เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 497-498
บทที่ 497 ต่อสู้กับเหล่าราชันสัตว์อสูร
ราชันสัตว์อสูรขั้นสูงสุดนับร้อยนี่ไม่ใช่ภาพลวงตา แต่พวกมันเป็นราชันสัตว์อสูรจริงๆและอยู่ในระดับเดียวกับสัตว์อสูรหยาจื้อ
ความแข็งแกร่งโดยรวมของสัตว์อสูรหยาจื้อนั้นเทียบได้กับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นที่ห้าสัตว์อสูรมีร่างกายและการป้องกันที่แข็งแกร่งตามธรรมชาติอยู่แล้วและเทียบได้กับขอบเขตจินกังขั้นที่หก ความแข็งแกร่งด้านการโจมตีของพวกมันต่ำกว่าเล็กน้อยและเทียบได้ประมาณเซี่ยถิงเวยและชาตี้
ซึ่งมันก็หมายความว่า…มีเซี่ยถิงเวยหรือชาตี้ร้อยคน
ยิ่งไปกว่านั้นราชันสัตว์อสูรเหล่านี้ต่างก็มีความเชี่ยวชาญต่างกันไป บางตนก็ว่องไว บางตนมีการป้องกันที่แข็งแกร่งมากและบางตนมีพลังโจมตีที่รุนแรงมาก ราชันสัตว์อสูรทุกตนมีวิชาอสูรของพวกมันเอง
ราชันสัตว์อสูรขั้นสูงสุดอยู่ในขั้นสุดท้ายก่อนที่เป็นขั้นจักรพรรดิสัตว์อสูร
เมื่อพวกมันกลายเป็นจักรพรรดิสัตว์อสูรแล้วพวกมันก็จะมีความสามารถมากมายหลายอย่างและความแข็งแกร่งของพวกมันก็จะเพิ่มขึ้นนับสิบเท่า พวกมันอาจจะมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะต่อกรกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนได้เลย
มันเหลือเพียงระดับขั้นเดียวที่พวกมันยังไม่พัฒนาไปถึงขั้นมีร่างกายมนุษย์ได้แต่แม้จะเป็นเช่นนั้นแต่ราชันสัตว์อสูรขั้นสูงสุดเองก็ยังคงน่าหวั่นเกรงอย่างยิ่งอยู่ดี
“ราชันสัตว์อสูรขั้นสูงสุดมากมายเหล่านี้มาจากไหนกันนะ?”
เจียงอี้ตกตะลึงและจิตใจของเขาก็เต็มไปด้วยความสงสัยจำนวนราชันสัตว์อสูรบนทวีปเทียนชิงใช้มือนับยังได้และมีเพียงสัตว์อสูรหยาจื้อที่เป็นราชันสัตว์อสูรขั้นสูงสุดเท่านั้น เจียงอี้คงไม่คิดว่ามันประหลาดหากโถงวรยุทธปล่อยราชันสัตว์อสูรร้อยตนออกมา แต่พวกนี้เป็นราชันสัตว์อสูรขั้นสูงสุดร้อยตนทั้งหมด
ทวีปเทียนชิงไม่ได้มีราชันสัตว์อสูรขั้นสูงสุดมากมายเช่นนี้อย่างแน่นอนพวกมันถูกจับมาจากฝั่งทะเลส่วนลึกหรอ? แต่ปัญหาก็คือ….หลังจากที่เจียงอี้สำรวจอย่างรวดเร็วเขาก็พบว่ามีปีศาจทะเลไม่มากนัก พวกมันถูกจับมาจากทวีปอื่นหรอ?
และมีอีกอย่างราชันสัตว์อสูรนั้นมีความภาคภูมิพอๆกับผู้เชี่ยวชาญที่เก่งกาจของเหล่ามนุษย์และคงไม่น่าเต็มใจยอมจำนนด้วยตัวเองได้
อย่างเช่นสัตว์อสูรหยาจื้อแม้ว่ามันจะถูกจอมเวทย์ปราบไว้ได้และมีชีวิตโดยการที่มีเจียงอี้คอยควบคุมผ่านราชวังจักรวาล แต่ตอนแรกมันก็ยังไม่เต็มใจที่จะยอมจำนน ราชันสัตว์อสูรมากมายต่างภาคภูมิใจและยอมตายเสียดีกว่าที่จะยอมตกเป็นทาสของมนุษย์ แล้วโถงวรยุทธทำให้ราชันสัตว์อสูรขั้นสูงสุดนับร้อยตนเชื่อฟังได้อย่างไรกัน?
มีความสงสัยมากเกินไปและความคิดต่างๆก็แล่นเข้ามาในใจเจียงอี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสลัดความคิดเหล่านั้นออกไปก่อนเพราะนี่ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งขบคิดเรื่องพวกนั้น
บรึฟ!
มือของเขาสว่างวาบและราชวังก็ปรากฏขึ้นในมือของเขามันขยายตัวขึ้นมาและเขาก็รีบเข้าไปในราชวังจักรพรรดิทันทีและนำสัตว์อสูรหยาจื้อและแม่เฒ่าบุปผาสีเงินเข้ามาด้วย
ฟึ่บ!
ราชวังจักรพรรดิลงมาและดึงแม่ทัพเฒ่าหลู,จ้านอีหมิง, เฉียนกุ้ย, เจียงเหรินถูและคนอื่นๆเข้าไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่น่าประหลาดก็คือ…ตู๋กูฉิวไม่ได้สั่งให้ราชันสัตว์อสูรโจมตี เขายิ้มและมองไปที่เจียงอี้ที่กำลังพาแม่ทัพทั้งหมดของอาณาจักรต้าเซี่ยเข้ามาในวัง
“สตรีศักดิ์สิทธิ์,ท่านประมุข…”
ประมุขหยี่ของโถงวรยุทธเมืองเทียนชิงมองไปที่จีทิงยวี่อย่างฉงนสงสัยในเมื่อตู๋กูฉิวตัดสินใจที่จะลงมือแล้ว ทำไมเขาจึงไม่โจมตีไปเลยล่ะ? หากเขาให้ราชันสัตว์อสูรโจมตีพร้อมกันร้อยตน เจียงอี้ก็คงไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะได้เข้าไปในราชวังจักรพรรดิด้วยซ้ำ
“ฮิฮิท่านประมุขช่างชอบพอเหล่าอัจฉริยะเสียจริง”
จีทิงยวี่ถอนใจและอธิบายว่า“ท่านประมุขใหญ่ต้องการที่จะดันให้เจียงอี้สิ้นหวังจนถึงที่สุด ท่านกำลังให้เวลาเจียงอี้ได้เตรียมตัวสู้ศึกสุดท้าย จากนั้นเขาจะจัดการทลายกำแพงในใจเจียงอี้และทำให้เขาสิ้นหวังจนถึงที่สุดก่อนที่จะรับเขาเข้าสู่โถงวรยุทธ”
“โอ้..”
ประมุขสาขาหยี่ส่งเสียเย้ยเยาะออกมาและพึมพำด้วยความดูถูก“เจียงอี้คนนี้เป็นเพียงบุตรนอกสมรสที่โชคดี เขาได้สิ่งประดิษฐ์และความสามารถพิเศษบางอย่างมาก แล้วเขาคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งที่สุดแล้วหรือไง? หึหึ หากโถงวรยุทธของเราอยากจะเล่นสนุกกับเขา มันก็คงเหมือนการเล่นกับพวกแมลง….”
“เจ้าผิดแล้ว!”
จีทิงยวี่ส่ายหัวและพูดว่า“โชคเป็นเพียงส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่ง แต่เจียงอี้จะมาถึงขั้นนี้ได้โดยอาศัยเพียงโชคหรอ? เจียงอี้ไม่ใช่คนอวดดี เขาเพียงแค่ไม่เข้าใจโถงวรยุทธก็เท่านั้น เอาล่ะ ถึงเวลาต่อสู้แล้ว เข้าไปในโถงวรยุทธกันก่อนเถอะ”
ตู๋กูฉิวได้ถ่ายทอดคำสั่งบนท้องฟ้าออกมาแล้วจีทิงยวี่ก็ไม่กล้าที่จะคอยสังเกตการณ์อีกต่อไป ด้วยความแข็งแกร่งของพวกมัน พวกเขาก็คงจะถูกบดขยี้อย่างง่ายดายด้วยผลพวงจากการโจมตีของราชันสัตว์อสูร นางอาจจะมีระดับสติปัญญาที่น่ากลัวแต่ความแข็งแกร่งของนางนั้นอยู่เพียงขั้นที่ห้าของขอบเขตเสินโหยวหลังจากที่ได้ขัดเกลาศิลาสวรรค์แล้ว
จีทิงยวี่,ประมุขสาขาหยี่และคนอื่นๆต่างพากันเข้าไปข้างในโถงวรยุทธ จากนั้นอาคารก็สว่างวาบขึ้นด้วยแสงสีทองอย่างรวดเร็วและมีการเปิดใช้ม่านพลังซึ่งคอยจับตาดูเมืองเทียนชิงทั้งเมืองได้และมันก็ไม่ต่างจากการที่นางอยู่ข้างนอกเลย
…
“จู่โจม!”
ราชวังจักรพรรดิของเจียงอี้มีขนาดใหญ่มากแต่บรรจุได้เพียงไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น หลังจากที่นำแม่ทัพและสมาชิกตระกูลจ้านและตระกูลเฉียนเข้าไปแล้ว เขาก็ตระหนักได้ว่าเขาไม่รู้ว่าจะพาใครเข้ามาข้างในอีก หลังจากที่เห็นว่าเจียงอี้หยุดเคลื่อนไหว ตู๋กูฉิวก็ยิ้มและโบกมือเพื่อเริ่มการโจมตี
“โร๋วโบร๋ว!” “ฮู๊ ฮู๊!” “กู่ กู่!”
ราชันสัตว์อสูรขั้นสูงสุดนับร้อยคำรามออกมาก่อนที่พวกมันจะค่อยๆบินไปทางด้านตะวันตกของเมืองอย่างช้าๆและกระจายกันออกไปราชันสัตว์อสูรครึ่งหนึ่งกำลังปลดปล่อยวิชาอสูรออกมาโจมตีราชวังจักรพรรดิที่ลอยอยู่ในขณะที่อีกครึ่งหนึ่งตรงไปที่กองทัพด้านล่าง!
“อ๊ากกก…”
“ช่วยพวกเราด้วยท่านอุปราช!”
“สู้กับพวกมันให้ตายไปข้าง!”
กองทัพที่อยู่ทางตะวันตกของเมืองต่างพากันตกใจกลัวเมื่อราชันสัตว์อสูรขั้นสูงสุดห้าสิบตนพุ่งมายังพวกเขากลิ่นอายของพวกมันทำให้พวกเขาหายใจแทบไม่ออกราวกับทารกที่กำลังเผชิญหน้ากับสิงโต ความหวังเดียวของพวกเขาอยู่ที่เจียงอี้แต่เขาก็ได้เข้าไปข้างในราชัวงจักรพรรดิและดูเหมือนจะไม่ต่อต้านราชันสัตว์อสูรเหล่านี้
ฟึ่บ!ฟั่บ!
ปึงปัง!
ตูม!ตูม! ตูม!
ราชันสัตว์อสูรหลายตนปลดปล่อยวิชาอสูรด้วยการยิงลำแสงออกมาจากดวงตาของพวกมัน,พ่นไฟออกมา, ยิงแท่งน้ำแข็งหรือไม่ก็ยิงขนที่แหลมคมของพวกมันออกมา….
วิชาอสูรของราชันสัตว์อสูรมีพลังมหาศาลมากเมื่อวิชาอสูรจากราชันสัตว์อสูรทั้งห้าสิบตนถูกปลดปล่อยออกมา กองทัพที่หนาแน่นส่วนหนึ่งก็ถูกกำจัดออกไปทันที ทหารหลายคนไม่มีแม้กระทั่งโอกาสที่จะกรีดร้องออกมาเลยด้วยซ้ำก่อนที่พวกเขาจะกลายเป็นฝุ่นไป
ตูม!ตูม! ตูม!
เมื่อวิชาอสูรทั้งห้าสิบปล่อยการโจมตีไปยังพระราชวังจักรพรรดิราชวังก็เปล่งประกายอย่างต่อเนื่อง เดิมทีราชวังจักรพรรดิเหลือพลังน้อยกว่าครึ่งหนึ่งหลังจากถูกปรมาจารย์หลิงโจมตีไป ในระหว่างนี้มันก็ได้รับพลังงานบางส่วนกลับคืนมา แต่มันก็ยังเหลืออีกครึ่งหนึ่ง และในตอนนี้ หลังจากวิชาอสูรจากเหล่าสัตว์อสูรทั้งห้าสิบตนถูกปล่อยออกมา พลังงานหนึ่งในห้าส่วนของราชวังก็ลดลงไป
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ….เมื่อราชันสัตว์อสูรเหล่านี้โจมตีอีกสี่ครั้งพลังงานของราชวังจักรพรรดิก็จะหมดลง!
แม่เจ้าเว้ยยยยย!
เจียงอี้มองดูสถานการณ์ภายนอกผ่านลูกแก้วและเขาเห็นราชันสัตว์อสูรอีกห้าสิบตนกำลังเข่นฆ่าผู้คนอยู่มีผู้เสียชีวิตไปอย่างน้อยสี่หรือห้าหมื่นคนแล้วซึ่งมันทำให้เจียงอี้ปวดร้าวมาก
ทหารเหล่านี้บางคนเป็นพลเมืองของอาณาจักรต้าเซี่ย บางคนก็มาจากอาณาจักรเทียนเซวี่ยน บางคนก็เป็นทหารจากกองทัพทหารรักษาการณ์ตะวันตกของเจียงเปี๋ยหลีและบางคนเป็นกองทัพที่ยอมจำนนจากอาณาจักรเซิ่งหลิง
ไม่ว่าพวกเขาจะมาจากไหนแต่ในใจของเจียงอี้ถือว่าทหารเหล่านี้คือผู้ใต้บังคับบัญชาและเป็นพลเมืองของเขา หลังจากที่เห็นกลุ่มคนทั้งกลุ่มกำลังจะตายมันก็สามารถจินตนาการได้เลยว่าเขานั้นโกรธเพียงใด หัวใจของเขาชุ่มไปด้วยเลือด และเลือดนั้นก็ร้อนรุ่มเป็นไฟ
ฟึ่บ!
เขาไม่รอช้าและรีบออกมาจากราชวังจักรพรรดิยังไงพระราชวังก็อยู่ได้ไม่นาน แล้วเขาจะอยู่ในนั้นไปอีกทำไม? ทำไมไม่รีบออกไปและต่อสู้อย่างมีเกียรติ? หากเขาไม่ตาย คนในราชวังจักรพรรดิก็จะรอด
บรึฟ!
เจียงอี้ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศและเก็บราชวังจักรพรรดิเข้าไปในไข่มุกวิญญาณเพลิงทันทีขณะเดียวกันเปลวเพลิงสีขาวก็ออกมาจากไข่มุกวิญญาณเพลิงและห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้ จากนั้นเขาก็หายไปจากที่เดิมและปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางเหล่าราชันสัตว์อสูรทันที
ฟึ่บ!ฟั่บ!
เปลวเพลิงอเวจีนั้นรุนแรงมากทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้นมากลางอากาศ เปลวเพลิงที่น่าสะพรึงก็ได้แผ่ออกไปทั่วทุกสารทิศ
ราชันสัตว์อสูรนั้นน่ากลัวมากแต่พวกมันก็มีจุดอ่อนคือพวกมันไม่มีสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นพวกมันจึงไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเจียงอี้จะปรากฏตัวที่ใดต่อ หากพวกมันทำได้เพียงตอบสนองหลังจากที่เจียงอี้ปรากฏตัว มันก็คงสายเกินไปแล้ว
“ตาย!”
เจียงอี้ปลดปล่อยฝ่ามือออกมาสองสามครั้งด้วยความเร็วราวสายฟ้าและเปลี่ยนเปลวเพลิงอเวจีให้กลายเป็นทะเลเพลิงและกลืนกินราชันสัตว์อสูรทั้งสามตน
บทที่ 498 จะเข้าร่วมกับโถงวรยุทธหรือจะตาย
โฮกก!โฮกก!
ราชันสัตว์อสูรทั้งสามส่งเสียงคำรามออกมาอย่างน่าสังเวชและร่างที่ใหญ่โตของพวกมันกำลังกลายเป็นเถ้าถ่านส่วนราชันสัตว์อสูรที่อยู่รอบๆรู้สึกราวกับว่าร่างของพวกมันถูกไฟเหล่านั้นแผดเผาอยู่ ดังนั้นพวกมันจึงรีบหนีไปทั่วทุกสารทิศด้วยความหวาดกลัว
บรึฟ!
หลังจากที่เจียงอี้ปลดปล่อยฝ่ามือออกไปสองสามครั้งเขาก็หายตัวไปและปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งข้างๆราชันสัตว์อสูรอีกสามตน เขาผล่อยฝ่ามือออกไปอีกและได้แผดเผาราชันสัตว์อสูรไปสองตนส่วนอีกตนได้รับบาดเจ็บสาหัสก่อนที่จะย้ายร่างฉับพลันไปอีกครั้ง
“ท่านประมุขใหญ่!”
ผู้อาวุโสหลู่และผู้อาวุโสเจิงมีหน้าตาที่บึ้งตึงหากเจียงอี้ยังคงเข่นฆ่าไปเช่นนี้เรื่อยๆ ราชันสัตว์อสูรร้อยตนก็คงไม่เพียงพอที่จะสังหารเขาใช่ไหม? พวกเขาทั้งสองมองไปยังตู๋กูฉิวและพร้อมที่จะออกไปร่วมสู้ พวกเขาทั้งคู่อยู่เหนือขอบเขตจินกังขั้นที่เจ็ดแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถสังหารเจียงอี้ได้ แต่พวกเขาก็ยังคงยับยั้งเขาไว้ได้
“จะเอะอะไปทำไม….?”
ตู๋กูฉิวโบกมือและยิ้มจางๆเขามีสีหน้าที่สงบนิ่งราวกับว่าทุกสิ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา
เขาขยับมือขณะที่ราชันสัตว์อสูรทั้งหมดดิ่งลงไปพวกมันไม่ได้ใช้วิชาอสูรเลยและเพียงทิ้งตัวลงไปที่พื้นและตั้งใจใช้ร่างกายที่ทรงพลังของพวกมันสังหารกองทัพอาณาจักรต้าเซี่ย
“ฮะ!”
เจียงอี้รู้สึกโง่เขลาและทำอะไรไม่ถูกขณะที่เขาเห็นราชันสัตว์อสูรมากกว่าเก้าสิบตนสังหารคนอื่นๆอยู่
หากเขาย้ายร่างฉับพลันเพื่อไล่สังหารราชันสัตว์อสูรเหล่านั้นเปลวเพลิงของเขาก็จะแผดเผากองทัพอาณาจักรต้าเซี่ยไปด้วย เหล่ากองทัพนับแสนก็คงจะถูกเผาทั้งเป็นด้วยเปลวเพลิงก่อนที่ราชันสัตว์อสูรจะลงมือเสียอีก
หากเขาไม่ใช้เปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์และเปลวเพลิงอเวจีเขาก็จะไม่สามารถสังหารราชันสัตว์อสูรได้ และหากเขาไม่สังหารราชันสัตว์อสูร ทหารก็จะยังคงถูกราชันสัตว์อสูรกวาดล้างอยู่ดี
“ตู๋กูฉิว!”
สายตาของเขากวาดไปยังตู๋กูฉิวและอีกสองคนที่ยืนอยู่กลางอากาศดวงตาของเขามีประกายขึ้นมา เจดีย์ฝูงอสูรนั้นไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ของตู๋กูฉิวหรอกหรือ? หากราชันสัตว์อสูรเชื่อฟังเขา มันก็เป็นไปได้ว่าพวกมันทั้งหมดเป็นสัตว์วิญญาณของเขา
สัตว์วิญญาณนั้นเป็นหนึ่งเดียวกับเจ้านายของพวกมันหากนายของพวกมันตาย สัตว์วิญญาณเองก็ต้องตกตายไปเช่นกัน
ร่างกายของเจียงอี้ประกายด้วยกลิ่นอายสังหารทันใดหากเขาจะสังหารตู๋กูฉิวและราชันสัตว์อสูรต้องตายไปพร้อมกับเขา เช่นนั้นเขาจึงจะทำให้มันกลับมาสู่สมดุลได้
ฟึ่บ!
ร่างกายของเขาสั่นไหวอย่างรวดเร็วขณะที่เขาย้ายร่างฉับพลันอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วไปทางตู๋กูฉิวเจียงอี้ได้ใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์เพ่งเล็งไปยังตู๋กูฉิวและสังเกตทุกการเคลื่อนไหวของเขา หากตู๋กูฉิวลงมืออย่างกะทันหัน เจียงอี้ก็จะสามารถตอบสนองได้ทันที
“ท่านประมุขใหญ่!”
ผู้อาวุโสหลู่และผู้อาวุโสเจิงตะโกนออกมาอีกครั้งขณะที่พวกเขาร้องขอที่จะต่อสู้แต่ตู๋กูฉิวกลับโบกมือและหัวเราะเบาๆ“อย่าเพิ่งใจร้อน แค่ยืนดูการแสดงไปก็พอ”
ฟึ่บ!
เจียงอี้สังเกตอยู่ครู่หนึ่งและเมื่อเขาเห็นว่าตู๋กูฉิวไม่ได้ลงมือทำอะไรเขาก็ไม่สามารถถอยกลับไปได้แล้ว
ตู๋กูฉิวนั้นทิ้งเวลาไปได้แต่เจียงอี้ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ทุกวินาทีที่ผ่านไปมันจะหมายถึงการที่ทหารสองสามพันคนจะต้องตาย หากราชันสัตว์อสูรเหล่านั้นยังคงเข่นฆ่าต่อไป เพียงไม่กี่ชั่วโมงทหารทั้งหมดก็คงถูกกำจัดสิ้น
ฟึ่บ!ฟั่บ!
ดาบมังกรเพลิงปรากฏขึ้นในมือของเขาขณะที่เขาปลดปล่อยมังกรเพลิงนับหมื่นตัวออกมาและหายตัวไปพร้อมกับปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังตู๋กูฉิวหกร้อยเมตรและกำลังจะปลดปล่อยเปลวเพลิงอเวจีออกมา
“ขี้ปะติ๋ว”
ตู๋กูฉิวจัดการกับการโจมตีที่เข้ามาอย่างใจเย็นเขาปล่อยการโจมตีด้วยแก่นพลังออกมาซึ่งมันแปรเปลี่ยนเป็นสัตว์ประหลาดและเข้าปะทะกับมังกรเพลิงนับหมื่นนั้น ในเวลาเดียวกันเขาก็ปล่อยฝ่ามือไปทางด้านหลัง
ฟรึ่บ!
พื้นที่ด้านหลังตู๋กูฉิวกระเพื่อมดั่งสายลมที่พัดผ่านผิวน้ำของทะเลและระลอกคลื่นก็กระจายออกไปด้วยความเร็วดุจสายฟ้าเมื่อเจียงอี้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ระลอกคลื่นก็ซัดเข้ามาตรงจุดที่เขาอยู่ ทำให้เขาหายลับไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเจียงอี้ก็ปรากฏตัวอีกครั้งในพื้นที่ที่ห่างออกไปเป็นกิโลเมตร
“บังคับย้ายร่าง!”
มือของเจียงอี้ยังคงทำท่าเหมือนกำลังจะปล่อยฝ่ามือออกไปแต่ตู๋กูฉิวและคนอื่นๆไม่ได้อยู่ตรงหน้าเขาอีกต่อไป เขาถูกบังคับย้ายร่างอีกครั้ง
ฟึ่บ!ฟั่บ!
ในอีกด้านหนึ่งมังกรเพลิงของเจียงอี้ก็ดับลงไปอย่างง่ายดายด้วยแก่นแท้พลังของตู๋กูฉิว ตู๋กูฉิวยืนอย่างภาคภูมิใจขณะที่เขาเผยรอยยิ้มจางๆเหมือนแมวที่กำลังเล่นกับหนูตัวเล็กๆ
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เมื่อเห็นการแสดงออกที่ทั้งตะลึงงันปนเสียใจของเจียงอี้ผู้อาวุโสหลู่และผู้อาวุโสเจิงต่างก็หัวเราะออกมาขณะที่พวกเขาเข้าใจแล้วว่าตู๋กูฉิวคิดอะไรอยู่
ตู๋กูฉิวไม่ได้ต้องการสังหารเจียงอี้ในทันทีเขาอยากเล่นงานเจียงอี้ให้หมดหวังและจนตรอก!
ตู๋กูฉิวเข้าใจรูปแบบเต๋ามิติระดับกลางประเภทหนึ่งนั่นก็คือมิติเลื่อนลับ
มันสามารถบังคับให้ศัตรูถูกเคลื่อนย้ายอย่างฉับพลันได้อย่างง่ายดายหากเจียงอี้ไม่มีทางเข้าใกล้เขา ไม่ว่าเปลวเพลิงอเวจีจะน่ากลัวเพียงใดเจียงอี้ก็ไม่สามารถทำอันตรายพวกมันได้เลย
ขณะที่ราชันสัตว์อสูรกำลังเข่นฆ่ากองทัพของเจียงอี้เจียงอี้ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลยด้วยความสามารถทั้งหมดที่เขามี เขาทำได้เพียงมองพลเมืองและทหารของเขาถูกสังหารไปในขณะที่ความวิตกกังวล, ความหวาดกลัวและความสิ้นหวังค่อยๆเติบโตอยู่ในใจของเขา
จีทิงยวี่กล่าวว่าเจียงอี้นั้นเป็นคนที่มีอารมณ์อ่อนไหวและเขาเป็นคนดื้อรั้นจากการเจรจาก่อนหน้านี้ ทุกคนก็ได้เห็นมันแล้ว
ดังนั้นเพื่อที่จะทำให้เจียงอี้เชื่อใจ ตู๋กูฉิวจะต้องเอาชนะความภาคภูมิของเขาไปเสียก่อนและทำให้เขาหมดหนทางในการเผชิญหน้ากับวิกฤต ตู๋กูฉิวต้องการทำให้เจียงอี้เข้าใจว่าเขาไม่สามารถช่วยทุกคนได้ด้วยตัวเองเพียงผู้เดียวและวิธีเดียวที่จะแก้ไขวิกฤตนี้ไปได้ก็คือ…..ยอมเข้าร่วมกับโถงวรยุทธ!
ฟึ่บ!ฟั่บ!
เจียงอี้ย้ายร่างฉับพลันอีกครั้งดวงตาของเขาเป็นสีแดงเลือดและผมสีแดงของเขาก็สะบัดอยู่กลางอากาศอย่างรุนแรง เจียงอี้ตกอยู่ในความสิ้นหวังอย่างแท้จริงและเขาไม่สามารถสังหารตู๋กูฉิวได้เพราะรูปแบบเต๋ามิติของตู๋กูฉิว เจียงอี้ไม่สามารถช่วยทหารด้านล่างได้และเมื่อเปลวเพลิงอเวจีของเขาหมดลง เขาก็จะต้องตายอยู่ที่นี่
ฟรึ่บ!
ปากของตู๋กูฉิวเต็มไปด้วยความเย้ยเยาะสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขานั้นสามารถตัดสินปลายทางในการย้ายร่างฉับพลันของเจียงอี้ได้อย่างง่ายดายและความเร็วในการตอบสนองของเขาก็รวดเร็วมากเกินไป ก่อนที่เจียงอี้จะทันได้ปรากฏตัว ตู๋กูฉิวก็จะปล่อยการโจมตีรูปแบบเต๋าของเขาและย้ายร่างเจียงอี้ออกไป
หนึ่งครั้ง,สองครั้ง….สามครั้ง
ผู้อาวุโสหลู่และผู้อาวุโสเจิงนั้นมีการป้องกันอยู่ตลอดเวลาแต่ตอนนี้พวกเขากำลังดูการแสดงและจะหัวเราะออกมาเป้นครั้งคราวและมองเจียงอี้ด้วยสายตาเย้ยหยันและเยาะเย้ยเขา
“อ๊ากกกอ๊ากกกก!”
โฮกก!โฮกก!
ตูม!ตูม!
“ท่านอุปราชช่วยพวกเราด้วย…..”
การสังหารด้านล่างยังคงดำเนินต่อไปเสียงกรีดร้องยังคงดังก้องอยู่ในหูของเขา กองทัพได้แตกพ่ายไปแล้วและพวกเขาทั้งหมดพากันหนีเอาชีวิตรอด ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขา ไม่ต้องพูดถึงการทำร้ายราชันสัตว์อสูรเลย เพียงแค่ยกอาวุธยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ
เจียงอี้ถูกย้ายร่างออกไปอีกครั้งและเมื่อดวงตาสีแดงเลือดของเขามองไปด้านล่างเขาก็เห็นว่ามีทหารหลายแสนนายเสียชีวิตหรือไม่ก็บาดเจ็บสาหัส พวกเขาวิ่งไปทั่วทุกสารทิศและกรีดร้องด้วยความสิ้นหวังขณะที่ราชันสัตว์อสูรยังคงไล่ล่าพวกเขา ผู้คนส่วนใหญ่ถูกราชันสัตว์อสูรเหยียบย่ำและส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา นอกจากนี้ก็ยังมีพวกเขาอีกมากมายที่มองมายังเขาด้วยความหวัง
“อ๊ากกกก!”
เขาหลับตาและคำรามขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยความเจ็บปวดเขาไม่สามารถช่วยคนพวกนั้นได้และทำให้พวกเขาต้องผิดหวัง เขานั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหล่าทหารและประชาชนที่นี่ทั้งหมด
“เจียงอี้!”
มีเสียงตะโกนที่ดังสนั่นออกมาขณะที่สีหน้าที่เยาะเย้ยของตู๋กูฉิวหายไป มันถูกแทนที่ด้วยสีหน้าจริงจังขณะที่เขาตะโกนว่า “เจ้าทนได้หรือที่เห็นพวกพ้องของเจ้าต้องตายไปต่อหน้าต่อตา? หากเจ้าไม่ต้องการให้พวกเขาตาย หากเจ้าไม่ต้องการให้คนที่เจ้ารัก, ครอบครัวและมิตรสหายต้องตาย….เจ้ามีเพียงทางเดียวเท่านั้น นั่นคือการส่งผนึกแห่งดวงจิตของเจ้ามาและเข้าร่วมกับโถงวรยุทธ!”
ผู้อาวุโสหลู่และผู้อาวุโสเจิงบินไปข้างหน้าและตะโกนออกมาพร้อมกัน“จะเข้าร่วมกับโถงวรยุทธหรือจะตาย!”
“เข้าร่วม?”
เจียงอี้นั้นกำลังไร้สติอย่างสิ้นเชิงเขาจะปล่อยให้กองทัพทั้งหมดตาย…..เพียงเพราะใจที่ฝังแน่นของเขาหรือ? เขาจะปล่อยให้แม่เฒ่าบุปผาสีเงิน, สัตว์อสูรหยาจื้อ, จ้านอีหมิงและคนอื่นๆต้องมาถูกฝังด้วยกันหรือ? เขาจะปล่อยให้ซูรั่วเสวี่ย, เจียงเสี่ยวนู๋, เจียงหยุนไฮ่, จ้านอู๋ซวงและคนอื่นๆพินาศไปพร้อมกับเขาหรือ?
ความภาคภูมิใจ,ศักดิ์ศรีและอิสรภาพนั้นมันสำคัญเช่นนั้นจริงหรือ?
…