เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 507-508
บทที่ 507 ความตายของตู๋กูฉิว
ฟึ่บ!ฟึ่บ! ฟั่บ!
ฝ่ามือขนาดเล็กของเจียงอี้อาจทำให้แรงจากฝ่ามือยักษ์ลดลงไปได้แต่กระดูกที่ขาของเขาก็ยังคงแตกหักจากแรงกดดันมหาศาลนี้จนทำให้ร่างของเจียงอี้ครึ่งหนึ่งจมลงไปกับพื้นดิน
อีกนิดเดียวข้าต้องการเวลาอีกนิดเพื่อพลิกสถานการณ์ นี่สวรรค์ต้องการให้ข้าตายจริงหรือ?
เมื่อเห็นฉากบนท้องฟ้าเจียงอี้ก็เผยความสิ้นหวังออกมาจากดวงตาของเขา
ห้วงอากาศกำลังสั่นสะเทือนและทำให้เขาไม่สามารถย้ายร่างฉับพลันได้เขาเพิ่งจะเรียนรู้วิธีรวบรวมพลังดาราเก้าสวรรค์ที่อยู่ในตันเทียนของเขาได้ แต่ความเร็วในการรวมพลังของเขายังช้าเกินไป มันจึงออกมาเพียงน้อยนิดเท่านั้น
ฝ่ามือของทั้งสองนั้นมีขนาดที่ต่างกันลิบลับเห็นได้ชัดว่าฝ่ามือของเจียงอี้ไม่สามารถต้านทานฝ่ามือยักษ์ของจีทิงยวี่ได้ พลังที่น่ากลัวของดาราเก้าสวรรค์กำลังจะทับลงมาบดขยี้เขาแล้ว
ครืน!ครืน!
ฝ่ามือขนาดยักษ์กดลงมาพร้อมกับกลิ่นอายที่เหมือนจะไม่สามารถยับยั้งได้อาคารทั้งหมดที่อยู่ในรัศมีสามสิบเมตรถูกทำลายไปทั้งหมดและบ้านที่ทำด้วยหินต่างก็กลายเป็นฝุ่นผงไป
พื้นดินตรงที่เจียงอี้อยู่นั้นจมลงไปทั้งหมดและเจียงอี้ก็กำลังทนทุกข์ทรมานกระดูกที่ขาของเขาแตกเป็นเสี่ยงๆและอวัยวะภายในของเขาก็ได้รับบาดเจ็บจากแรงกระแทกนี้จนเขากระอักเลือดออกมาอย่างรุนแรงและไม่หยุดหย่อน
บรึฟ!
เมื่อรอยฝ่ามือขนาดใหญ่และขนาดเล็กปะทะกันก็ไม่มีการระเบิดเกิดขึ้นแต่พื้นที่ต่างก็สั่นสะเทือนและเกิดรอยแตกที่พื้นขยายออกไปสู่ด้านนอก
ตามที่คาดไว้ฝ่ามือเล็กถูกทำลายไปโดยฝ่ามือยักษ์นั่น แต่พลังหลากสีก็ได้จางลงไปมากแต่ถึงอย่างนั้นแรงกดดันของมันก็ยังคงน่ากลัวอยู่ดี
“อั๊กก…”
ดวงตาของเจียงอี้กลอกเป็นสีขาวขณะที่เขากระอักเลือดออกมา
ตูม!ตูม! ตู้มมม!
ในขณะนั้นพื้นดินทั้งหมดของหุบเหวอเวจีก็แตกกระจายทันที นอกจากโถงวรยุทธที่เปล่งแสงแล้ว อาคารอื่นๆในหุบเหวอเวจีก็พังทลายไปจนสิ้นด้วยค่ายกลลิขิตสวรรค์ที่เปิดใช้งานจึงทำให้พื้นที่ทั้งหมดของหุบเหวอเวจีส่องแสงประกายจนแสบตา จากนั้นแสงก็ดับลงและกลับกลายเป็นความมืดไป!
“เกิดอะไรขึ้น?ค่ายกลลิขิตสวรรค์สลายหรือ?” ตู๋กูฉิวตกใจขณะที่บินไปและมองลงไปข้างล่างอย่างหวาดกลัว
เขาสัมผัสได้ว่าค่ายกลลิขิตสวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดของหุบเหวอเวจีได้ถูกทำลายลงไปแล้วค่ายกลนี้ถูกสร้างขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนทั้งสามของโถงวรยุทธหลักและเป็นที่พึ่งพิงของพวกเขา หากไม่มีมันแล้ว ภาพของจีทิงยวี่ก็จะสูญสิ้นพลังงานและดับไป
“ไม่เป็นไรไม่เป็นไรหน่า เจียงอี้ใกล้จะตายแล้ว ไม่เช่นนั้นคงเป็นเรื่องใหญ่” เมื่อตู๋กูฉิวเห็นว่าเจียงอี้กำลังถูกฝ่ามือยักษ์ห่อหุ้มเอาไว้ เขาก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ภาพของจีทิงยวี่ค่อยๆเลือนหายไปแต่ใบหน้าของนางดูสงบเป็นพิเศษดวงตาของนางค่อยๆมืดดับลงและก่อนที่ภาพของนางจะจางหายไปนางได้ทิ้งคำพูดเอาไว้ “ท่านประมุข…เราแพ้แล้ว! แม้จะคำนวณเอาไว้เสียดิบดี ข้ากลับลืมนึกถึงคนผู้หนึ่งไป วีรบุรุษแห่งอาณาจักรเสินหวู่…”
ปัง!
ขณะที่เจียงอี้กำลังจะถูกฝ่ามือยักษ์บดขยี้พื้นดินด้านล่างก็ระเบิดขึ้นมาทันทีขณะที่มีเงาสีน้ำเงินบินผ่านมา กลิ่นอายที่ไม่มีผู้ใดเทียมได้หลั่งไหลออกมา
มันคือชายวัยกลางคนผู้ที่มีความห้าวหาญ เขายกโล่ทองคำสีดำขนาดยักษ์ขึ้นมาและมันก็เปล่งแสงสีดำพร้อมกลิ่นอายที่น่ากลัว เห็นได้ชัดว่ามันคือสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์และชายผู้นั้นก็ทอประกายไปด้วยเสื้อคลุมสีเหลืองหม่นขณะที่เขาพุ่งเข้าหาฝ่ามือยักษ์อย่างไม่เกรงกลัว
“หือ…”
เดิมทีเจียงอี้หลับตาและกำลังรอความตายแล้วแต่เมื่อเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่หายไปเขาก็ลืมตาขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ เขาเห็นร่างของชายผู้หนึ่งซึ่งสูงตระหง่านราวกับภูเขากำลังพุ่งไปที่ฝ่ามือยักษ์ราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่
เจียงเปี๋ยหลี?
จิตวิญญาณของเจียงอี้สั่นไหวเมื่อเขากำลังจะตาย บุคคลที่เขาแทบไม่คาดหวังให้ปรากฏออกมากลับปรากฏตัวขึ้น? แถมเขายังทำลายค่ายกลลิขิตสวรรค์? และตอนนี้ยังช่วยสกัดกั้นฝ่ามือยักษ์ที่น่ากลัวนั่น?
เจียงเปี๋ยหลีแอบเข้ามาได้อย่างไร?ทำไมเขาถึงไม่ถูกพบว่าเขาซ่อนอยู่ที่นี่? เขาทำลายค่ายกลลิขิตสวรรค์ได้ยังไงกัน? นี่เจียงเปี๋ยหลีมาช่วยเขาโดยเฉพาะเลยหรือ? แล้วยังมาปรากฏตัวขึ้นในเวลาที่สำคัญที่สุดเพื่อช่วยชีวิตเจียงอี้?
“ไม่….”
คำถามทั้งหมดนี้ไม่สำคัญอีกต่อไป!
เจียงอี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าฝ่ามือขนาดยักษ์ได้เปลี่ยนสิ่งประดิษฐ์ของเจียงเปี๋ยหลีเป็นฝุ่นผงอย่างง่ายดายและหลังจากนั้นแขนขนาดใหญ่ของเจียงเปี๋ยหลีก็กลายเป็นหมอกโลหิต เมื่อฝ่ามือยักษ์ยังคงกดทับลงมา มันก็ปะทะกับผ้าคลุมของเจียงเปี๋ยหลีและเจียงอี้ก็เห็นว่ามันกำลังแหลกละเอียดราวกับเปลือกไข่ จากนั้นร่างของเจียงเปี๋ยหลีก็กำลังถูกฝ่ามือยักษ์ปกคลุม
“ทำไมเจ้ายังไม่ปล่อยเปลวเพลิงมาปกป้องร่างของเจ้าอีก?”
ข้อความที่ถูกส่งมาทำให้สติของเจียงอี้ตื่นขึ้นมาเขาขับพลังไปยังไข่มุกวิญญาณเพลิงทำให้มันเปล่งแสงออกมาทันทีพร้อมกับเปลวเพลิงอเวจีที่หลั่งไหลออกมา
ภาพของจีทิงยวี่หายไปแล้วและแรงกดดันก็หายไปด้วยเช่นกัน
หลังจากที่ทำลายฝ่ามือของเจียงอี้,โล่และสิ่งประดิษฐ์ของเจียงเปี๋ยหลีและรูปแบบป้องกันเต๋าธรณีไปแล้ว พลังงานมากกว่าครึ่งหนึ่งของฝ่ามือยักษ์ก็จางลง ความสามารถของมันลดลงอย่างมากจึงทำให้เจียงอี้สามารถหมุนเวียนแก่นแท้พลังออกมาได้ ไม่เช่นนั้นเขาก็คงจะไม่สามารถปล่อยเปลวเพลิงอเวจีออกมาได้
ตูม!
ฝ่ามือยักษ์ยังคงกดทับลงมาแม้จะเสียพลังไปกว่าครึ่งแล้วก็ตามแต่มันยังคงเป็นพลังดาราเก้าสวรรค์ซึ่งเป็นพลังงานฟ้าดิน ความแข็งแกร่งของเจียงเปี๋ยหลีนั้นอยู่เพียงขั้นที่เจ็ดของขอบเขตจินกัง เช่นนั้นแล้วร่างของเขาจะต้านฝ่ามือยักษ์นี่ได้ยังไงกัน?
“มีรูปแกะสลักไม้สองชิ้นถูกฝังไว้ที่ทางใต้ของหุบเขาชิ้นเล็กนั้นเป็นของเจ้า หากเจ้าเจอแม่ของเจ้า ช่วยนำรูปแกะสลักชิ้นใหญ่ไปให้นางด้วย เจียงอี้ ข้าขอโทษ ข้าช่วยเจ้าได้เพียงเท่านี้…..”
ข้อความที่ส่งมาดังก้องอยู่ในใจเจียงอี้แต่ก่อนที่ข้อความจะทันจบ เจียงเปี๋ยหลีก็กลายเป็นหมอกโลหิตขณะที่ร่างของเราสาดกระเซ็นไปทั่วทุกสารทิศ ส่วนหมอกโลหิตส่วนใหญ่ก็ถูกเผาไปด้วยเปลวเพลิงอเวจี เจียงอี้เห็นแค่เพียงแขนส่วนหนึ่งของเจียงเปี๋ยหลีที่ขาดวิ่นตกอยู่ห่างออกไปสามกิโลเมตรเท่านั้น
“อ๊ากกอ๊ากก อ๊ากกกก!”
แม้ว่าเจียงอี้จะไม่เคยยอมรับพ่อคนนี้แต่เขาก็ยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเจียงเปี๋ยหลี โลหิตในร่างกายของเจียงอี้นั้นไหลเวียนไปด้วยเลือดของเจียงเปี๋ยหลีและมันคือความจริงที่ไม่สามารถเปลี่ยนได้
ในตอนนี้เมื่อเห็นว่าเจียงเปี๋ยหลีถูกขยี้จนร่างแหลกไม่มีชิ้นดี จิตวิญญาณของเจียงอี้ก็เต็มไปด้วยความเศร้าโศก เขาไม่สนใจฝ่ามือยักษ์และคำรามออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว!
ปึ้ง!ปั้ง! ปั้ง!
โชคดีที่เจียงอี้มีเปลวเพลิงอเวจีคอยปกป้องร่างกายของเขาและฝ่ามือยักษ์ก็สูญพลังไปมากแล้วจึงทำให้ฝ่ามือสลายไปโดยเพลิงอเวจีก่อนที่จะหายไปอย่างสมบูรณ์
“เจียงอี้ข้าขอโทษ ข้าช่วยเจ้าได้เพียงเท่านี้…..”
จิตใจของเจียงอี้ยังคงสะท้อนเสียงสุดท้ายของเจียงเปี๋ยหลีใบหน้าของเขาเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตาโดยไม่รู้ตัว แม้กระดูกร่างกายส่วนล่างของเขาจะแตกเป็นเสี่ยงๆและได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เขาก็ยังคงคลานไปที่พื้นและร้องออกมาว่า “ท่ะ..ท่าน….พ่อ!”
เจียงเปี๋ยหลีใช้ความตายของเขาเพื่อลบล้างความแค้นและความเกลียดชังทั้งหมดที่เจียงอี้มีต่อเขา
ชายที่เต็มใจที่จะตายเพื่อลูกชายของตัวเองนั้นเป็นชายที่สมควรได้รับการนับถือจากทุกคน
“หนี!”
ตู๋กูฉิวที่อยู่ในอากาศมีดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวค่ายกลลิขิตสวรรค์ถูกทำลายลงไปแล้วและพวกเขาไม่สามารถสร้างผู้ที่มีภาพฉายขอบเขตเทียนจุนได้อีกต่อไป จีทิงยวี่พูดถูกแล้ว….พวกเขาแพ้แล้ว พวกเขาสูญสิ้นทุกสิ่งไปด้วยน้ำมือของชายผู้เป็นพ่อที่เต็มใจสละชีวิตของเขาเพื่อแลกกับชีวิตของลูกชายตัวเอง
“ตาย!”
หัวของเจียงอี้แหงนขึ้นมาทันทีขณะที่ดวงตาสีแดงเลือดของเขาจ้องเขม็งไปที่ตู๋กูฉิวร่างของเขาหลั่งกลิ่นอายสังหารที่ทรงพลังออกมาและทำให้ตู๋กูฉิวถูกตรึงเอาไว้
ขาของเจียงอี้ขยับไม่ได้ก็จริงแต่มือของเจียงอี้ยังขยับได้อยู่ เขากระแทกมือลงไปที่พื้นและบินขึ้นไปขณะที่เปลวเพลิงอเวจีทะลักออกมาจากไข่มุกวิญญาณเพลิง ก่อนที่เขาจะเข้าไปใกล้ตู๋กูฉิว อุณหภูมิที่สูงอย่างน่ากลัวก็ได้แผดเผาตู๋กูฉิวไปแล้ว
ปัง!
ศพที่ไหม้เกรียมและแทบไม่เหลือกซากตกลงไปพร้อมกับร่างของเจียงอี้
ผู้ปกครองที่ไร้มงกุฏของทวีปเทียนชิงนักสู้ที่น่าเกรงขาม, ตู๋กูฉิว ได้ตายลงแล้ว!
…
บทที่ 508 อย่าฆ่าข้าเลย เจียงอี้
แม้จะสังหารตู๋กูฉิวไปแล้วเจียงอี้ก็ไม่ได้รู้สึกยินดียินร้ายอะไรทั้งนั้น แต่เขากลับมีแต่ความเศร้าและความเปล่าเปลี่ยวขึ้นมา
ขณะที่เขาตกลงมาจากอากาศเขาก็รู้สึกเจ็บปวดขาที่แตกร้าวของเขาอย่างรุนแรง เขาหายใจอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะฟาดฝ่ามือและบินขึ้นไปอีกครั้ง คราวนี้เขาไปอยู่ข้างศพที่ไหม้เกรียมของตู๋กูฉิว เจียงอี้ใช้มือของเขาฉีกศพออกเป็นชิ้นๆ จากนั้นเขาก็ปลดปล่อยเปลวเพลิงอเวจีออกมาให้เผาศพนั้นจนกลายเป็นเถ้าถ่าน
“จีทิงยวี่!”
เขาเงยหน้าขึ้นขณะที่ดวงตาสีแดงเลือดของเขามองไปที่ม่านพลังที่ส่องแสงเรืองรองอยู่ที่โถงวรยุทธเขากระแทกฝ่ามือลงบนพื้นพร้อมตวัดดาบมังกรเพลิงในมือของเขาและปลดปล่อยมังกรเพลิงนับหมื่นไปยังโถงวรยุทธอย่างโกรธเกรี้ยว
ปึ้ง!ปัง! ปั้ง!
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยมังกรเพลิงที่โจมตีม่านพลังอยู่ตลอดเวลามันเหมือนดอกไม้ไฟที่กำลังปะทุอย่างสวยงามซึ่งฉากนี้ทำให้ทั้งใจสั่นและชวนให้หลงใหลในเวลาเดียวกันอย่างไม่น่าเชื่อ
ฟึ่บ!ฟั่บ!
เจียงอี้ยังคงบ้าคลั่งขณะที่ร่างของเขาปล่อยเจตจำนงสังหารออกมาอย่างต่อเนื่องเขาไม่รู้ว่าเขาจะสามารถปราบปรามผู้ที่อยู่ในโถงวรยุทธได้หรือไม่แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะหยุดทำมัน
ขาของเขายังคงมีเลือดไหลออกมาและเขากระอักเลือดออกมาซ้ำอีกในการเคลื่อนไหวแต่ละครั้ง เขารู้สึกความเจ็บปวดแล่นผ่านไปทั่วร่างของเขา แต่เขาก็ไม่สนใจมันและยังคงโจมตีต่อไปเรื่อยๆโดยมีเพียงจุดประสงค์เดียวคือจับจีทิงยวี่และทรมานนางให้มากที่สุดก่อนที่จะสังหารนาง!
เขาไม่ชอบการทรมานหรือสังหารผู้หญิงแต่จีทิงยวี่ทำเขาโกรธเกรี้ยวมาก เขาไม่เคยเกลียดหรืออยากฆ่าใครมากเท่านี้มาก่อน
หนึ่งชั่วโมงต่อมา….
ม่านพลังรอบโถงวรยุทธยังคงส่องแสงในขณะที่เจียงอี้ก็ดูหน้าซีดเซียวเนื่องจากเสียเลือดและพลังงานมากเกินไปนอกจากความตายของเจียงเปี๋ยหลีแล้วร่างกายของเขายังได้รับบาดเจ็บอีกมากซึ่งมันทำให้เขาเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ
เขาไม่ได้หยุดการโจมตีของเขาและไม่หยุดปล่อยเจตจำนงสังหารเลยเขานำยาฟื้นฟูร่างกายออกมาสองสามเม็ดแล้วกลืนลงไปพร้อมกับเลือดที่อยู่ในปากของเขา
สองชั่วโมงต่อมา….
ม่านพลังดูเหมือนว่าจะยังไม่สลายไปและเจียงอี้เองก็อ่อนแอลงเรื่อยๆหลังจากที่ปล่อยการโจมตีมานานกว่าสองชั่วโมงจิตใจของเขาเริ่มนึกบางสิ่งได้ จากนั้นราชวังจักรพรรดิก็ปรากฏขึ้นบนมือของเขาและค่อยๆใหญ่ขึ้นขณะที่ลอยไปบนท้องฟ้า ไม่นานประตูก็เปิดออกมาและสัตว์อสูรขนาดยักษ์ก็ปรากฏตัวขึ้นที่พื้น
ดวงตาของเจียงอี้เป็นประกายด้วยความเย็นชาขณะที่เขาตะโกนออกมา“สัตว์อสูรหยาจื้อ โจมตีโถงวรยุทธซะ!”
เมื่อเห็นว่าเขาดูน่าสังเวชเพียงใดสัตว์อสูรหยาจื้อเหมือนอยากที่จะพูดบางอย่างออกมาแต่มันก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงตะโกนของเจียงอี้ “เจ้าหูหนวกรึไง? โจมตีเดี๋ยวนี้!”
โฮกกก!
สัตว์อสูรหยาจื้อคำรามออกมาอย่างคับแค้นใจแต่มันก็ไม่กล้าพูดอะไรไปมากกว่านี้เนื่องจากตอนนี้เจียงอี้กำลังโกรธเกรี้ยว เขาของมันส่องแสงและพุ่งลำแสงไปยังม่านพลังทันที
เจตจำนงสังหารของเจียงอี้ยังคงปลดปล่อยออกมามันส่งผลต่อสัตว์อสูรหยาจื้อด้วยเช่นกัน แต่โชคดีที่มันได้ใช้เวลากับเจียงอี้มาพักหนึ่งแล้วและมันเปรียบเสมือนเป็นสัตว์วิญญาณของเขา มันทำได้เพียงปล่อยวิชาอสูรออกไปและเป้าหมายนั้นก็คือโถงวรยุทธ หากเป้าหมายคือเจียงอี้ มันก็คงไม่สามารถปลดปล่อยวิชาอสูรได้เลย
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วและแสงของม่านพลังเริ่มสลัวลงเจียงอี้เริ่มมองเห็นโอกาสแล้วและเพิ่มความรุนแรงในการโจมตีกำแพง
บรึฟ!
ในขณะนั้นเองโถงวรยุทธก็สั่นสะเทือนและลำแสงขนาดใหญ่ก็พุ่งผ่านหลังคาโถงวรุยทธขึ้นไปบนท้องฟ้า
ลำแสงนั้นดูเหมือนว่าเจียงอี้ค่อนข้างคุ้นเคยดีและเขารู้สึกว่าพื้นที่รอบๆตัวเขาสั่นสะเทือนและดวงตาสีแดงเลือดของเขาก็ชายตามองขณะที่มีสีหน้าตื่นตระหนก เขาจึงตะโกนออกมาว่า “จีทิงยวี่ เจ้าแค่จะย้ายร่างหรือไปน่ะหรอ? เจ้าเชื่อไหมว่าข้าจะสังหารตระกูลจีทั้งหมดซะ?”
เห็นได้ชัดว่ามันคือลำแสงที่เกิดจากค่ายกลเคลื่อนย้ายเมื่อพินิจจากความรุนแรงและการสั่นสะเทือน ค่ายกลเคลื่อนย้ายที่จีทิงยวี่เปิดใช้งานเป็นค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ย้ายร่างไปไกล
นี่คือโถงวรยุทธหลักของทวีปนี้และแน่นอนว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้ไม่ได้ไปยังเมืองต่างๆในทวีป มันน่าจะเป็นการย้ายไปยังทวีปอื่นหรืออาจจะย้ายไปยังโถงหลักจริงๆของโถงวรยุทธก็ได้!
“สัตว์อสูรหยาจื้อโจมตีเร็วเข้า!”
เมื่อมองที่โถงวรยุทธที่กำลังสั่นสะเทือนลำแสงก็เริ่มผันผวนมากขึ้นและทำให้เจียงอี้คลั่ง หากครั้งนี้จีทิงยวี่หนีไป เขาจะไม่สามารถสังหารนางได้ชั่วชีวิตนี้ เขาตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาลอีกครั้ง “จีทิงยวี่ หากเจ้ากล้าหนีไป ข้าสาบานว่าจะเอาศพของจีเทียน พ่อของเจ้าไปแขวนไว้ที่เมืองเทียนอวี่เป็นเวลาร้อยวัน!”
“ฮึฮึ!”
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นมาจากด้านในโถงวรยุทธและดังก้องไปทั่วหุบเหวอเวจี“เจียงอี้ อย่าพยายามข่มขู่ข้าเลย เจ้าไม่ฆ่าพ่อข้าหรอก ยิ่งไปกว่านั้นพ่อข้าก็ชอบพอในตัวเจ้า และข้าก็พาหญิงที่เจ้ารักมาด้วย หากเจ้ากล้าแตะต้องสมาชิกในตระกูลข้า เจ้าจะต้องรับผิดชอบกับผลที่จะตามมา”
“เจียงอี้…..”
เมื่อสิ้นคำพูดของจีทิงยวี่เสียงที่ทำให้จิตวิญญาณของเจียงอี้สั่นสะท้านได้ดังก้องขึ้นมา มันคือเสียงของซูรั่วเสวี่ย
ก่อนที่ซูรั่วเสวี่ยจะทันได้พูดอะไรต่อเสียงของนางก็เงียบไป จีทิงยวี่เลยพูดต่อว่า “เจียงอี้ คราวนี้เจ้าชนะ แต่ในอีกไม่นานคณะทูตจะมาถึงทวีปเทียนชิง หากเจ้าไม่หนีไป เจ้าก็จะยังต้องตายอยู่ดี ฮิฮิ….ข้าบอกเจ้าไว้ก่อนเลยว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้เชื่อมไปยังทวีปจักรพรรดิบูรพา หากเจ้าต้องการแก้แค้นและช่วยซูรั่วเสวี่ยก็จงไปที่นั่น ข้าสัญญาว่าข้าจะไม่แพ้เจ้าเป็นรอบที่สอง!”
ตูม!
โถงวรยุทธสะเทือนอย่างแรงด้วยการฟาดฝ่ามือเพียงข้างเดียวเจียงอี้ก็พุ่งทะลุไปยังประตูโถงวรยุทธอย่างแรง เมื่อเขารีบเข้าไปเขาก็เห็นจีทิงยวี่จับตัวซูรั่วเสวี่ยไว้และหายไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่
“รั่วเสวี่ย!”
เจียงอี้คำรามออกมาอย่างบ้าคลั่งและรีบไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายขณะที่พยายามจะคว้าค่ายกลเอาไว้แต่เมื่อเขาไปถึงตรงนั้นมันก็ว่างเปล่าแล้ว เขาทรุดลงไปที่พื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง
“จีทิงยวี่!จีทิงยวี่! จีทิงยวี่….ข้า เจียงอี้ขอสาบานว่าจะต้องฆ่าเจ้าให้ได้แม้ว่ามันจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ข้าจะทำได้ในชีวิตนี้ก็ตาม!”
เจียงอี้เดือดดาลมากเขากรีดร้องก้องไปทั่วโถงวรยุทธและดังก้องไปทั่วสวรรค์และโลกาซึ่งมันยังคงดังสนั่นไปทั่วท้องฟ้า
“น่ะนายน้อย!”
“ลูกพี่ลูกพี่!”
“เสี่ยวอี้!”[เจียงอี้]
เสียงต่างๆดังมาจากห้องโถงห้องหนึ่งเจียงอี้จึงรีบวิ่งไปและใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาค้นหาต้นเสียง
เขามองไปรอบๆห้องและเห็นเจียงเสี่ยวนู๋,เจียงหยุนไฮ่, จ้านอู๋ซวง, เฉียนว่านก้วนและหยุนเฟยนอนอยู่บนพื้น พวกเขาอ่อนแรงเนื่องจากอาจเป็นเพราะพวกเขาถูกป้อนยาบางชนิด และในขณะที่พวกเขาเห็นว่าเจียงอี้ดูน่าสังเวชเพียงใดและได้ยินเสียงร้องที่น่ากลัวของเขา ดวงตาของพวกเขาก็เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา
“ท่านปู่,เสี่ยวนู๋, พี่อู๋ซวง, ทุกคน ทนไว้ก่อน ข้าจะไปสังหารทุกคนในโถงนี้ซะ”
เจียงอี้ใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขากวาดไปทั่วพื้นที่และตระหนักได้ว่าโถงวรยุทธใหญ่มากในตอนนี้ ลานด้านในเต็มไปด้วยคนอย่างน้อยหลายพันคน ในหมู่พวกเขามีลูกสาวของตู๋กูฉิว, สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งโถงวรยุทธ ตู๋กูเยี่ยนอยู่ในนั้นด้วย
เจียงอี้รู้สึกโกรธแค้นมากจนแทบจะแผดเผาสวรรค์ได้อยู่แล้วและในเมื่อจีทิงยวี่ไม่ได้พาคนเหล่านี้ไปด้วย พวกเขาจึงเป็นทางออกในการระบายความโกรธของเขา
ฟึ่บ!
เจียงอี้กระแทกพื้นและพุ่งไปที่ลานด้านในอย่างรวดเร็วขณะที่มือเขาเปล่งแสงสีเขียวเข้มเจียงอี้ได้ปล่อยเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ออกมาและพร้อมที่จะสาดทะเลเพลิงไปยังพวกเขา
ตู๋กูเยี่ยนถูกล้อมรอบไปด้วยเหล่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดหลายคนซึ่งทุกคนไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้นางเห็นเจียงอี้ที่เร่งเข้ามาหานาง แม้ว่านางจะไม่สามารถเปิดปากพูดได้ แต่นางก็รวบรวมพลังงานเพื่อส่งข้อความถึงเขา “อย่าฆ่าข้าเลยเจียงอี้ หากเจ้าไว้ชีวิตข้า จะให้ข้าทำสิ่งใดก็ได้ ข้ามีร่างกายที่อวบอิ่ม ข้า…ข้ายังมีสิ่งประดิษฐ์เลื่องชื่ออีกสิบชิ้นด้วย….”
“สิ่งประดิษฐ์เลื่องชื่อก็แค่ขี้เล็บ!”
เจียงอี้ตะโกนออกมาด้วยความโกรธและส่งฝ่ามือออกไปทันทีซึ่งมันกลืนกินทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาและเต็มไปด้วยเปลวเพลิงที่โชดช่วง