นตระหนก บางคนก็เริ่มหนีไป
“เจียงอี้จะไม่ยองรับกองทัพที่ยอมจำนนเช่นนั้นเราก็คงทำได้เพียงต่อสู้จนตาย กองกำลังจากโถงวรยุทธกำลังจะมาถึงแล้ว กองกำลังทั้งหมดจงฟัง พวกเจ้าทำได้เพียงแค่ก้าวไปข้างหน้าอย่าถอย หากผู้ใดก็ตามที่หลบหนีไปจะถูกประหารที่นี่!”
หลิงเสวี่ยดึงดาบสีเงินของนางออกมาและหมุนเวียนแก่นพลังของนางดูเหมือนว่ามันมีเวทย์มนตร์อัศจรรย์บางอย่างอยู่ในเสียงของนางเพราะจากที่กองทัพที่กำลังตื่นตระหนกอยู่ๆก็กลับกลายเป็นสงบลงหลังจากที่ได้ฟังเสียงตะโกนของนางและเริ่มจับอาวุธเพื่อต่อสู้กับกองทัพอาณาจักรต้าเซี่ยต่ออีกครั้ง
เจียงอี้กลับไปที่ที่กองกำลังหลักของเขาอยู่และปักหลักอยู่ที่นั่นเมื่อมีแม่เฒ่าบุปผาสีเงินและสัตว์อสูรหยาจื้อแล้ว เมืองนี้ก็รอเพียงเวลาที่นับถอยหลังอย่างช้าก่อนจะล่มสลายลงไป ยิ่งไปกว่านั้น การที่มีเขาอยู่คอยดูสถานการณ์ เขาก็จะสามารถป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องเลวร้ายใดๆขึ้น
โฮกกก!
สัตว์อสูรหยาจื้อขนาดยักษ์บินลงมาจากฟ้ามันไม่จำเป็นต้องปล่อยการโจมตีใดๆออกมา เพียงแค่เหยียบพื้นดินก็ทำให้ทหารนับสิบแหลกเป็นชิ้นๆได้แล้ว มันพุ่งตัวผ่านกองทัพพันธมิตรทำให้กลุ่มทหารถูกบดขยี้จนตาย
การป้องกันของมันนั้นยากเกินกว่าที่นักสู้ปกติจะทำร้ายมันได้มีเพียงการโจมตีจากขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดเท่านั้นที่อาจทำให้มันกังวลได้ แต่แน่นอนว่ามันก็เป็นเพียงความกังวลเล็กน้อย ไม่ว่าจะยังไงสัตว์อสูรหยาจื้อก็ว่องไวและคงเป็นเรื่องยากสำหรับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดที่จะเข้าโจมตีมันได้
การสังหารหมู่!
แม้ว่าความเร็วในการสังหารของสัตว์อสูรหยาจื้อจะไม่น่ากลัวเท่าเจียงอี้แต่มันก็ไม่ได้ต่างกันนัก สัตว์อสูรหยาจื้อนั้นเป็นเหมือนช้างที่พุ่งเข้าหาฝูงแกะและเหยียบพวกเขากลุ่มแล้วกลุ่มเล่าจนกลายเป็นผ้าขี้ริ้ว
ฟึ่บ!ฟั่บ!
การโจมตีของแม่เฒ่าบุปผาสีเงินไม่ได้อ่อนกำลังลงเลยนางอาจไม่มีเจตจำนงสังหารแต่กลิ่นอายขอบเขตจินกังของนางนั้นน่ากลัวอยู่แล้ว ภายใต้การถูกกดจากกลิ่นอายนี้ เหล่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวก็จะรู้สึกราวกับว่าถูกรั้งเอาไว้และความเร็วของพวกเขาก็จะลดลง เพียงแค่นางปล่อยการโจมตีด้วยแก่นพลังรูปจันทราครึ่งเสี้ยวออกไปก็สามารถคร่าชีวิตทหารหลายร้อยคนไปได้อย่างง่ายดายแล้ว
ตูม!
หลังจากที่สังหารไปพักหนึ่งแล้วสัตว์อสูรหยาจื้อก็รู้สึกว่ามันยังไม่ตอบสนองต่อความกระหายของมันได้ มันจึงพุ่งไปที่กำแพงเมืองเทียนชิง เสียงปะทะดังก้องขณะที่กำแพงหนาที่สูงตระหง่านและแข็งแรงได้กลายเป็นซากปรักหักพังไป สัตว์อสูรหยาจื้อทำลายกำแพงเมืองและพุ่งไปที่เมืองเทียนชิงหลังจากที่ชนและกระทืบเหล่ากลุ่มทหารจนตาย มันก็หันกลับไปและพุ่งเข้าชนกำแพงเมืองอีกฝั่งที่อยู่ใกล้ๆ
ตูม!ตูม! ตึ้มม!
กำแพงเมืองเริ่มพังทลายลงและมีช่องเปิดกว้างกว่าร้อยเมตรเมืองเทียนชิงได้แตกพ่ายไปด้วยกองกำลังของศัตรูแล้ว
ฟึ่บ!ฟั่บ!
แม่เฒ่าบุปผาสีเงินหยุดโจมตีทหารและหันไปให้ความสนใจกับกำแพงเมืองตราบใดที่นางขยายช่องโหว่กำแพงเมืองให้กว้างกว่าเดิมมากเท่าไหร่ นางก็จะสามารถประสานการโจมตีกับสัตว์อสูรหยาจื้อได้ และกองทัพพันธมิตรก็จะแตกพ่ายไปอย่างรวดเร็ว
“เฮ้อ…”
ภายใต้การคุ้มครองของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวเพียงไม่กี่คนหลิงเสวี่ยได้ถอยห่างจากกำแพงเมืองมา ในบรรดากองกำลังจากล้านกว่าคน ก็มีกองกำลังมากกว่าเจ็ดแสนนายที่สูญสิ้นไปแล้ว จากการโจมตีของแม่เฒ่าบุปผาสีเงินและสัตว์อสูรหยาจื้อก็ทำให้กองทัพพันธมิตรต้องประสบพบเจอกับความโกลาหลที่เลี่ยงไม่ได้ และในตอนนี้ ศึกได้พ่ายแพ้ไปก่อนที่โถงวรยุทธจะทันได้มีโอกาสเคลื่อนไหว จักรวรรดิมังกรเวหาถูกลิขิตให้ถูกทำลายลงแล้ว
“ฆ่า!”
ในตอนนั้นเองเจียงอี้ก็ลงมือในที่สุด เขากวัดแกว่งดาบมังกรเพลิงขณะที่ค่อยๆก้าวไปอย่างช้าๆ
สัตว์อสูรหยาจื้อและแม่เฒ่าบุปผาสีเงินเป็นผู้ที่นำเข้าไปในเมืองทหารหลายแสนคนที่อยู่รอบตัวเขาได้สร้างขวัญกำลังใจขณะที่ทหารฝ่ายศัตรูในเมืองก็ค่อยๆถอยร่นไปทีละน้อย อาคารภายในเมืองนับไม่ถ้วนถูกทำลายไปและเหล่าพลเมืองของเมืองเทียนชิงต่างพากันหนีออกมาทางประตูทิศตะวันออกไปนานแล้ว นอกเหนือจากผู้ที่อุทิศตนว่าจะถูกฝังร่วมกับเมืองไม่กี่คน มันก็เป็นเหมือนเพียงเมืองรกร้างที่ว่างเปล่าไปเสียแล้ว
ตูม!ตูม! ตูม!
ช่องของกำแพงเมืองก็ยังคงกว้างขึ้นขณะที่อาคารทางฝั่งตะวันตกก็ยังคงค่อยๆทลายลงสู่พื้นเจียงอี้ไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง เขาแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปเพื่อสำรวจเมืองแต่ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ
แต่ในขณะที่เขากำลังก้าวเข้าไปในเมืองเทียนชิงเขาก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา มันเกิดขึ้นมาโดยหาสาเหตุไม่ได้เพราะภายในเมืองก็ไม่ได้มีสิ่งใดผิดปกติหรือแม้แต่ใต้ดินลึกลงไปหลายร้อยเมตรเองก็เช่นกัน เจียงอี้ตรวจสอบมันหลายครั้งแต่ก็ยังไม่พบความผิดปกติใด
โถงวรยุทธในเมืองเทียนชิงตั้งอยู่ใกล้กับจัตุรัสมีนักสู้หลายร้อยคนอยู่ในโถงวรยุทธและในหมู่พวกเขาก็เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุด แต่ถึงกระนั้น จำนวนคนเท่านี้ก็ไม่ได้เป็นภัยต่อเจียงอี้นัก
กองทัพพันธมิตรค่อยๆถอยร่นไปทีละนิดขณะที่ทหารบางส่วนเริ่มหนีไปทางประตูฝั่งตะวันตกหลิงเสวี่ยถอยกลับไปยังจัตุรัสขณะดีดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความเศร้า การแสดงออกนั้นไม่สามารถปลอมแปลงได้เนื่องจากมันเป็นอารมณ์ที่ออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจของนาง เจียงอี้ก็แน่ใจว่าเขาไม่ได้มองผิดแน่ๆ
แล้วเช่นนั้นปัญหามันคืออะไรกัน?
เจียงอี้คิดไม่ออกและไม่ได้เดินหน้าอีกต่อไปเขายืนอยู่บนถนนทางฝั่งตะวันตกและมองไปยังกองกำลังของอาณาจักรต้าเซี่ยที่กำลังรุกคืบเข้ามาราวฝูงหมาป่า เมื่อเขาเห็นชีวิตที่ล้มตายไปนับไม่ถ้วนและเมืองเทียนชิงอันยิ่งใหญ่ได้กลายเป็นซากจากการโจมตีของกองทัพแล้ว เขาก็ยิ่งไม่สบายใจมากขึ้น ในขณะที่กองทัพอาณาจักรต้าเซี่ยทั้งหมดเข้าสู่เมืองเทียนชิงคิ้วของเจียงอี้ก็ขมวดขึ้นและทันใดนั้นเองเขาก็ระเบิดเสียงคำรามออกมา “ถอย! กองกำลังทั้งหมดจงถอยกลับไป!”
หลังจากที่เขาพูดจบเขาก็ย้ายร่างฉับพลันหายไปจากจุดเดิมทันที
แม่เฒ่าบุปผาสีเงินและสัตว์อสูรหยาจื้อมองกลับไปด้วยความสับสนการแสดงออกของเจียงเหรินถู, จ้านอีหมิง, เฉียนกุ้ยและคนอื่นๆก็เปลี่ยนไปทันที พวกเขามองไปรอบๆอย่างระมัดระวัง อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่พบกลิ่นอายของผู้เชี่ยวชาญใดๆเลย
บรึฟ!
ในช่วงเวลานั้นเองฐานของกำแพงเมืองในเมืองเทียนชิงก็สว่างขึ้น ลำแสงสี่สายพุ่งตรงขึ้นไปยังท้องฟ้า มันปล่อยม่านพลังเป็นเกราะโค้งมนจนมาบรรจบกันในที่สุด ม่านพลังนี้เป็นแสงสีขาวและไม่ได้ปล่อยกลิ่นอายที่น่ากลัวออกมา มันค่อนข้างคล้ายกับเกราะป้องกันที่กำแพงเมืองก่อนหน้านี้เพียงแค่มันมีสีที่ต่างกัน
ปัง!
เจียงอี้ปรากฏตัวขึ้นที่ขอบม่านพลังนั้นขณะที่ศีรษะของเขาชนเข้ากับม่านพลังอย่างแรงเห็นได้ชัดว่ามันสามารถปิดกั้นห้วงมิติได้และทำให้เขาไม่สามารถย้ายร่างฉับพลันได้
“น่ะนี่…..”
ทุกคนในเมืองจ้องไปที่กำแพงด้านบนอย่างงุนงงทหารจำนวนมากที่กำลังต่อสู้ก็หยุดลงเช่นกัน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความงุนงงอย่างถึงที่สุด ไม่ใช่ว่าเกราะป้องกันทลายไปแล้วหรอ? ทำไมมันถึงมีขึ้นมาอีกเกราะ?
นอกจากนี้ม่านพลังนี้ยังเป็นเพียงเกราะป้องกันและไม่มีพลังโจมตีใดๆในตอนที่กองทัพบุกเข้ามาในเมืองแล้วอะไรทำให้ม่านพลังนี้ถูกเปิดใช้งานกัน? ในอีกทางหนึ่ง มันจะป้องกันไม่ให้เหล่ากองทัพพันธมิตรหนีไปได้ด้วย
“เอ่อ!”
ไม่เพียงแต่เจียงเหรินถู,จ้านอีหมิงและคนอื่นๆที่กำลังสับสน แต่เหล่าสมาชิกตระกูลราชวงศ์รวมไปถึงหลิงเสวี่ยเองก็ตะลึงงันเช่นกัน เมืองเทียนชิงถูกควบคุมโดยตระกูลหลิงมาโดยตลอด ในฐานะลูกหลานของตระกูล พวกเขากลับไม่เคยรู้เลยว่ามันมีม่านพลังนี้อยู่!
ในที่สุดโถงวรยุทธก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว?
ร่างกายที่บอบบางของหลิงเสวี่ยสั่นเทาและดวงตาของนางเริ่มประกายความสดใสขึ้นมา
มีเพียงโถงวรยุทธเท่านั้นที่สามารถสร้างค่ายกลขนาดใหญ่เช่นนี้ได้โดยที่นางไม่รู้มาก่อนในที่สุดตอนนี้นางก็เข้าใจเสียทีว่าทำไมโถงวรยุทธจึงตกลงที่จะช่วยเหลือแต่ไม่ได้ดำเนินการใดๆจนกระทั่งตอนนี้
เพราะพวกเขากำลังรอให้เจียงอี้เข้ามาในเมืองเทียนชิงพวกเขากำลังรอให้เจียงอี้เข้าสู่กับดักที่หนีไม่พ้นนี้!
บรึฟ!
มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ!
ณฝั่งจัตุรัส, ค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ก็สว่างขึ้น น่าแปลกที่เจียงอี้ไม่สามารถย้ายร่างออกไปได้ แต่คนภายนอกนั้นสามารถเคลื่อนย้ายเข้ามาได้?
ร่างทั้งสี่ค่อยๆเผยตัวออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายและเหล่าผู้เชี่ยวชาญหลายร้อยคนของโถงวรยุทธที่ไม่ได้เคลื่อนไหวเลยก็พุ่งเข้ามาและคุกเข่าต่อหน้าบุคคลทั้งสี่และทักทายด้วยน้ำเสียงจริงจัง“คารวะท่านประมุขใหญ่, สตรีศักดิ์สิทธิ์จี, ผู้อาวุโสหลู่และผู้อาวุโสเจิง!”
“สตรีศักดิ์สิทธิ์จี!”
เจียงอี้ไม่ได้สนใจสามคนอย่างสิ้นเชิงในขณะที่เขาเพ่งสายตาไปยังหญิงงามที่สวมชุดกระโปรงสีเหลือซึ่งอาจทำให้ใครๆต่างพากันหลงในความงามของนางได้ในขณะเดียวกันดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนมากมาย
สตรีศักดิ์สิทธิ์จีมองไปที่เจียงอี้และมุมปากของนางก็ยกขึ้นเล็กน้อยขณะที่นางพูดอย่างนุ่มนวลว่า“ไม่ได้เจอกันนานนะเจียงอี้”