เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 517-518
บทที่ 517 มนุษย์ประสานสวรรค์
ตูม!ตูม! ตูม!
เสียงฟ้าร้องดังและสายฟ้าแลบวูบวาบตามกันมาฟ้าที่ผ่าลงมายังทะเลเหมือนจะเชื่อมทะเลกับท้องฟ้าเอาไว้ ท้องทะเลต่างสนั่นหวั่นไหวไปด้วยลมที่รุนแรงและพายุที่กำลังสาดเทลงมา มันเป็นฉากที่น่าสยดสยองและทำให้จิตใจของผู้คนสั่นไหวไปด้วยความหวาดกลัว
แต่ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าคือในพายุที่โหมกระหน่ำมีวัยรุ่นผมสีแดงคนหนึ่งอยู่บนทะเลราวกับภูติผีใบหน้าของเขาไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมา แม้ว่าดวงตาของเขาจะปิดอยู่แต่เขาก็ไม่จำเป็นต้องเห็นว่าสายฟ้าฟาดลงมาที่ใดบ้าง บางคราวเขาก็เคลื่อนไปทางซ้าย ทางขวา บางครั้งเขาก็พุ่งไปด้านหน้าและหลบมาด้านหลัง เขาช่างดูสง่างามมาก อสรพิษอัสนีได้ตกลงสู่พื้นทะเลนับไม่ถ้วนแต่ก็ไม่มีอัสนีเส้นใดถูกตัวเขาเลย
“หือ…”
ทั้งจักรพรรดิอสูรชือและเจียงอี้ไม่รู้ว่ามีโลงศพกำลังเคลื่อนไหวอยู่ด้านล่างทะเลลึกลงไปสามสิบสามกิโลเมตรอย่างเงียบๆในตอนนี้สิ่งที่แปลกยิ่งกว่านั้นคือโลงศพโบราณส่องแสงสีขาวออกมาพร้อมตัวอักขระแปลกๆมากมายบนโลงศพ อย่างไรก็ตามแต่ ปีศาจทะเลจำนวนมากไม่ได้มีปฏิกิริยาใดๆราวกับว่าพวกมันมองไม่เห็นโลงศพนั้น
นอกจากนี้ปีศาจทะเลบางตัวที่ถูกโลงศพชนก็มองไปรอบๆอย่างฉงนใจและไม่เห็นสิ่งประหลาดนั้นได้แม้ว่าโลงศพโบราณนี้จะเดินทางอยู่ใต้ทะเลแต่ก็ไม่ได้ทำให้กระแสน้ำเคลื่อนไหวแต่อย่างใด มันเป็นฉากที่ดูประหลาดมาก
ภายในโลงศพโบราณมีหญิงสาวผมสีม่วงที่ยาวไปถึงเอวของนางนางสวมชุดสีม่วงที่งดงาม ใบหน้าของนางสมบูรณ์แบบโดยไม่ต้องแต่งแต้มอะไรและอาจทำให้ชายทั้งหลายต่างหลงใหลนางได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะดวงตาสีดำที่แวววาวราวไข่มุกซึ่งทำให้นางดูงดงามและมีความฉลาดหลักแหลมนัก
ตอนนี้ดวงตากลมโตของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจเหมือนว่านางจะเห็นฉากด้านบนพื้นทะเล ดวงตาที่งดงามของนางจ้องมองไปที่เจียงอี้
“นี่…เองหรือที่เรียกว่า‘มนุษย์ประสานสวรรค์’?”
หญิงสาวขมวดคิ้วและบ่นพึมพำด้วยความสับสน“ตำนานเล่าขานไว้ว่า ยามมนุษย์ประสานสวรรค์ลุล่วง สวรรค์ก็จะผสานกลมกลืนเข้ากับโลกา คนผู้นั้นจะสามารถรับรู้ได้ถึงทุกสรรพสิ่งจากสรวงสวรรค์และโลกา ซึ่งมันเป็นช่วงที่เหมาะสมแก่การเข้าถึงรูปแบบเต๋าที่สุดด้วยเช่นกัน เด็กพิลึกจากทวีปเทียนชิงผู้นี้มีพรสวรรค์เช่นนี้เชียว?!”
“ไม่สินี่ไม่น่าใช่มนุษย์ประสานสวรรค์ หากบรรลุไปถึงมนุษย์ประสานสวรรค์อย่างแท้จริง หนุ่มน้อยนี่คงไม่จำเป็นต้องขยับตัวด้วยซ้ำ เขาสามารถเปลี่ยนทิศทางของสายฟ้าได้ด้วยจิตของเขา สายฟ้าจะไม่สามารถโจมตีโดนเขาได้แม้ว่าเขาจะยืนอยู่นิ่งๆก็ตามและเขาจะสามารถควบคุมพายุเหล่านี้เพื่อสังหารจักรพรรดิอสูรตนนี้ได้ แต่ถ้าหากนี่ไม่ใช่มนุษย์ประสานสวรรค์ แล้วมันคือสิ่งใดกัน…..?”
โลงศพโบราณค่อยๆเคลื่อนไปอย่างช้าๆนางจ้องมองเจียงอี้เหมือนว่านางจะอยากรู้อยากเห็นมากและต้องการตรวจสอบให้ละเอียดยิ่งขึ้นเพื่อดูว่าเจียงอี้ใช้ศาสตร์เวทย์มนตร์อะไร
แต่อันที่จริงแล้ว….!
เจียงอี้เองก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในสถานะเช่นไรเขาก็สับสนเช่นกัน ในตอนที่เขาขี่สัตว์อสูรหยาจื้อ เขาคำนวณเวลาและทิศทางของสายฟ้าโดยการคอยจับจ้องส่วนโค้งและแสงของสายฟ้าที่อยู่เหนือเมฆ, สถานการณ์รอบๆเขาและสัญชาตญาณของตัวเอง
และในตอนนั้นเองพลังของเขาจดจ่อไปรวมกันอยู่ที่จุดเดียว บางทีนั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเข้าสู่สภาวะแปลกๆเช่นนี้ มันเหมือนกับว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของสวรรค์และโลกา และสวรรค์และโลกาก็คือเขาเอง เขาสัมผัสได้ถึงความระส่ำระส่ายของสวรรค์และโลกาได้อย่างง่ายดายและทำการตัดสินใจเพื่อหลบหลีกสายฟ้าได้อย่างรวดเร็ว
เขาอยู่ในสภาพที่ลืมตัวตนของตัวเองไปสิ่งที่เขาสนใจในตอนนี้คือการข้ามผ่านทะเลอัสนีแห่งนี้ จิตวิญญาณของเขาถูกดึงดูดไปอยู่ที่พายุที่โหมกระหน่ำ เขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเขาอยู่ที่ไหนและลืมไปแล้วว่ามีจักรพรรดิอสูรอยู่ข้างหลังเขา เขาลืมทุกสิ่งและในโลกของเขาก็มีเพียงเสียงฟ้าร้องและสายฟ้าที่ผ่าลงมาเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาข้ามทะเลอัสนีได้อย่างรวดเร็วราวสุนัขจิ้งจอกที่ว่องไว
ส่วนจักรพรรดิอสูรชือที่ตามเขามานั้นอยู่ในสภาพที่เลวร้ายหากเขาอยู่นอกพื้นที่พายุ เขาจะสามารถหลบหลีกมันได้อย่างง่ายดาย แต่สายฟ้าที่ศูนย์กลางพื้นที่นี้มันมีมากเกินไป เขาเกือบถูกสายฟ้าฟาดลงมาอยู่หลายครั้ง และตอนนี้เขาอาจจะตายไปแล้วหากไม่ใช่เพราะพลังอันแข็งแกร่ง
เมื่อเห็นว่าเจียงอี้กำลังห่างจากเขาไปมากขึ้นจักรพรรดิอสูรก็โกรธมากแต่เขาก็ไม่กล้าบุ่มบ่าม แม้ว่าสายฟ้าจะไม่สามารถสังหารเขาได้ แต่อย่างน้อยผิวหนังของเขาก็อาจจะถลอกได้หากเขาถูกสายฟ้าฟาดลงมา แล้วเขาจะไล่ตามเจียงอี้ในสภาพนั้นได้อย่างไร?
ส่วนเจียงอี้เองก็ไม่ได้เร็วหรือช้าเกินไปแต่เขาก็ยังคงมุ่งหน้าต่อไปแม้ว่าจักรพรรดิอสูรจะรวดเร็ว แต่เขาก็ต้องหยุดอยู่หลายครั้งหลายคราว เขาต้องถอยกลับอย่างรีบร้อนหรือไม่ก็ต้องอ้อมบ้างในบางคราว ดังนั้น ระยะห่างของทั้งสองจึงมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ผ่านไปห้านาที จักรพรรดิอสูรก็มองไม่เห็นเจียงอี้อีกต่อไปและต้องใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์เพื่อค้นหาเจียงอี้
ทะเลอัสนีนั้นกว้างใหญ่มากหากเป็นระดับจักรพรรดิอสูรมันจะต้องใช้เวลาราวๆหนึ่งชั่วโมงด้วยความเร็วเต็มกำลัง หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เจียงอี้จะออกจากทะเลอัสนีได้ในไม่ช้า แต่จักรพรรดิอสูรก็ไม่ได้กังวลมากเกินไปเพราะเขาได้จับจ้องไปยังกลิ่นอายของเจียงอี้แล้ว ด้วยความเร็วของเจียงอี้ แม้ว่าจักรพรรดิอสูรจะพักสักครึ่งวัน เขาก็ยังสามารถตามหาเจียงอี้เจอและไล่ตามเขาได้ทันอยู่ดี
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง!
เจียงอี้ออกมาจากใจกลางทะเลอัสนีแล้วจำนวนพายุตรงหน้าเขาเริ่มน้อยลง และเขาก็เร่งฝีเท้าขึ้นเล็กน้อย เจียงอี้ไม่จำเป็นต้องตั้งใจหลบหลีกสายฟ้ามากแล้ว
หลังจากผ่านไปสองชั่วโมงในที่สุดเจียงอี้ก็ออกมาจากทะเลอัสนีได้
ในขณะนั้นเองเขาก็หลุดออกจากสภาวะแปลกๆที่เกิดขึ้นกับเขาไปโดยอัตโนมัติ เขามองไปรอบๆอย่างงงงวย และเขาก็ลืมว่าตัวเองอยู่ที่ไหนและเกิดอะไรขึ้นไปครู่หนึ่ง
ในขณะนั้นเองน้ำทะเลก็แยกออกมาและโลงศพโบราณก็ปรากฏขึ้นมา แสงสีขาวและอักขระโบราณได้ปรากฏอยู่รอบๆโลงศพจางๆ แต่เจียงอี้ก็มองไม่เห็นโลงศพโบราณและจักรพรรดิอสูรเบื้องหลังเขาเองก็ตรวจจับโลงศพโบราณได้เช่นกัน
บรึฟ!
โลงศพโบราณนั้นลอยอยู่ข้างๆเจียงอี้อย่างเงียบๆมือที่เรียบเนียนราวกับหยกปรากฏออกมาจากโลงศพและดึงเจียงอี้เข้าไปข้างในด้วยความเร็วดุจสายฟ้า
ในตอนนี้เจียงอี้กำลังสับสนงุนงงและไม่รู้สึกถึงสัญญาณใดๆดังนั้นเขาจึงตื่นจากภวังค์ในตอนที่ร่างของเขากำลังถูกใครบางคนฉุดไป
ในทันทีที่เขากำลังจะปล่อยเจตจำนงสังหารและไข่มุกวิญญาณเพลิงที่สว่างขึ้นบนมือของเขาก็ต้องหยุดลงเมื่อได้ยินเสียงที่เย็นชาดังขึ้น“หากเจ้าอยากตายก็ลงมือได้ตามสบาย ข้าจะไม่ทำอะไรเมื่อตอนที่จักรพรรดิอสูรโผล่มา”
“เอ่อ….”
เจียงอี้ตื่นจากภวังค์ทันทีเขามองไปรอบๆแต่ก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น!
ตอนนี้เขาอยู่ในที่แคบๆมันเหมือนว่าเขาอยู่บนเรือลำเล็กและมีหญิงสาวกำลังนั่งอยู่บนเรือ นางสวมเสื้อคลุมยาวสีม่วงและมีผมสีม่วงที่ยาวไปถึงเอวของนาง แต่หญิงสาวผู้นี้สวมผ้าปิดหน้า เจียงอี้จึงมองเห็นเพียงดวงตาของนางที่ดูลึกลับราวมหาสมุทร ดวงตาของนางน่าหลงใหลจนเจียงอี้ราวกับถูกมนตร์สะกดด้วยการมองเพียงครั้งเดียว
สิ่งที่แปลกก็คือ…
เจียงอี้ถูกลากเข้ามาในโลงศพโบราณเห็นๆแต่เมื่อเขามองจากด้านใน เขาก็รู้สึกราวกับว่าเขากำลังอยู่ในเรือลำเล็กที่ถูกปกคลุมด้วยม่านพลังสีน้ำนมและมันกำลังแล่นไปทางทิศตะวันออกอย่างรวดเร็ว
ตูม!
ในตอนนั้นเองสายฟ้าจากท้องฟ้ากำลังจะพุ่งชนโลงศพโบราณนี้และเจียงอี้ก็สะดุ้งเพราะสายฟ้า เขาต้องการที่จะย้ายร่างฉับพลันโดยสัญชาตญาณแต่หญิงสาวผู้นั้นก็พูดออกมาอีกครั้งว่า “อย่าขยับ ในโลงศพนี้เจ้าจะปลอดภัย แม้แต่จักรพรรดิสูรก็ไม่สามารถทำร้ายเจ้าได้ แต่หากเจ้าขยับเขยื้อนบุ่มบ่าม ข้าจะไล่เจ้าออกไปซะ”
บทที่ 518 แซ่ของข้าคืออี
ฟึ่บ!ฟั่บ!
ตามที่คาดไว้สายฟ้าที่ฟาดลงมาได้ทะลุโลงศพโบราณและดิ่งหายไปในทะเลราวกับว่าโลงศพโบราณนี้ไม่มีอยู่
เจียงอี้สูดหายใจเข้าเต็มปอดและระดมความคิดไม่นานเขาก็หายข้องใจและจำสิ่งที่เกิดขึ้นได้
ในตอนนั้นเขาเข้าสู่สภาวะที่พิลึกและได้ข้ามผ่านทะเลอัสนีมาโดยไม่รู้ตัวและยังอยู่ข้างหน้าจักรพรรดิอสูรไม่มากด้วยซ้ำและเมื่อเขาพ้นทะเลอัสนีมาแล้วเขาก็ถูกหญิงสาวผู้นี้ดึงเข้ามาที่นี่ เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ในตอนนี้นางดูไม่ได้ต้องการที่จะทำร้ายเขา
เจียงอี้บังคับตัวเองให้สงบนิ่งลงเขาป้องมือไปยังหญิงสาวผู้นั้นและพูดออกมาด้วยความจริงใจว่า “เจียงอี้ขอบคุณแม่นางที่ช่วยชีวิตข้า!”
หญิงสาวผู้นั้นไม่แสดงอารมณ์ใดๆนางตอบอย่างเฉยเมยว่า “ไม่เป็นไร ข้าช่วยชีวิตเจ้าเพราะข้ามีสิ่งที่อยากจะไถ่ถามเจ้า”
เจียงอี้ป้องมืออีกครั้งและพูดอย่างจริงจังว่า“แม่นางเชิญถามได้เลย”
นางชี้ไปที่ด้านหลังและพูดอย่างเฉยเมยว่า“เมื่อตอนที่เจ้าข้ามทะเลอัสนี ที่เจ้าสามารถคาดเดาได้อย่างง่ายดายว่าสายฟ้าจะตกลงมาจุดใดนั้นเจ้าใช้เวทย์มนตร์แบบใดกัน?”
“นี่….”
เจียงอี้ไม่รู้ว่าจะตอบนางเช่นไรเพราะตัวเขาเองยังไม่รู้เช่นกันแล้วเขาจะอธิบายให้นางฟังได้อย่างไร?
เมื่อหญิงสาวผมสีม่วงยังคงเห็นว่าเจียงอี้ยังคงนิ่งเงียบและไม่ได้มองนางตรงๆนางจึงคิดว่าเขาไม่เต็มใจที่จะบอกเรื่องนี้แก่นาง นางจึงแสยะยิ้มและสะบัดมือ “เอาล่ะๆ ถ้าเจ้าไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด ข้าเพียงแค่ถาม เจ้ากับข้าล้วนเป็นมนุษย์เช่นกัน เมื่อเจ้าถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจไล่ล่า ข้าก็แค่ช่วยเจ้าเพราะความชอบธรรม”
เจียงอี้พยักหน้าซ้ำอย่างรวดเร็ว“แม่นางเป็นคนตรงไปตรงมา หากภายหน้าท่านต้องการความช่วยเหลือจากข้าก็บอกมาได้เลย”
“เอาล่ะเจ้าสามารถอยู่ที่นี่ได้ หลังจากผ่านทะเลบูรพาเวิ้งว้างไปแล้ว มันจะเป็นทวีปเฟิ่งหมิง ข้าจะพาเจ้าไปยังทวีปนี้และหลังจากนั้นเจ้าคงต้องพึ่งพาตัวเองแล้ว”
หญิงสาวกล่าวอย่างเฉยเมยก่อนที่จะหลับตาและนั่งขัดสมาธิ
เจียงอี้จึงเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาดูเหมือนว่านางจะคุ้นเคยกับโลกภายนอก มันคงดีหากนางจะพาเขาไปด้วยได้ แต่อย่างไรก็ตามด้วยน้ำเสียงของนางแล้ว นางคงจะช่วยเขาให้ข้ามทะเลนี้ไปได้เท่านั้น
ถึงกระนั้นเจียงอี้ก็รู้สึกซาบซึ้งหญิงสาวผู้นี้มากแล้วแต่แน่นอนว่าเขาก็ยังไม่สบายใจ จักรพรรดิอสูรกำลังตามล่าเขา เรือลำเล็กนี้จะสามารถต้านการโจมตีของจักรพรรดิอสูรได้จริงๆหรือ?
เจียงอี้นั่งขัดสมาธิมันเป็นเรือที่แคบซึ่งแต่ละคนต่างนั่งอยู่คนละฝั่งของปลายเรือ เจียงอี้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยหลังจากที่เขานั่งไปพักหนึ่ง แต่มันดูเหมือนว่านางกำลังบ่มเพาะพลังอยู่ซึ่งสิ่งนี้ก็ทำให้เจียงอี้สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
เรือลำเล็กนี้แล่นเร็วมากซึ่งมันเร็วกว่าเจียงอี้สองเท่ามันเร็วเกือบจะพอๆกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นสูงสุด และเจียงอี้ก็ประหลาดใจที่เห็นปีศาจทะเลผ่านม่านพลังโปร่งใสนั้นอย่างชัดเจน แต่พวกมันกลับเมินเรือลำนี้…ราวกับว่าพวกมันไม่เห็นเรือนี้เลย
ช่างเป็นสิ่งที่วิเศษจริงๆ!หากจักรพรรดิอสูรก็มองไม่เห็นเหมือนกัน ข้าก็จะปลอดภัยโดยสมบูรณ์
เจียงอี้ประหลาดใจอยู่ลับๆแต่…หากเขารู้ว่านี่ไม่ใช่เรือลำเล็กแต่เป็นโลงศพโบราณ เขาก็คงจะยิ่งประหลาดใจ หญิงสาวผู้นี้สวมเสื้อผ้าและผ้าคลุมหน้า ก่อนหน้านี้เจียงอี้เพียงแค่เหลือบมองไปในทะเลมรณะ เขาจึงจำนางไม่ได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ความคิดของเจียงอี้ก็โลดแล่นไปเรื่อย หญิงสาวตรงข้ามเขานั่งสมาธิอยู่ตลอดและไม่มีกลิ่นอายติดตัวนางแม้แต่นิดเดียว นางเป็นเหมือนดั่งเด็กผู้หญิงที่อ่อนแอและไม่มีพลังใดๆ
เจียงอี้จึงไม่ได้คิดอะไรมากเรือลำนี้คงจะเป็นสมบัติสำคัญมาก และคงเป็นไปไม่ได้เลยที่หญิงสาวผู้นี้ที่ท่องอยู่กลางทะเลตัวคนเดียวจะไม่มีหนทางปกป้องตัวเอง แค่นางช่วยเขาก็เป็นหนี้บุญคุณมากแล้ว และเขาจะไม่มีทางทำร้ายหญิงสาวผู้นี้หรือเอาสมบัติของนางไปแน่นอน
หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน…
มันเป็นการเดินทางที่สงบใจของเจียงอี้ที่สับสนวุ่นวายก็ค่อยๆสงบลงเช่นกัน พวกเขาได้พบกับปีศาจทะเลมากมายระหว่างทาง แต่ก็ไม่มีผู้ใดเห็นหรือโจมตีเรือเล็กนี้เลย เจียงอี้รู้สึกราวกับว่าตัวเองอยู่ในความฝัน มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสกับเวทย์มนตร์และพลังของโลกภายนอก
ฟึ่บ!
หลังจากที่ผ่านไปวันครึ่งก็มีร่างหนึ่งพุ่งมาจากด้านหลังมันมีกลิ่นอายที่น่ากลัวมาก แม้ว่าจะมีการป้องกันจากเรือเล็กนี้แต่กลิ่นอายก็ยังแทรกซึมเข้ามาในใจของเขา
จักรพรรดิอสูรชือตามมาทันแล้ว!
หญิงสาวผมสีม่วงที่กำลังนั่งสมาธิและหลับตาอยู่ได้ลืมตาขึ้นมาแต่ดวงตาของนางไม่ได้แสดงอาการตื่นตระหนกออกมา เมื่อมองไปยังจักรพรรดิอสูรชือที่อยู่บนท้องฟ้า นางก็ยกริมฝีปากขึ้นเบาๆและพูดว่า “เจียง…เจียงอี้ เจ้าไม่ต้องกังวล แม้แต่จักรพรรดิอสูรระดับสูงก็หาเราไม่พบ มีเพียงจักรพรรดิอสูรระดับสูงสุดเท่านั้นที่จะสัมผัสได้ถึงตัวตนของเราได้”
เมื่อเจียงอี้ได้ฟังนางเขาก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย แต่สายตาของเขาก็ยังคงจับจ้องไปยังจักรพรรดิอสูรชือผ่านม่านพลังนี้อยู่ดี
เขาเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆแล้ว!
จักรพรรดิอสูรชือตามมาทันแล้วเขาเร็วกว่าเรือนี้เล็กน้อย แต่ก็ไม่เห็นการมีอยู่ของเรือลำนี้ เขาบินผ่านเรือไปและค่อยๆไกลออกไป
“ฮู้วววว…”
เจียงอี้ถอนหายใจและเช็ดเหงื่อที่เย็นเยียบจากหัวของเขาเขาป้องกำปั้นให้หญิงสาวผมสีม่วง “สมบัติของแม่นางช่างน่าอัศจรรย์เกินจินตนาการนัก”
“ฮิฮิ”
เป็นครั้งแรกที่นางหัวเราะออกมาน่าเสียดายที่ใบหน้าของนางถูกปกปิดด้วยผ้าคลุมและเจียงอี้ไม่มีทางใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์มองหน้านางได้ หากเขายั่วยุหญิงสาวผู้นี้ นางอาจจะโยนเขาออกจากเรือและจักรพรรดิอสูรชือก็อาจจะเจอเขาในไม่ช้า
หลังจากหัวเราะเบาๆนางก็พูดออกมาว่า “เจียงอี้ นี่คือโลกที่ใหญ่มากซึ่งมันเต็มไปด้วยสมบัติวิเศษมากมายและผู้เชี่ยวชาญเวทย์มนตร์มากมายที่เจ้าอาจไม่เคยได้ยินมาก่อน เจ้าอาจจะได้รู้จักมันในภายหน้า ข้าขอชี้แนะอะไรหน่อยได้ไหม? เมื่อเจ้าจะปักหลักและท่องไปในที่ต่างๆ เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะถ่อมตัว! ผู้ที่หยิ่งผยองมักจะตายไวมาก….”
เจียงอี้พยักหน้าและกล่าวอย่างซาบซึ้ง“เจียงอี้จะจดจำคำชี้แนะของแม่นาง”
หญิงสาวพยักหน้าและหลับตาลงก่อนจะนั่งสมาธิอีกครั้งนางไม่ได้คุยกับเจียงอี้อีกต่อไป โลงศพโบราณค่อยๆแล่นไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เจียงอี้มองไปรอบๆและเริ่มเบื่อเล็กน้อย เขาจึงตัดสินใจที่จะนั่งสมาธิและทำความเข้าใจกับศาสตร์เวทย์ต่อ
เวลาผ่านไปราวสายน้ำที่ไหลเวียนในพริบตาก็ผ่านไปครึ่งดือนแล้ว
โลงศพโบราณเคลื่อนไปข้างหน้าราวกับภูติผีมันเป็นการเดินทางที่มีอุปสรรคมากมาย แต่โลงศพโบราณก็ยังคงแล่นไปได้อย่างง่ายดายและไม่ได้รับผลกระทบใดๆเลย
หญิงสาวผมสีม่วงเข้าสู่สันโดษตลอดเวลาส่วนเจียงอี้เองก็อยู่ในภวังค์การเข้าถึงศาสตร์เวทย์มนตร์ ซึ่งมันเป็นชีวิตที่ค่อนข้างไร้กังวล
ในวันหนึ่งเจียงอี้ที่ยังคงนั่งสมาธิอยู่ก็รู้สึกถึงการสั่นสะเทือนของร่างกายเล็กน้อย เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาเขาก็พบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในเรือลำเล็กอีกต่อไป
เขามองไปรอบๆอย่างไร้จุดหมายและใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์มองไปรอบๆแต่ก็เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ เขาไม่พบอะไรเลย แม้แต่จักรพรรดิอสูรยังมองไม่เห็นโลงศพโบราณนั่นได้แล้วนับประสาอะไรกับเขากัน
“เจียงอี้ทวีปเฟิ่งหมิงอยู่ข้างหน้านั่น ข้ายังมีธุระอื่นและคงไม่สามารถพาเจ้าไปด้วยได้อีกต่อไป เราแยกกันตรงนี้แล้วกัน!”
ทันใดนั้นเสียงอันเย็นเยียบของหญิงสาวก็ดังออกมาจากท้องฟ้าเจียงอี้โค้งคำนับอย่างสุขุมไปยังทิศทางที่เสียงดังขึ้น เขาพูดออกมาว่า “ข้าขอบคุณแม่นางอีกครั้ง ข้าจะขอทราบนามของท่านได้หรือไม่? หากภายหน้ามีโอกาส เจียงอี้จะขอตอบแทนคุณนี้อย่างแน่นอน!”
“ฮิฮิ!”
หญิงสาวผู้นั้นยิ้มจางๆและเสียงของนางค่อยๆจางหายไปเห็นได้ชัดว่าโลงศพโบราณค่อยๆแล่นไปข้างหน้าแล้ว “แซ่ของข้าคือ อี ข้าเป็นลูกคนที่สามของตระกูล หากเจ้าไปถึงทวีปจักรพรรดิบูรพา เพียงแค่ถามคนแถวนั้นและเจ้าจะรู้ว่าข้าคือใคร เจ้าไม่จำเป็นต้องตอบแทนบุญคุณข้า หากเจ้าบรรลุถึงขอบเขตเทียนจุนแล้วจงตามหาข้า ข้าจะมอบอนาคตที่สดใสให้แก่เจ้า…”
หญิงงามผู้นั้นอยู่ห่างออกไปแล้วแต่เจียงอี้ยังคงตะลึงงันเขาพึมพำกับตัวเองอย่างงุนงง “แซ่อี? นั่นไม่ใช่แซ่ของแม่ข้าหรือ? พวกนางทั้งสองอยู่ที่ทวีปจักรพรรดิบูรพาด้วย หรือพวกนางมีความเกี่ยวข้องกัน?”
…