เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 503 -504
บทที่ 503 การปะทะกันของน้ำแข็งและไฟ
อีเพียวเพียวได้ทิ้งรูปสลักหยกขาวเอาไว้และภายในรูปสลักนั้นมีบันทึกภาพลวงตาซึ่งได้บอกเล่าสิ่งต่างๆมากมายแก่เจียงอี้และยังบอกอีกว่าหากเจียงอี้สามารถไปถึงขอบเขตจินกังขั้นสูงสุดได้ก่อนอายุยี่สิบปี เขาก็สามารถมายังทวีปจักรพรรดิบูรพาเพื่อตามหาผู้ที่มีนามว่าหยูเวินและเขาจะบอกเจียงอี้ว่าจะตามหานางได้อย่างไร
ต้นกำเนิดของอีเพียวเพียวนั้นเป็นปริศนามาโดยตลอดและแม้แต่สุ่ยโย่วหลานเองก็ไม่รู้ว่าอีเพียวเพียวมาจากที่ใดในขณะเดียวกันก็ไม่เคยมีผู้ใดก้าวออกไปนอกทวีปมาก่อน แม้ว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญที่เคยออกจากทวีปไปแต่ก็ไม่มีผู้ใดกลับมา ดังนั้นผู้คนในทวีปจึงไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นที่ด้านนอกนั้นบ้าง มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะรู้เรื่องเกี่ยวกับทวีปจักรพรรดิบูรพา
ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาอีเพียวเพียวและเจียงเปี๋ยหลีต่างรักใคร่กัน แม้ว่านางจะไม่ได้บอกเจียงเปี๋ยหลีว่านางมาจากที่ใดแต่นางอาจจะบอกเขาเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดข้างนอกนั่น ดังนั้นเมื่อเด็กน้อยตัวเล็กๆผู้นี้พูดถึงทวีปจักรพรรดิบูรพา หัวใจของเจียงอี้ก็เต้นรัวทันใดและมีร่างของเจียงเปี๋ยหลีปรากฏขึ้นภายในใจของเขา
เจียงเปี๋ยหลีหายไปอย่างลึกลับพร้อมกับตระกูลเจียงและเจียงอี้ก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเขาจึงทำเช่นนั้น
เซี่ยถิงเวยและคนอื่นๆตายไปแล้วในระหว่างนั้นเมื่อปรมาจารย์หลิงและเจียงอี้หายตัวไป เขาก็คงพอจะเดาได้ว่าทั้งคู่กำลังต่อสู้กันในทะเล หากปรมาจารย์หลิงได้รับชัยชนะ จะไม่มีผู้ใดสามารถหยุดยั้งจักรวรรดิมังกรเวหาในการรวมทวีปได้และเขาจะถูกปรมาจารย์หลิงสังหาร แต่หากเจียงอี้ชนะ เขาจะต้องหลีกเลี่ยงที่จะติดต่อกับเจียงอี้แม้ว่าเขาเลือกที่จะอยู่ที่นั่นก็ตาม ในเมื่อฝ่ายใดชนะมันก็จะนำความยากลำบากมาสู่เขาทั้งนั้น เขาจึงคิดว่าการออกจากที่นี่ไปพร้อมกับสมาชิกตระกูลคงจะดีกว่า
แต่กระนั้นจู่ๆเจียงเปี๋ยหลีก็ปรากฏตัวขึ้นมาและยังส่งข้อความมายังเจียงอี้? ในเมื่อเขาตัดสินใจที่จะช่วยเจียงอี้แล้วเหตุใดเขาถึงยังซ่อนตัวอยู่ เป็นไปได้ไหมว่าเขาไม่ต้องการที่จะพบหน้าเจียงอี้เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่น่าอึดอัด?
เจียงอี้ส่งสัญญาณให้แม่เฒ่าบุปผาสีเงินพาเด็กน้อยกลับลงไปดวงตาของเขากระพริบอย่างไม่หยุดหย่อนและเริ่มวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือของข้อมูลนี้
โถงวรยุทธนั้นลึกลับและทรงพลังอย่างยิ่งบางทีพวกเขาอาจรู้จักทวีปจักรพรรดิบูรพาเหมือนกัน หากข่าวนี้ถูกส่งมาโดยคนของโถงวรยุทธ เช่นนั้นทางเหนือสุดของทวีปก็คือกับดักอย่างแน่นอน
เขาควรไปหรือไม่ไปดีนะ?
เจียงอี้เริ่มลังเลเมื่อวันก่อนเขาใช้ญาณศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบพื้นที่นั้นไปครั้งหนึ่งแล้วและไม่พบสิ่งใดในทางเหนือสุด สิ่งนี้ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่มีอะไรอยู่ทางตอนเหนือสุดหรือไม่ก็มีม่านพรางตาที่ทรงพลังมากในสถานที่นั้น หากเขาไม่สามารถเข้าไปใกล้ๆมัน เขาก็จะไม่มีทางพบเบาะแสใดๆ
เขานั่งคิดเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงเต็มๆก่อนที่จะกวักมือเรียกทุกคนเพื่อถามว่าพวกเขาได้ข้อมูลใหม่หรือไม่หลังจากที่ยืนยันว่าไม่มีข้อมูลใหม่เลยเขาก็กัดฟันและพูดออกมาว่า “ข้าจะเดินทางไปยังทางเหนือสุดของทวีป แม่เฒ่าบุปผาสีเงินคอยอยู่คุ้มกันและดูแลเมืองเทียนชิง หากเกิดสิ่งใดขึ้นเจ้าก็ตัดสินใจได้เลยว่าจัดการอย่างไร”
“เจ้าค่ะ”
แม่เฒ่าบุปผาสีเงินพยักหน้าความแข็งแกร่งของนางนั้นด้อยมากเมื่อเทียบกับเจียงอี้ ดังนั้นนางน่าจะอยู่ที่นี่เพื่อดูแลเมืองน่าจะดีกว่า หากมีข้อมูลใหม่มา นางก็จะได้รายงานเจียงอี้ได้ทันที
“ในช่วงนี้อย่าโจมตีอาณาจักรเป่ยหมางและอาณาจักรเป่ยเหลียง ช่วยข้าทำลายโถงวรยุทธทั้งหมดในดินแดนที่เรายึดครองมาได้ก่อน หากมีอะไรผิดปกติ เจ้าเพียงข่มขู่พวกมันและให้หน่วยสอดแนมตามหาข้อมูลทั้งหมดของโถงวรยุทธต่อไป…”
หลังจากที่เจียงอี้พูดจบเขาก็ออกเดินทางไปพร้อมกับสัตว์อสูรหยาจื้อทันที เมื่อครู่ที่ผ่านมาเขาเพิ่งใช้ญาณศักดิ์สิทธิ์ไปและรู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมากและทางเหนือสุดก็อยู่ไกลมาก แม้แต่สัตว์อสูรหยาจื้อเองก็คงจะช่วยได้ไม่มากนักหากมีศึกใหญ่รออยู่ แต่มันก็ยังดีที่ใช้เป็นพาหนะได้
มุ่งหน้าสู่ทางเหนือ!
ความเร็วของสัตว์อสูรหยาจื้อนั้นค่อนข้างใช้ได้มันใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็ไปถึงที่ราบน้ำแข็งเวิ้งว้าง เจียงอี้ให้สัตว์อสูรหยาจื้อบินขึ้นไปสูงขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์กลายพันธุ์ด้านล่างตื่นขึ้นมา หลังจากที่บินไปหลายพันกิโลเมตรจากด้านล่างก็ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ความตึงเครียดในใจเจียงอี้ผ่อนลงขณะที่เขานั่งฝึกฝนอย่างสงบเพื่อให้ดวงจิตวิญญาณของเขาฟื้นฟูกลับคืนมา
โฮก!โฮกกกก!
หนึ่งวันครึ่งต่อมาเมื่อสัตว์อสูรหยาจื้อบินผ่านภูเขาที่ยิ่งใหญ่ก็เกิดเสียงหอนที่น่าตกตะลึงสะท้อนออกมาจากด้านล่าง หลังจากนั้นภูเขาก็ระเบิดออกมาและตามมาด้วยน้ำแข็งที่พุ่งออกมานับไม่ถ้วน กลิ่นอายที่น่ากลัวแผ่มาจากด้านล่างซึ่งทำให้ความเร็วของสัตว์อสูรหยาจื้อลดลงอย่างมาก
ร่องรอยของความตึงเครียดเผยอยู่ในดวงตาสัตว์อสูรหยาจื้อมันกัดฟันพูดออกมา “เจียงอี้ สัตว์กลายพันธุ์ด้านล่างมีพลังแข็งแกร่งมาก ข้าเกรงว่าข้าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน”
เจียงอี้ลืมตาขึ้นมาและเผยร่องรอยของความตึงเครียดหากสัตว์อสูรหยาจื้อไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน เช่นนั้นความแข็งแกร่งของสัตว์กลายพันธุ์นั่นก็เทียบเคียงกับจักรพรรดิสัตว์อสูร?
เสาน้ำแข็งถูกปล่อยออกมาและสัตว์กลายพันธุ์ก็เผยเจตนาร้ายออกมามันมีรูปร่างที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง รูปร่างมันคล้ายแรด, มีขาที่สั้นมาก แต่คอของมันไม่ใช่แค่ยาวธรรมดาแต่มันยาวอย่างน้อยสามร้อยเมตร หัวของมันไม่ได้ใหญ่และมีรูปร่างคล้ายสามเหลี่ยม มันมีดวงตาแวววาวและเต็มไปด้วยความเย็นชา เมื่อจ้องมองมันเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำให้รู้สึกใจสั่นได้
ฟึ่บ!ฟั่บ!
มันอ้าปากของมันจนลมอันหนาวเหน็บเริ่มก่อตัวเป็นก้อนอยู่ในปากของมันมันมีแรงดูดที่น่ากลัวซึ่งทำให้สัตว์อสูรหยาจื้อต้องบินเข้าหามันอย่างไม่สมัครใจ
“ฮึ่ม!”
ดาบมังกรเพลิงปรากฏขึ้นในมือของเจียงอี้ขณะที่เขาตวัดดาบลงไปด้านล่างและมังกรเพลิงนับหมื่นตัวก็พุ่งเข้าไปในปากของมัน
เจียงอี้ไม่ได้ปลดปล่อยเจตจำนงสังหารออกมาเขาเคยผ่านการปะทะกับสัตว์กลายพันธุ์ในชั้นที่สี่ของราชวังจักรวาลมาแล้ว สัตว์กลายพันธุ์เหล่านี้ไม่มีเชาว์ปัญญา ดังนั้นเจตจำนงสังหารจึงแทบจะไม่มีผลกับมัน เขาโจมตีมันด้วยกำลังทั้งหมดของเขาน่าจะดีกว่า
ฟึ่บ!ฟั่บ!
เมื่อมังกรเพลิงนับหมื่นอยู่ห่างจากสัตว์กลายพันธุ์ไม่กี่เมตรกล่องเสียงที่ยาวและแคบของมันก็กระตุกก่อนที่มันจะอ้าปากและยิงศรน้ำแข็งขนาดเล็กออกมา
“หือ..”
ในขณะที่ศรน้ำแข็งถูกยิงออกมาเจียงอี้สัมผัสได้ถึงพลังของมัน มันไม่ใช่เพราะความเร็วของศรน้ำแข็งหรือแรงกดดันที่น่ากลัว แต่มันกลับเป็นเพราะอุณหภูมิของศรน้ำแข็งต่ำเกินไป ทุกที่ที่ศรน้ำแข็งผ่านไป ห้วงอากาศจะหยุดนิ่งขณะที่มังกรเพลิงนับหมื่นถูกทำลายลงทันที
“หนาวชะมัด!”
แม้ว่าศรน้ำแข็งจะอยู่ห่างจากพวกเขาเป็นกิโลแต่เจียงอี้และสัตว์อสูรหยาจื้อก็ยังสัมผัสได้ว่าร่างกายของพวกเขาหนาวเหน็บและเลือดของพวกเขาแทบหยุดไหลเวียน เจียงอี้อยากจะอ้าปากพึมพำออกมาแต่ขณะที่เขาอ้าปาก เขาก็รู้สึกได้ว่าปากและลิ้นของเขาก็เริ่มแข็งตัวเช่นกัน
ฟึ่บ!
ความเร็วของศรน้ำแข็งค่อนข้างเร็วใช้ได้เพียงพริบตาเดียวมันก็อยู่ห่างจากสัตว์อสูรหยาจื้อเพียงร้อยเมตร เจียงอี้และสัตว์อสูรหยาจื้อได้กลายเป็นรูปแกะสลักน้ำแข็งไปแล้ว ไม่เพียงแต่เลือดของมนุษย์และสัตว์อสูรจะแข็งตัวเท่านั้น แต่จิตวิญญาณของพวกเขาก็เริ่มแข็งตัวด้วยเช่นกัน
“เจ้าสัตว์ร้ายถึงคราวข้าบ้างแล้ว!”
เจียงอี้กำลังเดือดดาลเขาเก็บสัตว์อสูรหยาจื้อเข้าไปในราชวังจักรพรรดิด้วยความคิดในใจของเขา จากนั้นเขาก็หมุนเวียนแก่นแท้พลังของเขาไปยังเส้นปราณที่เยือกแข็งอย่างสุดกำลังขณะที่มือขวาของเขาสว่างไสวขึ้นด้วยแสงสีเขียวเข้ม
ฟึ่บ!ฟั่บ!
เพลิงมังกรเก้าสวรรค์ปรากฏขึ้นมาอุณหภูมิที่น่าสะพรึงของมันแผ่กระจายไปรอบๆจนทำให้น้ำแข็งที่ตัวเจียงอี้ละลายไปทันที พื้นที่เยือกแข็งรอบๆก็เริ่มละลายอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเขาก็ปล่อยฝ่ามือออกไปหลายครั้งและปล่อยทะเลเพลิงเข้าปะทะกับศรน้ำแข็ง
มันคือการต่อสู้ระหว่างน้ำแข็งและไฟ!
เปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ยังคงเป็นเปลวเพลิงที่น่ากลัวแต่เมื่อมันปะทะกับศรน้ำแข็ง มันก็ค่อยๆสูญสลายไปและศรน้ำแข็งเพียงหนึ่งในสามส่วนก็ถูกละลายไป
ศรน้ำแข็งนี้แข็งแกร่งเกินไปหากเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกัง พวกเขาจะต้องถูกแช่แข็งจนตายอย่างแน่นอน
เจียงอี้ยังคงปล่อยเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์และย้ายร่างฉับพลันในเวลาเดียวกันแม้จะมีเปลวเพลิงคอยปกป้องร่างกายของเขา แต่ยิ่งเขาอยู่ใกล้ศรน้ำแข็งมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกเย็นเยียบมากขึ้นเท่านั้น เขาเกรงว่าอวัยวะภายในและเส้นปราณของเขาจะถูกน้ำแข็งกัดกินเสียก่อน
“ฮึ่มเจ้าสัตว์ร้าย ข้ายังมีเรื่องที่ต้องสะสาง ข้าจะกลับมาแก้แค้นเจ้าในภายหลังแล้วกัน”
เมื่อเขาเห็นว่าหลังจากที่เขาปล่อยเปลวเพลิงขนาดยักษ์ออกไปแต่ศรน้ำแข็งก็ยังละลายไม่หมดเจียงอี้ก็ถอนหายใจอยู่ในใจ สัตว์กลายพันธุ์นี่แข็งแกร่งเกินไป
เจดีย์ฝูงอสูรของตู๋กูฉิวถูกเขาเก็บเอาไว้แต่ตู๋กูฉิวยังไม่ตายเขาจะต้องใช้เวลานานหากต้องการที่จะปรับแต่งเจดีย์ฝูงอสูรนี้ ตามที่เจียงอี้คาดเอาไว้ เจดีย์ฝูงอสูรนี้เป็นสิ่งประดิษฐ์สุดยอดและสามารถปราบปรามสัตว์ร้ายทั้งหมดในพิภพนี้ได้ หากเขาปรับแต่งมันแล้วเขาอาจจะทำให้สัตว์กลายพันธุ์นี้เชื่องก็ได้และมันจะช่วยเขาได้อย่างมากในภายภาคหน้า
ฟึ่บฟุ่บ!
เขายังคงย้ายร่างฉับพลันออกจากพื้นที่นั้นไปเขารอจนกว่าเขาจะไม่เห็นร่างของสัตว์กลายพันธุ์อีกต่อไปก่อนที่จะเรียกสัตว์อสูรหยาจื้อออกมาและเดินทางต่อ คราวนี้เขาไม่เจออันตรายอีกต่อไปและหลังจากผ่านไปหลายวัน ในที่สุดเขาก็มาถึงหุบเหวตอนเหนือสุดของทวีปเสียที
ก่อนที่เขาจะเข้าใกล้หน้าผาเจียงอี้ก็ได้แผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไป หลังจากที่สำรวจเพียงครั้งเดียว ดวงตาของเขาก็สว่างขึ้นราวกับดวงดาว
เขาพบความผันผวนของอาคมยับยั้งที่ซ่อนเร้นอยู่ใกล้หน้าผาตามที่คาดไว้ มีม่านพรางตาอยู่ที่นี่
บทที่ 504 มดแมลงคิดเขย่าฟ้า
ไม่ว่ามันจะมีอาคมยับยั้งเช่นใดก็ตามมันจะเกิดการสั่นไหวเมื่อสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แผ่เข้าไป เจียงอี้ได้พบอาคมยับยั้งมากมายและเขามั่นใจว่ามีภาพลวงตาที่ทรงพลังอยู่บริเวณแถบนี้
มีอยู่สองวิธีในการทำลายเขตลวงตาทางแรกคือการแก้ให้อาคมยับยั้งกลับคืนสู่สภาพหรืออีกทางคือการทำลายมันด้วยความรุนแรง จอมเวทย์ได้ทิ้งอาคมยับยั้งนับหมื่นอาคมไว้ให้เจียงอี้เรียนรู้มัน หากเขาเข้าใจพวกมันทั้งหมด เขาก็อาจจะทำลายเขตลวงตานี้ได้อย่างง่ายดาย แต่น่าเสียดายที่เจียงอี้ไม่มีเวลาหรืออารมณ์ที่จะมาศึกษามันตอนนี้ เขาจึงเลือกที่จะทำลายมันด้วยความรุนแรง
ฟึ่บ!ฟั่บ!
เขาเหวี่ยงดาบมังกรเพลิงของเขาลงไปที่พื้นทันทีมังกรเพลิงจิ๋วนับหมื่นพุ่งลงมาและระเบิดพื้นดินทันที ดินก็ฟุ้งกระจายและเกิดฝุ่นตลบไปทั่ว แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขตลวงตายังคงอยู่
“ฮึ่ม!”
เจียงอี้โจมตีต่อไปเรื่อยๆและเขาก็เริ่มใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ค้นหาที่มาของระลอกคลื่นของอาคมยับยั้ง
“ข้าเจอแล้วฐานของม่านพลังอยู่ตรงนี้!”
เขาโจมตีรุนแรงขึ้นและโจมตีไปทางด้านซ้ายอย่างต่อเนื่องและระเบิดหลุมขนาดยักษ์
บรึฟ!
พื้นดินด้านหน้าได้กลับกลายเป็นหลุมลึกลงไปเช่นนั้นก็แสดงว่าในที่สุดม่านพลังก็ถูกทำลายลงไปในที่สุด และมีแสงระเรื่อขณะที่ทิวทัศน์เริ่มเปลี่ยนไป
“มันมีค่ายกลลึกลับจริงๆ!”
เจียงอี้กวาดตาไปและมองไม่เห็นหน้าผาอีกต่อไปมันยังคงเป็นที่ราบน้ำแข็งทั้งหมดและเขาใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์เพื่อตรวจดูว่าด้านล่างเป็นพื้นดินอยู่
“หืม?นี่มัน…”
สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาเพ่งไปยังพื้นผิวที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตรทางเหนือเขาสังเกตเห็นค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณอยู่ใต้กองหิมะหนาทึบ นอกจากนี้ ด้านหน้าของค่ายกลเคลื่อนย้ายยังเป็นหุบเหวที่ลึกมาก
ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้ไม่ใช่เขตลวงตาอย่างแน่นอนเพราะมันกำลังเปล่งกลิ่นอายโบราณและทรงพลังออกมาซึ่งมันไม่สามารถปลอมสิ่งนี้ได้แต่เจียงอี้ทำสิ่งต่างๆอย่างปลอดภัย เขานำสัตว์อสูรสองสามตัวออกมาจากราชวังจักรวาลและโยนพวกมันไปข้างหน้า
ฟึ่บ!
หลังจากที่เห็นว่าไม่มีปัญหาใดๆเจียงอี้ก็พุ่งไปข้างหน้าและยืนอยู่ที่ขอบเหวอย่างรวดเร็ว สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาเพ่งเล็งไปที่สัตว์อสูรที่เขาโยนลงไป หลังจากที่พบว่าเมื่อพวกมันตกลงไปในหุบเหวและหายไปในร่องรอยของแสงสีขาว เจียงอี้ก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าจะต้องมีค่ายกลเคลื่อนย้ายอยู่ด้านล่างแน่นอน แต่เขาก็ไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วมันจะพาเขาเคลื่อนย้ายไปที่ใด
หากมันย้ายเจียงอี้ไปยังเขตลวงตามันคงจะเลวร้ายมากแน่ๆ
ตูม!
เขาทำลายค่ายกลเคลื่อนย้ายไปและเขาก็ไม่ได้สนใจว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายมันจะไปที่ใดเขายืนอยู่เหนือหน้าผาและลังเล เขามั่นใจว่าโถงวรยุทธหลักอยู่ที่นี่แน่ๆ แต่ว่าเขาจะลงไปยังไงล่ะ?
บรึฟ!
สามสิบนาทีต่อมาในมือเจียงอี้ก็ปรากฏราชวังเล็กๆ เขาโยนมันออกมาซึ่งมันทำให้ราชวังขยายตัวอย่างรวดเร็ว เขาเข้าไปข้างในราชวังจักรพรรดิและราชวังก็ตกลงไปอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นเพียงภาพหลัง
เมื่อคนผู้นั้นมีความสามารถเพียงพอก็ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว
ในเมื่อเจียงอี้พบที่ตั้งของโถงวรยุทธแล้วเจียงอี้จึงไม่มีเหตุผลต้องขี้ขลาด เขาไม่รู้จักผู้ใดที่มีความเข้าใจเรื่องของอาคมยับยั้งเลย และคนเดียวที่เขารู้จักก็คือหยุนเฟย แต่ในตอนนี้นางก็ถูกจับตัวไป ฉะนั้นแทนที่จะมัวลังเลอยู่ที่นี่ เขาคิดว่าออกไปเสี่ยงจะดีกว่า
ยิ่งปล่อยเวลาไปนานเท่าใดก็จะยิ่งเสียเปรียบมากขึ้นเท่านั้น!
ความสามารถในการป้องกันของราชวังจักรพรรดินั้นทรงพลังมากและแม้ว่าด้านล่างหุบเหวจะมีภูเขาที่เต็มไปด้วยคมดาบหรือทะเลเพลิงราชวังจักรพรรดิก็สามารถต้านมันได้ ซูรั่วเสวี่ย, เจียงเสี่ยวนู๋, เจียงหยุนไฮ่และคนอื่นๆอาจจะอยู่ด้านล่าง และเจียงอี้เองก็เต็มใจที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อพวกเขา
บรึฟ!
ขณะที่ราชวังจักรพรรดิกำลังตกลงไปหลายร้อยเมตรก็มีแสงสว่างวาบขึ้นมาทันทีมีค่ายกลเคลื่อนย้ายซึ่งทำให้ราชวังจักรพรรดิทั้งหมดหายไปกลางอากาศ
…
พื้นที่ด้านล่างของหุบเหวอเวจีนั้นเป็นเหมือนโลกที่เป็นอิสระโดยสมบูรณ์ซึ่งมันเต็มไปด้วยทิวทัศน์อันน่าหลงใหลของภูเขาและธารน้ำใสมองไปจนสุดตาก็ยังไม่พบจุดสิ้นสุดของที่นี่ พื้นดินด้านล่างนั้นเต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้าง สถานที่แห่งนี้เหมือนโลกที่งดงามและสมบูรณ์แบบ
ฟรึ่บ!
อากาศในหุบเหวอเวจีได้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงขณะที่ราชวังที่งดงามปรากฏขึ้นกลางอากาศสิ่งที่แปลกก็คือ…เมื่อราชวังปรากฏขึ้นมันก็ไม่มีความวุ่นวายใดๆที่โลกด้านล่าง และยังไม่มีแม้แต่คนโผล่ออกมาจากอาคารเช่นกัน
“เป็นอย่างที่คาดเอาไว้…..”
เจียงอี้นั่งขัดสมาธิอยู่ในพระราชวังและมองภาพในลูกแก้วเขาดูพึงพอใจที่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นโถงวรยุทธหลัก เขามองเห็นทางทิศเหนือได้อย่างชัดเจน มันมีวังขนาดยักษ์ที่ดูเหมือนโถงวรยุทธจากในเมืองอื่นๆ แต่ที่นี่มีขนาดใหญ่กว่าอยู่สองสามเท่า
“ไม่มีผู้ใดอยู่นี่?”
หลังจากมองไปรอบๆและไม่เห็นใครอยู่ในอาคารเจียงอี้ก็ระมัดระวังตัวและไม่ได้ออกจากราชวังจักรพรรดิ เขาใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาสำรวจพื้นที่ทั้งหมดตรงนั้น
หลังจากที่เขาสำรวจด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์แล้วเขาก็พบว่าวังขนาดยักษ์ทางเหนือนั้นมีม่านพลังกั้นอยู่และสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาไม่สามารถสอดส่องเข้าไปได้ทั้งหุบเหวนี้ว่างเปล่าและไม่มีสัตว์อาศัยอยู่ที่นี่แม้แต่ตัวเดียว มันเงียบสงัดเสียจนน่ากลัว
“ตู๋กูฉิวออกมาพบข้าซะ!”
เจียงอี้วางมือข้างหนึ่งของเขาไว้บนลูกแก้วและพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆขณะที่เสียงของเขาขยายดังออกไปหลายเท่าที่นอกราชวังจักรพรรดิมันดังและชัดเจนมากและดังก้องไปทั่วหุบเหวอเวจีแห่งนี้
หุบเหวอเวจียังคงเงียบสงัดแต่หลังจากรออยู่พักหนึ่งเจียงอี้ก็เริ่มเสียอารมณ์ แต่ทันใดนั้นโถงวรยุทธก็เรืองรองออกมาขณะที่พลังงานในอากาศสั่นสะท้าน ภาพหนึ่งก็ถูกฉายขึ้นมาและเมื่อเจียงอี้มองไปเขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นภาพนั้น เพราะแท้จริงแล้วภาพนั้นเป็นจีทิงยวี่กว่านั้นภาพของนางยังมีพลังการต่อสู้ที่ทรงพลัง ความแข็งแกร่งของจีทิงยวี่นั้นอ่อนแออย่างน่าเวทนา….แต่แล้วทำไมนางถึงใช้ความสามารถเช่นนี้ได้กัน?
เรื่องนั้นไม่สำคัญ!
ในเมื่อจีทิงยวี่ปรากฏตัวออกมาแล้วเจียงอี้ก็โล่งใจมากแล้วเขาไม่ได้ออกจากราชวังจักรพรรดิและพูดอย่างเฉยเมยว่า “จีทิงยวี่ อย่าให้ข้ามองว่าเจ้าเป็นคนต่ำช้าเลย จงคืนซูรั่วเสวี่ยและคนอื่นๆมาและข้าจะให้พวกเจ้าทั้งหมดได้เป็นศพที่มีสภาพสมบูรณ์”
ฮิฮิ
จีทิงยวี่หัวเราะราวกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานนางส่ายหัวและตอบว่า “เจียงอี้ เจ้าสามารถมีชีวิตต่อไปได้อีกตั้งสองเดือนกว่าหากเจ้าไม่แส่เข้ามาที่นี่ เจ้าเพียงรนหาที่ตายเมื่อได้พบสถานที่แห่งนี้แล้ว”
เจียงอี้หัวเราะเยาะและตอบกลับไป“ด้วยคนเช่นเจ้าน่ะหรอ? หรือตู๋กูฉิว? ประมุขโถงวรยุทธผู้ที่ทรงพลังที่กำลังทำตัวขี้ขลาดน่ะหรือ? เจ้าไม่กลัวหรือว่าทั่วพิภพจะมองว่าเจ้ามันน่าขันนัก?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เสียงหัวเราะดังก้องกังวาลออกมาจากโถงวรยุทธประตูบานใหญ่เปิดออกมาและตู๋กูฉิวก็เดินออกมา เขายืนอยู่ที่บันไดหน้าพระราชวังและหัวเราะไปทางราชวังจักรพรรดิ “เจียงอี้ เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้าหรือ? วันนี้ข้ามายืนอยู่ตรงนี้แล้วและจะไม่ใช้ครอบครัวของเจ้าขู่เข็ญเจ้า เจ้าจะได้ไม่พูดว่าข้านั้นไร้ความเที่ยงธรรม ในเมื่อเจ้ามาที่นี่แล้ว ตราบใดที่เจ้าสังหารข้าได้ เจ้าก็จะสามารถช่วยครอบครัวของเจ้าไปได้อย่างง่ายดาย เจ้ากล้าไหมล่ะ!”
บรึฟ!
ราชวังจักรพรรดิหายไปและเจียงอี้ก็ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศผมสีแดงของเขาพริ้วไปตามสายลม เขากวัดแกว่งดาบมังกรเพลิงด้วยดวงตาสีแดงเลือด….ในขณะที่เขาหลังจิตสังหารออกมา
ตู๋กูฉิวปรากฏตัวขึ้นมาแล้วแล้วเจียงอี้จะปล่อยโอกาสเช่นนี้ไปได้อย่างไร?
ฟึ่บ!
มันไม่สำคัญว่ามันจะเป็การจัดฉากหรือไม่เจียงอี้ตัดสินใจที่จะลงมือแล้ว เขาโฉบลงไปข้างล่างราวกับนกพิราบขณะที่เขาใช้เจตจำนงสังหารเพื่อยับยั้งและตรึงตู๋กูฉิวไว้
เมื่อร่างของเขาถึงพื้นเขาก็ลากดาบมังกรเพลิงไปตามพื้นขณะที่ดาบเสียดสีเข้ากับพื้น มันก็เกิดประกายไฟขึ้นมา เขาสำรวจทุกตารางนิ้วของหุบเขาด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาและคอยสำรวจความผิดปกติอยู่ตลอดเวลา
สิบกิโลเมตร,หกกิโลเมตร…..สามกิโลเมตร!
“ตายยยย!”
ขณะที่เขาอยู่ห่างออกไปพันห้าร้อยเมตรเจียงอี้ก็กระโดดขึ้นไปขณะที่เปลวเพลิงอเวจีก็พวยพุ่งออกมาจากไข่มุกวิญญาณเพลิง มังกรเพลิงทั้งสองถูกปล่อยออกไปขณะที่มังกรแต่ละตัวคาบเปลวเพลิงอเวจีไปพร้อมกับพวกมันด้วย เจียงอี้ใช้ทักษะการต่อสู้แบบผสมของเขาที่ไม่ได้ใช้มานานแล้ว!
“ฮึฮึ!มดแมลงคิดเขย่าฟ้า เจียงอี้ วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้เห็นฐานที่แท้จริงของโถงวรยุทธ!”
จีทิงยวี่กำลังหัวเราะอยู่กลางอากาศขณะที่ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเย้ยหยันนางกางมือออกและหลับตาลง ใบหน้าที่มีเสน่ห์ของนางหันไปทางท้องฟ้าด้วยสีหน้าที่จริงใจเช่นเดียวกับผู้ศรัทธาที่กำลังสวดอธิษฐานอยู่
ในขณะนั้นเองพื้นดินด้านล่างหุบเหวอเวจีก็สว่างขึ้นมา การปรากฏตัวของกลิ่นอายที่ทำให้จิตวิญญาณของเจียงอี้สั่นสะท้านได้แผ่กระจายไปทั่วหุบเหวอเวจี
การฉายภาพนั้นเป็นความสามารถที่ทรงพลังและคนที่ทำได้นั้นก็จะมีเพียงสุ่ยโย่วหลานเท่านั้นที่สามารถฉายภาพของนางไปได้ไกลกว่าล้านกิโลเมตรยิ่งไป
กว่านั้นภาพของนางยังมีพลังการต่อสู้ที่ทรงพลัง ความแข็งแกร่งของจีทิงยวี่นั้นอ่อนแออย่างน่าเวทนา….แต่แล้วทำไมนางถึงใช้ความสามารถเช่นนี้ได้กัน?
เรื่องนั้นไม่สำคัญ!
ในเมื่อจีทิงยวี่ปรากฏตัวออกมาแล้วเจียงอี้ก็โล่งใจมากแล้วเขาไม่ได้ออกจากราชวังจักรพรรดิและพูดอย่างเฉยเมยว่า “จีทิงยวี่ อย่าให้ข้ามองว่าเจ้าเป็นคนต่ำช้าเลย จงคืนซูรั่วเสวี่ยและคนอื่นๆมาและข้าจะให้พวกเจ้าทั้งหมดได้เป็นศพที่มีสภาพสมบูรณ์”
ฮิฮิ
จีทิงยวี่หัวเราะราวกับดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานนางส่ายหัวและตอบว่า “เจียงอี้ เจ้าสามารถมีชีวิตต่อไปได้อีกตั้งสองเดือนกว่าหากเจ้าไม่แส่เข้ามาที่นี่ เจ้าเพียงรนหาที่ตายเมื่อได้พบสถานที่แห่งนี้แล้ว”
เจียงอี้หัวเราะเยาะและตอบกลับไป“ด้วยคนเช่นเจ้าน่ะหรอ? หรือตู๋กูฉิว? ประมุขโถงวรยุทธผู้ที่ทรงพลังที่กำลังทำตัวขี้ขลาดน่ะหรือ? เจ้าไม่กลัวหรือว่าทั่วพิภพจะมองว่าเจ้ามันน่าขันนัก?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เสียงหัวเราะดังก้องกังวาลออกมาจากโถงวรยุทธประตูบานใหญ่เปิดออกมาและตู๋กูฉิวก็เดินออกมา เขายืนอยู่ที่บันไดหน้าพระราชวังและหัวเราะไปทางราชวังจักรพรรดิ “เจียงอี้ เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้าหรือ? วันนี้ข้ามายืนอยู่ตรงนี้แล้วและจะไม่ใช้ครอบครัวของเจ้าขู่เข็ญเจ้า เจ้าจะได้ไม่พูดว่าข้านั้นไร้ความเที่ยงธรรม ในเมื่อเจ้ามาที่นี่แล้ว ตราบใดที่เจ้าสังหารข้าได้ เจ้าก็จะสามารถช่วยครอบครัวของเจ้าไปได้อย่างง่ายดาย เจ้ากล้าไหมล่ะ!”
บรึฟ!
ราชวังจักรพรรดิหายไปและเจียงอี้ก็ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศผมสีแดงของเขาพริ้วไปตามสายลม เขากวัดแกว่งดาบมังกรเพลิงด้วยดวงตาสีแดงเลือด….ในขณะที่เขาหลังจิตสังหารออกมา
ตู๋กูฉิวปรากฏตัวขึ้นมาแล้วแล้วเจียงอี้จะปล่อยโอกาสเช่นนี้ไปได้อย่างไร?
ฟึ่บ!
มันไม่สำคัญว่ามันจะเป็การจัดฉากหรือไม่เจียงอี้ตัดสินใจที่จะลงมือแล้ว เขาโฉบลงไปข้างล่างราวกับนกพิราบขณะที่เขาใช้เจตจำนงสังหารเพื่อยับยั้งและตรึงตู๋กูฉิวไว้
เมื่อร่างของเขาถึงพื้นเขาก็ลากดาบมังกรเพลิงไปตามพื้นขณะที่ดาบเสียดสีเข้ากับพื้น มันก็เกิดประกายไฟขึ้นมา เขาสำรวจทุกตารางนิ้วของหุบเขาด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาและคอยสำรวจความผิดปกติอยู่ตลอดเวลา
สิบกิโลเมตร,หกกิโลเมตร…..สามกิโลเมตร!
“ตายยยย!”
ขณะที่เขาอยู่ห่างออกไปพันห้าร้อยเมตรเจียงอี้ก็กระโดดขึ้นไปขณะที่เปลวเพลิงอเวจีก็พวยพุ่งออกมาจากไข่มุกวิญญาณเพลิง มังกรเพลิงทั้งสองถูกปล่อยออกไปขณะที่มังกรแต่ละตัวคาบเปลวเพลิงอเวจีไปพร้อมกับพวกมันด้วย เจียงอี้ใช้ทักษะการต่อสู้แบบผสมของเขาที่ไม่ได้ใช้มานานแล้ว!
“ฮึฮึ!มดแมลงคิดเขย่าฟ้า เจียงอี้ วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้เห็นฐานที่แท้จริงของโถงวรยุทธ!”
จีทิงยวี่กำลังหัวเราะอยู่กลางอากาศขณะที่ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเย้ยหยันนางกางมือออกและหลับตาลง ใบหน้าที่มีเสน่ห์ของนางหันไปทางท้องฟ้าด้วยสีหน้าที่จริงใจเช่นเดียวกับผู้ศรัทธาที่กำลังสวดอธิษฐานอยู่
ในขณะนั้นเองพื้นดินด้านล่างหุบเหวอเวจีก็สว่างขึ้นมา การปรากฏตัวของกลิ่นอายที่ทำให้จิตวิญญาณของเจียงอี้สั่นสะท้านได้แผ่กระจายไปทั่วหุบเหวอเวจี