เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 549-550
บทที่ 549 การมาของจักรพรรดิอสูร
เมืองหลิงยวนนั้นมีประวัติศาสตร์มายาวนานและได้ถูกขนานนามว่าเป็นเมืองใหญ่แต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นเมืองที่ใหญ่อันดับต้นๆของทวีปที่นี่เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของโถงการค้ามาเป็นเวลานับแสนปี
แต่โถงการค้าก็ยังไม่เคยมีความสำคัญพวกนั้นทำการค้ามาโดยตลอดและเป็นฝ่ายที่ดีมาโดยตลอดและไม่แยกฝักฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง พวกเขาไม่เคยก่อปัญหาและคอยจัดการกับคนที่ยั่วยุพวกเขาอย่างเงียบๆ แต่ก็ยังคงสร้างให้ภายนอกดูต่ำมากจนทวีปมองข้ามการมีอยู่ของพวกเขาไป
เช่นเฟิ่งหลวนต้องใช้เวลานานกว่าจะจำโถงการค้าได้ตอนที่เจียงอี้ถามเรื่องนี้ส่วนชิงหยีก็คิดว่าโถงการค้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนักสู้ทั้งสิบห้าอันดับและพวกนั้นยังสามารถทำลายโถงการค้าได้ตลอดเวลา
กองกำลังหลายแสนคนเข้าไปในเมืงหลิงยวนโดยไม่สร้างความวุ่นวายให้กับเมืองหลิงยวนชิงหยีแสร้งทำเป็นส่งคำสั่งจากเฟิ่งหลวนเพื่อเปิดเกราะม่านพลังรอบเมืองและต่อต้านการโจมตีจากจักรพรรดิอสูรชือทุกวิถีทาง ทหารในเมืองหลิงยวนก็ยินดีที่จะให้ความร่วมมือ กองกำลังทั้งหลายได้ถูกส่งไปที่กำแพงเมืองทันทีและม่านพลังก็เปิดขึ้น
การสังหารจักรพรรดิเงือกในทะเลสาบชิงเฟิ่งทำให้ชื่อเสียงของจักรพรรดินีขึ้นไปสู่จุดสูงสุดแม้ว่าคราวนี้ผู้ที่มาโจมตีจะยังเป็นจักรพรรดิอสูร แต่ทหารและเหล่าพลเมืองต่างก็เชื่อว่าจักรพรรดินีจะไม่มีวันทอดทิ้งพวกเขา นางจะปรากฏตัวขึ้นในช่วงเวลาสำคัญและสังหารจักรพรรดิอสูรชือไป
“เฟิ่งหลวนกำลังคิดจะทำอะไร?”
ณห้องลับในราชวังของเมืองหลิงยวน กลุ่มผู้เชี่ยวชาญจากโถงการค้าได้มารวมตัวกันและมีสีหน้าเคร่งขรึม มีคนนั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมดสิบคนและเป็นผู้หญิงมากถึงเจ็ดคน แต่ผู้ที่อยู่หัวโต๊ะนั้นเป็นชายชรา
ผู้ที่พูดออกมานั้นคือผู้อาวุโสกู่ใบหน้าที่แดงก่ำของนางเต็มไปด้วยความสับสน นางกล่าวต่อว่า “ท่านประมุข เฟิ่งหลวนกำลังเตือนอะไรบางอย่างและบังคับให้เราต่อสู้หรือเปล่าเจ้าคะ? ก่อนหน้าที่ข้าไปยังเมืองชิงเฟิ่ง นางไม่ได้มาพบข้าซึ่งมันเห็นได้ชัดว่าเจียงอี้ยังมีชีวิตอยู่ แต่ชิงหยีกลับบอกว่าเขาตายแล้ว เฮอะ! นางคิดว่าข้าเป็นเด็กสามขวบรึไงกัน!”
ผู้หญิงที่มีเสน่ห์ที่อยู่ตรงข้ามนางส่ายหัวและพูดต่อว่า“ไม่น่าเป็นไปได้! โถงวรยุทธของเรารักษาภาพของเราต่ำมาตลอดและไม่เคยยุ่งเกี่ยวอะไรเลย ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่ว่าเราดูไร้ประโยชน์ในสายตาเฟิ่งหลวนหรอ? นางจะมาสนใจเราได้ยังไง?”
“ที่เฟิ่งหลวนสนเราเพราะเจียงอี้หรือ?เจียงอี้ทำลายโถงสาขาที่ทวีปเทียนชิงไปและค่อนข้างรู้เรื่องของเรามาก หากเขากลายเป็นทาสวิญญาณของเฟิ่งหลวนหรือสัตว์เลี้ยงของนาง นั่นก็เป็นเรื่องปกติที่จะรับรู้เรื่องของเรา”
จู่ๆผู้อาวุโสที่อยู่ท้ายโต๊ะก็พูดขึ้นมาทำให้เหล่าฝูงชนต่างสงสัยเช่นกันและใบหน้าของพวกเขาก็มืดมนลงเช่นกันโถงวรยุทธมักจะไม่ทำตัวสลักสำคัญอะไรมากมายและซ่อนตัวอยู่ในความมืดพร้อมกับรอคำสั่งจากประมุขโถงวรยุทธ โถงวรยุทธสาขานั้นไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดเผยพลังที่แท้จริงของพวกเขาเด็ดขาดเว้นแต่ว่าจะมีเหตุการณ์พิเศษ
อะแฮ่ม!
ในตอนนั้นเองประมุขโถงวรยุทธที่อยู่ที่หัวโต๊ะก็ไอเบาๆและพูดว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เรื่องในตอนนี้คือจักรพรรดิอสูรชือกำลังมาที่นี่แล้วและจะมาถึงที่เมืองหลิงยวนในหกชั่วโมง! ไม่ว่าเขาจะถูกล่อลวงมาโดยเฟิ่งหลวนหรืออะไรก็ตาม เราต้องสู้!”
“อืม”
ผู้อาวุโสกู่และคนอื่นๆพยักหน้าโถงวรยุทธคอยดูแลเมืองหลิงยวนมานานนับแสนปีแล้วและพวกเขาก็ไม่สามารถยอมแพ้ได้ ไม่เช่นนั้น อำนาจที่โถงวรยุทธได้ฝังรากเอาไว้ที่ทวีปเฟิ่งหมิงก็จะถูกทำลายลงในชั่วข้ามคืนและทุกคนที่อยู่ที่นี่ในตอนนี้ก็จะตายเช่นกัน
“ท่านประมุขโปรดสั่งพวกเรา!”
ผู้อาวุโสทุกคนลุกขึ้นและคำนับพวกเขาทุกคนมีสีหน้าที่จริงจังเนื่องจากประมุขได้เผยความต้องการอย่างชัดแจ้งแล้ว พวกเขาก็จะสู้กันก่อน
“ผู้อาวุโสเฉินจงใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายและกลับไปยังโถงหลักทันที บอกพวกเขาทุกอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่และรายละเอียดเกี่ยวกับเจียงอี้ หากเราทุกคนตาย ให้ทางนั้นส่งประมุขคนใหม่มาที่นี่”
“ผู้อาวุโสกู่เปิดค่ายกลสวรรค์ลิขิตและเตรียมตัวให้พร้อม!”
“ผู้อาวุโสหลิวออกจากเมืองนี้ไปเงียบๆและตามหารอบๆเมืองในรัศมีห้าร้อยกิโลเมตรและหาให้พบว่าเฟิ่งหลวนซ่อนตัวอยู่ที่ใด หากเจ้าพบนาง จงส่งต่อคำพูดข้าไปว่า โถงการค้ายุทธไม่ได้มีเจตนาที่จะเป็นผู้ปกครองทวีปและจะยังคงภักดีต่อตระกูลเฟิ่งเสมอ หากว่านางไม่ร่วมสู้กับจักรพรรดิอสูรชือ ทางโถงการค้ายุทธจะออกจากทวีปเฟิ่งหมิงแห่งนี้”
“ผู้อาวุโสเหิง….”
มีการออกคำสั่งต่อไปเรื่อยๆและจากนั้นผู้อาวุโสทั้งสิบคนก็ออกไปอย่างรวดเร็วประมุขที่มีร่างท้วมที่ดูเหมือนพ่อค้าในยุคเก่าแก่นั่งอยู่คนเดียวในห้องลับและครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเขาก็ถอนหายใจ “เฟิ่งหลวน เจ้าเป็นคนคิดกลยุทธ์นี่…ที่จะปล่อยให้จักรพรรดิอสูรชือและพวกเราสู้กันเพื่อที่จะมากำจัดที่เหลือทีหลังจริงๆหรือ? หากเจ้าทำเช่นนั้น ข้าก็คงจะประเมินเจ้าต่ำไปแล้ว เจ้ากำลังบังคับให้เราต้องสู้ แต่อย่าวางใจไป หากเราแพ้ ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าลอยนวลอย่างมีสุขเช่นกัน…..แม้ว่าข้าจะต้องทำลายเมืองหลิงยวนก็ตาม….”
…
จักรพรรดิอสูรชือมาถึงเร็วมากเขามองดูเมืองขนาดใหญ่ตรงหน้าอย่างบึ้งตึง เมื่อเขาเห็นเกราะม่านพลังที่ส่องแสงหลากสี มันก็ยิ่งทำให้เขาขุ่นเคืองขึ้นไปอีก เขารับรู้ได้ถึงสิ่งที่ผิดปกติกับม่านพลังนี้ แม้ว่าจะมีพละกำลังมากเพียงใด มันก็ยังยากที่จะทำให้มันพังลงในสองชั่วโมง
แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องยากแต่จักรพรรดิอสูรชือก็หยุดนิ่งชั่วขณะก่อนที่จะเริ่มโจมตีทันที เจียงอี้และเฟิ่งหลวนเขียนจดหมายท้าทายเขา เขาเองก็คงจะไม่หยุดจนกว่าเมืองนี้จะถูกทำลายและผู้ที่สังหารลูกชายของเขาตาย
ฟึ่บ!ฟั่บ!
เขาปล่อยลำแสงออกไปซึ่งมันทำให้ท้องฟ้าที่สลัวๆสว่างขึ้นแสงนั้นสว่างวาบราวกับแสงศักดิ์สิทธิ์ที่มาจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าและปะทะเข้าไปที่ม่านพลังทันที
บรึฟ!
เป็นอย่างที่คาดไว้ม่านพลังหลากสีเปล่งประกายและสั่นสะเทือนเล็กน้อย ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันจะพังทลายลงมาได้อย่างง่ายดาย
“ฮึ่ม!”
จักรพรรดิอสูรชือยิ้มเยาะและปล่อยแสงมาไว้ที่ฝ่ามือของเขาอีกครั้งครั้งนี้พลังของเขาแรงกว่าครั้งก่อนสองถึงสามเท่า ทันทีที่ปลดปล่อยลำแสงออกไป พื้นที่รอบๆก็สั่นสะเทือน แม้แต่ลมก็หยุดพัดผ่านภายใต้แรงกดดันที่น่ากลัวนี้
ตูมมมม!
คราวนี้ม่านพลังก็เปล่งแสงสว่างยิ่งขึ้นและสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงขึ้น จักรพรรดิอสูรชือยังคงเพิ่มพลังโจมตีขึ้นอีก เขายังคงยืนนิ่งอยู่บนฟ้าอย่างสบายๆและโจมตีด้วยลำแสงที่สว่างมากขึ้นเรื่อยๆ
ฟู่..ฟู่….
ในขณะที่โล่ส่องแสงกองทหารและผู้เชี่ยวชาญบนกำแพงเมืองก็เริ่มตัวซีดลงและซีดลงเรื่อยๆ แม้ว่าพวกเขาจะมีเกราะม่านพลังกั้นระหว่างพวกเขาเอาไว้ แต่การโจมตีจากจักรพรรดิอสูรชือก็ยังรุนแรงเกินไป ความกดดันเช่นนั้นทำให้พวกเขาแทบจะหายใจไม่ออกราวกับว่าทุกคนกำลังถูกโจมตีเข้าไปในใจ
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆม่านพลังก็เริ่มส่องแสงด้วยไฟที่อ่อนบางลงและเฟิ่งหลวนก็ยังไม่ปรากฏตัวออกมาซึ่งทำให้ทุกคนในเมืองยิ่งพากันหน้าซีดลงไปใหญ่
“ฐานของโถงวรยุทธนั้นแข็งแกร่งมากเฟิ่งเอ๋อร์ แม้แต่ตระกูลเฟิ่งของเจ้าก็ไม่สามารถสร้างเกราะม่านพลังเช่นนั้นได้ใช่ไหม?”
ภายในป่าเล็กๆทางตอนเหนือของเมืองหลิงยวนมีเจียงอี้และสาวงามสองนางซ่อนตัวอยู่ที่นั่น เฟิ่งหลวนตื่นแล้วและจิตวิญญาณของนางก็ดีขึ้นมากหลังจากที่หลับไปสองวันหนึ่งคืน
เมื่อนางได้ยินเจียงอี้ดวงตาของนางก็กระพริบด้วยความเย็นชา นางพูดว่า “โถงการค้าซ่อนพลังที่แกร่งเช่นนี้เอาไว้หรือ? พวกนั้นต้องมีแผนการอะไรบางอย่างแน่ๆ?! นี่….ใครบางคนกำลังมาจากที่นั่นน่ะ ดูเหมือนจะอยู่ขอบเขตจินกังด้วยสิ? นายน้อย เราจะทำเช่นไรกันดีเจ้าคะ?”
“มีใครบางคนมาที่นี่?”
เจียงอี้มองไปที่นั่นด้วยดวงตาอันเฉียบคมของเขาและเดินกลับไปข้างหลังพวกนางทั้งสองคนอย่างรวดเร็วเขากระซิบว่า “เฟิ่งเอ๋อร์ ให้ชิงหยีคว่ำมันเดี๋ยวนี้ จำไว้ว่า…อย่าเสียงดังไปล่ะ เราไม่ต้องการให้จักรพรรดิอสูรชือล่วงรู้ว่าเราอยู่ที่นี่”
บทที่ 550 เก้าจักรพรรดิแห่งทวีปจักรพรรดิบูรพา
ผู้ที่มาที่นี่คือผู้อาวุโสหลิวจากโถงการค้าเขาถูกสั่งให้ตามหาเฟิ่งหลวนและกลุ่มคนนอกเมืองและส่งผ่านข้อความต่อไปยังเฟิ่งหลวน เจียงอี้และพวกนางทั้งสองอยู่ไม่ไกลจากเมืองมากนักและไม่ได้ซ่อนตัวดีๆจึงทำให้ผู้อาวุโสหลิวพบพวกนางในเวลาอันสั้น
หลังจากที่เฟิ่งหลวนตรวจสอบเจอที่ที่พวกเขาน่าจะอยู่แล้วในไม่ช้าเขาก็จะเจอพวกนางแต่เจียงอี้ไปซ่อนตัวอยู่หลังพวกนาง เขาจึงไม่สังเกตเห็นเจียงอี้และตัวเขานั้นไม่กล้าปล่อยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมาอย่างประมาทและตรงปรี่ไปหาพวกนาง เขาหยุดอยู่ห่างออกไปสามกิโลเมตรและตะโกนว่า “ผู้อาวุโสหลิวต้าลี่ จากสมาคมโถงการค้ายุทธได้รับคำสั่งให้มาพบจักรพรรดินี ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกแก่องค์จักรพรรดินีขอรับ!”
“หืม?”
ก่อนหน้านี้ชิงหยีได้ออกไปหลอกล่อให้คนผู้นั้นมาที่นี่ ดวงตาทั้งสองของนางสว่างขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดเขาและนางตะโกนว่า “มานี่สิ!”
สายตาแห่งความยินดีเปล่งประกายอยู่ในดวงตาของผู้อาวุโสหลิวดูเหมือนว่าเฟิ่งหลวนจะไม่ได้หาโอกาสที่จะจัดการกับพวกเขา นางอาจจะมีแผนการอื่น ไม่เช่นนั้นนางก็คงจะไม่เผยตัวตนออกมาอย่างโจ่งแจ้งในเวลานี้ก็ได้ นอกจากนี้เขายังไม่เห็นเจียงอี้ซึ่งมันก็หมายความว่าพวกนางไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกับเจียงอี้หรอก
เขาเดินไปอย่างรวดเร็วและมองไปที่เฟิ่งหลวนเขายิ่งมั่นใจมากขึ้นเมื่อเห็นว่านางกำลังมองไปยังเมืองหลิงยวนจากไกลๆและไม่ได้ให้ความสนใจในตัวเขานัก เมื่อเขาอยู่ห่างจากเฟิ่งหลวนประมาณสามสิบก้าว เขาก็แสดงความเคารพและพูดว่า “หลิวต้าลี่คารวะจักรพรรดินีและแม่หญิงชิงหยี”
ฟรึ่บ!
ในขณะนั้นเองเฟิ่งหลวนก็เคลื่อนไหวในทันใด ผู้อาวุโสหลิวรู้สึกว่าสายตาพร่ามัวก่อนที่จะเห็นเฟิ่งหลวนอยู่ตรงหน้าเขาแล้วและนางวางมือข้างหนึ่งไว้เหนือหัวของเขา แก่นแท้พลังไหลเวียนอยู่รอบฝ่ามือของนางและกลิ่นอายก็ถูกปลดปล่อยออกมา หากเขากล้าเคลื่อนไหวอย่างประมาท เขาอาจจะถูกทุบตายได้ในทันที
“ยอดเยี่ยม….จักรพรรดินีท่านกำลังจะทำอะไรน่ะ?” สีหน้าของผู้อาวุโสหลิวเปลี่ยนไปและไม่กล้าที่จะหายใจแรง ไม่ต้องพูดถึงการขยับตัวเลย
ฟรึ่บ!
ชิงหยีก็รีบพุ่งมาอย่างรวดเร็วขาของนางเปล่งประกายด้วยแก่นแท้พลัง นางเตะไปที่ตันเทียนของเขาอย่างรวดเร็วจนทำให้ร่างของเขาปลิวลอยไปชนเข้ากับต้นไม้อย่างจัง และนางก็รีบไปบีบคอเขาด้วยมือเดียวและยกเขากลับไปเหมือนยกสุนัข
ซ่อกแซ่ก!
ในป่าที่ห่างไกลออกไปเจียงอี้เดินออกมาอย่างสง่างาม ใบหน้าของผู้อาวุโสหลิวซีดเผือดขณะที่เขาเห็นเจียงอี้ เขาจ้องมองเจียงอี้อย่างแค้นเคืองและกระอักเลือดออกมาก่อนที่จะพูดว่า “เจียงอี้ ฮ่าฮ่า….เจ้าคิดว่าเราจะจำเจ้าไม่ได้เพียงเพราะว่าเจ้าเปลี่ยนชุดของเจ้ารึไง? หึ แม้เจ้าจะหนีไปจนสุดขอบปฐพี เราก็จะตามไปฆ่าเจ้าได้ในวันหนึ่ง…”
จากนั้นเขาก็หันไปหาเฟิ่งหลวนและพูดอย่างเย็นชา“จักรพรรดินีเฟิ่งหลวน หากท่านฉลาดก็จงปล่อยข้าไปเดี๋ยวนี้ แล้วจับกุมตัวเจียงอี้ไปส่งที่สมาคมโถงการค้ายุทธของเราซะ ไม่เช่นนั้น หากเรื่องนี้ไปถึงหูโถงวรยุทธหลักแล้วล่ะก็ กองทัพตระกูลเฟิ่งทั้งหมดของเจ้าจะต้องตาย ข้าบอกตรงๆเลยนะ…สมาคมโถงการค้ายุทธเป็นเพียงโถงสาขาของเรา พลังที่แท้จริงของโถงวรยุทธนั้นเกินกว่าที่ท่านจะจินตนาการได้เสียอีก ท่านน่าจะเคยได้ยินเรื่องของจักรพรรดิทั้งเก้าแห่งทวีปจักรพรรดิบูรพาแล้วนี่ ท่านประมุขโถงวรยุทธของเราคือจักรพรรดิแห่งทิศอุดร หวู่ซาง”
“จักรพรรดิอุดรหวู่ซาง?”
เฟิ่งหลวนและชิงหยีมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ
มีจักรพรรดิทั้งเก้าในทวีปจักรพรรดิบูรพาจริงและเห็นได้ชัดว่าพวกนางน่าจะเคยได้ยินเกี่ยวกับคนเหล่านั้นแล้วพวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวที่สุดในพิภพนี้ ทั่วทั้งแดนเทียนชิงจะสั่นคลอนหากจักรพรรดิเพียงหนึ่งคนกระทืบเท้าของเขา จักรพรรดิอุดรหวู่ซางเป็นหนึ่งในสามอันดับของเก้าจักรพรรดิ!
แม้ว่าเฟิ่งหลวนจะครอบครองทวีปเฟิ่งหมิงแต่นางก็ไม่มีค่าอะไรในทวีปจักรพรรดิบูรพา การเทียบเฟิ่งหลวนกับเก้าจักรพรรดินั้นก็เหมือนการเทียบระหว่างมดกับมังกรยักษ์
“เก้าจักรพรรดิแห่งทวีปจักรพรรดิบูรพา!”
นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงอี้ได้ยินเรื่องนี้เขาแอบสะดุ้งอยู่เหมือนกัน แม้ว่าเขาจะรู้ว่าทวีปจักรพรรดิบูรพานั้นเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญและยอดฝีมือที่ทรงพลังมากมาย แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าจิตวิญญาณของเขาสั่นสะเทือนลึกลงไปเมื่อได้ยินชื่อจักรพรรดิทั้งเก้า
ท่านแม่บอกให้ข้าตามหาหยูเวินเขาเป็นหนึ่งในเก้าจักรพรรดิหรือเปล่านะ? แล้วแม่นางอีเป็นบุตรสาวของหนึ่งในจักรพรรดิหรือไม่นะ? ไม่เช่นนั้นแล้วนางจะมีสมบัติวิเศษเช่นนั้นได้อย่างไรกัน?
ดวงตาของเจียงอี้เป็นประกายและสมองของเขาก็แล่นอย่างรวดเร็วเขาสบตากับเฟิ่งหลวนและส่งสัญญาณให้ผู้อาวุโสหลิวพูดมากกว่านี้อีก
เมื่อเฟิ่งหลวนได้สัญญาณจากเจียงอี้นางก็มองไปที่ผู้อาวุโสหลิวด้วยความรังเกียจและพูดว่า “เหอะ! อวดดีนัก จักรพรรดิทั้งเก้าแห่งทวีปจักรพรรดิบูรพาทรงพลังเพียงใด! เจ้ากล้าแสร้งตนเป็นผู้อยู่ภายใต้อำนาจจักรพรรดิแห่งทิศอุดรได้อย่างไร!”
ผู้อาวุโสหลิวเผยแววตาที่ภาคภูมิใจก่อนที่จะกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า“จักรพรรดินี ประมุขโถงวรยุทธของเราคือจักรพรรดิแห่งอุดรและทุกคนที่จักรพรรดิบูรพาต่างรู้กันดี ข้าไม่กล้าจะพูดพล่อยๆเรื่องนี้หรอก หากท่านไม่เชื่อข้า เราจะส่งข้อความกลับไปยังโถงหลักและผู้ส่งสารจะกลับมาภายในครึ่งเดือน ชายผู้นี้มีนามว่าเจียงอี้และมาจากทวีปเทียนชิง เขาได้ทำลายโถงวรยุทธสาขาของเราไปและโถงหลักต้องการตัวเขา หากจักรพรรดินีส่งเขาไปให้แก่ประมุขโถงวรยุทธของเรา ข้าจะแสดงความขอบคุณด้วยการตบรางวัลให้อย่างงาม”
“ฮึ่ม!”
เฟิ่งหลวนกระแอมออกมาและกล่าวว่า“ในเมื่อโถงการค้าของเจ้ามีภูมิหลังที่ทรงพลังเช่นนี้ ทำไมพวกเจ้าไม่รวมทวีปไปเลยล่ะ? พวกเจ้าจะมาซ่อนตัวอยู่ในทวีปนี้เพื่ออะไรตั้งหลายปี?”
เขากระพริบตาก่อนที่จะอธิบายว่า“โถงวรยุทธของเรามีสาขามากมายอยู่ในทวีปเทียนชิง แต่เราไม่เคยต้องการจะเป็นผู้ปกครอง เราเพียงแต่จะทำการค้าขาย เราขายวัตถุดิบพื้นเมืองของทุกทวีปให้ทวีปจักรพรรดิบูรพาเพื่อกว้านซื้อศิลาสวรรค์ ท่านสามารถหาข้อมูลของทวีปจักรพรรดิบูรพาได้ ที่นั่นน่ะ โถงวรยุทธของเราเป็นสมาคมการค้าที่ใหญ่ที่สุด!”
“ฮ่าฮ่านี่เจ้ากำลังหลอกเด็กหรือไง?”
ทันใดนั้นเจียงอี้ก็เดินเข้ามาและพูดแผ่วๆว่า“ประมุขโถงวรยุทธเจ้ากำลังทำการค้างั้นหรือ? ข้าจะโจมตีโถงวรยุทธอย่างไม่มีเหตุผลหรือหากโถงวรยุทธไม่เพ่งเล็งข้าตอนอยู่ในทวีปเทียนชิง? ใครเป็นผู้ควบคุมทวีปเทียนชิงกัน? ใครเป็นคนที่รับผิดชอบในการสังหารผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดของราชวงศ์มังกรเวหากัน? แล้วตอนนี้ โถงวรยุทธของพวกเจ้ายังจะทำตัวเป็นผู้ใสซื่อบริสุทธิ์อยู่อีกหรือ? ฮืมม เช่นนั้น จักรพรรดิอุดรก็ต้องเป็นพวกสวะเหมือนกันน่ะสิ ข้าไม่รู้หรอกว่าโถงวรยุทธของพวกเจ้าขึ้นตรงกับผู้ใดหรือทำอะไร แต่มันคงไม่น่าจะเป็นเพียงสมาคมการค้าแน่ๆ”
ผู้อาวุโสหลิวมองไปที่เจียงอี้อย่างใกล้ชิดเขาไม่ได้สนใจที่จะตอบกลับคำพูดเหล่านั้น แต่ดวงตาของเขากลับเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจแทน ทำไมเจียงอี้จึงทำท่าทางเช่นนี้ต่อหน้าเฟิ่งหลวน เขาสามารถขัดจังหวะได้ตามต้องการ แม้ว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงของเฟิ่งหลวนแต่เขาก็ไม่น่าจะทำเกินหน้าเกินตานางได้
เขาเบือนสายตาหนีและไม่ตอบเจียงอี้เขาจ้องมองไปที่เฟิ่งหลวนและพูดว่า “จักรพรรดินี ข้าไม่ต้องการพูดสิ่งใดอีก ข้าเพียงอยากบอกว่าหากท่านร่วมมือกับโถงวรยุทธของเรา เราจะรับประกันได้ว่าตระกูลเฟิ่งของท่านจะรุ่งโรจน์และมั่งคั่งไปชั่วนิรันดร์ แต่หากว่าประมุขโถงวรยุทธเกรี้ยวกราดขึ้นมา กองทัพตระกูลเฟิ่งของท่านทั้งหมดจะถูกกำจัดทิ้งซะ หากท่านเป็นคนมีเหตุผล เช่นนั้นก็รีบจัดการไอ้สารเลวนี่ซะ….”
ป้าบ!
ชิงหยีตบไปที่ผู้อาวุโสหลิวอย่างแรงจนฟันเขาหลุดออกไปครึ่งหนึ่งนางตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้ากล้าขู่จักรพรรดินีได้อย่างไรกัน? เจ้าเป็นใคร? เจ้ากล้าเรียกนายน้อยว่า ไอ้สารเลว ได้ยังไงกัน!”
เฟิ่งหลวนก็พูดต่อเช่นกัน“ฮึ่ม สาปแช่งนายน้อยหรือ? ชิงหยี ส่งมันไปตายซะ!”
“นายน้อย!”
ผู้อาวุโสหลิวมองเจียงอี้อย่างประหลาดใจทันทีเขาคิดมาเสมอว่าเจียงอี้เป็นสัตว์เลี้ยงของเฟิ่งหลวน แต่ตอนนี้มันดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง ดูเหมือนว่าเฟิ่งหลวนและชิงหยีจะเป็นสาวใช้ของเขาแทน?
ไม่นะท่านประมุขและคนอื่นๆกำลังตกอยู่ในอันตราย!
ผู้อาวุโสหลิวตัวสั่นเทาเมื่อเฟิ่งหลวนและชิงหยีทำตามคำร้องขอของเจียงอี้ เช่นนั้นการที่จักรพรรดิอสูรชือมาที่เมืองหลิงยวนนี้ มันจะต้องเป็นแผนการของเจียงอี้ที่จะกวาดล้างโถงวรยุทธสาขาให้สิ้นซากแน่ๆ
“ฟึ่บ!”
ภาพที่เลือนลางสาดแสงเข้ามายังกริชในมือของชิงหยีและทำให้หัวของผู้อาวุโสหลิวหลุดลอยออกไปฉากสุดท้ายที่เขาได้เห็นมีเพียงใบหน้าที่เย้ยหยันของเจียงอี้
หลังจากที่ร่างไร้หัวของผู้อาวุโสหลิวล้มลงไปที่พื้นเจียงอี้ก็มองไปยังท้องฟ้าทางตะวันออกและถอนหายใจ “จักรพรรดิอุดรหวู่ซาง? ดูเหมือนว่าข้าจะมีศัตรูที่แข็งแกร่งแล้วล่ะสิ ข้าไม่รู้ว่าข้าจะมีโอกาสที่จะต่อสู้กับหวู่ซางและสังหารศัตรูทั้งหมดในชั่วชีวิตข้าได้หรือเปล่า”
เฟิ่งหลวนมองไปทางใต้และร้องออกมาเบาๆนางขัดจังหวะเจียงอี้ “นายน้อย อย่าเพิ่งคิดอะไรตอนนี้เลยเจ้าค่ะ เมืองหลิงยวนกำลังจะแตกแล้ว!”