เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 551-552
บทที่ 551 ทุกคนต้องตาย
ซู่!ซู่!
ลำแสงฟาดผ่านท้องฟ้าและระดมยิงเข้าใส่ม่านพลังจนในที่สุดม่านพลังรอบเมืองก็พังทลายกลายเป็นฟองอากาศด้วยการโจมตีของจักรพรรดิอสูรชือพลังจากลำแสงนั้นยังไม่หมดไปและมันพุ่งตรงไปยังราชวังที่สูงที่สุดและปะทะเข้ากับอาคารจนทำให้อาคารด้านบนกลายเป็นเถ้าถ่านไป
“หืม?”
ทันทีที่ม่านพลังถูกทำลายลงจักรพรรดิอสูรชือก็แผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาและเกิดความสับสนขึ้น แม้ว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังมากมายอยู่ในเมืองนี้แต่เขาก็ไม่พบขอบเขตเทียนจุนเลย ฉะนั้นเฟิ่งหลวนไม่ได้อยู่ที่นี่และเขาก็ไม่เจอชายที่สังหารลูกเขา
“ฮึ่ม!”
แต่เขาก็ไม่สนใจและบินไปในเมืองดั่งสายลมแรงกดดันของจักรพรรดิอสูรทำให้ทหารบนกำแพงเมืองต่างทรุดลงไปกับพื้น
“ตาย!ทุกคนต้องตายย!”
ดวงตารูปสามเหลี่ยมของเขาส่องแสงและกวาดไปยังผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังในเมืองเขาตะโกนออกมาและสาดลำแสงเพื่อกวาดล้างผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดในเมือง
บรึฟ!
ในตอนนั้นเองเมืองทั้งเมืองก็สว่างขึ้นมา ราวกับอสรพิษอัคคีที่สว่างไสวในคืนมืดมิด กลิ่นอายพุ่งออกมาจากเมืองและต้านแรงกดดันจากจักรพรรดิอสูรชือไปจนทำให้เหล่าผู้เชี่ยวชาญกลับมาเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง
ฟรึ่บ!
ร่างสองร่างพุ่งออกมาจากเมืองพวกเขาเป็นชายหนึ่งและหญิงอีกหนึ่ง ชายผู้นั้นคือประมุขโถงการค้าและผู้หญิงคนนั้นคือผู้อาวุโสกู่ ก่อนที่ทั้งสองจะบินไปกลางอากาศ ดาวทั้งสองดวงแห่งดาราเก้าสวรรค์ก็ส่องแสงและพุ่งลงมาและปะทะเข้าร่างของทั้งสองคนและหายไปในร่างของพวกเขา
“นี่…”
“พลังแห่งดาราเก้าสวรรค์!”
“ค่ายกลที่ยอดเยี่ยมนี่มันอะไรกัน?มันสามารถก่อตัวพลังของดาราเก้าสวรรค์ได้ด้วยหรือ?! โถงการค้ามีค่ายกลที่น่าพิศวงอะไรเช่นนี้ด้วย?”
“ไม่แปลกใจที่จักรพรรดินีให้เราถอยมาที่นี่บางทีนางอาจจะรู้แล้วว่าโถงการค้ามีค่ายกลที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้อยู่ หรือไม่นางก็ต้องการจะร่วมมือกับโถงการค้าเพื่อสังหารจักรพรรดิอสูรชือด้วยกัน”
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังและแม่ทัพทั้งหมดที่ล่าถอยมาจากเมืองชิงเฟิ่งมองไปยังประมุขโถงการค้าและผู้อาวุโสกู่ด้วยความหวั่นเกรงและไม่เชื่อสายตาตัวเองในตอนนี้กลิ่นอายของทั้งสองคนนั้นอยู่ที่ขอบเขตเทียนจุนและมันไม่น้อยไปกว่าเฟิ่งหลวนเลย
ไม่มีผู้ใดคาดฝันว่าโถงการค้าจะมีพลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้ผู้คนมากมายแอบหวั่นอยู่ในใจว่าเหตุใดโถงการค้าที่มีพลังที่น่ากลัวเช่นนี้จึงยอมตระกูลทั้งสิบห้ากดขี่? พวกนั้นต้องการจะทำอะไร? พวกนั้นวางแผนการอะไรเอาไว้กัน?
“หืม?”
จักรพรรดิอสูรชือเองก็ตกตะลึงเช่นกันและมีสายตาที่มืดมนลึกเข้าไปในดวงตาของเขาทำไมมนุษย์จึงครองผืนพิภพนี้? มันเป็นเพราะว่าพวกเขามีสมบัติเวทย์, ทักษะวิชาเวทย์และค่ายกลทุกประเภท แม้ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจหรืออสูรจะแปลงกายเป็นมนุษย์ได้หลังจากไปถึงขั้นจักรพรรดิอสูรแล้ว แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกมนุษย์จะสอนและส่งต่อวิชาเวทย์, อาคมยับยั้งและสมบัติมากมายให้
ประมุขโถงการค้ามีนามว่าฉินซานหลังจากที่เขาและผู้อาวุโสกู่ใช้พลังของดาราเก้าสวรรค์เพื่อยกระดับเป็นขอบเขตเทียนจุนแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้เริ่มโจมตีอสูรชือก่อน พวกเขาเพียงแต่ยืนอยู่บนฟ้าอย่างภาคภูมิและจ้องมองไปยังจักรพรรดิอสูรชือ
ใบหน้ากลมๆของฉินซานเต็มไปด้วยความเย็นชาดวงตาอันแหลมคมของเขากวาดมองไปยังจักรพรรดิอสูรชือและตะโกนว่า “จักรพรรดิอสูรชือ ศัตรูของเจ้าไม่ได้อยู่ในเมืองหลิงยวนและโถงการค้าไม่ได้ต้องการจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับเจ้า จงไปซะ ไม่เช่นนั้นก็เตรียมแบกรับผลที่จะตามมาได้เลย”
คำพูดของฉินซานนั้นบอกความนัยเอาไว้แล้วเขาบอกใบ้ว่าเฟิ่งหลวนและเจียงอี้ไม่ได้อยู่ในเมืองและพวกเขาไม่ต้องการจะสู้กับจักรพรรดิอสูรชือ หากเขายังยืนกรานที่จะสู้ จะไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะ
จักรพรรดิอสูรชือลังเลค่ายกลที่ยอดเยี่ยมในเมืองนี้ประหลาดมากและสามารถเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังสองคนให้กลายเป็นขอบเขตเทียนจุนได้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้หวาดกลัวสองคนนี้ แต่ถ้าหากมีค่ายกลแปลกๆอย่างอื่นอยู่ในเมืองนี้อีกล่ะ?
เขายังรู้อีกด้วยว่านี่เป็นกลอุบายของเฟิ่งหลวนและเจียงอี้หากเขาปะทะกับสองคนนี้ ผลที่ตามมาคงไม่สามารถจินตนาการได้หากว่าเฟิ่งหลวนและคนของนางลอบจู่โจมเขา
แต่อย่างไรก็ตาม…
ในไม่ช้าเขาก็ไม่ต้องคิดอะไรมากมายแล้วเมื่อทหารบนกำแพงเริ่มพ่นคำพูดพล่อยๆออกมา
“ฮ่าฮ่าเจ้าอสูรชือ ตอนนี้เจ้ากลัวซะแล้วหรอ? เจ้าเผ่าพันธุ์อสูรชั่วช้า เจ้ากล้าบุกทวีปมนุษย์ของเราได้อย่างไร ในวันนี้ ข้าจะตัดหัวเจ้าออกแล้วฉี่รดมันเสียหน่อยแล้วล่ะ….”
“ทำไมต้องเอามันมาเป็นกระโถนล่ะ?ลองสับมันเป็นหมื่นชิ้นแล้วปรุงอาหารกินเถอะ ว่ากันว่าเนื้อของจักรพรรดิอสูรสามารถยืดอายุขัยผู้คนได้ถึงร้อยปีเชียวนะ มาตุ๋นเนื้อจักรพรรดิอสูรตนนี้ทีหลังกันเถอะ!”
“ข้าเป็นคนสังหารลูกชายเจ้าและข้าจะให้เจ้าตายไปโดยที่ยังไม่มีทายาทเจ้าจะมองอะไรอยู่ล่ะ? มา มาสิ ข้ารอให้เจ้าฆ่าข้าอยู่นี่แล้ว แต่เจ้าทำไม่ได้นี่สิ! ป๊าด! ไอปอดแหก!”
“…..”
ทหารหญิงนับร้อยยืนกอดอกและก่นด่าอสูรชืออย่างไม่ไว้หน้า
ผู้หญิงในทวีปเฟิ่งหมิงแห่งนี้จะได้รับความเคารพเป็นอย่างมากพวกนางมักจะคอยข่มเหงรังแกผู้ชายอย่างสนุกสนาน และตอนนี้พวกนางยังปฏิบัติต่อจักรพรรดิอสูรชือเหมือนสัตว์เลี้ยงของพวกนางและดูถูกเขา
“อ๊ากกอ๊ากก อ๊ากกกก…”
จักรพรรดิอสูรชือนั้นถือเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในทะเลบูรพาเวิ้งว้างแล้วเขาต้องทนกับคำพูดเช่นนี้เมื่อใดกัน? ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำในทันทีและหมดความอดทน ฝ่ามือของเขาเปล่งประกายและสาดลำแสงไปยังเมืองทันที
“ฆ่า!”
ฉินซานและผู้อาวุโสกู่มองหน้ากันอย่างหมดคำพูดพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องสู้ ตอนนี้จักรพรรดิอสูรชือคลั่งไปแล้ว หากทั้งสองไม่ลงมือทำอะไร เมืองหลิงยวนทั้งหมดจะถูกพังราบเป็นหน้ากอง หากปราศจากค่ายกลสวรรค์ลิขิตแล้ว พวกเขาคงต้องรอเพียงความตายเช่นกัน
ฟรึ่บ!
ทั้งสองกลายเป็นเงาดำและบินไปทางจักรพรรดิอสูรชือฝ่ามือของพวกเขาสว่างไสวไปด้วยแสงหลากสีและรวมพลังแห่งดาราเพื่อเริ่มโจมตี
บรึฟ!
เมื่อพลังแห่งดวงดาราถูกปล่อยออกมาสวรรค์และพิภพต่างก็สั่นสะท้าน ผู้เชี่ยวชาญมากมายไม่สามารถแม้แต่จะเคลื่อนไหวจากแรงกดดันมหาศาลได้ พวกเขารู้สึกราวกับว่าดวงดาวได้ตกกระทบสู่ผืนพิภพและแรงกดดันอันน่าสะพรึงนั้นก็แทบจะทำลายดวงจิตวิญญาณของพวกเขาไปแล้ว
“ตายซะ!พวกเจ้าทุกคนต้องตายยย!”
จักรพรรดิอสูรชือคำรามออกมาอยู่นานแสงสีทองส่องประกายและทันใดนั้นเขาก็เปลี่ยนร่างกลับสู่ร่างเดิมซึ่งกลายเป็นสัตว์อสูรที่มีขนาดใหญ่และยาวกว่าร้อยเมตร เขาอ้าปากกว้างและพ่นกระแสน้ำที่เย็นเยียบออกมาสองครั้งไปทางฉินซานและผู้อาวุโสกู่
“…”
เมื่อกระแสน้ำอันเย็นเยียบถูกปล่อยออกมาโลกทั้งใบก็เงียบลง กองกำลังแสนนายและทหารเกือบแสนคนจากโถงการค้าในเมืองรู้สึกกำลังถูกแช่แข็งอยู่ในตอนนี้ พวกเขาอ้าปากแต่ไม่สามารถส่งเสียงใดๆออกมาได้ นอกจากผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังเพียงไม่กี่คน ทุกคนที่เหลือต่างก็ถูกแช่แข็งจนกลายเป็นรูปปั้นไปหมด
“วิชาอสูรของจักรพรรดิตนนี้น่ากลัวยิ่งนัก!”
เจียงอี้,เฟิ่งหลวนและชิงหยีที่อยู่ในป่าเล็กๆทางตอนเหนือของเมืองก็รู้สึกหนาวเหน็บเช่นกัน เฟิ่งหลวนเปลี่ยนสีหน้าและมองไปยังเจียงอี้ “นายน้อย โจมตีตอนนี้กันเถอะ ไม่เช่นนั้นผู้คนในเมืองทั้งหมดจะแข็งตายเอานะเจ้าคะ”
“ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนไปหรอก!”
เจียงอี้ส่ายหัวและพูดว่า“ด้วยพลังของค่ายกลสวรรค์ลิขิต มันจะต้านทานความหนาวเหน็บแก่ผู้คนในเมืองและพวกเขาจะไม่ตายในเวลาสั้นๆหรอก รอก่อนเถอะ!”
ตูม!
เกิดระเบิดอย่างรุนแรงที่ทางเหนือของเมืองเจียงอี้และเฟิ่งหลวนรีบแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาออกไปเพื่อสำรวจสถานการณ์อย่างเงียบๆ และดวงตาของทั้งสองก็เป็นประกายพร้อมกัน สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาพบว่าร่างยักษ์ของจักรพรรดิอสูรชือถูกพลังแห่งดาราพัดปลิวออกไป นอกจากนี้ยังมีรอยฝ่ามืออยู่ที่ด้านซ้ายของร่างเขาและมีเลือดไหลออกมาจากปาก ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขาบาดเจ็บ
ในทางกลับกันด้านฉินซานและผู้อาวุโสกู่ก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ร่างของผู้อาวุโสกู่ถูกแช่แข็งและล้มลงไปกับพื้นและไม่แน่ใจว่านางยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ส่วนฉินซานดีกว่าเล็กน้อย แต่ร่างของเขาก็ถูกแช่แข็งเช่นกัน และเขายังคงสั่นไปทั่วร่าง
“ผู้อาวุโสกู่!”
ฉินซานแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาและพบว่าอวัยวะภายในของนางเสียหายทั้งหมดแม้ว่านางจะยังมีชีวิตแต่นางก็จะเป็นคนพิการ ซึ่งมันก็ทำให้เขาเดือดดาลในทันใด หากผู้อาวุโสกู่ไม่เสี่ยงชีวิตของนาง คนที่จะต้องตายในตอนนี้คงเป็นเขาไปแล้ว
เขาตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวดและกลายเป็นสายฟ้าแล่นไปทางจักรพรรดิอสูรชือมือของเขาเปล่งประกายไปด้วยแสงหลากสีและพลังแห่งดวงดาราก็หลั่งไหลออกมาอย่างรุนแรง
“ฆ่า!”
ในที่สุดเจียงอี้ที่อยู่นอกเมืองทางตอนเหนือก็เคลื่อนไหวเขาตะโกนและพุ่งไปข้างหน้าราวกับสุนัขจิ้งจอก อายสังหารก็แวววับอยู่ในดวงตาของเฟิ่งหลวนและชิงหยี จากนั้นพวกนางก็ตามไปจนเหลืองเพียงภาพเลือนลางของพวกนางเช่นกัน
บทที่ 552 เจียงอี้จะหนี?
“โจมตี!”
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังทางใต้ของกำแพงเมืองพากันเคลื่อนไหวแล้วแม้ว่าร่างของพวกเขาจะแข็งทื่อและเชื่องช้าเพราะถูกแช่แข็ง แต่พวกเขาก็คงจะไม่โง่ขนาดที่จะไม่ฉวยโอกาสและโจมตีในตอนนี้อยู่แล้ว
ผู้เชี่ยวชาญกว่าสิบสองคนที่อยู่เหนือขอบเขตจินกังขั้นที่ห้าได้พากันสาดพลังใส่จักรพรรดิอสูรชือด้วยการโจมตีรูปแบบเต๋า,โจมตีด้วยแก่นแท้พลังและทักษะเวทย์มนตร์ทุกรูปแบบ
จักรพรรดิอสูรชือตะโกนออกมาอย่างเดือดดาลม่านพลังสีน้ำเงินเรืองแสงอยู่รอบตัวเขา เขาเมินเฉยต่อการโจมตีจากผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังไปอย่างสิ้นเชิง จากนั้นก็แล่นไปกลางอากาศทันทีเพื่อที่จะหลบพลังโจมตีแห่งดวงดาราของฉินซาน
โดยหลักๆแล้วที่จักรพรรดิอสูรและยอดฝีมือขอบเขตเทียนจุนแข็งแกร่งนั้นก็เป็นเพราะว่าพวกเขาสามารถสร้างเกราะม่านพลังได้จากแก่นแท้พลังหรือพลังปีศาจตราบใดที่เกราะม่านพลังนั้นไม่แตกสลายไป พวกมันก็จะยังคงไม่เป็นอะไร
เกราะม่านพลังศักดิ์สิทธิ์นั้นทรงพลังมากจนการโจมตีธรรมดาแทบจะไม่สามารถทำลายมันได้การโจมตีของขอบเขตจินกังที่ดูดุร้าย แต่ในสายตาของจักรพรรดิอสูรชือ มันไร้ค่ามากๆ เขากลัวเพียงพลังแห่งดวงดาราเท่านั้น ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บเพราะเขาประเมินพลังของดวงดาราต่ำเกินไป เขามีลางสังหรณ์ที่ไม่อาจรู้ได้ว่าถ้าหากเขาถูกพลังนี้จู่โจม แม้แต่ความแข็งแกร่งของม่านพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็จะแตกสลายในทันที
ฟึ่บ!ฟั่บ!
แม้ว่าฉินซานจะยังคงโจมตีและจักรพรรดิอสูรชือเป็นเป้าหมายขนาดใหญ่แต่เขาก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วอยู่ดี ฉินซานนั้นจะโจมตีโดนเพียงแค่ภาพเลือนลางของเขาทุกๆครั้งเท่านั้นแต่มันไม่ใช่ร่างจริงของเขา ในขณะที่พลังแห่งดวงดาราในร่างกายกำลังจะหมดลง ฉินซานก็ได้แต่แอบด่าและสาปแช่งเฟิ่งหลวนและเจียงอี้อยู่ในใจนับล้านๆครั้ง
ฟรึ่บ!
ในขณะนั้นเองร่างสีแดงก็ได้พาดผ่านท้องฟ้าและบินมาจากทางเหนือ ในที่สุดเฟิ่งหลวนก็มาเสียที!
นางปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมกับฉากที่แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่งท้องฟ้าด้านหลังนางมืดครึ้มไปด้วยเมฆดำซึ่งมันมืดสนิทจนคนอื่นๆก็ยังไม่สามารถมองเห็นนิ้วมือตัวเองได้
“อสูรชือเจ้ากล้าบุกทวีปมนุษย์ได้อย่างไร! วันนี้ ข้าจะประหารเจ้าซะ!”
เฟิ่งหลวนอยู่ในชุดคลุมหลากสีเมฆที่ปกคลุมท้องฟ้าด้านหลังนางมาพร้อมกับความกดดันมหาศาล นางเป็นเหมือนธิดาเทพที่ลงมาจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้า นางรีบพุ่งไปและวาดมือเพื่อปลดปล่อยรูปแบบเต๋าราตรีซึ่งมันเปลี่ยนให้ท้องฟ้าเหนือทางใต้ของเมืองมืดสนิท
“ศาสตร์มนตรา!”
เสียงตะโกนดังมาจากกำแพงเมืองทางทิศตะวันออกและชิงหยีก็พุ่งขึ้นมา แสงสีทองส่องประกายขึ้นมาตรงหว่างคิ้วของนางและมันเปล่งประกายออกมา ทันใดนั้นมันก็หายเข้าไปในตัวจักรพรรดิอสูรชือผู้ที่ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดอยู่
“ยังไม่โจมตีอีก?ปลดปล่อยพลังแห่งดวงดาราไปข้างหน้า!”
ฉินซานที่ตกอยู่ในภวังค์กับการปรากฏตัวของเฟิ่งหลวนได้สติกลับมาโชคดีที่เขาได้ยินเสียงเฟิ่งหลวนและเทพลังที่เหลือทั้งหมดไปข้างหน้าในทันทีพร้อมกับกัดฟันของเขาแน่น ในตอนนี้ เขาก็ถูกล้อมรอบไปด้วยความมืดมิดและมองเห็นไม่ชัด แต่เขาก็ไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้วและสุ่มโจมตีไปตามคำสั่งของเฟิ่งหลวน
ฟรึ่บ!
ใต้กำแพงเมืองด้านทิศตะวันตกเจียงอี้กำลังวิ่งไปมาราวกับสุนัขจิ้งจอก แต่ก่อนที่เขาจะอยู่ใต้จักรพรรดิอสูรชือ เขาก็มองอะไรไม่เห็นแล้ว เขาไม่สามารถค้นหาด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้ว่าร่างที่แท้จริงของจักรพรรดิอสูรชือคือร่างไหน
“นายน้อยอสูรชืออยู่เหนือท้องฟ้าไปสามสิบสามกิโลเมตรเหนือพื้นดินทางด้านซ้ายของท่าน เร็วเข้า มาโจมตีเลยเจ้าค่ะ!”
เสียงของเฟิ่งหลวนนั้นทันเวลาพอดีเจียงอี้หลับตาลงและไม่มองอีกต่อไป เขารีบวิ่งไปทางซ้ายและกะระยะทางในใจ ในพริบตาเดียวเขาก็ไปได้ไกลประมาณสามสิบสามกิโลเมตรแล้ว จากนั้นเขาก็พุ่งขึ้นไปด้านบน ดาบมังกรเพลิงและเปลวเพลิงอเวจีก็ปรากฏขึ้นในมือขวาของเขาในทันใด มังกรเพลิงสองตัวส่งเสียงพัดผ่านสายลมออกมาและคาบเปลวเพลิงอเวจีเอาไว้
โฮกก!โฮกกกก!
เสียงคำรามดังก้องไปทั่วและความมืดรอบๆก็จางหายไปเจียงอี้และคนอื่นๆที่เหลือรีบมองหาจักรพรรดิอสูรชือด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว แต่พวกเขาทั้งหมดต่างพากันตกตะลึงเป็นอย่างมาก
เฟิ่งหลวน,ฉินซาน, เจียงอี้, ชิงหยีและผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นที่ห้าอีกสิบกว่าคนเข้าจู่โจมจักรพรรดิอสูรชือด้วยกำลังทั้งหมด แต่มันก็รอดมาได้!
แต่ในตอนนี้จักรพรรดิอสูรชือก็ดูน่าสังเวชนัก!ร่างยักษ์ของเขาถูกเจาะด้วยรูขนาดใหญ่หลายรู โดยมีรูพรุนๆขนาดเล็กอีกมากมายที่หน้าท้องส่วนล่างของเขา เขาถูกแผดเผาอย่างหนักและเลือดก็พุ่งพล่านออกมาราวกับว่าฝนตกเป็นเลือด
อย่างที่คาดไว้เกราะม่านพลังของเขาไม่สามารถต้านทานการโจมตีของพลังแห่งดวงดาราได้ แม่ว่าเขาจะทรงพลังแต่เขาก็ติดอยู่ในรูปแบบเต๋าราตรีและไม่รู้ว่ารอบตัวเขาเกิดอะไรขึ้น จากนั้นความคิดของเขาก็ถูกศาสตร์มนตราของชิงหยีเข้าแทรกแซง แม้ว่าเขาจะฟื้นคืนสติได้ในพริบตา แต่ในเวลานั้นการโจมตีจากฉินซาน, เจียงอี้และเฟิ่งหลวนก็โถมเข้ามาแล้ว แถมยังมีการโจมตีจากผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังอีก
โฮกกก!โฮกกก!
เขาส่งเสียงคำรามออกมาอย่างเดือดดาลดวงตามหึมาของเขาเต็มไปด้วยโทสะ ร่างกายของเขาแวบผ่านไป แต่แทนที่จะวิ่งหนีไป เขากลับตรงไปยังเจียงอี้แทน เขาคุ้นเคยกับกลิ่นอายของเจียงอี้มาก แม้ว่าจะบาดเจ็บสาหัสแต่เขาก็สามารถระบุตัวเจียงอี้ได้ในทันใด
“ไอ้มนุษย์ชั่วช้าเจ้าสังหารลูกข้า, สังหารคนของข้า ข้าจะฆ่าเจ้าไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม!”
จักรพรรดิอสูรชือตระหนักได้อย่างดีว่าหากเขายังดึงดันที่จะจบชีวิตของเจียงอี้เขาอาจจะไม่มีวันได้กลับไปและตายอยู่ที่นี่ เขาจะจบชีวิตลงอย่างแน่นอนเมื่อเฟิ่งหลวนปล่อยรูปแบบเต๋านั่นอีกครั้ง
เจียงอี้ทำให้โทสะในใจของเขารุนแรงยิ่งขึ้นและช่วงท้องส่วนล่างและอวัยวะภายในของเขาก็ถูกเปลวเพลิงของเจียงอี้แผดเผาจะให้เขาตั้งหน้าตั้งตาหนีไปได้อย่างไร?
ร่างยักษ์ของเขาถลาลงมาเหมือนภูเขาผู้คนต่างหายใจลำบากและไร้เรี่ยวแรงแม้เขาจะไม่มีกลิ่นอายใดๆก็ตาม เขาเปิดปากของเขาออกมาก่อนที่เฟิ่งหลวนและคนของนางจะทันได้ตอบโต้ เขาก็ได้พ่นกระแสน้ำอันเย็นเยียบออกไปยังเจียงอี้โดยตรงแล้ว
“นายน้อยระวัง!”
“นายน้อยหนีไป….”
เสียงทั้งสองเสียงดังขึ้นภายในหูของเจียงอี้ทั้งเฟิ่งหลวนและชิงหยีต่างหน้าซีดเผือดและร่างของพวกนางสั่นสะท้านไปด้วยความกลัว หากว่าเจียงอี้ตาย พวกนางทั้งสองก็ต้องตายเช่นกัน และนอกจากนี้ ในช่วงหลายวันที่ผ่านมาพวกนางก็เคยชินกับการมีเจียงอี้อยู่ใกล้ๆและในตอนนี้พวกนางก็ต้องเป็นกังวลกับความปลอดภัยของเขาอยู่แล้ว
เจียงอี้จะหนีไหม?
แน่นอนว่าไม่และแน่นอนว่า…เขาไม่สามารหนีไปได้!
เขาจะต้องใช้เวลาในการย้ายร่างฉับพลันก่อนที่กระแสน้ำอันเย็นเยียบจะพุ่งเข้ามาที่ร่างของเขา ร่างเขาก็รู้สึกแข็งทื่อไปหมดแล้ว ดูท่าแล้วเขาน่าจะแข็งตายก่อนที่เขาจะได้ย้ายร่างฉับพลันแหงๆ
แต่อันที่จริงแล้ว!
เขาไม่เคยคิดจะหนีเช่นกันเปลวเพลิงอเวจีออกมาจากไข่มุกวิญญาณเพลิงที่อยู่บนดาบมังกรเพลิงในมือของเขาและล้อมรอบเขาตัวเขาเอาไว้
กระแสน้ำเย็นเยียบ?
เขาไม่ได้กลัวมันเลยอุณหภูมิของเปลวเพลิงอเวจีของเขาร้อนเพียงใด! มันอาจจะแช่แข็งเฟิ่งหลวนจนตายได้ แต่ไม่ใช่กับเขา!
แล้วก็เป็นไปตามคาด!
เมื่อเปลวเพลิงถูกปลดปล่อยออกมาความหนาวเหน็บในร่างกายของเขาก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเขาก็ฟาดดาบมังกรเพลิงออกไป และมังกรต่างก็คาบเปลวเพลิงอเวจีไปยังอสูรชือ
“หืม?”
จักรพรรดิอสูรชือกำลังบินลงไปอย่างรวดเร็วเขาวางแผนที่จะฉีกร่างเจียงอี้ออกเป็นล้านชิ้นหลังจากที่เจียงอี้ถูกแช่แข็งเพื่อบันดาลโทสะของเขาออกมา
แต่เขากลับลืมเรื่องเปลวเพลิงที่น่าสยดสยองของเจียงอี้ไปชั่วขณะเขาเคลื่อนไหวเร็วมากจนหากว่าเขาไม่หลบไปในตอนนี้ เขาก็จะปะทะเข้ากับเปลวเพลิงอเวจีทันที เขารับรู้ได้ถึงพลังที่น่ากลัวของเปลวเพลิงและหากว่าเขาไม่ตาย เขาจะต้องทนทรมานกับอาการบาดเจ็บของเขาเป็นแน่
เขาควรถอยหรือเสี่ยงชีวิตฆ่าเจียงอี้ดี?
จักรพรรดิอสุรชือเริ่มเกิดความสับสนขึ้นมาแต่เขาก็ไม่ต้องมาคอยนั่งคิดตัดสินใจอีกแล้ว ในเสี้ยววินาทีถัดมา มือซ้ายของเจียงอี้เปล่งประกายด้วยแสงหลากสี พลังงานหลากสีสันมาบรรจบอยู่ที่ฝ่ามือของเขาและกำลังจะรวมตัวกันเป็นการโจมตี
พลังแห่งดวงดารา!
เขาไม่เคยต่อสู้กับผู้เชี่ยวชาญมนุษย์ขอบเขตเทียนจุนมาก่อนและไม่ได้รู้อะไรมากมายเกี่ยวกับพลังแห่งดวงดารานี้แต่ฉินซานได้แสดงให้เขาเห็นถึงพลังของมันแล้วดังนั้นในตอนนี้เขาจึงไม่กล้าที่จะเสี่ยงชีวิต
หากเขาเสี่ยงชีวิตเขาก็ไม่แน่ใจว่าจะสังหารเจียงอี้ได้หรือไม่ อย่างไรเสียเขาก็บาดเจ็บสาหัสแล้วและจะต้องถูกสังหารด้วยพลังแห่งดวงดาราและเปลวเพลิงของเจียงอี้แน่ๆ
แต่ทว่า!
ทันทีที่เขาเคลื่อนตัวไปข้างๆเขาก็รู้สึกได้ถึงความมืดมิด อสูรพิษสีทองได้เข้าสู่ร่างของเขาเงียบๆซึ่งทำให้จิตวิญญาณของเขาสั่นไหว คราวนี้เฟิ่งหลวนและชิงหยีไม่ได้โง่เขลาและปล่อยการโจมตีออกมาได้ทันเวลา
“ตายซะ!”
เจียงอี้ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่มืดมนพลังดวงดาราที่มารวมอยู่บนฝ่ามือของเขากลายเป็นดาบอันแหลมคมและยิงเข้าไปที่ท้องส่วนล่างของจักรพรรดิอสูรชือ ดาบมังกรเพลิงก็ยังคงฟาดฟันลงมาราวกับสายฟ้าพร้อมด้วยเปลวเพลิงอเวจีไปทางจักรพรรดิอสูรชือเช่นกัน