เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 525-526
บทที่ 525 มังกรที่แท้จริง
สาวงามนางนี้อายุได้ยี่สิบต้นๆนางสวมชุดสีขาวและมีผิวพรรณที่ขาวราวหิมะ นางสูงแต่ไม่ได้ผอมจนเกินไป นางมีทรวดทรงที่บางและหน้าอกที่เต่งตึงซึ่งทำให้ละสายตาไม่ได้ ใบหน้าของนางเป็นรูปไข่ และที่สำคัญที่สุดคือกลิ่นอายของนาง!
ผู้หญิงทุกคนที่เจียงอี้พบในทวีปเฟิ่งหมิงล้วนแต่องอาจขณะที่พวกนางแสดงว่าตนเองเป็นผู้มีความสามารถนี่คือบรรยากาศของทวีปเฟิ่งหมิงและผู้หญิงทุกคนต่างเผยความสามารถของพวกนางออกมา ดังนั้นพวกนางจึงขาดความอ่อนโยนของหญิงสาวไป
แต่กลิ่นอายของหญิงสาวนางนี้น่าหลงใหลและมีเสน่ห์รวมไปถึงรูปลักษณ์ของนางด้วยหากนางยืนอยู่ท่ามกลางเหล่าผู้หญิงทั้งหลาย นางก็คงจะเป็นดั่งหงส์ที่ผงาดเหนือฝูง เจียงอี้ได้ลืมทุกคนรอบๆเขาไปจนหมดสิ้น
“คารวะแม่หญิง!”
เถาเฟยเหลือบมองแล้วรีบจัดการผ้าผ่อนของนางและรีบป้องมือทักทายด้วยท่าทางที่เคารพเป็นอย่างยิ่งดวงตาของเจียงอี้กระพริบไปมาและจิตใจของเขาก็โลดโผนไปด้วยความคิดต่างๆนาๆ แม่หญิงชิงพยีเป็นสาวงามจริงๆ แล้วหากว่านางอยากขึ้นเตียงกับเขาหลังจากนี้ แล้วเขาจะขัดขืนจริงๆหรือ….?
“บังอาจนัก!”
เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าดวงตาของแม่หญิงชิงหยีจะแผ่ความเย็นชาออกมาพร้อมกลิ่นอายที่ทรงพลังเช่นนี้นางมองเจียงอี้ด้วยสายตาสังหารและตะโกนว่า “เถาเฟย เจ้ากล้าพาสายลับมาที่นี่จริงๆหรือ? ใครก็ได้ มาจัดการสายลับนี่ซะ!”
แคร้ง!เคร้ง!
ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองที่อยู่ข้างๆแม่หญิงชิงหยีชักอาวุธออกมาและพุ่งไปยังเจียงอี้ทันทีหนึ่งในนั้นมีกลิ่นอายที่น่าสะพรึงและน่าจะอยู่ขอบเขตจินกัง
ข้าควรทำเช่นไรดี?สู้หรือยอมจำนนดี?
เจียงอี้คิดอย่างรวดเร็วหากเขาจะสู้ เขาสามารถสังหารทุกคนที่นี่ได้อย่างง่ายดายและรีบหนีไปที่ทะเลทันที และแม้ว่าจักรพรรดินีอยากจะไล่ล่าเขา แต่มันก็ค่อนข้างเป็นเรื่องที่ท้าทายอยู่
เมื่อเขาเริ่มการต่อสู้มันจะทำให้เกิดความปั่นป่วนอย่างมากและเขาไม่มีทางสังหารทุกคนในเมืองได้ เขาจะต้องออกไปจากทวีปเฟิ่งหมิงนี้และไม่มีโอกาสหาแผนที่ได้อีก แล้วเขาก็จะไม่สามารถรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับทวีปจักรพรรดิบูรพาหรือเขตทะเลใกล้ๆนี้ได้เลย
ลองเสี่ยงดูแล้วกัน!
เมื่อมีความสามารถมากพอก็คงไม่มีสิ่งใดต้องกลัวเจียงอี้ตัดสินใจที่จะเสี่ยงอีกครั้ง ตราบใดที่เขายังไม่ตายเขาก็จะสามารถปลดปล่อยเจตจำนงสังหารออกมาและหลบหนีไปได้ทุกเมื่อที่ต้องการ
ฟึ่บ!
ร่างทั้งสองเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วขณะที่เจียงอี้ไม่กล้าไหลเวียนแก่นแท้พลังในตันเทียนของเขาร่างของเขาจึงไม่มีกลิ่นอายปรากฏออกมา และเมื่อดาบทั้งสองพุ่งเข้าใส่ เขาก็แสร้งทำเป็นตกใจและถอยร่นกลับไปอย่างรวดเร็วขณะที่เขามองดาบที่พุ่งเป้ามาที่หน้าอกของเขา
“ไว้ชีวิตเขาก่อน!”
ในขณะที่ดาบยาวกำลังจะแทงเจียงอี้แม่หญิงชิงหยีก็พูดขึ้นมา ดาบทั้งสองเล่มนั้นอยู่บนคอของเขาและแผ่กลิ่นอายที่เย็นชาออกมาซึ่งทำให้เจียงอี้หวาดกลัวเป็นอย่างมาก แต่แน่นอนว่า….ทั้งหมดนี้เป็นการเสแสร้ง
“คุกเข่าซะ!”
หญิงที่มีอายุราวๆสี่สิบปีที่อยู่ด้านซ้ายตะโกนออกมานางเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นที่หนึ่งหรือสองเท่านั้น เมื่อมองดูแล้ว นางจะต้องฝึกฝนด้วยความสามารถของตนเองแน่นอน
การแสดงออกของเจียงอี้เปลี่ยนไปทันทีเขาทนได้ที่มีคนจ่อดาบมาที่คอของเขาหรือแม้กระทั่งทุบตีเขา แต่หากยามที่ถูกสั่งให้คุกเข่านั้นมันยากยิ่งกว่าการสังหารเขามาก เขากวาดสายตามองทุกคนอย่างไม่แยแสและแสยะยิ้มอย่างเย็นชา “ชายผู้เสมือนมีทองอยู่ใต้เข่าของเขา เขาสามารถคุกเข่าให้ฟ้าดินและครอบครัวของเขาได้ แต่หากพวกเจ้าอยากให้ข้า หมาป่าเดียวดายผู้นี้คุกเข่า ข้าก็ขอยอมตายเสียดีกว่า!”
เสียงของเจียงอี้ไม่ได้ดังมากแต่คำพูดของเขาดังก้องอยู่ในใจของทุกคน
ผู้ชายในทวีปเฟิ่งหมิงเป็นทาสของผู้หญิงมาโดยตลอดเป็นเวลาหลายหมื่นปีแล้วที่ผู้ชายถูกกดขี่และถูกทารุณเสมอมา ชีวิตของพวกเขาอยู่ในกำมือของผู้หญิงเหล่านี้ และพวกเขาก็ได้เสียเลือดที่ไม่ยอมแพ้และความเป็นชายไปหมดแล้ว
ด้วยเหตุนี้ผู้หญิงในทวีปเฟิ่งหมิงแห่งนี้จึงดูถูกผู้ชายและเห็นว่าพวกเขาเป็นเครื่องมือสืบพันธุ์, สิ่งเริงรมย์มาตั้งแต่อายุยังน้อย
ไม่ว่าอย่างไร!
ผู้หญิงก็ยังคงเป็นผู้หญิงผู้ชายนั้นเป็นหยางซึ่งมันแสดงถึงการปกครองและพละกำลังในขณะที่ผู้หญิงนั้นเป็นหยินซึ่งแสดงถึงความนุ่มนวลและความสง่างาม ไม่ว่าผู้หญิงจะมีอำนาจมากเพียงใด ส่วนลึกของจิตใจพวกนางก็มีความปรารถนาที่จะได้เป็นหญิงสาวที่อ่อนโยนและได้รับการปกป้องจากผู้มีพละกำลังและมีความสุขกับการลิ้มรสความรู้สึกเป็นผู้ถูกหวงแหนและเป็นผู้ได้รับการดูแลอยู่ดี
บรรยากาศของทวีปเฟิ่งหมิงนั้นไม่ได้เป็นเช่นนี้อยู่แล้วแต่มันมีเบื้องหลังของความเปลี่ยนแปลงนี้
เมื่อหลายหมื่นปีก่อนทวีปเฟิ่งหมิงถูกเผ่าพันธุ์พิเศษรุกรานและเกือบจะดับสูญไป เมื่อทุกคนต่างสิ้นหวัง ผู้ชายหลายคนได้ทอดทิ้งภรรยาและลูกเพื่อหนีไป แม้แต่จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในยามนั้นก็ยังหนีออกจากทวีปนี้และทิ้งให้หญิงสาวทั้งหลายต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกข่มเหงและถูกย่ำยี พวกนางต้องแลกชีวิตเพื่อขัดขวางเผ่าพันธุ์พิเศษเพื่อคอยปกป้องตัวเอง, ลูกๆและบ้านเกิดของพวกนาง
หลังจากนั้นในหมู่กองทัพสตรีเหล่านั้นก็มีหญิงสาวที่น่าพิศวงที่ใช้เวลาเพียงหนึ่งปีในการทะลวงจากขอบเขตจินกังขั้นที่ห้าไปสู่ขอบเขตเทียนจุนได้ จากนั้นนางก็นำทัพและฝ่าฟันสู้รบเป็นเวลากว่าสามปีและในที่สุดก็ขับไล่เผ่าพันธุ์พิเศษออกจากทวีปไปได้ ชายที่รู้สึกพิศวงในตัวหญิงสาวผู้นี้ก็ได้หนีไปในเวลานั้นเช่นกัน
ภายใต้ความโกรธเกรี้ยวของนางนางจึงสั่งให้จับผู้ชายทั้งหมดเข้าคุกและแต่งตั้งแม่ทัพในกองทัพให้เป็นผู้หญิงในกองทัพของนางทั้งหมดจนกลายมาเป็นแม่หญิงของเมืองต่างๆขณะที่นางปกครองทุกคน
ภายใต้อิทธิพลของจักรพรรดินีผู้หญิงทุกคนเริ่มเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเอง ในเมื่อผู้ชายสับปลับในเวลาที่หน้าสิ่วหน้าขวานที่สุดในชีวิต แล้วพวกนางจะต้องการผู้ชายไว้เพื่ออะไร? ทำไมถึงไม่สร้างความแข็งแกร่งให้ตัวเองและเหยียบย่ำผู้ชายที่ต่ำกว่าพวกนาง?
นับตั้งแต่นั้นมาทวีปเฟิ่งหมิงก็เติบโตและแข็งแกร่งขึ้นขณะที่ผู้ชายก็ถูกปลูกฝังความเป็นทาสมาเรื่อยๆ ในตอนนั้นจักรพรรดินีก็ได้ประกาศราชโองการว่าผู้ชายทุกคนห้ามฝึกศิลปะการต่อสู้ หากพวกนางพบผู้ใดฝ่าฝืน คนผู้นั้นจะถูกประหารโดยไม่มีความปราณี และเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อผู้ชายไม่สามารถฝึกฝนการต่อสู้ได้อีกต่อไป ร่างกายของพวกเขาก็อ่อนแอและส่งผลเฉกเช่นตอนนี้
ความเป็นทาสได้ถูกสลักเอาไว้ในกระดูกของผู้ชายทั้งหลายในทวีปนี้ไปจนสิ้นและแม้ว่าจะมีผู้ที่ดูแข็งแกร่งและเป็นผู้ชายแต่พวกเขาก็มีเพียงรูปลักษณ์แต่ไม่มีจิตวิญญาณอีกแล้ว!
แต่เจียงอี้นั้นต่างออกไป!
เขาเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาแต่เป็นคนที่พิเศษคนหนึ่งจริงๆแล้ว เขาจะธรรมดาได้อย่างไรกันในเมื่อเขาสามารถขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของทวีปเทียนชิงได้? เขาสังหารศัตรูมากมายและร่างของเขาแผ่ซ่านไปด้วยกลิ่นอายอันร้ายกาจ
หากแม่หญิงชิงหยีเป็นหงส์ในหมู่สัตว์ปีกทั้งหลายเช่นนั้นเจียงอี้กับผู้ชายในทวีปนี้คงเปรียบดั่งงูหลามกับมังกรที่แท้จริง
กลิ่นอายของจักรพรรดินั้นอาจจะฟังดูพิกลแต่ว่ามันมีอยู่จริง!
มันเป็นกลิ่นอายที่ไม่เหมือนผู้ใดซึ่งมันจะถูกชโลมด้วยประสบการณ์ที่มากมายนับไม่ถ้วนเช่นเดียวกับผู้ที่อ่านตำรามากมายก็จะพัฒนากลิ่นอายของนักปราชญ์ ผู้ที่เชี่ยวชาญการค้าก็จะมีกลิ่นอายของพ่อค้า ผู้ที่สังหารผู้คนมากมายจะมีกลิ่นอายของมือสังหาร
เสียงของเจียงอี้ทำให้พวกนางทุกคนตกตะลึงแม้แต่ดวงตาของแม่หญิงชิงหยีเองก็ยังมีแววตาที่ประหลาดใจขณะที่สาวใช้ข้างๆนางมีดวงตาที่เป็นประกาย
ฟึ่บ!ฟั่บ!
ในวินาทีถัดมาใบหน้าที่อ่อนโยนของแม่หญิงชิงหยีก็เปลี่ยนเป็นความเย็นชา นางพุ่งตรงไปที่เจียงอี้ราวกับลำแสง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหารขณะที่มือของนางแผ่กลิ่นอายที่น่ากลัวออกมา นางกำลังจะฟาดฝ่ามือลงไปที่หัวของเจียงอี้จากนั้นก็ตะโกนออกมาว่า “ในเมื่อเจ้าไม่กลัวตาย เช่นนั้นข้าก็จะทำตามที่เจ้าปรารถนา!”
สามสิบเมตร,ยี่สิบเมตร, สิบเมตร, สามเมตร….!
มือสีขาวราวหิมะนั้นใหญ่ขึ้นในดวงตาของเจียงอี้แต่เขาก็ไม่เปลี่ยนแปลงท่าทีใดๆ ในขณะที่ฝ่ามือนั้นกำลังจะอยู่ตรงหน้าของเขา เขาก็หลับตาลงและแสดงถึงความไม่กลัวตายเลย
แน่นอนว่า….เขาเตรียมพร้อมเอาไว้แล้วหากฝ่ามือนี้ฟาดลงมาจริงๆ เขาจะปล่อยเจตจำนงสังหารและหยุดแม่หญิงชิงหยีพร้อมเริ่มการสังหารทันที
แป๊ะ!
ฝ่ามืออันบอบบางของแม่หญิงชิงหยีตบลงบนหัวของเจียงอี้แต่นางก็ถอนแก่นแท้พลังของนางออกไปในเวลาสุดท้าย ดังนั้นเจียงอี้จึงถูกนางส่งปลิวไปก็เท่านั้น นางจ้องมองเจียงอี้และเดินกลับเข้าไปด้านใน แต่นางหยุดอยู่ที่ประตูและพูดเบาๆว่า “นำสายลับนั่นเข้ามา! ข้าจะสอบสวนเขาเอง!”
ผู้หญิงที่อยู่ข้างนอกมองหน้ากันและเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยในที่สุดคนป่าเถื่อนคนนี้ก็ทำให้หัวใจน้ำแข็งของแม่หญิงละลายได้แล้วหรือ?
บทที่ 526 เครื่องหอมจิตมายา
แม่หญิงชิงหยีไม่เคยสนใจชายใดและเป็นที่เล่าลือในเมืองชิงหยีว่านางสนใจผู้หญิง
นางถูกเลี้ยงดูในฐานะผู้สืบทอดตระกูลมาตั้งแต่ยังเด็กนางมาถึงขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดเมื่ออายุได้สิบแปดปีและเริ่มเข้าใจรูปแบบเต๋า แต่น่าเสียดายที่ประมุขตระกูลคนปัจจุบันออกท่องทะเลและกลับมาพร้อมอาการบาดเจ็บสาหัส ตระกูลชิงไม่มีผู้สืบทอดที่โดดเด่นคนอื่นๆเลย พวกนางจึงจำต้องให้นางปรับแต่งชิ้นส่วนรูปแบบเต๋าวิญญาณเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว
ชิงหยีเข้าสู่สันโดษเป็นเวลาหนึ่งปีและหลังจากปรับแต่งชิ้นส่วนรูปแบบเต๋าวิญญาณสามชิ้นแล้วนางก็มาอยู่ขั้นสูงสุดของขอบเขตจินกัง เมื่อนางออกสู่สันโดษ ประมุขคนก่อนก็ไม่มีเรื่องกังวลใจอีกต่อไปและจากไปอย่างสงบ นางสืบทอดตำแหน่งประมุขตระกูลและได้ตั้งชื่อเมืองนี้ว่าเมืองชิงหยี เดิมทีพวกนางต้องการให้ชิงหยีหาสามี แต่นางก็ได้ปฏิเสธพวกนางทั้งหมดและไม่มีใครเคยได้ยินว่าแม่หญิงชิงหยีชอบผู้ชายคนไหนมาก่อนเลย
ตระกูลชิงทุกคนกังวลมากพวกนั้นนำหนุ่มที่หล่อเหลามากมายมาให้นาง แต่นางก็ปฏิเสธทุกคน ในตอนนี้ เมื่อพวกนางเห็นว่านางกำลังพาเจียงอี้เข้าไปในห้อง เหล่าสมาชิกตระกูลทั้งหายต่างก็ตื่นเต้นทันที
เจียงอี้อาจจะเป็นคนต่างแดนแต่มันไม่น่าสำคัญอะไรตราบใดที่เขายังสามารถสืบพันธุ์ได้ใช่ไหม?
เจียงอี้ถูกนำตัวมายังห้องหนึ่งโดยผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังภายนอกมันอาจดูเหมือนห้องธรรมดาแต่การตกแต่งภายในนั้นเหมือนห้องของเถาเฟยซึ่งหรูหรามากและดูเหมือนกับห้องของผู้ปกครอง
แม่หญิงชิงหยีนั่งบนบัลลังก์ทองม่วงและกลิ่นอายที่อ่อนโยนของนางก็เปลี่ยนไปตอนนี้มันเป็นกลิ่นอายที่สง่าและน่าเกรงขามซึ่งเปรียบเสมือนราชินีแห่งอาณาจักรเลยก็ว่าได้
ห้องนั้นปูด้วยพรมสีขาวและผนังสีขาวประดับด้วยไข่มุกเรืองแสงและยังมีการตกแต่งที่สวยงามอีกมากมายและที่มุมห้องก็มีกลิ่นเครื่องหอมอ่อนๆ ท้องฟ้าภายนอกนั้นมืดสลัวซึ่งทำให้สาวงามดูงดงามยิ่งขึ้น
“เจ้าออกไปก่อน!”
นางโบกมือให้ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังออกไปขณะที่นางปล่อยแก่นแท้พลังไปที่ผนังห้องห้องทั้งห้องสว่างขึ้นและมีการเปิดใช้งานอาคมยับยั้ง จากนั้นนางก็มองไปที่เจียงอี้และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คนต่างแดน เจ้ามีนามว่าอะไรและทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่? เจ้ามีจุดประสงค์อะไรกับทวีปเฟิ่งหมิง? ข้าแนะนำให้เจ้าพูดความจริง หากเจ้ากล้าโป้ปดแม้แต่คำเดียว ข้าจะทำให้เจ้าต้องตายโดยไม่มีหลุมศพซะ”
เจียงอี้ยักไหล่และพูดว่า“ข้ามีนามว่าหมาป่าเดียวดาย ข้าเพียงแค่ผ่านมายังทวีปเฟิ่งหมิงนี้และไม่ได้มีจุดประสงค์ใด ข้าเพียงแค่ผ่านมาเฉยๆ”
“ผ่านมา?เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังหลอกใครอยู่ห๊ะ?”
นางแสยะยิ้มออกมาขณะที่กลิ่นอายของนางเพิ่มขึ้นอีกครั้งจากนั้นนางก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน “ดวงดาวเก้าดวงในตันเทียนของเจ้าอาจจะประหลาด แต่ก็ไม่มีการไหลเวียนของแก่นพลังใดๆ นอกจากนี้เจ้ายังซ่อนกลิ่นอายที่ทรงพลังไว้ แต่เจ้าไม่สามารถรอดพ้นสายตาข้าไปได้หรอกนะ ความแข็งแกร่งของเจ้าน่าจะอยู่ขอบเขตจินกังแล้วใช่ไหมล่ะ? ทำไมก่อนหน้านี้เจ้าไม่คิดต่อต้าน? แล้วทำไมเจ้าถึงจับเถาเฟยเป็นตัวประกันแล้วมาที่เมืองชิงหยีนี้? เจ้ามีเหตุจูงใจอันใดที่แอบเข้ามายังทวีปเฟิ่งหมิงของเรา? พูดมา!”
เขาถูกจับได้แล้ว!
แต่เจียงอี้ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะมันจะแปลกกว่ามากหากว่าแม่หญิงชิงหยีไม่สามารถตรวจจับดาวเก้าดวงของเขาได้ เมื่อเห็นว่านางไม่ได้ใส่ใจกับมันเลย นั่นก็หมายความว่านางกำลังดูแคลนพละกำลังของเขา นางคิดว่านางสามารถบดขยี้เขาได้อย่างง่ายดาย ก่อนหน้านี้นางสามารถสังหารเขาได้ แต่ก็ไม่ได้ทำมันและปล่อยให้เขาเข้ามายืนอยู่ตรงนี้
ยิ่งศัตรูดูแคลนเขามากเท่าไหร่เจียงอี้ก็รู้สึกมั่นใจมากขึ้นเท่านั้น เขาป้องมือและตอบว่า “แม่หญิง มันคือเรื่องจริงที่ข้าเพียงผ่านมา ข้าหวังว่าท่านจะมอบแผนที่เพื่อมุ่งหน้าไปยังทวีปจักรพรรดิบูรพาได้และข้าจะออกไปจากที่นี่ทันที ในภายภาคหน้าข้าจะตอบแทนบุญคุณท่านอย่างแน่นอน และหากไม่มีทางอื่นจริงๆ ข้าก็สามารถใช้สมบัติแลกกับท่านก็ได้”
“สมบัติ?”
แม่หญิงชิงหยีเย้ยหยันและกล่าวว่า“เจ้าเป็นเพียงนักสู้ขอบเขตจินกังขั้นต้นที่อ่อนแอ เจ้ามีสมบัติอะไรกันล่ะ? นำมันออกมาให้ข้าได้เห็นเป็นขวัญตาหน่อย แล้วข้าจะได้พิจารณาว่าจะให้แผนที่ทวีปจักรพรรดิบูรพาหรือไม่”
“หืม?”
เมื่อเจียงอี้เห็นว่าน้ำเสียงนางผ่อนคลายลงเขาก็ทำตามนั้น เขาไม่ต้องการที่จะลงมือหากว่าเขาจะสามารถแลกแผนที่กับสมบัติของเขาได้
เขาพึมพำและหยิบดาบยาวออกมาเขายิ้มและถามว่า “อาวุธนี่เป็นอย่างไร?”
แม่หญิงชิงหยียิ้มอย่างรังเกียจและกล่าวว่า“เจ้าต้องการใช้สิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์นี่ซื้อข้าหรอ? เจ้าน่าจะประเมินตระกูลชิงข้าต่ำไปหน่อยนะ”
“ถ้าอย่างนั้น…”
เจียงอี้กัดฟันและพูดว่า“แล้วถ้าข้าจะเพิ่มศพราชันปีศาจอีกห้าศพล่ะ ว่ายังไง?”
“ศพราชันปีศาจห้าศพ?”
ดูเหมือนว่ามันจะล่อตาล่อใจนางนางเงียบและดูเหมือนว่ากำลังพิจารณาซึ่งมันทำให้เจียงอี้รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก หากนางยังไม่พอใจ เขาสามารถมอบศพของราชันปีศาจทั้งหมดในราชวังจักรพรรดิได้เลย
หากไม่มีแผนที่เขาก็จะเหมือนแมลงวันที่ไร้หัวซึ่งบินไปแบบสุ่มๆ และบางทีเขาอาจจะไม่พบทวีปจักรพรรดิบูรพาได้ในชีวิตนี้ด้วยซ้ำ ซูรั่วเสวี่ยยังอยู่ในมือของจีทิงยวี่และทุกๆวันที่ดำเนินไปมันจะทำให้จิตใจของเจียงอี้ไม่สบายใจขึ้นเท่านั้น
เวลาผ่านไปเรื่อยๆและนางก็ยังครุ่นคิดอยู่เจียงอี้รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยและในขณะที่เขาจะพูดบางอย่างออกมา แต่แม่หญิงชิงหยีก็พูดขึ้นมา “เจ้าให้ข้าน้อยไป เอามามากกว่านี้ เจ้าก็รู้ว่าเจ้าเป็นสายลับและหากจักรพรรดินีรู้ว่าข้าทำข้อตกลงกับสายลับ ผลที่ตามมาก็แทบจะจินตนาการไม่ได้เลยนะ”
เมื่อเจียงอี้เห็นว่าแม่หญิงชิงหยีจริงจังเขาก็รู้สึกโล่งใจ เขาพูดออกมาพร้อมกับเผยความปวดใจบนใบหน้าเล็กน้อย “ข้าจะเพิ่มศพของราชันปีศาจอีกสามศพ ข้าไม่มีอย่างอื่นอีกแล้ว!”
“อืมมม…”
แม่หญิงชิงหยีก้มหัวครุ่นคิดอีกครั้งเขาไม่อยากพลาดโอกาสนี้ไปดังนั้นเขาจึงต้องรอ และเมื่อเขารอมาได้สิบห้านาที ในที่สุดเขาก็รู้สึกว่ามีบางแปลกๆ เหตุใดนางจึงต้องพินิจเรื่องเล็กน้อยนานเช่นนี้?
“ฮึฮึ!”
ในตอนนั้นเองแม่หญิงชิงหยีก็ลุกขึ้นยืนและยิ้มออกมา นางพูดเบาๆว่า “ตกลง แต่สมบัติที่เจ้าให้ข้ามานั้นมันยังไม่พอหรอก เจ้าควรจะ…..มอบทุกอย่างให้ข้าเสียดีกว่า”
“หือ?ไม่นะ! ข้าหลงกลนาง….”
เจียงอี้ตกตะลึงเมื่อเขาเห็นว่านางมองเขาด้วยสายตาเหมือนแมวกำลังหยอกหนู วิญญาณของเขาก็สั่นไหว เขาตื่นจากภวังค์ในทันใด
เขาถูกหลอก!
นางไม่ได้มีความตั้งใจจะแลกแผนที่กับเขาอยู่แล้วมันเป็นเพียงการเสแสร้งและไม่ต้องบอกเลยว่านางกำลังถ่วงเวลาอยู่
“ตายซะ!”
ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดและกำลังจะปลดปล่อยเจตจำนงสังหาร เขากำลังจะเริ่มสังหารนางและหลบหนีออกไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว
แต่ในตอนนั้นเองเขาก็รู้สึกว่าทุกอย่างมืดสนิทขณะที่เขาทรุดตัวลงไปที่พื้น จิตใจของเขาเหนื่อยล้าและอ่อนแอ ก่อนที่เขาจะเป็นลมไป เขาก็ถอนหายใจอยู่ภายในใจ หญิงสาวผมสีม่วงบอกเขาว่าให้ถ่อมตนและไม่เป็นจุดสนใจ แต่ทันทีที่เขามาถึงทวีปเฟิ่งหมิง เขาก็ลืมคำเตือนของนางไป
เขาหมกมุ่นอยู่กับความแข็งแกร่งและความมั่นใจมากเกินไป!
เดิมทีเขาคิดว่าแม่หญิงชิงหยีผู้นี้จะแทะเล็มร่างกายของเขาเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆในทวีปนี้เขามั่นใจในความแข็งแกร่งของตัวเองเกินไปและคิดว่าสามารถล้มนางได้อย่างง่ายดาย เขาเข้ามาที่นี่โดยไม่ได้สนใจสิ่งใดและไม่คิดว่านางจะวางแผนมาตั้งแต่ต้น
มีบางอย่างผิดปกติกับเครื่องหอมนั่นซึ่งมันทำให้เขาติดกับ ไข่มุกวิญญาณเพลิงของเขาที่มีพลังการป้องกันวิญญาณเองก็ไม่ทำงาน จึงเห็นได้ชัดว่าเครื่องหอมนี้ผิดปกติ
“เฮ้อ!โชคดีที่ข้ามีเครื่องหอมจิตมายา!”
หลังจากที่เจียงอี้หมดสติไปนางก็ปล่อยลมหายใจออกมาราวกับภาระได้หมดไป จากนั้นนางก็เช็ดเหงื่ออันเย็นเยียบที่หน้าผากของนาง
นางวางแผนที่จะต่อต้านเจียงอี้ไว้ตั้งแต่แรกแล้วก่อนหน้านี้ ตอนที่นางฟาดฝ่ามือไปที่เขา ไม่ใช่ว่านางทนไม่ได้ที่จะสังหารเจียงอี้ แต่มันเป็นเพราะหัวใจของนางเต้นแรงพร้อมความรู้สึกถึงอันตราย นางรู้ดีว่าหากนางโจมตีจริง นางจะต้องตายอย่างแน่นอน ดังนั้นนางจึงล่อเจียงอี้เข้ามาและวางกับดักเขาด้วยเครื่องหอมจิตมายานี้จนสำเร็จ
นางจ้องมองเจียงอี้ที่หมดสติและตะโกนว่า“ใครก็ได้ เอาโซ่ล่ามวิญญาณมารัดสายลับนี่ซะ แล้วก็ส่งข้อความไปยังจักรพรรดินีและบอกทุกอย่างเกี่ยวกับสายลับผู้นี้แก่นาง และขอให้นางเป็นผู้ตัดสิน”