เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 501-502
บทที่ 501 โถงวรยุทธหลัก
ตู๋กูฉิวและคนอื่นๆหลบหนีไปอย่างไร้ร่องรอย?ในตอนที่เกราะป้องกันของเมืองเทียนชิงยังคงใช้งานอยู่? แน่นอนว่ามันถูกเปิดใช้งานโดยพวกเขา ดังนั้นเจียงอี้จึงไม่สามารถล่วงรู้ได้เลยว่าพวกเขามีกลอุบายอะไรอีก
สัมผัสของเจียงอี้นั้นแข็งแกร่งมากหากตู๋กูฉิวและคนอื่นๆหลุดรอดออกไปได้ พวกเขาจะต้องหนีไปทางใต้ดินหรือไม่ก็ทางค่ายกลเคลื่อนย้าย หากเป็นทางอื่นๆคงไม่พลาดสายตาเจียงอี้เป็นแน่
ไม่มีสัญญาณของการเคลื่อนไหวใต้ดินเลยและมันก็ควรจะมีร่องรอยของการเคลื่อนย้ายทางมิติอยู่บ้างใช่ไหม?
เกิดอะไรขึ้นกัน?
เจียงอี้ไม่สามารถรู้ได้เลยเขาค้นทุกซอกทุกมุมภายในห้องโถงวรยุทธครั้งแล้วครั้งเล่า หลังจากที่เขาค้นหาอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่มีแม้แต่ร่องรอย ไม่มีแท่นสำหรับใช้กับค่ายกลเคลื่อนย้ายภายในโถงวรยุทธสาขานี้เลย
เจียงอี้แผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาและค้นหาไปทั่วทั้งเมืองหลังจากที่เขาสำรวจลงไปใต้พื้นดินสามกิโลเมตร เขาก็ยังไม่พบสิ่งใด ตู๋กูฉิวและคนไม่กี่ร้อยคนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
บรึฟ!
ราชวังจักรพรรดิปรากฏขึ้นในมือของเจียงอี้อีกครั้งและมันขยายออกมาอย่างรวดเร็วเขาถอนเจตจำนงสังหารและนำแม่เฒ่าบุปผาสีเงินและคนอื่นๆออกมา
โอ้!
แม่เฒ่าบุปผาสีเงินและคนอื่นๆต่างวิตกกังวลขณะที่พวกเขาอยู่ในราชวังจักรพรรดิหลังจากที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้นมาที่จัตุรัสของเมือง พวกเขาก็หลั่งแก่นแท้พลังทั้งหมดออกมาทันทีและเตรียมตัวต่อสู้กับศึกที่ดูสิ้นหวัง แต่เมื่อพวกเขาออกมา พวกเขาก็ต้องตกตะลึงหลังจากที่มองไปรอบๆ โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาเห็นศพของราชันสัตว์อสูรนับไม่ถ้วนมันก็ได้ทำให้พวกเขาตกตะลึงอย่างมาก
เจียงอี้ยังมีชีวิตอยู่?ตู๋กูฉิวและคนอื่นๆหายไป? ราชันสัตว์อสูรนับร้อยกลายเป็นเพียงซากศพ? มีรอยไหม้เกรียมอยู่เป็นหย่อมๆและเห็นได้ชัดว่ามันเป็นเพราะเปลวเพลิง
เจียงอี้ชนะหรือ?
หลังจากตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งทุกคนก็เผยความเลื่อมใสออกมาในทันใด แม้แต่ดวงตาของสัตว์อสูรหยาจื้อเองก็ยังเต็มไปด้วยความประหลาดใจ สถานการณ์เฉียดตายได้พลิกผันแล้ว มีผู้ใดในโลกนี้อีกบ้างที่จะหยุดการก้าวหน้าของเจียงอี้ได้?
“ไม่ต้องถามให้มากความข้าจะอธิบายให้ฟังเมื่อเรากลับไปแล้ว ตอนนี้ประมุขใหญ่โถงวรยุทธและจีทิงยวี่หายตัวไปอย่างลึกลับจากโถงแห่งนี้ พวกเจ้าทุกคนจงค้นทุกซอกทุกมุมและหาเบาะแสซะ ในขณะเดียวกันก็จงไปรวบรวมกองทัพพันธมิตรนั่นมาเป็นกองทัพเราซะ ผู้ใดที่ไม่ยอมจำนนก็สังหารพวกมันโดยไม่มีการละเว้น! สังหารตระกูลหลิงทั้งหมดและค้นหาที่ตั้งของโถงวรยุทธหลักให้เจอทุกวิถีทาง ไปหามาให้เจอว่าประมุขใหญ่โถงวรยุทธนั่นหายไปได้อย่างไร”
คำพูดที่จริงจังของเจียงอี้ทำให้หัวใจของทุกคนต่างตกไปที่ตาตุ่มแม่เฒ่าบุปผาสีเงินสบตากับสัตว์อสูรหยาจื้อแล้วบินไปบนอากาศ แม่เฒ่าบุปผาสีเงินมองไปยังกองทัพพันธมิตรด้านตะวันตกที่เหลือไม่กี่แสนคน “ท่านอุปราชมีคำสั่งลงมาว่า หากผู้ใดไม่ยอมจำนนจะถูกสังหาร ส่วนผู้ที่เต็มใจยอมจำนนก็จงคุกเข่าเดี๋ยวนี้!”
ตุบ…ตุบ…
ทหารหลายคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นทั้งหมดคุกเข่าลงและแทบอยากจะร่ำไห้พวกเขาคิดว่าพวกเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน แต่เจียงอี้ไว้ชีวิตพวกเขาจริงๆหรือเนี่ย? ใครที่ไม่ยอมจำนนก็คงโง่เขลาแล้วล่ะ
ชาตี้ถูกสังหารไปแล้วส่วนเซียวหลงหวางก็หนีไปและหลิงเสวี่ยก็มาฆ่าตัวตาย ประมุขใหญ่ของโถงวรยุทธผู้แข็งแกร่งได้ปล่อยราชันสัตว์อสูรออกมานับร้อย ไม่ใช่ว่าเขาเองก็ยังถูกเจียงอี้ไล่กวดราวกับสุนัขหรอกหรือ?
ไม่มีผู้ใดอยากตายและขวัญกำลังใจของกองทัพพันธมิตรก็ได้พ่ายไปนานแล้วตอนนี้พวกเขาทุกคนต่างพากันขอบคุณสวรรค์ที่พวกเขาถูกไว้ชีวิต
ไม่มีทหารของกองทัพพันธมิตรคนใดยืนเลยแม้แต่คนเดียวเพราะทุกคนยอมจำนนส่วนเรื่องอื่นๆก็ถูกจัดแจงกันไปอย่างง่ายดาย แม่ทัพเฒ่าหลู, เจียงเหรินถูและคนอื่นๆนำแม่ทัพและผู้บัญชาการนับไม่ถ้วนไปคอยจัดแจงเหล่ากองทัพที่ยอมจำนน จากนั้นพวกเขาก็เริ่มสอบสวนและสืบหาข้อมูล
แม่เฒ่าบุปผาสีเงิน,สัตว์อสูรหยาจื้อและผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดเริ่มพากันทำลายเกราะม่านพลังป้องกันของเมืองเทียนชิง
ทุกคนได้ตรวจสอบและสังเกตเห็นว่ามีม่านพลังศิลาซ่อนอยู่ใต้พื้นดินสามกิโลเมตรหลังจากที่ศิลาเหล่านั้นถูกทำลาย ม่านพลังเกราะป้องกันก็หายไปอย่างรวดเร็ว
เจียงอี้เข้าไปในราชวังจักรพรรดิและรอเป็นเวลาสองชั่วโมงแต่ก็ไม่มีรายงานข้อมูลใดๆเขาค่อนข้างกระสับกระส่ายและบินออกมาจากราชวังจักรพรรดิอย่างรวดเร็ว เขามองไปที่จ้านอีหมิงและพูดว่า “ท่านลุงจ้าน แยกทัพบางส่วนใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังเมืองหวัง, เมืองเซี่ยยวี่และเมืองเซิ่งกวง โจมตีโถงวรยุทธทั้งหมดให้ข้า และส่งสมาชิกตระกูลที่รู้ศาสตร์ลับค้นหาวิญญาณไปยังทุกเมืองและทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะค้นหาที่ตั้งของโถงวรยุทธหลักให้ได้เร็วที่สุด เจียงเหรินถู จัดกองทัพที่เหลือไปกวาดล้างโถงวรยุทธสาขาอื่นทั้งหมดในทวีปซะ”
โถงวรยุทธมีอยู่ตั้งแต่กำเนิดทวีปหลังจากผ่านไปหลายปี โถงวรยุทธก็ยังคงเป็นสมาคมการค้าอันดับหนึ่งของทวีป มันหมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ?
มันก็หมายความว่าโถงวรยุทธมีข้อบังคับในการรักษาความลับอย่างเข้มงวดและข้อมูลทั้งหมดของโถงวรยุทธจะต้องไม่รั่วไหลออกไปแม้แต่เฉียนกุ้ย, แม่เฒ่าบุปผาสีเงินและคนอื่นๆก็ยังไม่รู้ว่าโถงวรยุทธหลักอยู่ที่ใด แล้วคนทั่วไปจะรู้ได้อย่างไรว่ามันอยู่ที่ไหน?
การซักถามกองทัพที่ยอมจำนนนั้นไร้ประโยชน์ตอนนี้ มีเพียงทางเดียวคือตามหาประมุขสาขาโถงวรยุทธและใช้ศาสตร์ลับค้นหาวิญญาณกับพวกเขา ในทวีปทั้งทวีป มีเพียงประมุขสาขาโถงวรยุทธเท่านั้นที่จะรู้ว่าโถงวรยุทธหลักตั้งอยู่ที่ใด
“ได้!”
จ้านอีหมิงเรียกสมาชิกตระกูลออกมาแปดคนและจัดสรรพวกเขาไปที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่มุ่งหน้าไปยังเมืองเซี่ยยวี่,เมืองหวัง,และเมืองเซิ่งกวง ด้วยกองทัพที่คอยประจำการอยู่ในเมืองต่างๆ การบุกโถงวรยุทธสาขาก็ไม่ใช่เรื่องยากนัก
บรึฟ!
ค่ายกลเคลื่อนย้ายมากมายสว่างขึ้นในขณะที่เจียงเหรินถูเริ่มคัดผู้ใต้บัญชาของเขาเพื่อเคลื่อนย้ายและกระจายพวกเขาไปแต่ละอาณาจักรพวกเขากำลังจะเริ่มโค่นโถงวรยุทธสาขาลงไปทีละที่
พวกเขาอาจไม่รู้ว่าเจียงอี้เอาชนะการต่อสู้ได้อย่างไรแต่ชัยชนะนั้นก็ขึ้นชื่อว่าเป็นชัยชนะอยู่ดี ตู๋กูฉิวและคนอื่นๆได้หลบหนีไปและไม่มีผู้ใดเทียบเทียมเจียงอี้ได้ในทวีปนี้ หากเจียงอี้ต้องการทำลายโถงวรยุทธ เจียงเหรินถูก็ไม่กล้าขัดความประสงค์ของเขา
เจียงอี้กลับมาที่ราชวังจักรพรรดิอีกครั้งเพื่อรอข่าวส่วนเจียงเหรินถูได้รวมกองทหารที่ยอมจำนน, รักษาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและฝังศพผู้ตายและตามหาเศษเสี้ยวสมาชิกตระกูลราชวงศ์ของจักรวรรดิมังกรเวหา
ครึ่งวันต่อมาค่ายกลเคลื่อนย้ายก็สว่างขึ้นซึ่งทำให้ในเมืองเกิดความตึงเครียดขึ้นมา เมื่อพวกเขาเห็นว่าเป็นจ้านอีหมิง พวกเขาก็โล่งใจขณะที่ดวงตาของพวกเขาสว่างขึ้น พวกเขาพบโถงวรยุทธหลักแล้วหรือ?
บรึฟ!
ราชวังจักรพรรดิสว่างขึ้นในทันทีและทันใดนั้นจ้านอีหมิงก็หายลับไปจากจุดที่เขายืนอยู่และได้เข้าไปในราชวังจักรพรรดิที่อยู่กลางอากาศเจียงอี้มองเขาด้วยสายตาประหม่าในขณะที่จ้านอีหมิงยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “หลานชาย พอเราพาคนไปยังเมืองหวัง, เมืองเซี่ยยวี่และเมืองเซิ่งกวง ประมุขสาขาของทั้งสามโถงวรยุทธต่างก็ฆ่าตัวตายไปแล้ว ส่วนสมาชิกที่เหลืออยู่ข้าก็ได้สั่งให้คนของข้าค้นวิญญาณพวกเขาแต่ก็ไม่พบสิ่งใด เราไม่พบข้อมูลใดๆเกี่ยวกับโถงวรยุทธหลักเลย…”
จีทิงยวี่เจ้ามันน่าทึ่งจริงๆ
เจียงอี้ถอนหายใจอยู่ในใจบางที อาจมีเพียงจีทิงยวี่เท่านั้นที่สามารถจัดการเรื่องราวเหล่านี้ได้รวดเร็วเช่นนี้ ตู๋กูฉิวนั้นน่าเกรงขามและเป็นผู้นำที่ทรงพลังก็จริง แต่เขาคงไม่สามารถวางแผนการที่ละเอียดเช่นนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือก่อนหน้านี้เขาอาจจะกลัวจนตัวแข็งด้วยซ้ำใช่ไหม?
ปัญหาใหญ่แล้ว!
เจียงอี้ขมวดคิ้วนี่เป็นช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบสำหรับพวกเขาที่จะทำลายโถงวรยุทธ หากพวกเขาไม่พบโถงวรยุทธหลัก ตู๋กูฉิวและคนอื่นๆอาจจะสามารถรวมกลุ่มตัวเองได้ใหม่ ด้วยความคิดที่ยอดเยี่ยมของจีทิงยวี่ นางจะวางแผนการอื่นได้อย่างรวดเร็วในขณะที่ซูรั่วเสวี่ยและคนอื่นๆยังคงอยู่ในมือของพวกเขา
“หลานชายตอนนี้เราจะทำอย่างไรดี?”
จ้านอีหมิงเองก็จนปัญญาและไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรอคำสั่งจากเจียงอี้จ้านอู๋ซวงก็ถูกจับตัวไปเช่นกันและลูกชายคนนี้ก็เป็นลูกชายที่เขาโปรดปรานและหวงแหน ที่สำคัญที่สุดคือหากจ้านอู๋ซวงสิ้นลมไป ความสัมพันธ์ของตระกูลจ้านและเจียงอี้ก็คงจะแตกหักกันไปโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
“มีสองวิธี!”
ดวงตาของเจียงอี้กระพริบขณะที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ลุงจ้าน หาวิธีส่งข้อความถึงแม่หญิงสุ่ยทันที นางอาจรู้ว่าที่ตั้งของโถงวรยุทธหลักอยู่ที่ใด จงทำเรื่องนี้อย่างรอบคอบด้วย เพราะไม่ใช่เพียงแค่แม่หญิงสุ่ยเท่านั้น แต่นางจะต้องนึกถึงลูกศิษย์นับหมื่นของหอดาราสุ่ยเยว่ด้วย”
จ้านอีหมิงพยักหน้าและออกไปเจียงอี้เริ่มใช้วิธีที่สองของเขา นั่นก็คือการปลดปล่อยญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขา!
นี่เป็นศาสตร์เวทย์มนตร์ที่ทรงพลังซึ่งมันสามารถขยายขอบเขตของสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไปได้อย่างไร้ขีดจำกัดย้อนกลับไปเมื่อตอนที่จอมเวทย์ใช้ญาณศักดิ์สิทธิ์ เขาสามารถสำรวจทั่วทั้งทวีปได้อย่างง่ายดายและยังค้นพบทะเลมรณะด้วย จิตวิญญาณของเจียงอี้ยังไม่เทียบเท่ากับจอมเวทย์แต่เขาก็ยังคงสามารถสอดแนมได้สักครึ่งทวีปใช่ไหมนะ?
บทที่ 502 ตอนเหนือสุดของทวีป
เจียงอี้เข้าถึงศาสตร์เวทย์ญาณศักดิ์สิทธิ์นานแล้วแต่เขาใช้มันเพียงไม่กี่ครั้งและไม่เคยลองใช้งานจริงๆจังๆเลยสักครั้ง เพราะมันใช้พลังงานมหาศาลซึ่งจะทำให้เขาเหนื่อยล้ามากจากการใช้งานแต่ละครั้ง
บรึฟ!
แสงสีทองสว่างขึ้นในดวงจิตวิญญาณของเขาขณะที่ร่างกายของเขาก็สว่างขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกันสายลมเย็นๆปลิวไสวออกมาจากร่างของเขาและหายไปอย่างไร้ร่องรอย หากมีผู้ใดใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์เพื่อตรวจดูรอบๆ พวกเขาก็จะรู้ในทันทีว่ามีความผันผวนของพื้นที่อยู่
“หืม?”
ในตอนนี้แม่เฒ่าบุปผาสีเงินใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของนางคอยตรวจสถานการณ์ภายในเมือง ดังนั้นนางจึงสัมผัสได้ถึงความผันผวนของพื้นที่เล็กน้อย ดวงตาของนางสว่างขึ้นขณะที่พึมพำ “นี่เป็นศาสตร์เวทย์ญาณศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน? จอมเวทย์เป็นอัจฉริยะจากสวรรค์จริงๆ เขาเข้าใจคาถาเวทย์โบราณนี้และยังส่งต่อมันได้”
อักษรในสมัยโบราณนั้นแตกต่างจากปัจจุบันมากดังนั้นการใช้เวทย์โบราณจึงยากที่จะหยั่งถึง หากคนผู้นั้นไม่ได้เป็นอัจฉริยะจากสวรรค์ พวกเขาก็คงจะไม่สามารถฝึกขั้นแรกได้เลยด้วยซ้ำ
จอมเวทย์ได้อุทิศชีวิตของเขาเพื่อเรียนรู้ศาสตร์เวทย์และอาคมยับยั้งโบราณเขาหวังจะได้หยั่งถึงเต๋าที่แท้จริงของศาสตร์เวทย์เหล่านี้และทะลวงผ่านขั้นสุดท้ายไปได้ แต่น่าเสียดายนักที่เขายังขาดโชคอยู่เล็กน้อย
สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเจียงอี้แผ่ออกไปราวกับสายลมและขยายออกไปนับพันกิโลเมตรอย่างรวดเร็วภาพต่างๆปรากฏขึ้นในใจของเขาทีละภาพ
มันเหมือนกับการพลิกหน้าตำราที่มีจำนวนหน้าที่ไม่รู้จบและเขาจะต้องอ่านตำราเล่มนี้ให้จบภายในเวลาสั้นๆนอกจากนี้เขายังจะต้องเข้าใจทุกสิ่งที่อยู่ในตำราเล่มนี้ด้วย
สองชั่วโมง,สี่ชั่วโมง…แปดชั่วโมง
ญาณศักดิ์สิทธิ์ของเจียงอี้กวาดไปทั่วตอนเหนือของทวีปรวมถึงอาณาจักรเป่ยเหลียงทั้งหมดและเมืองของอาณาจักรเป่ยหมางและญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้แผ่ลงไปใต้ดินหลายสิบกิโลเมตรเช่นกัน
แต่น่าเสียดายที่นอกเหนือจากการค้นพบพื้นที่อันตรายแล้วก็ไม่มีอะไรควรค่าแก่การใส่ใจเลย สิ่งเดียวที่ดึงดูดความสนใจของเจียงอี้ก็คือสมาชิกโถงวรยุทธจำนวนมากกำลังเคลื่อนไหวอย่างลับๆหลังจากที่พวกเขาออกจากโถงวรยุทธไป พวกเขากลายเป็นความว่างเปล่าและซ่อนตัวอยู่ในฝูงคน
“ไปทางใต้หรือทางเหนือ?”
ความคิดแล่นผ่านเข้ามาในหัวเจียงอี้เขารู้สึกว่าญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาสามารถขยายไปได้มากยิ่งขึ้น หากเขามุ่งหน้าไปทางใต้ เขาอาจจะตรวจสอบอาณาจักรอื่นๆได้ และหากเขามุ่งหน้าไปทางเหนือ มันก็จะเป็นที่ราบน้ำแข็งเวิ้งว้างที่หิมะตกตลอดทั้งปี มีสัตว์กลายพันธุ์จำนวนมากอาศัยอยู่ที่นั่นและมันดูเหมือนจะไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ที่นั่น
“ไม่สิ!เพราะว่ามีบางอย่างผิดปกติกับที่ราบน้ำแข็งเวิ้งว้างและมนุษย์ไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ ที่นั่นจึงเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดที่จะเป็นที่หลบภัย!” เขากวาดญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาไปทางทิศเหนือและสำรวจที่ราบน้ำแข็งเวิ้งว้าง
ที่ราบน้ำแข็งเวิ้งว้างมีขนาดมหึมาอย่างน้อยๆก็อาจจะเท่ากับอาณาจักรเป่ยหมางเลย ที่ราบน้ำแข็งนั้นมีหมอกปกคลุมไปทั่วและท้องฟ้าก็ปกคลุมไปด้วยหิมะที่ตกหนัก บนที่ราบน้ำแข็งมีเนินเขามากมายที่มีต้นไม้น้อยมาก ต้นไม้เหล่านั้นโล่งเตียนและไม่มีใบ
“เอ่อมีสัตว์กลายพันธุ์มากมายอยู่ในที่ราบน้ำแข็งนี้อย่างที่ข่าวลือว่าไว้จริงๆ”
สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเจียงอี้กวาดผ่านเนินเขามากมายแต่ก็น่าประหลาดที่เขาพบว่าเนินเขาเหล่านี้ไม่ใช่เนินเขาจริงๆแต่แท้จริงแล้วมันเกิดจากสัตว์กลายพันธุ์ที่เกาะกลุ่มจำศีลด้วยกัน หิมะที่ตกหนักค่อยๆปกคลุมสัตว์กลายพันธุ์เหล่านั้นจนค่อยๆกลายเป็นเนินเขาขึ้นมา
เจียงอี้สำรวจแบบลวกๆและพบสัตว์กลายพันธุ์หลายร้อยตัวมันมีกลิ่นอายเทียบเคียงได้กับราชันสัตว์อสูรระดับสามและเขายังพบสัตว์กลายพันธุ์บางตัวที่มีกลิ่นอายเท่าราชันสัตว์อสูรด้วย
ญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาแผ่กระจายไปทั่วทางเหนือหนึ่งชั่วโมงต่อมา เมื่อมันไปถึงทางเหนือสุดของทวีป เขาก็ค้นพบเหวขนาดใหญ่
สิ่งที่แปลกก็คือ….
เมื่อญาณศักดิ์สิทธิ์ของเจียงอี้สำรวจไปทั่วหุบเหวอเวจีเขาก็เห็นเพียงหน้าผาธรรมดาที่ไม่มีอะไร แต่ค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ถูกซ่อนอยู่เหนือหุบเหวแต่เจียงอี้ไม่เห็นมัน
ฮู่ฮู่!
ร่างของเจียงอี้เซไปมาขณะที่เขาถอนญาณศักดิ์สิทธิ์กลับมาอย่างรวดเร็วหลังจากที่ใช้มันไปเป็นเวลาหลายชั่วโมง ผิวของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีขาวโพลนและรู้สึกราวกับว่าตัวเองไม่ได้พักผ่อนมาหลายวันและดวงจิตวิญญาณของเขาอ่อนล้าเป็นอย่างมาก
เขาพยายามลุกขึ้นและเดินเข้าไปในห้องและจากนั้นเขาก็มองไปยังเสี่ยวเฟยที่เข้าสู่สันโดษขณะที่ปากของเขาเผยรอยยิ้มจางๆก่อนที่จะเอนหลังลงบนเตียงและหลับไป
หลังจากที่นอนหลับไปทั้งวันเจียงอี้ก็ตื่นขึ้นและเมื่อเขาถามหาข้อมูลก็พบว่ายังไม่ผู้ใดค้นพบสิ่งใดเลย เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากปลดปล่อยญาณศักดิ์สิทธิ์ไปอีกครั้งเพื่อสำรวจพื้นที่ทางใต้ต่อ
ครึ่งวันต่อมาเจียงอี้ก็ลืมตาขึ้นมาอย่างเหนื่อยล้า แต่เมื่อเขากำลังจะพักผ่อน แม่เฒ่าบุปผาสีเงินก็ส่งข้อความมาบอกว่าหอดาราสุ่ยเยว่ส่งข้อความมาแล้ว
“แม่หญิงสุ่ยเข้าสู่สันโดษ!”
เจียงอี้เผยร่องรอยของความเจ็บปวดออกมาหลังจากเหตุการณ์ใหญ่หลวงเช่นนี้เกิดขึ้นในทวีปแล้ว สุ่ยโย่วหลานยังคงเข้าสู่สันโดษได้อย่างไร? หากดูจากความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเจียงอี้ หากนางช่วยได้ นางก็จะทำเช่นนั้นแน่นอน มันแสดงให้เห็นเลยว่านางกำลังเผชิญกับความกดดันมากเพียงใดเช่นกัน
โถงวรยุทธได้ถูกทำลายไปแล้วแต่เหตุใดสุ่ยโย่วหลานถึงยังหวาดหวั่นอยู่เช่นนี้? หรือเป็นเพราะโถงวรยุทธยังคงซ่อนบางสิ่งที่แข็งแกร่งกว่านี้เอาไว้หรือเปล่า?
เจียงอี้ขบคิดอย่างมากขณะที่เขาขมวดคิ้วและดวงตาก็เต็มไปด้วยความเวิ้งว้างเขาไม่มีทางหาที่ตั้งของโถงวรยุทธได้ในช่วงเวลาสั้นๆและทำได้เพียงรอให้โถงวรยุทธรวมตัวก่อนที่จะเคลื่อนไหวอีกครั้ง แต่หากเขาทำเช่นนั้น เขาก็คงจะกลายเป็นคนนิ่งดูดายและไม่สนใจสิ่งใด
ฟึ่บ!
ที่ด้านนอกของราชวังจักรพรรดิแม่เฒ่าบุปผาสีเงินที่เพิ่งออกไปก็บินกลับมาอีกครั้ง เจียงอี้ขมวดคิ้วและย้ายนางเข้ามาขณะที่นางเข้ามานางก็รีบพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด “ท่านจอมพล ที่นอกเมืองมีคนกล่าวอ้างว่านางมีข่าวเกี่ยวกับโถงวรยุทธเจ้าค่ะ”
“พานางเข้ามา!”
ดวงตาที่เหมือนเสือของเจียงอี้เย็นชาขณะที่เขาลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหันจิตวิญญาณที่อ่อนล้าของเขาหายลับไปเมื่อแม่เฒ่าบุปผาสีเงินพาเด็กสาวผู้นั้นเข้ามา และเมื่อเจียงอี้เห็นเด็กสาวผู้นั้น ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความสับสน
เด็กคนนี้ดูอายุเพียงเจ็ดหรือแปดปีเองนางดูขี้อายมากและมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่ก็มีร่องรอยของความอยากรู้อยากเห็น เจียงอี้มองเข้าไปในดวงตาที่บริสุทธิ์และเผยรอยยิ้มที่น่ารักและพูดอย่างอ่อนโยน “สาวน้อย เจ้าไม่ต้องกลัวนะ ผู้ใดให้เจ้ามาส่งข้อความ? โถงวรยุทธหลักนั้นตั้งอยู่ที่ใดกัน?”
เด็กสาวผู้นั้นชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะกัดฟันตอบแน่น“ท่าน…คือเจียงอี้ใช่ไหม? คนคนนั้นบอกให้ข้าแจ้งแก่เจียงอี้เท่านั้น”
“ใช่!”เจียงอี้พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ข้าคือเจียงอี้ คนหลายล้านคนที่อยู่ข้างล่างนั่นเป็นพยานได้นะ”
“ถ้าอย่างนั้นท่านจะให้ทองคำม่วงแก่ข้าหรือเปล่า?”
สาวน้อยพูดต่อ“คนคนนั้นบอกข้าว่าตราบใดที่ข้าบอกข้อมูลนี้ ท่านจะให้ทองคำม่วงแก่ข้าชิ้นหนึ่ง”
เจียงอี้ยิ้มและมองไปที่แม่เฒ่าบุปผาสีเงินขณะที่แหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณสว่างขึ้นและนางก็หยิบใบไม้สีทองสิบใบออกมาแล้วส่งให้หญิงสาวตัวน้อย“เอานี่ไปเจ้าหนูน้อย หลังเสร็จเรื่องแล้วข้าจะให้คนไปส่งเจ้ากลับบ้าน ตอนนี้ช่วยบอกเราได้ไหมว่าใครเป็นคนส่งข้อความให้เจ้าและมันมีข้อความว่าอย่างไร?”
เด็กหญิงตัวน้อยจับทองคำม่วงอย่างระมัดระวังความไร้เดียงสาของเด็กนั้นไม่สามารถเสแสร้งได้ นางใช้ฟันกัดลงบนทองคำและยืนยันว่ามันคือทองคำม่วงจริงๆ นางใช้ผ้าเช็ดหน้าพันเอาไว้ก่อนที่จะซ่อนไว้ในชุดของนางหลังจากนั้นนางก็ตอบว่า “ชายชุดดำบอกให้ข้ามาที่เมืองเทียนชิงและตามตาเจียงอี้ เขาบอกว่าโถงวรยุทธหลักตั้งอยู่…ทางตอนเหนือสุดของทวีป!”
“เหนือสุดของทวีป!”
เจียงอี้และแม่เฒ่าบุปผาสีเงินมองหน้ากันดวงตาของพวกเขาทั้งคู่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ เมื่อวานเจียงอี้ได้ใช้ญาณศักดิ์สิทธิ์กวาดมองพื้นที่นั้นไปครั้งหนึ่งแล้วและไม่มีสิ่งใดพิเศษอยู่ทางเหนือสุด
ใครกันที่ให้สาวน้อยผู้นี้ส่งข้อความมา?แม้แต่แม่เฒ่าบุปผาสีเงินและคนอื่นๆยังไม่รู้ว่าโถงวรยุทธหลักตั้งอยู่ที่ใด แล้วชายชุดดำรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?
หรือมันจะเป็นกับดัก?
จะเป็นไปได้ไหมว่าจีทิงยวี่วางกับดักไว้ที่ทางเหนือสุดและรอให้เจียงอี้เดินเข้าไปติดกับดักนั้น?
เจียงอี้พึมพำก่อนที่จะพูดต่อว่า“เด็กน้อย ชายชุดดำได้พูดอะไรอีกหรือเปล่า? หรือมีสิ่งของหรืออะไรเป็นพิเศษอีกหรือไม่?”
“เอ่ออ..”
เด็กน้อยผู้นั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอียงศีรษะไปข้างๆและพูดว่า“อ้า ใช่แล้ว เขาพูดอีกประโยคว่า ทวีปจักรพรรดิบูรพา”
ร่างกายของเจียงอี้สั่นสะท้านเขารู้ทันทีว่าตัวตนของชายชุดดำนั่นเป็นใคร เขาอาจจะเป็นเจียงเปี๋ยหลีที่หายลับไป