เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 521-522
บทที่ 521 ปกครองโดยราชินี
พ่อหนุ่มน้อย?
เมื่อได้ยินว่าเขาถูกเรียกเช่นไรเจียงอี้ก็ขนลุกซู่ทันที แต่เมื่อเขานึกถึงอะไรบางอย่างเขาก็ตระหนักขึ้นมาทันที!
ทวีปเฟิ่งหมิงเฟิ่งหมิง? ในโลกนี้ มังกรนั้นเป็นตัวแทนของเหล่าบุรุษและหงส์มักเป็นตัวแทนของเหล่าสตรี [เฟิ่ง คือหงส์หรือฟีนิกส์] ไม่ใช่ว่าทวีปแห่งนี้….จะถูกปกครองโดยผู้หญิง?
ทหารทั้งหมดในเมืองเป็นผู้หญิง?ผู้หญิงทั้งหลายต่างสวมอาวุธในขณะที่ผู้ชายทุกคนที่นี่ไม่ใช่นักสู้? แม้ว่าพวกเขาจะพบสายลับแต่ก็เป็นผู้หญิงที่ก้าวออกมาสู้ขณะที่ผู้ชายต่างพากันหลบซ่อนอยู่ข้างหลัง
ที่สำคัญคือตอนที่เจียงอี้เห็นพฤติกรรมของพวกเขา ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นทาสราวกับว่าเคยถูกรังแกและรู้สึกราวกับว่าผู้ชายทั้งเมืองนี้เป็นทาสของผู้หญิงพวกนี้
เจียงอี้สอดส่องอย่างเงียบๆด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาและมองไปรอบๆสวนก็พอที่จะพิสูจน์ข้อกังขาของเขาได้แล้ว!
มีผู้ชายหลายคนทำงานอยู่ในสวนเหมือนกับทาสขณะที่ผู้หญิงนั่งอยู่ในตำหนักราวเจ้านายอันที่จริงแล้ว….ในหมู่ผู้ชายเหล่านี้ บางคนถูกล่ามโซ่ราวกับสุนัขด้วย
เปี๊ยะ!แป๊ะ! เพียะ!
ในสวนแห่งหนึ่งเจียงอี้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเฆี่ยนตีชายผู้หนึ่งตลอดเวลา ชายผู้นั้นไม่กล้าที่จะส่งเสียงกรีดร้องและเพียงแค่ครวญครางออกมาขณะที่เผยสายตาอ้อนวอนอย่างเงียบๆและไม่มีวี่แววจะขัดขืน
ผู้ชายในเมืองนี้ช่างดูสิ้นหวังนัก
เจียงอี้ถอนหายใจยาวเขาไม่รู้สถานการณ์ในเมืองอื่นๆ แต่ผู้ชายในเมืองนี้ต่างถูกลดสถานะให้กลายเป็นทาสและคอยปรนเปรอผู้หญิงพวกนี้
หากทั้งทวีปเป็นเช่นนี้เช่นนั้นแล้วทวีปเฟิ่งหมิงก็เป็นราชินีคอยปกครองที่นี่อย่างแน่นอน
มันเป็นที่ที่สตรีเป็นผู้ปกครองเมือง!
ตอนนี้เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าทำไมเมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นมาคนอื่นๆถึงรู้ว่าเขาเป็นสายลับทันที
กลิ่นอายของผู้ชายคนอื่นในเมืองนั้นต่างจากเขาอย่างสิ้นเชิง
รูปลักษณ์ของเขาไม่ต่างจากชายใดในเมืองเลยเขายังไม่ได้พูดสิ่งใดออกมาสักคำ กลิ่นอายของเขานั้นเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัดและเพียงวูบเดียวก็พอที่จะรู้แล้วว่าเขาต่างจากผู้อื่น
และเมื่อเจียงอี้ได้แผ่สัมผัสศํกดิ์สิทธิ์ออกไปแล้วเขาจึงตัดสินใจที่จะไม่ปกปิดตัวตนอีกต่อไป
หากเมืองนี้มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังเขาก็จะถูกพบทันที แต่หากไม่มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกัง พวกเขาก็เพียงแค่จะรู้สึกประหลาดเมื่อสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขากวาดผ่านไป
เมื่อเจียงอี้กำลังกวาดสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาไปทั่วเมืองเขาก็รีบจดจ่อไปยังหญิงสาวที่งดงามที่อยู่ในตำหนักที่หรูหราที่สุดของเมือง จากนั้นเขาก็โล่งใจขึ้น ไม่มีผู้เชี่ยวชาญอยู่ในเมืองนี้และผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกนางคือนายหญิงของเมืองนี้ที่อยู่ขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุด
เขาคิดอย่างรวดเร็วว่าจะหาทางจัดการกับนายหญิงเมืองนี้อย่างไรเขาต้องสังหารนางหรือไม่หากนางขัดขืน? แล้วถ้าเขาไม่สังหารนางและนางทำกิริยาไม่เหมาะสม เขาควรจะเล่นไปตามน้ำและทำข้อตกลงกับนางไหม?
ไม่มีทางข้าไม่เอาด้วยหรอก!
เจียงอี้กำหมัดแน่นทันใดนั้นเอง หญิงสาวที่อยู่กับเจียงอี้ก็สอดมือทั้งสองข้างของนางเข้ามาและลูบไล้หน้าอกของเขา มือข้างหนึ่งของนางมักจะลูบไล้ไปใกล้ๆเป้าของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาจึงเดือดดาลขึ้นมาทันทีและตะโกนว่า “นี่เจ้าจะทำอะไรน่ะ? เจ้ากำลังทำเรื่องป่าเถื่อนกลางที่สาธารณะเช่นนี้ ไร้ยางอายนัก!”
“ฮิฮิฮิฮิ!”
เมื่อเจียงอี้ตะโกนจบผู้หญิงทุกคนก็พากันหัวเราะเสียงดังขณะที่ผู้หญิงที่อยู่กับเขาหัวเราะออกมาอย่างหนัก อาวุธที่อยู่ตรงหน้าอกของนางกำลังสั่นขึ้นลงอยู่ตลอดซึ่งในบางครั้งมันจะไปกระแทกหลังของเจียงอี้ ซึ่งมันทำให้เขาอึดอัดมาก
“พ่อหนุ่มน้อยอย่าโกรธไปน่า เป็นเด็กดีซะ!”
หลังจากที่นางหัวเราะออกมาจนพอใจแล้วนางก็ลดเสียงลงและกระซิบข้างหูเขาว่า “หากเจ้าไม่เชื่อฟัง ระวังข้าผู้นี้จะถลกของรักของเจ้าและทำให้เจ้าอยู่ในจุดที่ยากลำบากเดี๋ยวนี้แหละ”
“บ้าเอ้ย….”
เจียงอี้รู้สึกราวกับว่าเขากลายเป็นหญิงสาวที่อ่อนแอและถูกจับโดยพวกเดรัจฉานกลุ่มหนึ่งและพวกมันกำลังจะคุกคามเขาและหากเขาไม่เชื่อฟัง พวกมันก็จะกระทำชำเราเขา
เจียงอี้ไม่รู้ว่าเขาควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดีแต่เขาก็อดทนกดความโกรธของเขาเอาไว้และนิ่งเงียบ ผู้หญิงที่มากับเขาไม่กล้าที่จะทำอะไรประมาทอีกต่อไปขณะที่เสือแดงก็ได้มาถึงลานยักษ์ใจกลางเมืองอย่างรวดเร็ว
“ไปกันเถอะพ่อหนุ่มน้อย!”
นางกระโดดลงจากเสือและดึงเจียงอี้ลงมานางลูบก้นเจียงอี้และพูดกับเขาด้วยสายตาที่เย้ายวน “พ่อหนุ่มน้อย ไปพบท่านเจ้าเมืองเสียก่อน เมื่อนางเสร็จกิจกับเจ้าแล้ว พี่สาวผู้นี้จะคอยปลอบเจ้าเอง อา…หนุ่มน้อยตัวเล็กน่ารักเช่นนี้ช่างหายากนัก น่าเสียดายจริงเชียว….”
“น่ารักกับผีสิ!”
เจียงอี้อยากจะสาปแช่งออกมาเขาสูงและสง่างาม มันคงไม่มีทางที่เขาจะทำตัวน่ารักได้หรอก ใช่ไหม? เจียงอี้อยู่ที่ตำหนักของเจ้าเมืองนี้แล้วและเขาก็ไม่ต้องการออกไปจากที่นี่ มันคงจะดีที่สุดแล้วที่เขาจะพบกับนายหญิงแห่งเมืองนี้เสียก่อนใช่ไหมนะ?
เขาถูกแม่ทัพหญิงจับที่ไหล่และบังคับเดินไปขณะที่เขากำลังเดินเข้าไปเขาก็เห็นทหารหญิงหลายคน และพวกนางทั้งหมดค่อนข้างดูดีนัก พวกนางถือดาบขนาดใหญ่และอารักขาประตูบานใหญ่ด้วยสีหน้าที่เกรียงไกร
แต่เมื่อพวกนางเห็นเจียงอี้ดวงตาของพวกนางก็สว่างขึ้นราวกับเสือที่หิวโหยขณะที่จ้องมองมายังเรือนร่างของเจียงอี้
“ให้ตายเถอะ…”
เจียงอี้รู้สึกเหมือนเขาเข้ามาอยู่ในซ่องอีกครั้งและกำลังถูกจ้องมองโดยหญิงสาวในวังที่ต้องการจะกลืนกินเขาเข้าไปเป็นๆ
ที่ด้านนอกทางเดิน,แม่ทัพหญิงผู้นั้นป้องกำปั้นและตะโกนออกมาว่า “คารวะท่านเจ้าเมือง เราพบสายลับและเราได้พาเขามาพบท่านเพื่อให้ท่านตัดสินเจ้าค่ะ”
“สายลับ?”
เสียงที่ดูเอื่อยเฉื่อยและมีเสน่ห์ดังก้องอยู่ภายในนั้น“นำตัวเขาเข้ามา”
“เดินไป!”
แม่ทัพหญิงคว้าตัวเจียงอี้ไว้และเดินเข้าไปยังพรมสีขาวราวหิมะที่ยาวเข้าไปจนสุดทางมันเหมือนกับโถงพระราชวังมากกว่าตำหนักธรรมดาๆ ในนั้นหรูหรามากและมีประตูอยู่ด้านข้างที่มีผู้หญิงสองคนคุกเข่าอยู่ เมื่อพวกนางเห็นเจียงอี้ พวกนางก็มีสายตาเช่นเดียวกับคนอื่นๆข้างนอกนั่น
ก่อนที่เจียงอี้จะทันได้มองห้องโถงแห่งนี้เขาก็ถูกนำตัวไปทางประตูด้านข้างและเข้าไปข้างในห้องอีกทีหนึ่ง มีเตียงขนาดใหญ่ที่ทำจากหยกขาวอยู่ตรงกลางซึ่งถูกคลุมด้วยผ้าสีขาวเอาไว้ มีผู้หญิงนางหนึ่งนอนตะแคงและหลับตาอยู่บนเตียงนั้น
นางงดงามมากและอายุน่าจะราวๆยี่สิบปีนางมีรูปลักษณ์ที่งดงามและมีกลิ่นอายที่สูงส่ง นางสวมเสื้อผ้าบางๆและดูอนาจารเล็กน้อย นางมีหน้าอกที่เต่งตึงและขาเรียวขาวราวหิมะซึ่งเผยออกมาจนทุกคนเห็นได้และมันดูน่าหลงใหลอย่างมาก
บึฟ!
ดวงตาของนางเปิดขึ้นมาทันทีเมื่อนางบอกให้เจียงอี้เข้ามานางมองเข้าไปในดวงตาของเจียงอี้ขณะที่ดวงตาที่น่ารักของนางสว่างขึ้น นางโบกสะบัดมือและพูดด้วยท่าทางอ่อนเพลีย “กู่จี เจ้าออกไปก่อน”
“เจ้าค่ะ!”
นางป้องกำปั้นอีกครั้งและมองไปที่เจียงอี้ด้วยสายตาที่ดูเสียดายจากนั้นนางก็รีบเดินออกไปขณะที่ประตูห้องชั้นในได้ปิดลง ผนังห้องสว่างขึ้นและมีการเปิดใช้อาคมยับยั้ง
แม่ทัพหญิงผู้นี้รู้ดีและนางไม่ต้องการขัดจังหวะเวลาสนุกของนายหญิงของนาง
“หนุ่มน้อยจากต่างแดน!”
หญิงสาวผู้นั้นมองใบหน้าเจียงอี้อยู่หลายครั้งและเผยร้อยยิ้มอ่อนๆจากนั้นนางก็ถามเบาๆว่า “เจ้าชื่ออะไร? มาจากที่ใดกัน? จะบอกข้าได้หรือไม่?”
พวกนางเปิดใช้อาคมยับยั้ง?ฮ่า แม้แต่สวรรค์ก็กำลังช่วยข้า
เจียงอี้สังเกตอาคมยับยั้งในห้องนั้นและไม่ได้สนใจหญิงสาวนางนั้นเลยเขามองห้องทั้งหมดและมั่นใจว่าแม้ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น ก็จะไม่มีใครรู้นอกจากเขาจะทำลายอาคมยับยั้ง อารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นในทันที
เมื่อนางเห็นว่าเจียงอี้ไม่ตอบสิ่งใดกลับมานางก็เปิดผ้าคลุมและเดินลงไปช้าๆ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความปรารถนา นางยิ้มอย่างยั่วยวนและกล่าวว่า “ตามกฎของทวีปเฟิ่งหมิงนั้น คนต่างแดนจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาที่ทวีปนี้ ไม่เช่นนั้นคนผู้นั้นจะถูกมองว่าเป็นสายลับและจะถูกสังหารอย่างไร้ปรานี!”
“ปรนนิบัติท่าน?”
เจียงอี้เรียกสติกลับคืนมาอีกครั้งขณะที่เขาเผยรอยยิ้มอันชั่วร้ายออกมาและพยักหน้า“ก็ได้ นายน้อยผู้นี้จะปรนนิบัติท่านอย่างดี ข้ารับรองว่าท่านจะต้องพอใจ…”
บทที่ 522 บดขยี้ตันเทียน
รอยยิ้มอันชั่วร้ายของเจียงอี้นั้นมีเสน่ห์มากร่างกายของเขามีกลิ่นอายที่ไม่ธรรมดาอยู่แล้วและเขาก็ไม่ดววงตาที่ไม่ยอมแพ้ผู้ใด เขาก้าวร้าวราวกับราชสีห์ที่ดุร้าย
ผู้ชายทั้งหลายในทวีปเฟิ่งหมิงนี้กลายเป็นทาสมานานหลายปีแล้วและพวกเขาต่างก็สูญเสียตัวตนและกลิ่นอายที่ไม่ยอมผู้ใดไปนานแล้วนางจึงแทบจะอ่อนยวบลงไปด้วยรอยยิ้มของเจียงอี้และไม่ได้กังวลกับเจตนาซ่อนเร้นในคำพูดของเขา
ร่างอันบอบบางของนางสั่นเบาๆนางกลืนน้ำลายและเลียริมฝีปากก่อนที่จะยื่นมือไปลูบไล้หน้าอกของเจียงอี้ จากนั้นนางก็หัวเราะชอบใจและพูดว่า “เจ้าต้องเป็นหนุ่มน้อยขี้โมโหแน่ๆ ตราบใดที่เจ้ายังคงเชื่อฟัง ข้าก็จะไม่ทำร้ายเจ้าหรอกนะ”
ร่างของเจียงอี้สั่นสะท้านและขนลุกขึ้นมาอีกครั้งเขากล้ำกลืนความอยากอาเจียนเอาไว้และตอบว่า “ในเมื่อต้องการให้นายน้อยผู้นี้รับใช้ ทำไมท่านไม่ช่วยข้าแก้มัดเถาวัลย์โบราณนี่ออกก่อนล่ะ? ให้ตายเถอะ นี่ท่านพยายามจะรัดข้าให้ตายหรอ?”
เจียงอี้สบถออกมาไม่หยุดหย่อนแต่นางก็ไม่ได้รู้สึกโกรธและกลับรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่น่าลิ้มลองแทน ผู้ชายในทวีปนี้ล้วนเหมือนม้าเชื่องไปหมดแล้ว แต่เจียงอี้นั้นเป็นเหมือนม้าพยศ
มือของนางสว่างไสวไปด้วยแสงสีขาวในทันใดซึ่งทำให้เถาวัลย์ที่รัดเจียงอี้อยู่หลุดออกอย่างรวดเร็วหลังจากที่เถาวัลย์คลายออก นางก็สวมกอดเจียงอี้ในทันที เสียงของนางสั่นระริกและพูดว่า “มาเถอะยอดรัก ให้นายหญิงผู้นี้ได้ร่วมความใคร่กับเจ้าเสียที….”
ป้าบ!
เมื่อเจียงอี้เห็นว่าเขาสามารถหมุนเวียนแก่นแท้พลังได้แล้วเขาก็ฟาดหลังมือของเขาไปที่หน้าของหญิงสาวนางนั้นก่อนที่ร่างของนางจะปลิวไปกระแทกกับกำแพงเข้าอย่างแรง หากความแข็งแกร่งของนางไม่เพียงพอ กะโหลกของนางก็คงจะแตกไปแล้ว
“หือ…”
ตอนนี้นางหมกมุ่นอยู่กับการพลอดรักเท่านั้นนางจะไปคิดว่าเจียงอี้จะจู่โจมอย่างกะทันหันได้เช่นไรกัน?
นอกจากนี้ร่างกายของเจียงอี้ก็อยู่ในขอบเขตจินกังแล้วและว่องไวกว่านางมาก แล้วนางจะหลบการโจมตีได้อย่างไร? นางตกตะลึงที่โดนตบและล้มพับไปหลายครั้งก่อนที่จะยืนขึ้นมาแต่นางก็ยังมีสีหน้าที่งุนงงอยู่เล็กน้อย
“เจ้าคงเหนื่อยที่จะมีชีวิตแล้วสินะ!”
นางฟื้นสติกลับมาอย่างรวดเร็วและโกรธทันทีมือของนางเปล่งประกายด้วยแก่นแท้พลังขณะที่ดาบที่ยืดหยุ่นปรากฏขึ้นในมือของนางหลังจากที่วงแหวนสีขาวของนางกระพริบ มันมีกลิ่นอายที่น่ากลัวและเห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์
ฟึ่บ!
ร่างของเจียงอี้กลายเป็นเพียงภาพหลังซึ่งแยกร่างออกเป็นสามร่างร่างทั้งสามพุ่งเข้าหานางสามทิศทางขณะที่กำปั้นทั้งสามแผ่ออกมาและพุ่งเข้าหาหญิงสาวด้วยความเร็วดุจสายฟ้า
“อ๊ะ?”
ผู้หญิงนางนี้อยู่เพียงขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดเท่านั้นนางจะตรวจจับร่างที่แท้จริงของเจียงอี้ได้อย่างไรกัน? นางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกวัดแกว่งดาบไปแบบสุ่มๆ ใบหน้าของนางเผยสีหน้าที่มืดหม่นที่แม้แต่คนโง่เขลาก็ยังรู้ว่าความแข็งแกร่งของเจียงอี้นั้นไม่อาจประเมินได้
ปัง!
กำปั้นของเจียงอี้ทุบลงไปที่หน้าอกของหญิงสาวในขณะที่เขาสับไปที่ข้อมือของนางและปลดอาวุธของนางออก
ฟึ่บ!
ร่างของเขากลายเป็นเงาและเมื่อหญิงสาวกระเด็นไปทางกำแพงเขาก็กำคอนางอย่างง่ายดายจากนั้นเขาก็ยกคอนางติดกำแพงและร่างของนางก็ลอยขึ้นเหนือพื้นดิน
เมื่อเขาเห็นว่านางกำลังจะลงมือเขาก็กำมือแน่นขณะที่มีดวงตาที่เย็นชา เขาพูดออกมาว่า “หากเจ้าอยากตาย เช่นนั้นนายน้อยผู้นี้ก็คงไม่รังเกียจที่จะส่งเจ้าไป ข้าสังหารเจ้าได้เหมือนกับการบดขยี้แมลงด้วยซ้ำ!”
เจียงอี้ไม่ได้ปลดปล่อยเจตจำนงสังหารออกมาแต่เขานั้นสังหารผู้คนมามากมายจึงทำให้กลิ่นอายสังหารของเขาน่ากลัวมาก ดวงตาที่เย็นชานั้นแผ่ความเย็นเยียบไปถึงกระดูกสันหลังและไปจนถึงปลายเท้าของหญิงสาวนางนี้ ตอนนี้นางไม่มีข้อสงสัยเลยว่าเจียงอี้จะบดขยี้คอนางแน่ๆหากนางกล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
หญิงสาวนางนี้ยังเป็นผู้ที่มีอำนาจและตื่นจากภวังค์นางด่าทอด้วยสีหน้าที่เย็นชา “เจ้าคนต่างแดน ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะมาจากที่ใดหรือมีอำนาจมากเพียงใด เมื่ออยู่บนทวีปเฟิ่งหมิงของเรา แม้ว่าเจ้าจะเป็นเสือ เจ้าก็ต้องหมอบลง แม้เจ้าเป็นมังกรเจ้าก็จะต้องม้วนขดตัวด้วยซ้ำ หากเจ้ากล้าสังหารข้าเจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน ทวีปเฟิ่งหมิงของเรามีผู้เชี่ยวชาญมากมายและจักรพรรดินีของเรานั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุน หากเจ้าไม่เชื่อข้า จะลองดูก็ได้”
ฟึ่บฟั่บ!
เจียงอี้ไม่ได้พูดอะไรแต่มืออีกข้างหนึ่งของเขากางเหมือนกรงเล็บซึ่งคว้าไปที่หน้าท้องของนาง เขาหมุนเวียนแก่นแท้พลังไว้ที่มือและแทงเข้าไปในช่องท้องของนางอย่างง่ายดาย กรงเล็บของเขาหยุดอยู่ที่ด้านนอกตันเทียนและเย้ยว่า “เจ้าเชื่อไหมว่าข้าจะทำลายตันเทียนของเจ้าซะ”
“อย่านะอย่า!”
ดวงตาของนางประกายไปด้วยความหวาดกลัวนางได้มาถึงขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดแล้วและเมื่อคนที่เคยชินกับการเป็นผู้ฝึกฝนที่ทรงพลัง นางจะต้องเลือกที่จะตายอย่างแน่นอนหากนางต้องกลายเป็นคนพิการ
เจียงอี้พยักหน้าอย่างพึงพอใจและพูดอย่างแผ่วเบา“เจ้ามีสองทางเลือก หนึ่งคือเจ้าส่งผนึกแห่งดวงจิตมาและข้ารับประกันว่าข้าจะคืนมันให้เจ้าหลังจากที่ข้าออกจากทวีปเฟิ่งหมิงแล้ว สอง ข้าจะทำลายตันเทียนของเจ้า, ตัดแขนตัดขา, ตัดเส้นปราณและตัดลิ้นเจ้าซะ ข้าจะปล่อยให้เจ้าร้องขอชีวิตและร้องขอความตาย แต่ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าได้อยู่หรือตาย!”
ฟืดดฟืดดด…..
เมื่อได้ยินทางเลือกของเจียงอี้นางก็หายใจถี่และหน้าซีดเพราะความตกใจขณะที่ร่างกายอันเย้ายวนของนางกำลังสั่นสะท้าน เจียงอี้สูงกว่านางและเขาก็มองเห็นเนินทั้งสองของนางที่เหมือนกระต่ายขาวสองตัวกำลังกระโดดดึ๋งๆอยู่
นางสูดลมหายใจก่อนที่จะหลับตาเพื่อพิจารณาจากนั้นนางก็กัดฟันแน่นและพูดว่า “เจ้าคนต่างแดน เว้นแต่ว่าเจ้าจะสาบานว่าเจ้าจะคืนผนึกแห่งดวงจิตเมื่อเจ้าออกจากทวีปนี้ ไม่เช่นนั้นข้าคงยอมตายดีกว่าที่จะต้องตกเป็นทาสไปชั่วชีวิต”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เจียงอี้หัวเราะออกมาเขารู้ว่านางตัดสินใจได้แล้ว หากนางอยากตายนางก็คงฆ่าตัวตายไปนานแล้ว
เขาเยาะเย้ยและพูดว่า“เจ้ามีทางเลือกอื่นอีกหรือนอกจากจะเชื่อข้า? ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม หากเจ้าไม่ส่งผนึกแห่งดวงจิตมา ข้าจะบดขยี้ตันเทียนของเจ้าซะ หนึ่ง สอง!”
“ข้าจะส่งให้ๆ!”
หญิงสาวนางนั้นตื่นตระหนกและตะโกนออกมาอย่างร้อนรนนางหลับตาลงขณะที่แสงสีทองปรากฏขึ้นบนศีรษะของนาง ผนึกสีทองส่องแสงและลอยออกมาจากหัวของนาง จากนั้นเจียงอี้ก็ใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาเพื่อดูให้แน่ชัดก่อนว่านี่คือผนึกแห่งดวงจิตจริงๆก่อนที่เขาจะถอนมือออกจากหน้าท้องของนาง เขาคว้าผนึกแห่งดวงจิตเอาไว้จากนั้นมันก็หายไปในมือของเขาและปรากฏขึ้นในดวงจิตวิญญาณของเขา
ปัง!
จากนั้นเขาก็โยนหญิงสาวนางนั้นลงไปบนเตียงและหยิบยาออกมาจากไข่มุกวิญญาณเพลิงเขาโยนมันไปให้นางและพูดว่า “พักฟื้นเสียก่อน ไม่ต้องห่วง ข้าเพียงผ่านมาที่ทวีปเฟิ่งหมิง ตราบใดที่เจ้าช่วยข้าหาของบางอย่างได้ ข้าก็จะไปจากที่นี่”
หลังจากเจียงอี้ได้ผนึกแห่งดวงจิตของนางไปแล้วนางก็ยิ่งหวาดกลัวเจียงอี้มากขึ้นและไม่กล้าแม้แต่จะฝ่าฝืนสิ่งใด แม้ว่าเจียงอี้จะขอให้นางสละชีวิตนางก็ไม่ลังเล นางกินยาเข้าไปและถกเสื้อผ้าของนางและเอื้อมมือไปที่หน้าท้องเพื่อหยุดเลือดก่อน
ตามที่คิดไว้ไม่มีสิ่งใดอยู่ภายใต้เสื้อผ้าของนางและเจียงอี้ก็เห็นทุกอย่างอย่างชัดเจน เขารู้สึกอึดอัดและเบือนหน้าหนีทันที จากนั้นเขาก็ตำหนิว่า “หลังจากพักฟื้นแล้วเจ้าก็ใส่เสื้อผ้าซะ เจ้ากล้าแต่งตัวเช่นนี้ได้ยังไงกัน?”
เมื่อนางพักฟื้นเสร็จแล้วนางก็สวมชุดทันที จากนั้นเจียงอี้ก็หันกลับมาและนั่งลงที่เตียงหยกและตะโกนออกมาว่า “เจ้ามีนามว่าอะไร? เจ้ารู้จักทวีปจักรพรรดิบูรพาหรือไม่? แล้วเจ้ามีแผนที่ของทวีปจักรพรรดิบูรพาหรือเปล่า?”
“นายหญิง….ขะข้ามีนามว่าเถาเฟยเจ้าค่ะ!”
เถาเฟยตอบอย่างเชื่อฟังและไตร่ตรองก่อนที่จะพูดว่า“ท่านใต้เท้า ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับทวีปจักรพรรดิบูรพาอยู่บ้างแต่ความแข็งแกร่งของข้านั้นด้อยเกินไปและเป็นเพียงเจ้าเมืองของเมืองเล็กๆ ข้าจะไปมีคุณสมบัติที่จะออกไปท่องโลกภายนอกได้อย่างไรกัน? อย่าว่าแต่แผนที่แห่งทวีปจักรพรรดิบูรพาเลย….”
เจียงอี้พยักหน้าก่อนที่ดวงตาของเขาจะเปล่งประกายแวววาวเขาถามอย่างเฉยเมยว่า “เจ้ารู้จักใครที่รู้เรื่องทวีปจักรพรรดิบูรพาไหม? หรือใครก็ได้ที่พอจะมีแผนที่?”
หญิงที่อ้างว่าชื่อเถาเฟยตอบกลับอย่างไม่ลังเลว่า“เมืองของข้าชื่อว่าเมืองดอกท้อ และเป็นเขตแดนของแม่หญิงชิงหยี แม่หญิงชิงหยีของเรานั้นเป็นหนึ่งในสิบห้าอันดับของจักรวรรดิเฟิ่งหมิง ตระกูลชิงมีผู้เชี่ยวชาญมากมายที่ออกไปผจญภัยในทะเล ในประวัติศาสตร์นั้นมีข่าวลือว่าครั้งหนึ่งเคยมีผู้เชี่ยวชาญที่นำสมบัติจากทวีปจักรพรรดิบูรพากลับมาได้ หากใต้เท้าสามารถโค่นแม่หญิงชิงหยีได้ ทุกสิ่งก็จะง่ายขึ้นเจ้าค่ะ”
…