เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 561-562
บทที่ 561 เมืองนั้นต้องนองเลือด
ปัง!
ภายในหุบเขา,พื้นดินก็ปะทุขึ้นมาในทันใดและมีร่างสองร่างพุ่งออกมาจากเศษฝุ่นและก้อนหินที่แตกออกมาจากพื้นดินไปทั่วท้องฟ้า หลังจากที่ออกมาแล้ว ทั้งคู่ก็ปลดปล่อยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์พร้อมกันและสำรวจบริเวณรอบๆแถวนั้น เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีอันตรายใดๆ ชายหนุ่มหัวโล้นก็บอกใบ้เป็นท่าทางมือไปที่หญิงงามอีกคน จากนั้นนางก็เวียนไปรอบๆราวกับภูติผีและคอยคุ้มกันอยู่ใกล้ๆ
“ญาณศักดิ์สิทธิ์!”
ชายหนุ่มหัวโล้นนั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้นและพูดเบาๆจากนั้น ร่างของเขาก็ส่องแสงสีขาวออกมา ภาพต่างๆก็เริ่มปรากฏขึ้นในใจของเขา หลังจากนั้นประมาณห้านาทีเขาก็ตรวจสอบสถานที่ทั้งหมดในระยะห้าหมื่นกิโลเมตรเสร็จสิ้นแล้วลืมตาขึ้นมา
ฟึ่บ+
เขาเหาะไปทางทิศตะวันออกและหญิงงามที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าก็รีบกระโจนออกมาอย่างรีบร้อนและถามออกมาแต่ไกลว่า “นายน้อย ตอนนี้เรียบร้อยแล้วใช่ไหมเจ้าคะ?”
“เรียบร้อยข้าเจอเส้นทางแล้ว เฟิ่งเอ๋อร์ พาข้าไปทางนั้นที!” ชายหนุ่มยิ้มจางๆและมีความมั่นใจอยู่บนใบหน้าของเขา
นางรีบบินไปทางเขาและจากนั้นก็ยกเขาขึ้นมายังอ้อมแขนและหนีไปนางรวดเร็วมาก เมื่อนิ้วเท้าของนางแตะพื้น นางก็สะบัดตัวพุ่งออกไปทันที ในชั่วพริบตาพวกเขาก็ข้ามภูเขาไปหลายลูกแล้ว
“ไปทางขวาไปตามภูเขาลูกนี้ลงไปด้านล่าง อย่าลืมซ่อนตัวด้วยล่ะ มีเผ่าพันธุ์เสือดาวอยู่แถวๆนี้”
“ข้างหน้าเป็นที่ราบเฟิ่งเอ๋อร์ระวังตัวและใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแผ่ออกไปด้วย หากเจ้าเห็นครึ่งคนครึ่งยักษ์แยกตัวออกมา สังหารมันซะและทำลายศพด้วย”
“อย่าไปทางนั้นทางนั้นมีแม่น้ำใหญ่และพวกยักษ์อยู่ในแม่น้ำ”
“ไปทางซ้าย….”
หญิงงามที่ไม่มีผู้ใดเทียบพาชายหนุ่มวิ่งไปข้างหน้าราวกับภูติผีชายผู้นั้นบอกเส้นทางให้แก่นางอยู่ตลอดเวลาสิ่งที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งคือมีเผ่ายักษ์อยู่อย่างน้อยหลายหมื่นเผ่าพันธุ์อยู่รอบๆและมียักษ์มากมายนับล้านตน แต่หลังจากที่เดินทางมาเป็นชั่วโมงพวกเขาก็ยังไม่พบยักษ์ตนใดหรือสร้างปัญหาให้กับเผ่าครึ่งคนครึ่งยักษ์เลย
“เอาล่ะหยุดได้แล้ว!”
ณป่าหิน, ชายหนุ่มก็ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก จนทำให้หญิงงามหยุดหายใจชั่วครู่ก่อนที่จะมองชายผู้นั้นด้วยความประหลาดใจและพูดว่า “นายน้อยใช้ทักษะเวทย์มนตร์อะไรกัน? ท่านสามารถมองเห็นภาพอนาคตได้อย่างไรเจ้าคะ? นี่เราผ่านมาอย่างน้อยก็สามแสนกิโลเมตรได้แล้ว”
“ฮ่าฮ่า!”
แน่นอนว่าชายหนุ่มผู้นี้ต้องเป็นเจียงอี้อยู่แล้วและหญิงงามนางนั้นก็คือเฟิ่งหลวนหลังจากที่เจียงอี้ตัดสินใจเดินทางเหนือพื้นดินและรีบตรงไปยังเมืองจักรพรรดิของทวีปมนุษย์กลายพันธุ์เพื่อโค่นล้มจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ เขาจึงนำชิงหยี, เจียงเสี่ยวนู๋และสัตว์อสูรเถาอู้เข้าไปในราชวังจักรพรรดิ จากนั้นเขาก็ให้เฟิ่งหลวนอุ้มเขาหลังจากที่เขาตรวจสอบพื้นที่ด้วยญาณศักดิ์สิทธิ์และผ่านพื้นที่เหล่านั้นมาได้อย่างปลอดภัย
และผลปรากฏก็คือวิธีการของเขาได้ผลดีมาก!
เขาไม่ได้อธิบายให้เฟิ่งหลวนฟังเพราะจอมเวทย์บอกเขาไม่ให้เขาส่งศาสตร์เวทย์เหล่านี้ให้คนนอกตระกูลเขาจึงเริ่มนั่งขัดสมาธิอีกครั้งและยังคงปลดปล่อยญาณศักดิ์สิทธิ์ออกไปแต่การตรวจสอบที่ไม่ได้กว้างขวางจะทำให้เขาเสียเวลาและพลังวิญญาณเพียงเล็กน้อยและนั่นจะทำให้เขาไม่เหนื่อยจนหลับไป
“เรียบร้อยเฟิ่งเอ๋อร์ เดินทางต่อกันเถอะ!”
หลังจากนั้นอีกห้านาทีเจียงอี้ก็ลืมตาขึ้นมาและมีความเหนื่อยล้าอยู่เล็กน้อย แต่เวลาก็เหลือน้อยลงทุกที เขาจึงไม่ต้องการที่จะเสียเวลาอีกต่อไป
เมืองหลวงอยู่ห่างจากที่ที่พวกเขาอยู่นิดหน่อยดังนั้นพวกเขาจึงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งวันหนึ่งคืนแม้จะเป็นเฟิ่งหลวนก็ตาม หากว่ามนุษย์มดและมนุษย์อสรพิษที่อยู่ใต้ดินไม่เจอพวกเขา พวกนั้นจะคิดว่าพวกเขาน่าจะขึ้นมาบนดินแล้วแน่ๆ และเมื่อถึงเวลาที่ข่าวแพร่กระจายออกไปและโถงวรยุทธรู้เรื่องนี้ ความพยายามทั้งหมดของพวกเขาก็จะสูญเปล่าไปในทันที
ในตอนนี้เฟิ่งหลวนซ่อนอยู่ในต้นไม้ยักษ์เหนือเจียงอี้และนางก็ตื่นตัว หลังจากที่นางได้ยินเจียงอี้ นางก็ลื่นลงจากต้นไม้ด้านบน ซึ่งสายลมได้พัดมาและถลกเสื้อคลุมหลากสีของนางขึ้นมาจนเผยขาที่เรียวงามและกางเกงขาสั้นลายลูกไม้
อึกอึก!
จิตใจที่เหนื่อยล้าของเจียงอี้ก่อนหน้านี้กลับกลายเป็นตื่นตัวขึ้นมาเขาจ้องไปที่ขาทั้งสองข้างและกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว ส่วนเฟิ่งหลวนก็หน้าแดงไปด้วยความอับอายจากสายตาของเขาที่จับจ้องมายังนาง
โชคดีที่ทั้งคู่ต่างเป็นคนอดกลั้นมากเจียงอี้ลดศีรษะลงอย่างรวดเร็วและใบหน้าของเฟิ่งหลวนเองก็กลับมาเป็นปกติ นางบินลงมาและอุ้มเจียงอี้ไปข้างหน้า
“กลิ่นหอมจัง!”
ในตอนนี้เจียงอี้ถูกเฟิ่งหลวนอุ้มมาหลายชั่วโมงและเขาก็มัวแต่จดจ่อไปกับภูมิประเทศที่เขาสำรวจ เขาจะมีแรงไปคิดเรื่องอื่นได้อย่างไร?
แต่ในตอนนี้เขาได้เห็นบางสิ่งที่เขาไม่ควรเห็นและมีความคิดชั่วร้ายแล่นผ่านเข้ามา เมื่อนางกำลังอุ้มเขา จู่ๆเขาก็เอนหัวไปทางร่างของเฟิ่งหลวนโดยไม่รู้ตัว เขาได้กลิ่นอันหอมหวานคล้ายดอกไม้ ทันใดนั้นเขาก็ฟุ้งซ่านและเผลอเรอเอามือไปเกาะที่รอบเอวของนางอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“อะแฮ่ม!”
ร่างอันบอบบางของเฟิ่งหลวนสั่นสะท้านและมีใบหน้าที่แดงระเรื่อปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าที่สงบนิ่งของนางอีกครั้งนางหยุดฝีเท้าของนางซึ่งทำให้เจียงอี้ได้สติและค่อยๆเอามือออกไปก่อนที่เขาจะถามอย่างจริงจังว่า “เฟิ่งเอ๋อร์ เจ้าหยุดทำไมน่ะ?”
เฟิ่งหลวนมองลงไปข้างล่างโดยไม่กล้ามองไปที่เจียงอี้นางกระซิบว่า “นายน้อย ข้าจะไปต่อได้อย่างไรหากท่านไม่บอกว่าข้างหน้ามีเผ่ายักษ์อยู่หรือไม่? หรือท่านอยากให้เราตรงไป…..”
“อ๋า?”
เจียงอี้ฝืนยิ้มออกมาอย่างเคอะเขินเขาไม่กล้าทำตัวยุ่มย่ามอีกต่อไปและกลับคืนสู่สถานการณ์ปกติ เขาตบหัวเขาและพูดว่า “ฮ่าฮ่า ข้าก็ลืมไป เราควรไปทางนั้นกัน”
เฟิ่งหลวนก็ได้แต่กลอกตาและกลับมาจริงจังส่วนเจียงอี้ก็ยับยั้งตัวเองและเริ่มแสดงให้นางเห็นว่าเขาจริงจังแล้ว
แต่จมูกของเจียงอี้ก็กระตุกอยู่ตลอดเวลาเพราะเขาคอยสูดดมกลิ่นกายของเฟิ่งหลวนภาพที่นางอยู่กับชิงหยีบนเกาะคืนนั้นยังคงปรากฏขึ้นมาในใจเขาอย่างไม่สามารถควบคุมได้
ดังนั้นจิตใจของเขาจึงหลุดลอยไปตลอดทางและมือของเขาก็สัมผัสกับร่างของเฟิ่งหลวนเป็นครั้งคราวและแต๊ะอั๋งนางอย่างไร้ยางอายด้วยข้ออ้างว่าลมมันพัด
เมื่อเขามองไปที่เฟิ่งหลวนและพบว่านางไม่ได้แสดงออกว่ารำคาญเลยและกลับกลายเป็นคนขี้อายเหมือนหญิงสาวมันยิ่งทำให้เขาได้ใจมากขึ้นแม้ว่าการเดินทางนี้จะราบรื่นแต่เขาก็ตั้งใจเหวี่ยงแขนไปถูกเอวเล็กๆบ้าง หน้าอกของนางบ้าง หากไม่ใช่เพราะเฟิ่งหลวนใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์นำทาง พวกเขาคงวิ่งเข้าไปในเผ่ายักษ์หลายครั้งแล้ว
แต่เมื่อพวกเขาเข้าใกล้เมืองหลวงมากขึ้นก็มีชนเผ่ามากมายที่อยู่ใกล้ๆมากขึ้นเรื่อยๆ และชนเผ่าที่ทรงพลังบางเผ่านั้นก็มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังอยู่ ดังนั้นเจียงอี้จึงไม่กล้าที่จะทำตัวเหมือนเด็กอีกต่อไปและคอยจดจ่ออยู่กับเส้นทาง
ในวันนั้นเริ่มมืดแล้วแต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้พักผ่อนเลย หลังจากที่เจียงอี้ปลดปล่อยญาณศักดิ์สิทธิ์ออกมาอีกครั้ง พวกเขาก็รีบเดินทางไปตลอดทั้งคืนและมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงทันที
สิ่งที่ทำให้พวกเขามั่นใจว่าที่นั่นคือเมืองหลวงเป็นเพราะว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังที่ทรงพลังที่สุดอยู่ที่นั่นและในเมืองยังมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังมากถึงสิบห้าคน
หลังจากที่เดินทางมาทั้งคืนในที่สุดพวกเขาก็เข้าใกล้เมืองหลวงในรุ่งสาง แต่คราวนี้พวกเขาไม่ได้รีบเข้าไปในเมืองอย่างผลีผลาม แต่พวกเขาพากันหยุดพักแถวเนินเขานอกเมืองกันก่อน
ก่อนที่แสงยามเช้าจะสาดส่องเฟิ่งหลวนก็มองไปที่เมืองที่อยู่ไกลๆและถามว่า “นายน้อย เราจะตรงเข้าไปในเมืองและสังหารจักรพรรดิของพวกเขาเลยหรือเปล่าเจ้าคะ?”
“ไม่!”
เจียงอี้ส่ายหัวและพูดว่า“ถ้าเราตรงเข้าไปและยังไม่ถูกเผยตัว ยังไงเราก็ต้องทำให้เมืองนั้นต้องนองเลือด ที่นั่นมีพลเมืองนับล้าน เราสามารถสังหารพวกนักสู้ได้แต่ไม่ใช่กับพลเมืองที่บริสุทธิ์ ข้าคาดว่าเราน่าจะล่อจักรพรรดิของพวกนั้นได้และพยายามสังหารเขาที่นี่!”
“นายน้อยช่างมีจิตใจเมตตา!แม้ว่าเราจะมือเปื้อนเลือดมามากมาย แต่เราก็ควรจะหลีกเลี่ยงการสังหารที่ไม่จำเป็นได้….”
เฟิ่งหลวนพยักหน้าเห็นด้วยพวกเขาแอบเข้ามาในทวีปมนุษย์กลายพันธุ์ ซึ่งมันก็ถูกต้องแล้วที่นักสู้ฝั่งนั้นจะตามล่าพวกเขา และพวกเขาก็มีพลังเช่นกันและคงต่อสู้กลับอยู่แล้ว แต่การสังหารพลเมืองผู้บริสุทธิ์ในทวีปนั้นถือเป็นการไร้คุณธรรมซึ่งมันจะนำพาให้พวกเขาสูญเสียตัวตนและเข้าสู่ด้านมืดได้
…
บทที่ 562 นายน้อยถูรุ่ย
เจียงอี้พูดถูกแล้วเมืองใหญ่แห่งนี้คือเมืองหลวงและผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นสูงสุดคือจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งทวีปมนุษย์กลายพันธุ์แห่งนี้
ในตอนสายของวันนั้นณ ห้องโถงกลางของปราสาทที่ใหญ่ที่สุดของเมือง มีสาวใช้มากมายกำลังเข้าไปเสิร์ฟไวน์และอาหารเลิศรส บรรดาสาวใช้เหล่านี้ พวกนางแต่งตัวเปิดเผยมาก พวกนางสาวชุดยาวผ่าข้างที่เผยต้นขาอันขาวเนียนออกมา พวกนางก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์พิเศษเช่นกัน ดวงตาของพวกนางดูเฉี่ยวคมและมีดวงตาที่น่าเย้ายวน
ทหารยามที่แข็งแกร่งที่ยืนอยู่นอกห้องโถงกลางนั้นไม่ได้สนใจสาวใช้ที่อยู่รอบๆตัวพวกเขาเลยและพวกเขาถือหอกและไม้สามง่ามอยู่ขณะที่คอยระวังอย่างสูง
“ตายแล้ว!”
สาวใช้ผู้หนึ่งซุ่มซ่ามและล้มลงไปกับพื้นจนทำให้ขวดไวน์ชั้นดีตกแตกลงไปกับพื้นจนมันเปียกไปเต็มพื้นและส่งกกลิ่นหอมออกมา
“อ๊ะ?”
สาวใช้ผู้นั้นหน้าซีดเผือดทันทีและมองไปที่ทหารยามหน้าประตูมแต่เมื่อนางเงยหน้าขึ้น สิ่งที่นางเห็นคือหอกกำลังแทงมาที่นางราวกับอสรพิษและถูกหอกเจาะทะลุสมองก่อนที่นางจะมีเวลาได้กรีดร้องออกมาแล้วนางก็ตายลงไปในทันที
“ฮึ่ม!วันนี้จักรพรรดิกำลังเลี้ยงแขกผู้มีเกียรติอยู่ ใครก็ตามที่กล้าสะเพร่าก็ตายซะ!”
ชายร่างสูงในชุดเกราะดึงหอกของเขากลับไปและมองสาวใช้ด้านนอกอย่างเย็นชาจึงทำให้สาวใช้ทุกคนพากันตัวสั่นเทาไปด้วยความหวาดกลัวและเดินเข้าไปข้างในด้วยความระมัดระวัง ไม่มีผู้ใดกล้าหันไปมองศพที่พื้นเลยแม้แต่คนเดียว
ห้องโถงกลางนั้นหรูหรามากและไม่ต่างจากที่ที่มนุษย์อาศัยอยู่เลยมีพรมสีขาวปูไว้และแบ่งห้องโถงกลางออกเป็นครึ่งหนึ่ง ทางด้านซ้ายต่างเต็มไปด้วยโต๊ะสีทอง และด้านหลังโต๊ะสีทองก็มีผู้เชี่ยวชาญนั่งอยู่บนพื้น ส่วนโต๊ะสีม่วงทองขนาดยักษ์ตั้งอยู่ที่ด้านบนสุดของห้องนั้นและมีชายวัยกลางคนที่ดูทรงพลังนั่งอยู่ข้างหลังนั่น
ชายผู้นี้ทรงพลังมากแม้ว่าเขาจะนั่งที่พื้นแต่เขาก็ยังสูงเกินสามเมตร แขนของเขามีขนาดใหญ่กว่าต้นขาทั้งสองข้างของสาวใช้เสียอีก เขาสวมชุดเกราะสีทองและมีเคราอยู่รอบใบหน้า ดวงตาที่โปนของเขาฉายแววอำมหิตออกมาเป็นครั้งคราวซึ่งทำให้ผู้คนหวาดกลัวสายตาของเขา
ชายผู้มีกล้ามแน่นชูแก้วไวน์สีทองขนาดยักษ์ขึ้นมาและมองไปรอบๆและหยุดสายตาของเขาที่ชายหนุ่มที่โต๊ะด้านซ้ายบนเขาแสยะยิ้มและกล่าวว่า “มา มา มา แก้วนี้แด่นายน้อยถูรุ่ย! ยินดีต้อนรับท่านสู่ทวีปมนุษย์กลายพันธุ์ งานเลี้ยงจะจัดยาวไปสามวันสามคืน งานเลี้ยงจะไม่มีวันเลิกราหากยังมีคนได้สติอยู่!”
คนกว่าสิบคนในห้องโถงกลางลุกขึ้นและยกแก้วของพวกเขาทุกคนต่างมองไปที่นายน้อยทางด้านซ้ายและตะโกนออกมาด้วยความเคารพว่า “แด่นายน้อยถูรุ่ย!”
“ฮ่าฮ่าจักรพรรดิเหมิง ท่านเกรงใจไปแล้ว ทุกคนนั่งลงเถิด!”
นายน้อยในชุดสีเขียวนั้นดูเป็นบุคคลพิเศษต่อหน้าเหล่ายอดฝีมือของทวีปมนุษย์กลายพันธุ์นั้น เขาไม่แม้แต่จะลุกขึ้นแต่กลับยิ้มให้กับชายวัยกลางคนที่ดูบึกบึนและยกแก้วขึ้นมาพร้อมกับดื่มไวน์แทน
ชายวัยกลางคนที่ถูกนายน้อยเรียกว่าจักรพรรดิเหมิงยิ้มกว้างพร้อมกับชูแก้วใบใหญ่ขึ้นมาและดื่มไวน์ แต่เมื่อเขาดื่มไวน์ไปได้เพียงครึ่งเดียว ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ดวงตาของเขามองออกไปนอกโถงกลางด้วยความเดือดดาล และกลิ่นอายก็แผ่ซ่านออกมาทันทีซึ่งทำให้สาวใช้ที่อยู่ข้างๆสองคนพากันคุกเข่าลงไปด้วยความหวาดกลัว
“หืม?”
นายน้อยถูรุ่ยและผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังในห้องโถงกลางต่างเห็นพฤติกรรมแปลกๆของจักรพรรดิเหมิงและพากันมองไปที่เขาจากนั้นพวกเขาก็หันมามองหน้ากันและต่างพากันคาดเดาว่าเกิดอะไรขึ้น
ปัง!
แก้วไวน์ในมือของจักรพรรดิเหมิงร่วงลงไปที่พื้นทันที ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นและป้องมือไปทางนายน้อยถูรุ่ย “นายน้อยโปรดวางใจและนั่งรออยู่ที่นี่ก่อน ข้างนอกนั่นมีผู้ร้ายสองคน รอข้านำศีรษะของพวกมันกลับมาและทำให้บรรยากาศที่นี่สดใสขึ้นสักครู่”
“ท่านจักรพรรดิท่านไม่จำเป็นต้องไปหรอกพะยะค่ะ พวกข้าไปก็เพียงพอแล้วพะยะค่ะ!”
เหล่าผู้เชี่ยวชาญในโถงกลางค่อยๆยืนขึ้นทีละคนส่วนนายน้อยถูรุ่ยยิ้มอย่างอ่อนโยนและกล่าวว่า “ในเมื่อพวกผู้ร้ายพวกนี้สามารถรบกวนจักรพรรดิเหมิงได้ พวกเขาคงไม่ธรรมดาแน่ๆ ถูรุ่ยควรไปกับจักรพรรดิเหมิงและสั่งสมประสบการณ์ด้วย”
“ได้เลย!”
จักรพรรดิเหมิงพยักหน้าและโบกมือ “เช่นนั้นก็ไปหาผู้ร้ายที่แฝงตัวมากันเถอะ”
ฟึ่บ!ฟั่บ! ฟึ่บ!
คนมากกว่าสิบคนบินออกมาจากปราสาทและเดินขบวนไปยังเนินเขาทางตอนใต้ของเมืองมนุษย์กลายพันธุ์ทั้งหมดต่างพากันคุกเข่าเมื่อเห็นจักรพรรดิเหมิงอยู่ตรงหน้าพวกเขาและพวกเขาก็คอยเดากันอยู่เงียบๆ ที่จักรพรรดิเหมิงและยอดฝีมือทั้งหมดในเมืองออกมาและเหมือนพร้อมที่จะต่อสู้นั่นเป็นเพราะว่ามีศัตรูที่แข็งแกร่งกำลังมาที่นี่หรือ?
….
“พวกมันมากันแล้วเฟิ่งเอ๋อร์อย่าปล่อยให้ผู้ใดรอดไปได้ สังหารพวกมันทั้งหมดยกเว้นจักรพรรดิ”
ณเนินเขาทางใต้ของเมืองหลวงที่ห่างออกไปสิบกิโลเมตร, เจียงอี้นอนอยู่บนก้อนหินขนาดยักษ์และคาบใบหญ้าไว้ที่ปาก เขามองดูคนกว่าสิบคนที่บินออกมาจากทางเหนือ ส่วนเฟิ่งหลวนที่ยืนอยู่ข้างๆเขาก็ดูผ่อนคลายเช่นกัน ในบรรดาผู้ที่กำลังมานั้น มีคนน้อยกว่าครึ่งที่อยู่เหนือขอบเขตจินกังขั้นที่ห้า และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ขั้นสูงสุด ฉะนั้น เจียงอี้และนางจึงสามารถจัดการกับคนเหล่านี้ได้โดยไม่ได้ลำบากยากเย็นอะไร
ฟรึ่บ!
ร่างทั้งสิบเจ็ดร่างพุ่งผ่านท้องฟ้ามาและในพริบตาพวกเขาก็มาถึงเนินเขานั้นแล้วจักรพรรดิเหมิงและกลุ่มคนของเขาจ้องมองไปที่เจียงอี้และเฟิ่งหลวนแต่ไกล
บรึฟ!
แต่ในไม่ช้าทุกสายตาก็จับจ้องไปยังเฟิ่งหลวนและมองด้วยความต่ำช้า เฟิ่งหลวนนั้นงดงามมากและนางก็มีขาที่เรียวยาวมาก นอกจากนี้นางยังเป็นจักรพรรดินีแห่งทวีปเฟิ่งหมิงอีกด้วย เมื่อผู้ใดขึ้นไปสู่อำนาจอันดับหนึ่งแล้ว อากัปกิริยาของคนผู้นั้นก็จะดีขึ้นด้วยเช่นกัน และนางนั้นก็มีเสน่ห์อยู่แล้วซึ่งมันได้ทำให้เหล่าผู้ชายทั้งหลายต้องการที่จะสยบนางให้มาอยู่แทบเท้าพวกเขา พวกมนุษย์กลายพันธุ์ต่างก็เกิดมาพร้อมตัณหาอยู่แล้ว แล้วจะไม่ให้พวกเขาหลงใหลนางได้เช่นไร?
เจียงอี้หยุดหมุนแก่นแท้พลังดวงดาราในตัวเขาส่วนเฟิ่งหลวนเองก็สะกดกลิ่นอายของนางเช่นกันนางจึงดูเป็นหญิงสาวที่ดูเปราะบางในตอนแรก ดังนั้นจึงดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้เป็นอันตรายต่อจักรพรรดิเหมิงเลย
เจียงอี้ยังคงนอนราบอยู่บนหินเขาจ้องมองไปที่จักรพรรดิเหมิงด้วยรอยยิ้มจางๆ ส่วนเฟิ่งหลวนก็เมินเฉยต่อคนพวกนั้นและแอบแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของนางอย่างเงียบๆ หลังจากที่แน่ใจว่าไม่มีผู้ใดตามมาแล้ว นางก็พยักหน้าให้เจียงอี้
ฟรึ่บ!
จักรพรรดิเหมิงและคนอื่นๆพุ่งตรงไปทางพวกเขากลิ่นอายของจักรพรรดิเหมิงแผ่กลิ่นอายที่กดดันออกมาราวกับสัตว์อสูรยักษ์โบราณ เขายื่นแขนออกมาเพื่อที่จะคว้าตัวเฟิ่งหลวน เพราะเขามั่นใจว่าคนที่ยั่วโมโหเขาในตอนนี้คือหญิงผู้นี้ ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องแสดงทีท่าอะไรและเข้าไปจัดการนางโดยตรง
“ฮึ่ม!”
เฟิ่งหลวนยังคงไม่ขยับแต่เจียงอี้กลับยืนขึ้นในทันทีในขณะที่เขาเคลื่อนไหว ดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดและกลิ่นอายสังหารของเขาก็หลั่งไหลออกมาเช่นกัน
“หืม?อันตราย! ทุกคน เปลี่ยนร่าง!”
“ชายผู้นี้แปลกนัก!”
ทันใดนั้นจักรพรรดิเหมิงและนายน้อยถูรุ่ยก็ตระหนักได้ว่ามีบางสิ่งไม่ถูกต้องและพวกเขาก็ตะโกนออกมาด้วยความประหลาดใจและเปลี่ยนร่างในเวลาเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังเองก็เปลี่ยนร่างทันทีเช่นกัน พวกนั้นพร้อมที่จะต่อสู้แล้ว
ร่างกายของจักรพรรดิเหมิงกลายเป็นกล้ามที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเกราะสีทองของเขาแตกออกและมีขนสีดำขึ้นอยู่ทั่วร่างกายของเขา มือและเท้าของเขาก็กลายเป็นกรงเล็บที่แหลมคมและมีหางยาวปรากฏที่ก้นของเขา ร่างกายส่วนบนของเขายังคงเหมือนมนุษย์อยู่ แต่ร่างอีกครึ่งร่างนั้นได้กลายเป็นหมีไปแล้ว
โฮกกกก!
นายน้อยผู้นั้นเองก็กลายร่างเช่นกันตัวของเขาถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีทองและมีหางเหล็กที่ยาวนับสิบเมตรโผล่ออกมาจากก้นของเขา กรงเล็บที่แหลมคมของเขาเปล่งประกายไปด้วยแสงที่เยือกเย็นและน่าตกใจ เขากลายเป็นมังกร!
ส่วนที่เหลือก็กลายร่างเป็นสิงโต,เสือดาว, เหยี่ยวและอื่นๆ พวกมันทั้งหมดยังคงมีร่างส่วนหนึ่งเป็นมนุษย์ละอีกส่วนหนึ่งเป็นสัตว์อสูร กลิ่นอายต่างๆพุ่งออกมาจากร่างกายของพวกนั้นซึ่งทำให้อากาศรอบๆเนินเขาต่างหยุดนิ่งไป