เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 523-524
บทที่ 523 ชิ้นส่วนรูปแบบเต๋าวิญญาณ
“แม่หญิงชิงหยี?หนึ่งในสิบห้านักสู้?”
เจียงอี้ขมวดคิ้วก่อนที่จะถามว่า“ความแข็งแกร่งของนางอยู่ขอบเขตใดกัน?”
เถาเฟยตอยอย่างตรงไปตรงมาว่า“เรียนใต้เท้า ทุกคนที่เป็นสิบห้านักสู้ล้วนอยู่ขอบเขตจินกังขั้นที่แปดขึ้นไปทั้งสิ้น แม่หญิงของเรานั้นได้มาถึงขอบเขตจินกังขั้นสูงสุดแล้วและเหลือเพียงครึ่งทางก่อนที่นางจะทะลวงสู่ขอบเขตเทียนจุนได้ แต่เนื่องจากนางได้ปรับแต่งชิ้นส่วนรูปแบบเต๋าวิญญาณของปรมาจารย์ตระกูลชิงไป โอกาสที่นางจะทะลวงขอบเขตเทียนจุนจึงลดลงอย่างมาก แต่แน่นอนว่านางอายุเพียงยี่สิบสามปีเท่านั้น ดังนั้นหากนางได้ประมือกับคนอื่นโดยบังเอิญนางก็ยังมีโอกาสที่จะทะลวงขอบเขตเทียนจุนได้เจ้าค่ะ”
“ขอบเขตจินกังขั้นสูงสุด?ยี่สิบสามปี?”
เจียงอี้ตะลึงงันมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังอยู่ทุกหนทุกแห่งในทวีปเฟิ่งหมิงเลยหรือเปล่านะ?
เจียงเปี๋ยหลีที่เป็นที่เลื่องลือว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของทวีปเทียนชิงนั้นตอนที่เขาอายุยี่สิบสามปี เขาน่าจะยังอยู่เพียงขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดใช่ไหม? และแม้ว่าเจียงอี้จะอายุเพียงสิบแปดปีและยังไม่มียอดฝีมือขอบเขตจินกังคนใดเทียบเขาได้ แต่นั่นก็ไม่ถือว่าเป็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา มันเป็นเพราะเจตจำนงสังหารและเปลวเพลิงอเวจีต่างหาก
“นี่มันไม่ถูกต้อง!”
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งขณะที่ความสับสนแล่นผ่านดวงตาของเขาเขายังคงถามต่อไปว่า “ปรับแต่งชิ้นส่วนรูปแบบเต๋าวิญญาณของปรมาจารย์ตระกูลชิง? นั่นเจ้าหมายความว่าอย่างไรกัน? ไม่ใช่ว่ารูปแบบเต๋านั้นจะต้องเข้าถึงมันด้วยตัวเองหรอกหรือ?”
มันง่ายมากที่จะฝึกฝนแก่นแท้พลังสำหรับเหล่าอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์และฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งในสิ่งประดิษฐ์วิเศษเช่นราชวังจักรพรรดิ มันก็คงจะเป็นเรื่องง่ายที่พวกเขาจะไปถึงขอบเขตจินกังได้ในอายุราวๆยี่สิบปี แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากไปถึงขอบเขตจินกังแล้ว พวกเขาก็จะต้องเข้าถึงรูปแบบเต๋าเพื่อเสริมความแข็งแกร่งและเสริมระดับพลังของพวกเขาด้วย
รูปแบบเต๋าฟ้าดินนั้นเป็นสัจธรรมที่ซับซ้อนของสวรรค์และโลกามันเป็นกฎ, แก่นแท้และต้นกำเนิดของสวรรค์และโลกใบนี้
รูปแบบเต๋าเหล่านี้จึงเข้าถึงได้เพียงการใช้สัญชาตญาณและไม่สามารถถ่ายทอดผ่านคำพูดได้
ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสเฮ่อเองก็ได้ปฏิเสธเจียงอี้เมื่อเขาขอให้ผู้อาวุโสสอนรูปแบบเต๋าให้แก่เขาเขาบอกเจียงอี้ว่าหากเขาสอนมัน มันอาจจะทำให้ผู้ฝึกเข้าสู่เส้นทางที่ผิดได้และพวกเขาจะไม่สามารถเข้าถึงรูปแบบเต๋าได้อีกต่อไป
แต่ตอนนี้เจียงอี้ได้ยินสิ่งใหม่การปรับแต่งชิ้นส่วนรูปแบบเต๋าวิญญาณ? มันสามารถปรับแต่งได้ด้วยหรือ? นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะสามารถสร้างยอดฝีมือที่แท้จริงได้หรอกหรือ?
“ท่านใต้เท้ามันไม่ใช่อย่างที่ท่านคิดหรอก”
เถาเฟยเห็นความสับสนที่เจียงอี้มีอยู่ในตอนนี้ดังนั้นนางจึงอธิบายว่า “นอกจากผู้เชี่ยวชาญของทวีปเฟิ่งหมิงของเราแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถปรับแต่งชิ้นส่วนรูปแบบเต๋าวิญญาณได้ เศษวิญญาณเหล่านี้ถูกควบแน่นด้วยพลังเวทย์มากมายโดยยอดฝีมือที่แท้จริงของทวีปเราซึ่งอยู่ที่ประตูมรณะ ซึ่งมันอนุญาตให้คนรุ่นหลังผสานชิ้นส่วนวิญญาณเหล่านี้ได้และดูรูปแบบเต๋าข้างในนั้น แต่อย่างไรก็ตาม คนรุ่นนี้ไม่ได้เป็นผู้เข้าถึงรูปแบบเต๋าเหล่านี้แต่เป็นคนรุ่นก่อน ดังนั้นห้องที่พวกเขาใช้ฝึกฝนพัฒนาจึงลดระดับลงอย่างเห็นได้ชัด…”
“ข้าเข้าใจแล้ว!”
วันนี้เจียงอี้ได้เปิดโลกกว้างขึ้นอย่างแท้จริงไม่มีสิ่งใดแปลกประหลาดเกินไปในโลกที่อัศจรรย์นี้ เหล่าผู้อาวุโสที่ใกล้ตายสามารถย่อทุกสิ่งที่พวกเขาเรียนรู้มาตลอดชีวิตให้กลายเป็นเศษวิญญาณและส่งมอบให้คนรุ่นหลังได้ จากนั้นคนรุ่นหลังก็จะสามารถเข้าถึงรูปแบบเต๋าตามชิ้นส่วนวิญญาณเหล่านั้นได้ และวิธีนี้จะไม่ทำให้พวกเขาฝึกไปในทางที่ผิด
ความหมายของการหยั่งรู้และความเข้าใจอาจจะแตกต่างกันเล็กน้อยแต่ความแตกต่างของพวกมันนั้นก็เหมือนกับสวรรค์และโลกา
การหยั่งรู้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเรียนรู้จากผู้อื่นได้การที่จะหยั่งรู้ได้นั้นจะต้องมาจากการเข้าใจในสิ่งหนึ่งที่ค้นพบเองและการเสาะสำรวจด้วยตนเองเท่านั้น
ในขณะที่ความเข้าใจนั้นสามารถเรียนรู้ผ่านคำสอนได้พวกเขาสามารถเรียนรู้รูปแบบเต๋าตามชิ้นส่วนวิญญาณ และเมื่อถึงขั้นบรรลุแล้วก็หมายความว่าพวกเขาจะเข้าถึงรูปแบบเต๋านั้นอย่างเต็มที่แล้ว แต่มันก็หมายความว่าผู้ฝึกอาจจะไม่ได้มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับรูปแบบเต๋าและอาจจะไม่เข้าใจความจริงที่อยู่เบื้องหลังสวรรค์และโลกาอย่างแท้จริง สิ่งนี้มันคล้ายกันกับการที่พวกเขาเรียนรู้จากรูปแบบแต่ไม่ได้รู้ถึงจิตวิญญาณที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง!
ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากมากสำหรับผู้ที่ปรับแต่งชิ้นส่วนรูปแบบเต๋าวิญญาณในการผสานรูปแบบเต๋าในภายภาคหน้าทำให้การก้าวไปสู่ขอบเขตที่สูงขึ้นเป็นเรื่องยากมาก เพราะพวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงแก่นแท้ที่อยู่เบื้องหลังรูปแบบเต๋าเหล่านี้ แล้วพวกเขาจะผสานรูปแบบเต๋าสามแบบเข้าด้วยกันได้อย่างไร?
ในที่สุดเจียงอี้ก็เข้าใจแต่ความเลื่อมใสที่เขามีต่อบรรพบุรุษทวีปเฟิ่งหมิงก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย
การมีทักษะในการควบแน่นชิ้นส่วนรูปแบบวิญญาณอาจทำให้คนรุ่นหลังไม่สามารถหยุดพัฒนาได้แต่อย่างน้อยๆมันก็จะช่วยให้พวกเขาสามารถรักษาขอบเขตความแข็งแกร่งดั้งเดิมไว้ได้บ้างและมันจะช่วยให้ตระกูลของพวกเขาดำเนินต่อไปได้อีกหลายชั่วอายุคนและช่วยให้ตระกูลของพวกเขารักษาอำนาจของพวกเขาในทวีปเฟิ่งหมิงได้
เพียงการประคองความแข็งแกร่งของตระกูลนั้นพวกเขาก็จะสามารถครอบครองทรัพยากรจำนวนมากได้จากนั้นพวกเขาจะสามารถพึ่งพาแหล่งข้อมูลนี้เพื่อคอยพัฒนาผู้เชี่ยวชาญให้ได้มากยิ่งขึ้น บางทียอดฝีมืออาจถือกำเนิดขึ้นในอนาคตและพวกเขาอาจสามารถทะลวงไปยังขอบเขตเทียนจุนหรือแม้แต่ขอบเขตที่สูงกว่านั้นก็ได้
“ผู้เชี่ยวชาญอีกสิบสี่คนได้ปรับแต่งชิ้นส่วนรูปแบบเต๋าวิญญาณด้วยรึเปล่า?แล้ว ไม่ใช่ว่าเจ้าบอกว่าจักรพรรดิของเจ้าอยู่ขอบเขตเทียนจุนหรอกหรือ? นางก็ฝึกฝนด้วยวิธีนี้เช่นกันหรอ?”
เจียงอี้ยังคงถามต่อไปเรื่อยๆเพราะหากพวกเขาทั้งหมดปรับแต่งชิ้นส่วนรูปแบบเต๋าวิญญาณทุกคนมันก็ไม่จำเป็นต้องกลัวคนเหล่านั้น เพราะพวกเขาอาจฉาบหน้าไว้ด้วยพลังขอบเขตจินกังขั้นสูงสุด แต่อันที่จริงแล้วส่วนใหญ่อาจจะอยู่ขั้นที่ห้าของขอบเขตจินกังก็ได้ใช่ไหม? เพราะพวกเขาไม่สามารถเข้าถึงรูปแบบเต๋าได้ทั้งหมดแล้วพวกเขาจะปล่อยการโจมตีที่น่ากลัวออกมาได้อย่างไร?
เถาเฟยคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า“มีเพียงบางคนเท่านั้น ในบรรดาตระกูลหลักทั้งสิบห้าตระกูล หากมีผู้สืบทอดคนใดสามารถทะลวงขอบเขตด้วยตนเองได้ พวกเขาจะไม่มีวันใช้ชิ้นส่วนรูปแบบเต๋าวิญญาณเว้นแต่จะจำเป็นจริงๆ เพราะมันยากมากที่จะควบแน่นชิ้นส่วนเหล่านี้เพราะมันมีโอกาสล้มเหลว ซึ่งมันจะหมายความว่าทุกๆการใช้งานจะทำให้ชิ้นส่วนเหล่านั้นลดลง”
“ส่วนจักรพรรดิของเรานั้น…”
ดวงตาของเถาเฟยเผยความสับสนออกมาก่อนจะส่ายหัว“เมื่อสามปีก่อน ตอนที่จักรพรรดิสืบทอดบัลลังก์ มีรายงานว่านางได้ทะลวงสู่ขอบเขตเทียนจุนนานแล้ว แต่นอกเหนือจากผู้เชี่ยวชาญทั้งสิบห้าคนก็ยังไม่มีผู้ใดเคยพบเห็นนางมาก่อน มีข่าวลือว่านางยังไม่แก่และอายุเพียงยี่สิบปีเท่านั้น”
“บ้าหน่า!”
เจียงอี้หรี่ตาลงถึงขอบเขตเทียนจุนตอนอายุยี่สิบปี? หากนางอาศัยความสามารถของนางในการไปถึงขอบเขตนั้นเอง เจียงอี้ก็คงได้แค่ซื้อเต้าหู้มาสักชิ้นและใช้มันตบตัวเองให้ตายไปซะ
อืมช่างจักรพรรดินั่นเถอะ ข้าต้องการเพียงแผนที่ไปยังทวีปจักรพรรดิบูรพา! มาคิดดีกว่าว่าข้าจะจัดการกับแม่หญิงชิงหยีนี่ได้ยังไง
เจียงอี้ครุ่นคิดอยู่ในใจและจากนั้นเขาก็ตอบออกมาทันที“เมืองของแม่นางชิงหยีอยู่ที่ใดกัน? มีผู้เชี่ยวชาญกี่คนในเมืองนั้น? แล้วแม่นางชิงหยีนั่นมีความสามารถพิเศษหรือเปล่า?”
“เมืองชิงหยีตั้งอยู่ทางตะวันออกอย่างเร็วก็ต้องใช้เวลาประมาณสี่วันในการไปถึงที่นั่น ตระกูลชิงมีขอบเขตจินกังห้าคน สองคนในนั้นอยู่ขอบเขตจินกังขั้นสุงสุด พวกเขามีทหารขอบเขตเสินโหยวแสนพลและมีทหารอีกล้านคน นางเลื่องลือในศาสตร์มนตรา และข้าก็ไม่รู้ว่านางมีความสามารถอื่นอีกหรือไม่” เถาเฟยได้มอบผนึกแห่งดวงจิตให้เจียงอี้ไปแล้ว นางจึงอุทิศตนให้แก่เจียงอี้และไม่กล้าปกปิดความลับอีกต่อไป
“มีผู้เชี่ยวชาญมากขนาดนั้นเชียวหรือ?”
เจียงอี้ตะลึงเล็กน้อยในเมื่อทวีปเทียนชิงมีขนาดเล็กมากเหตุใดโลกนี้ถึงถูกเรียกว่าแดนเทียนชิงกัน? จะเป็นไปได้ไหมว่าทวีปเทียนชิงนั้นตั้งตามชื่อแดนเทียนชิง?
ความสงสัยของเจียงอี้หายไปในพริบตาขณะที่เขาถามต่อว่า“ศาสตร์มนตรา? เป็นศาสตร์มนตราแบบใดกัน? มันจะเป็นความสามารถที่ทำร้ายจิตวิญญาณคนอื่นหรือเปล่านะ?”
“ไม่ใช่ไม่ใช่!”
เถาเฟยอธิบายต่อว่า“ปรมาจารย์ตระกูลชิงเข้าถึงรูปแบบเต๋าฟ้าดินและเต๋าวิญญาณ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่ความสามารถเช่นนั้น แต่เป็นการโจมตีด้วยรูปแบบเต๋า การโจมตีรูปแบบเต๋านี้น่ากลัวยิ่ง มันสามารถปลดปล่อยออกมาได้ไกลสุดลูกหูลูกตาและสามารถใช้ได้กับทุกคนโดยไม่คำนึงถึงว่าจะเป็นเพศใด วิญญาณของผู้ที่เป็นเป้าหมายนั้นจะอยู่ในสภาวะเลื่อนลอยและจะไม่รู้ว่าพวกเขาตายได้อย่างไร…”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
เจียงอี้พยักหน้าและโบกมือ“เถาเฟย ไปพักฟื้นอาการบาดเจ็บของเจ้าเสียก่อน เมื่อเจ้าหายดีแล้วเจ้าจงพาข้าไปยังเมืองชิงหยี และเมื่อข้าได้แผนที่แล้ว ข้าจะปล่อยให้เจ้ากลับไปเป็นอิสระ”
สีหน้าของนางเปลี่ยนไปทันทีและตอบออกมาอย่างตกใจ“ให้ข้าพาท่านใต้เท้าไปที่นั่น? หากนางรู้เรื่องนี้ ข้าต้องตายแน่ๆ”
เจียงอี้แสดงรอยยิ้มที่ชั่วร้ายแต่มีเสน่ห์ออกมาขณะที่เขาตอบอย่างแผ่วเบาว่า“เจ้ามีทางเลือกอื่นด้วยหรอ?”
บทที่ 524 สาวงาม
เถาเฟยไม่มีทางเลือกหากนางไม่เชื่อฟังนางก็จะตายทันที แต่หากนางพาเจียงอี้ไปยังเมืองชิงหยี นางก็ยังมีโอกาสรอดดังนั้นนางจึงเลือกทางเลือกหลังอยู่แล้ว
เถาเฟยและเจียงอี้อยู่ในห้องนั้นเป็นเวลาสามวันเถาเฟยยังคงบาดเจ็บอยู่เล็กน้อย ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าออกไปข้างนอก เจียงอี้นั้นมีอาหารมากมายอยู่ในแหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณ เขาจึงไม่กังวลถึงเรื่องอาหารและน้ำดื่ม สิ่งเดียวที่น่าอึดอัดใจคือ……พวกเขาจะต้องปลดทุกข์ใช่ไหม? ห้องด้านในนั้นมีโถปัสสาวะอยู่แต่เจียงอี้ก็รู้สึกหนักใจมาก โดยเฉพาะเมื่อยามที่เถาเฟยต้องทำธุระของนาง เสียงที่กระเซ็นของน้ำทำให้ไฟในตัวของเจียงอี้ลุกโชนขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
ตอนนี้เจียงอี้อายุสิบแปดปีแล้วเมื่อเขาอยู่ร่วมกับซูรั่วเสวี่ย เขาเคยจุมพิตทุกส่วนที่จะทำได้แต่เขายังไม่มีประสบการณ์เรื่องเช่นนั้นเลย หากเป็นวันปกติเขาก็คงทนมันได้ แต่ทุกครั้งที่เขาได้ยินเสียงกระเซ็นเหล่านั้นมันทำให้จิตใจของเขาปรากฏภาพบางอย่างขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ
โชคดีที่เขาเห็นหญิงสาวที่งดงามมามากเถาเฟยอาจจะดูดี แต่เมื่อเทียบกับซูรั่วเสวี่ยและเจียงเสี่ยวนู๋แล้ว นางยังขาดความงามอยู่บ้าง แต่นั่นก็ทำให้เขาแทบจะยั้งตัวเองไม่อยู่
อาการบาดเจ็บของเถาเฟยก็หายเกือบเต็มที่แล้วนางอาจถูกเจาะช่องท้องของนางแต่มันก็เป็นบาดแผลผิวเผินเนื่องจากเส้นปราณและกระดูกไม่ได้รับความเสียหายใด ดังนั้นด้วยยาของเจียงอี้ นางจึงฟื้นตัวได้เร็วมาก
บรึฟ!
หลังจากที่อาคมยับยั้งในห้องถูกเปิดออกเถาเฟยก็เปลี่ยนเป็นชุดสีชมพูและเดินออกจากห้องไปอย่างสง่างามในขณะที่เจียงอี้เดินตามหลังอย่างเชื่อฟังพร้อมกับก้มหัวลง เมื่อสาวใช้ทั้งสองเห็นว่าเจียงอี้เดินออกมา พวกนางก็อดตะลึงไม่ได้
พวกนางเข้าใจดีว่าความต้องการของเถาเฟยกล้าแกร่งเพียงใดแต่มันน่าทึ่งมากสำหรับเจียงอี้ที่ยังคงเดินได้อย่างปกติหลังจากที่พวกเขารบเร้ากันอยู่สามวัน ในอดีตผู้ชายคนอื่นๆจะดูอ่อนเพลียและไร้เรี่ยวแรงหลังจากที่ถูกเถาเฟยเล่นงาน
“เตรียมรถม้าข้าจะไปเยี่ยมแม่หญิงที่เมืองชิงหยี”
เถาเฟยโบกมือของนางขณะที่สาวใช้ทั้งสองก็ออกไปจัดการทันทีส่วนองครักษ์หญิงที่อยู่ด้านนอกทุกคนต่างมองเจียงอี้ด้วยความเสียดาย พวกนางคิดว่าเถาเฟยคงคิดว่าเจียงอี้นั้นยอดเยี่ยมมากและพร้อมที่จะเสนอเขาให้แม่หญิงชิงหยีได้ลิ้มลองด้วย ซึ่งมันก็หมายความว่าพวกนางไม่มีโอกาสได้ลิ้มลองเขาอีกต่อไป
รถม้านั้นหรูหรามากอืมมม…..มันน่าจะเรียกว่ารถม้าบินมากกว่า
มันเป็นรถม้าที่หรูหราคล้ายกับรถม้าศึกโบราณมีสัตว์อสูรประหลาดสองตัวอยู่ด้านหน้าและพวกมันเป็นสัตว์อสูรระดับสามซึ่งเหมือนกวางมีปีก และพวกมันมีขนยาวสีดำปกคลุมไปทั้งตัว
เจียงอี้เข้าไปในรถม้าพร้อมกับเถาเฟยจากนั้นสัตว์อสูรทั้งสองก็ออกตัวทะยานสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็วและพวกมันก็กลายเป็นลำแสงและบินไปทางตะวันออก
เมื่อขึ้นไปบนท้องฟ้าดวงตาที่ไร้ชีวิตชีวาและท่าทางเจียมตัวของเจียงอี้ก็หายไปทันที เขานั่งอยู่บนเบาะเหมือนเจ้านายผู้ทรงอำนาจ ส่วนเถาเฟยนั้นก็คุกเข่าลงไปข้างๆอย่างรวดเร็วเพื่อนวดขาและหลังของเขา
ความเร็วของรถม้าบินนั้นไม่ได้เร็วมากและอยู่ในระดับเดียวกับเถาอู้เจียงอี้คิดว่ามันช้าไปเล็กน้อยแต่เขาก็ไม่กล้าเรียกสัตว์อสูรหยาจื้อออกมา ดังนั้นเขาจึงหลับตาลงและพักผ่อน
การเดินทางเป็นไปอย่างสงบที่ทวีปเฟิ่งหมิงนั้นปลอดภัยและไม่มีโจรมาคอยดักปล้นกลางทาง และไม่มีการเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรใดๆ หลังจากที่เจียงอี้นอนบนรถม้าบินมาทั้งวันและเข้าถึงศาสตร์เวทย์เป็นเวลาสองวัน พวกเขาก็ใกล้จะถึงเมืองชิงหยีในไม่ช้า
เขากำลังศึกษาศาสตร์เวทย์สวรรค์สยบเพลิงอเวจีและร่างจำแลงคณานับอยู่
เขาเพิ่งเข้าสู่ขั้นต้นของศาสตร์เวทย์ทั้งสองนี้เมื่อไม่นานมานี้และมันยังห่างไกลจากขั้นบรรลุมากนักอย่างร่างจำแลงคณานับของเขาสามารถแยกออกมาได้เพียงสิบร่างเท่านั้นซึ่งยังห่างไกลมากกับร่างแยกพันร่าง แต่ว่าเขาก็สามารถควบคุมร่างทั้งสิบได้ตามที่เขาต้องการแล้ว ซึ่งมันจะไม่เหมือนร่างแยกพวกนั้น
“ท่านใต้เท้าเมืองชิงหยีอยู่ข้างหน้าเราแล้วเจ้าค่ะ!”
เสียงของเถาเฟยปลุกให้เจียงอี้ตื่นขึ้นมาจากการฝึกฝนของเขาเขามองผ่านม่านลูกปัดและพยักหน้าขณะที่เขาเห็นเมืองที่งดงาม
เมืองนี้ใหญ่กว่าเมืองเทียนชิงมากและสร้างขึ้นด้วยหินสีฟ้าขนาดใหญ่กำแพงเมืองนั้นสูงถึงหกสิบเมตรและเมื่อยืนอยู่ด้านล่างกำแพง คนผู้นั้นก็จะรู้สึกตัวเล็กไปทันที กำแพงนั้นทั้งกว้างและหนา มันถูกประจำการด้วยทหารมากมายที่กระจายกันออกไปทุกๆสามก้าว ทหารทั้งหมดนั้นเป็นผู้หญิงและพวกนางทั้งหมดก็ดูน่าเกรงขามมาก เจียงอี้สามารถสัมผัสได้ถึงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวได้เกือบร้อยคนบนกำแพงเมือง
เมืองชิงหยีนี้เป็นของตระกูลชิงซึ่งเป็นหนึ่งในสิบห้าตระกูลที่ยิ่งใหญ่ในทวีปเฟิ่งหมิง!
รากฐานของตระกูลนี้นั้นมีอำนาจมากที่นี่อาจจะไม่มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนแต่เจียงอี้ก็ต้องใช้สมาธิและใช้พลังงานไปมากกว่าสิบส่วนเพื่อคอยสอดส่อง ผู้เชี่ยวชาญของศัตรูอาจมีความสามารถพิเศษบางอย่างและเขาอาจได้รับผลกระทบจากมันโดยไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น หากเขาประมาท เขาเองก็อาจจะตกตายอยู่ในสถานที่แห่งนี้
ดวงตาของเจียงอี้เป็นประกายขณะที่เขาสั่งการอย่างเคร่งครัด“เลิกเรียกข้าว่าใต้เท้าได้แล้ว ตั้งแต่ตอนนี้ไป ข้าเป็นสัตว์เลี้ยงใหม่ของเจ้าและเจ้าจะเสนอข้าให้แก่แม่หญิงชิงหยี! เข้าใจไหม?”
เขาต้องกำจัดชิงหยีโดยไม่มีการนองเลือดและนำแผนที่มาและรีบหนีออกจากที่นี่ทันทีไม่เช่นนั้นหากจักรพรรดินีรู้ถึงการปรากฏตัวของเขา เขาอาจจะไม่สามารถหนีไปได้แม้ว่าเขาจะมีปีกก็ตาม ครั้งนี้เขาคงไม่โชคดีเหมือนตอนที่ได้รับความช่วยเหลือจากหญิงสาวผมสีม่วงหรอก
“อื้อ!”
เถาเฟยรู้ถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ตอนนี้ดีและนางจะไม่เผยพิรุธใดๆไม่เช่นนั้นหากคนเหล่านั้นสืบสวนนาง นางคงจะต้องตายแม้ว่าเจียงอี้จะโค่นแม่หญิงชิงหยีได้ก็ตาม นางไม่มีทางเลือกอื่นเลยนอกจากจะต้องบอกว่านางได้พบสัตว์เลี้ยงใหม่และนำมาเสนอต่อแม่หญิงเพราะนางไม่กล้าที่จะเริงสำราญเอง
ฟึ่บ!
เมื่อเจียงอี้และเถาเฟยเข้ามาใกล้กำแพงเมืองรถม้าหลายคันก็บินมาและไม่โจมตีเมื่อเห็นว่าเป็นรถของเถาเฟย แม่ทัพหญิงคนหนึ่งป้องมือให้นางและถามว่า “นายหญิงเถาใช่ไหมเจ้าคะ?”
“ว่าไงแม่ทัพหรง!”
เถาเฟยเดินออกจากรถม้าบินและคำนับด้วยรอยยิ้ม“แม่หญิงอยู่ในเมืองหรือไม่? ข้ามีบางเรื่องที่อยากคุยกับนาง”
“นางอยู่ในสวนแอปริคอท[ผลไม้คล้ายลูกท้อ] แม่หญิงเถาไปที่นั่นเองได้เลยเจ้าค่ะ” เหมือนว่าแม่ทัพนางนี้จะคุ้นเคยกับเถาเฟยอยู่แล้วและไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
เถาเฟยกลับเข้าไปในรถม้าและเข้าไปในเมืองเจียงอี้แอบมองดูเมืองด้านล่างและมันเป็นการเปิดหูเปิดตาเขาอย่างแท้จริง เมืองนี้มีประชากรอย่างน้อยก็สิบล้านคน มีห้องใต้หลังคาและอาคารมากมาย ถนนต่างๆก็เต็มไปด้วยความแออัดและมีเสียงดัง
เมืองนี้ก็เป็นเหมือนกับเมืองของเถาเฟยที่ผู้ชายทุกคนเป็นบ่าวรับใช้ส่วนผู้หญิงเป็นผู้ปกครอง
มีรถม้าที่บินข้ามท้องฟ้าอยู่เป็นครั้งคราวและเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะนั่งรถเช่นนี้ได้หากไม่ได้มีฐานะในระดับหนึ่งก็จะไม่มีคุณสมบัติที่จะบินอยู่บนอากาศเช่นนี้
ขณะที่พวกเขากำลังบินไปทางเหนือของเมืองเจียงอี้ก็ถูกเบนความสนใจไปที่สวนแอปริคอทอย่างรวดเร็ว มันเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่โต หากพื้นที่ขนาดใหญ่เช่นนี้ถูกใช้เพื่อปลูกแอปริคอทนั่นก็หมายความว่าผู้ที่อาศัยอยู่ในสวนนี้จะต้องมีอิทธิพลมากทีเดียว
เหมือนแม่ทัพหญิงนางนั้นจะกล่าวไว้ว่าแม่หญิงชิงหยีอยู่ที่นี่
รถม้าค่อยๆเคลื่อนไปด้านนอกสวนแอปริคอทมีทหารรักษาการณ์อยู่ด้านนอกสวนและบุคคลสำคัญคือผู้หญิงที่อยู่ในขั้นสูงสุดของขอบเขตเสินโหยวซึ่งดูอายุราวๆสามสิบปีแล้วแต่นางก็ยังมีเสน่ห์มาก
นางไม่ได้สนใจสิ่งใดขณะที่นางมองไปที่เถาเฟยแต่เมื่อเจียงอี้ปรากฏตัวขึ้นมาด้านหลังนาง ดวงตาของนางก็สว่างไสวขึ้นทันที นางพูดในขณะที่ยิ้ม “เถาเฟย เจ้าไปพบของดีเช่นนี้ที่ไหนกัน? เขาดูแข็งแกร่งและป่าเถื่อนเชียวนะ”
เถาเฟยยิ้มและคำนับ“แม่ทัพเฟย อย่าล้อข้าเลยดีกว่า ข้าเพิ่งจับเขาได้เมื่อไม่นานมานี้และยังไม่ได้เล่นกับเขาเลยและกำลังเตรียมที่จะเสนอเขาให้แก่แม่หญิง รบกวนท่านส่งข้อความไปให้นางได้หรือไม่?”
แม่ทัพไม่กล้าที่จะมีความคิดแปลกๆดวงตาของนางมองไปที่เจียงอี้ราวกับต้องการจะกลืนกินเขาเข้าไปทั้งตัว และเจียงอี้ก็ได้แต่ก่นด่าอยู่ในใจแต่ภายนอกเขาก็แสร้งทำเป็นหวาดกลัว
เมื่อแม่ทัพหญิงเข้าไปรายงานนางก็รีบกลับออกมาและพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เถาเฟย เจ้าเข้าไปได้ แต่รอที่โถงข้างๆก่อน แม่หญิงต้องไปพบแขกบางคนก่อน”
เถาเฟยถูกองครักษ์นำทางไปและก้นใหญ่ๆของนางก็บิดไปมาและเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับเจียงอี้พวกเขาเดินผ่านต้นแอปริคอทเป็นหย่อมๆและได้เห็นห้องพักหลายสิบหลังที่มีทะเลสาบเล็กๆล้อมรอบ ทิวทัศน์นั้นดูงดงามราวกับสวรรค์
ในขณะที่องครักษ์กำลังนำเถาเฟยและเจียงอี้เข้าไปในห้องนั้นเพื่อรอแม่หญิงชิงหยีก็มีคนเดินออกมาจากห้องขนาดยักษ์ ดวงตาของเจียงอี้สว่างขึ้นทันทีเมื่อเขากวาดตามองและจับจ้องไปยังหญิงสาวผู้นั้น
ช่างเป็นสาวงามที่งามหยดย้อยนัก!