เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 565-566
บทที่ 565 เผ่าพันธุ์เฟยหม่า
ทวีปเฟยหม่านั้นมีขนาดใหญ่มากและน่าจะใหญ่อย่างน้อยสองเท่าของทวีปเฟยหม่าแต่ก็แน่นอนว่าผู้ที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่สุดยังคงเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่ดี
เผ่าพันธุ์เฟยหม่าได้เข้าปกครองทวีปเฟยหม่าเป็นเวลาหลายล้านปีซึ่งเผ่าพันธุ์เฟยหม่าก็ยังมีอำนาจที่ยิ่งใหญ่ในทวีปจักรพรรดิบูรพาและยังอยู่ใต้อำนาจเป็นอันดับหนึ่งของจักรพรรดิแห่งศาสตราซึ่งเป็นหนึ่งในเก้าจักรพรรดิแห่งทวีปจักรพรรดิบูรพา เผ่าพันธุ์นี้ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้และยังเป็นเจ้าของทรัพยากรมากมายซึ่งทำให้ลูกหลานของพวกเขาไม่มีผู้ใดเทียบเทียม และเมื่อมีทรัพยากรมากจึงมีนักสู้จากเผ่าพันธุ์เฟยหม่ามากมายในทุกรุ่นและทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
รูปร่างของเผ่าพันธุ์เฟยหม่าไม่ต่างจากมนุษย์เลยพวกเขาไม่ได้แปลงกายเหมือนมนุษย์กลายพันธุ์ แต่ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือพวกเขามีเขาอยู่บนหัว แต่ก็แน่นอนว่าถ้าพวกเขาไว้ผมมันก็อาจจะไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นด้วยซ้ำ
พลังอันแข็งแกร่งนั้นก็มาจากเขาทั้งสองข้างบนหัวของพวกเขานั่นเอง
พวกเขามีความสามารถที่ทรงพลังเป็นอย่างมากและเขาของเผ่าพันธุ์นี้สามารถดูดซับและปลดปล่อยสายฟ้าซึ่งทำให้ศัตรูไม่สามารถสู้กลับได้
ยิ่งเป็นผู้ที่แข็งแกร่งยิ่งสามารถดูดซับสายฟ้าได้มากขึ้นและปล่อยสายฟ้าที่รุนแรงยิ่งขึ้นได้ในระหว่างการต่อสู้อย่างเช่นสายฟ้าที่ปล่อยออกมาจากผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นแรกของเผ่าพันธุ์นี้สามารถสร้างบาดแผลให้กับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นที่ห้าหรือแม้แต่สังหารคนผู้นั้นเลยก็ได้ ส่วนผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นสูงสุดนั้นสามารถทำร้ายผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนได้
นอกจากนี้ชาวเฟยหม่ายังสามารถใช้พลังสายฟ้าเพื่อขัดเกลาร่างกาย,เสริมสร้างพลังกายและเพิ่มความเร็วและการป้องกันให้อยู่ในระดับที่สูงอย่างไม่น่าเชื่อ ดังนั้นเผ่าพันธุ์เฟยหม่าจึงแพร่กระจายไปทั่วแดนเทียนชิงและพวกเขาก็ได้กลายเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์พิเศษที่ทรงพลังที่สุด
“เผ่าพันธุ์เฟยหม่าแข็งแกร่งมากในครั้งนี้เราควรพยายามเลี่ยงความขัดแย้งให้ได้มากที่สุด”
หลังจากที่ฟังคำอธิบายของเฟิ่งหลวนแล้วเจียงอี้ก็ถอนหายใจออกมา เขาได้ทำให้โถงวรยุทธและตระกูลถูขุ่นเคืองไปแล้ว หากว่าเขายังไปยั่วยุเผ่าพันธุ์เฟยหม่าอีก เขาก็คงจะตายก่อนที่จะไปถึงทวีปจักรพรรดิบูรพาเป็นแน่
โลกใบนี้เต็มไปด้วยสิ่งอัศจรรย์จริงๆทวีปเทียนชิงนั้นเป็นเพียงบ่อน้ำเล็กๆ หากเขาไม่เคยออกมาจากบ่อน้ำแห่งนั้น เขาจะมีประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร? เขานึกถึงคำพูดของจักรพรรดินีสัตว์อสูรได้ว่า โลกที่เขาเห็นนั้นเป็นเพียงส่วนเล็กๆ เขาอาจจะได้เห็นเผ่าพันธุ์แปลกๆและแข็งแกร่งกว่าในทวีปจักรพรรดิบูรพาอีกมากมาย
“ทวีปจักรพรรดิบูรพา!”
ความคิดนั้นทำให้เจียงอี้ตื่นเต้นขึ้นมาทวีปแห่งนั้นเป็นหัวใจของปฐพีนี้ มันจะเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญการต่อสู้และสมบัติล้ำค่า มันเหมือนสวรรค์สำหรับผู้แข็งแกร่ง และผู้คนมากมายต่างก็โหยหาที่จะไปสำรวจที่นั่น
“ไปกันเถอะ!แทรกซึมเข้าไปในทวีปนี้กันก่อน!”
เจียงอี้หยุดความคิดที่โลดโผนของเขาทวีปจักรพรรดิบูรพานั้นยังอยู่อีกไกลนัก เขาควรคิดหาทางข้ามทวีปเฟยหม่าไปให้ได้อย่างปลอดภัยเสียก่อน
ในตอนนี้เจียงอี้และคนของเขากำลังซ่อนตัวอยู่บนเกาะเล็กๆทางตะวันตกของทวีปเฟยหม่าซึ่งมันใช้เวลาไปยังทวีปเพียงสองวันดังนั้นเขาจึงสั่งให้พักที่นี่หนึ่งคืนเพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนและพร้อมที่จะออกเดินทางต่อ
“ชิงหยีเจ้าเข้าไปในราชวังจักรพรรดิกับเสี่ยวนู๋ก่อน คนมากเกินไปจะตกเป็นเป้าได้ง่ายๆ ข้าจะปล่อยพวกเจ้าออกมาเมื่อมันปลอดภัยแล้ว”
เมื่อเจียงอี้เห็นว่าเจียงเสี่ยวนู๋และชิงหยีพร้อมจะออกเดินทางเขาก็โบกมือและขอให้พวกนางเข้าไปในราชวังจักรพรรดิ ซึ่งมันก็เป็นไปตามคาด พวกนางทั้งสองดูขมขื่นเล็กน้อย เจียงเสี่ยวนู๋ฝึกฝนไปจนถึงคอขวดแล้วในขณะที่ชิงหยีไม่สามารถบ่มเพาะพลังได้อีกแล้ว และมันจะน่าเบื่อหน่ายมากเมื่ออยู่ในราชวังจักรพรรดิ
แต่พวกนางก็เห็นว่าเจียงอี้นั้นแน่วแน่มากพวกนางจึงไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกไปอีกและเข้าไปในราชวังจักรพรรดิแต่โดยดี จากนั้นเจียงอี้ก็โบกมือให้สัตว์อสูรหยาจื้อซึ่งอยู่ในทะเลที่ไกลออกไปโดยที่มีแค่หัวมันที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำเท่านั้น และเขาก็รีบพามันเข้าไปในราชวังจักรพรรดิด้วยเช่นกัน และจากนั้นเขาก็พูดกับเฟิ่งหลวนว่า “ไปกันเถอะ”
เฟิ่งหลวนแบกเจียงอี้และบินไปยังทวีปเฟยหม่าโดยอยู่ใกล้ๆชายฝั่งที่สุดพวกเขาค่อยๆเดินทางและคอยหยุดระหว่างทางเพื่อให้เจียงอี้ได้ปลดปล่อยญาณศักดิ์สิทธิ์ออกมาตรวจดูสถานการณ์โดยรอบ
สำหรับสถานที่ที่ทรงพลังอย่างทวีปเฟยหม่านั้นจะต้องมีทหารคอยประจำการและลาดตระเวนตามแนวชายฝั่งอย่างแน่นอนพวกเขาไม่ได้ต้องการที่จะขัดแย้งกับเผ่าพันธุ์เฟยหม่าเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นพวกเขาจึงต้องแอบเข้าไปและทำตัวให้ติดดินเข้าไว้
“เฟิ่งเอ๋อร์ลงไปในทะเลเร็ว หน่วยลาดตระเวนกำลังมา!”
บนแนวปะการัง,หลังจากที่เจียงอี้เพิ่งจะปลดปล่อยญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขา เขาก็ลืมตาขึ้นมาและตะโกนออกมา จากนั้นพวกเขาก็ลงไปในทะเลและเฟิ่งหลวนก็ตามเขาไปทันที พวกเขาลงไปสู่ก้นทะเลและซ่อนตัวอยู่ใต้แนวปะการังก่อนที่เจียงอี้จะปลดปล่อยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาออกมาอีกครั้ง
ฟรึ่บ!
จากนั้นห้านาทีก็มีเหล่า [1] อาชาเหินฟ้าบินมาตรงที่ที่พวกเขาอยู่จากทะเลทางตะวันออก อาชาเหินฟ้าพวกนี้ไม่ได้มีกลิ่นอายที่รุนแรงมากนักแต่ปีกของพวกมันนั้นกระพือเร็วมาก บนตัวอาชาเหินฟ้านั้นมีทหารสวมเกราะสีขาวและหมวกสีเงินพร้อมกับถือหอกสีเงินอยู่ ซึ่งพวกเขานั้นมีกลิ่นอายที่เกรงขามและทุกคนเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวทั้งหมด! ส่วนผู้นำคนพวกนั้นคือผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกัง
ฟรึ่บ!
อาชาเหินฟ้านับร้อยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนที่จะหายไปในท้องฟ้าในพริบตาโชคดีที่เจียงอี้และเฟิ่งหลวนลงไปใต้ทะเลลึกประมาณสามสิบกิโลเมตร ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงถูกผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังผู้นั้นพบเข้าเป็นแน่
ฟู่!
พวกเขาโผล่ขึ้นมาจากทะเลและเจียงอี้ก็ใช้ญาณศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบสภาพแวดล้อมและในไม่ช้าก็พบเส้นทางไปต่อจากนั้นเฟิ่งหลวนก็แบกเขาและบินไปอย่างรวดเร็ว ในทุกๆระยะทางห้าสิบกิโลเมตรที่พวกเขาผ่านไป พวกเขาจะคอยหยุดอยู่ที่แนวปะการังหรือบนเกาะเล็กๆและเจียงอี้จะปลดลป่อยญาณศักดิ์สิทธิ์ออกมาเพื่อหลีกเลี่ยงหน่วยลาดตระเวนของเผ่าพันธุ์เฟยหม่า
ทวีปนี้ทรงพลังอย่างแท้จริงเพียงแค่วันเดียว เจียงอี้และเฟิ่งหลวนได้หลีกเลี่ยงหน่วยลาดตระเวนไปสิบเจ็ดถึงสิบแปดหน่วยแล้ว หากไม่ใช่เพราะทักษะศาสตร์ญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขามันก็คงยากมากที่พวกเขาจะแอบเข้าไปในทวีป และแม้ว่าสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเฟิ่งหลวนจะแข็งแกร่งแต่มันก็สามารถแผ่ไปได้เพียงห้าสิบกิโลเมตร
“เฟิ่งเอ๋อร์ไปทางตะวันตก มีป่าใหญ่ที่ไม่มีกองทหารประจำการอยู่ที่นั่น”
ในเย็นวันนั้นในที่สุดพวกเขาก็มาถึงทวีปเฟยหม่า เพราะมีญาณศักดิ์สิทธิ์ เจียงอี้จึงพบเส้นทางที่ปลอดภัยได้อย่างง่ายดาย จากนั้นพวกเขาก็ลงไปใต้ทะเลและแอบเข้าไปในป่าและเข้าสู่ทวีปแห่งนั้น
ภายใต้ดวงจันทราที่สาดแสงพวกเขาก็ยังเดินทางต่อไปและมาถึงเมืองเล็กๆในช่วงเที่ยงคืน
เจียงอี้ตรวจสอบเมืองเล็กๆอย่างระมัดระวังก่อนที่จะยิ้มและพูดว่า“เฟิ่งเอ๋อร์ ครั้งนี้เราค่อนข้างโชคดีมากทีเดียว ทวีปเฟยหม่าไม่ได้ต่างจากทวีปเฟิ่งหมิงเท่าไหร่นัก ทุกคนดูเหมือนมนุษย์ทั่วไป เราเข้าไปในเมืองเล็กๆและถามข้อมูลผู้คนแถวนั้นกันเถอะ”
“เจ้าค่ะ!”
เฟิ่งหลวนยิ้มจางๆและผ่อนคลายลงหากว่าพวกเขาสามารถผ่านทวีปนี้ไปได้อย่างปลอดภัยและสงบ ใครจะอยากไปหาเรื่องสู้รบกันล่ะ? การถูกคนอื่นคอยไล่ล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่น่ายินดีเท่าไหร่นักหรอก
พวกเขาเข้าไปในเมืองในยามราตรีอันมืดมิดแต่เมื่อพวกเขาเข้าไปในโรงเตี๊ยม กลุ่มพวกขี้เมาและผู้ดูแลโรงเตี๊ยมต่างก็พากันหลงใหลในความงดงามของเฟิ่งหลวน แต่ก็โชคดีที่เจียงอี้และเฟิ่งหลวนมีท่าทางที่ไม่ธรรมดาจึงสามารถขัดขวางไม่ให้กลุ่มคนขี้เมาเข้ามายุ่มย่ามเอาไว้ได้
หลังจากที่ได้ห้องสองห้องมาแล้วเจียงอี้ก็กวักมือเรียกพนักงานในโรงเตี๊ยม เขาโยนทองคำสีม่วงและพูดคุยกับเขา ในไม่ช้าเขาก็ได้รับข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับทวีปเฟยหม่ามา
เอี๊ยด!
หลังจากที่พนักงานออกไปแล้วเฟิ่งหลวนที่อยู่ห้องข้างๆก็เดินเข้ามา อาจจะเป็นเพราะว่านางเพิ่งจะล้างเนื้อล้างตัวเสร็จ ผิวของนางเลยมีรอยแดงจางๆและกลิ่นหอมจางๆอยู่ เมื่ออยู่ภายใต้แสงเทียน นางดูงดงามมากเหลือเกิน
“นายน้อยได้อะไรมาบ้างเจ้าคะ?”
เมื่อเฟิ่งหลวนเห็นเขามองมาที่นางนางก็ก้มหัวลงและถามออกมา ส่วนเจียงอี้ก็เขินเล็กน้อยและยกถ้วยชาขึ้นมาจิบก่อนที่จะพูดอย่างจริงจังว่า “โดยรวมแล้วก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรนัก แต่เผ่าพันธุ์เฟยหม่าได้ครอบครองทั้งทวีปนี้และก่อตั้งจักรวรรดิเฟยหม่าขึ้นมา เจ้าเมืองและแม่ทัพที่นี่ทั้งหมดล้วนเป็นลูกหลานเผ่าพันธุ์เฟยหม่า ในหมู่พวกเขานั้นมีพวกนักรักจำนวนมากที่คอยกดขี่ผู้คนและกลายเป็นอันธพาลของหมู่บ้าน ทวีปนี้มีหน่วยลาดตระเวนคอยคุ้มกันอยู่แน่นหนาไปทุกหนแห่ง เราอาจจะเจอปัญหาระหว่างทางและจะต้องห้ามใจตัวเอง….”
“ฮิฮิ!”
เฟิ่งหลวนลูบหน้าผากของนางก่อนที่จะยิ้มและพูดว่า“ตราบใดที่เราสามารถผ่านทวีปนี้ไปได้อย่างปลอดภัย ความขุ่นเคืองเล็กน้อยก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด อย่างไรเสียนี่ก็คืออาณาเขตของพวกเขา ท่านไม่ต้องกังวลกับข้าหรอกเจ้าค่ะ ฮ่าฮ่า…..ท่านน่ะเป็นคนใจร้อนและควรจะควบคุมตัวเองมากกว่านี้นะเจ้าคะ”
“หืม?”
เจียงอี้เลิกคิ้วและพูดออกมาด้วยความโกรธ“เดี๋ยวนี้เจ้ากล้าสั่งสอนข้าแล้วหรอ? เจ้าเชื่อไหมว่าข้าจะสอนวินัยเจ้าและให้เจ้าคำนับห้าสิบครั้งจากนั้นข้าจะบังคับขืนใจเจ้า?”
“ฮึฮึ นายน้อยนั้นเป็นคนที่สุภาพอ่อนโยนและมีวินัยในตัวเอง ท่านจะไม่มีวันทำเรื่องเช่นนั้นหรอกเจ้าค่ะ…”
แทนที่เฟิ่งหลวนจะรู้สึกกลัวแต่นางกลับหัวเราะอย่างเขินอายและวิ่งออกจากห้องของเขาไปนางหยุดอยู่ที่หน้าประตูและมองไปที่เจียงอี้ด้วยสายตาที่โปรยเสน่ห์เล็กน้อย
เจียงอี้ก็โกรธมากเขากระแทกโต๊ะแล้วลุกขึ้นมาก่อนที่จะตะโกนอย่างเย็นชาว่า “หากเจ้ากล้าก็อย่าลงกลอนประตูห้องแล้วกัน ข้าจะเข้าไปที่ห้องเจ้าหลังจากที่อาบน้ำเสร็จแล้ว”
เอี๊ยด
เฟิ่งหลวนรีบวิ่งเข้าไปยังห้องข้างๆเจียงอี้และปิดประตูเสียงดังเอี๊ยดแต่นาง….ไม่ได้ลงกลอนประตูจริงๆ
[1]อาชาเหินฟ้าคือม้าบินหรือเพกาซัส
บทที่ 566 ร่างฟีนิกซ์ที่แท้จริง
รุ่งเช้าในวันถัดมาดวงอาทิตย์ค่อยๆทอแสงขึ้นมาจากทิศตะวันออกทำให้ท้องฟ้าเป็นสีแดง ลมในยามเช้าโชยมาเบาๆซึ่งเย็นเล็กน้อยแต่สดชื่นมาก
กร็อบกร็อบ กร็อบ!
มีรถมาหรูหราคันหนึ่งกำลังแล่นอยู่บนทางหลักของฝั่งตะวันออกของเมืองมันมีความยาวกว่าสามเมตรและถูกลากโดยม้าสองตัวที่เป็นพันธุ์หายาก คนในรถม้านั้นไม่ใช่คนธรรมดา ด้วยเหตุนี้ผู้คนที่อยู่ริมถนนจึงพากันหลีกทางให้รถม้าคันนี้เพื่อจะได้ไม่ถูกชน
คนควบรถม้ารู้สึกประหม่ามากเพราะเขารู้ว่าผู้ที่อยู่ในรถม้าเป็นคนเช่นไรเดิมทีรถม้าคันนี้เป็นของสมาคนการค้าแต่ชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ได้ซื้อมันในราคาที่สูงกว่าร้อยเท่าของมูลค่ารถม้านี้ เขายังสัญญาแม้แต่กับคนควบรถม้าด้วยซ้ำว่าถ้าหากว่าเขาควบรถมานี้อย่างดี เขาจะได้รับทองคำสีม่วงทุกวัน
ทองคำสีม่วงนั้นเป็นสกุลเงินทั่วไปที่ใช้กับแดนเทียนชิงและตระกูลธรรมดาแทบจะใช้ทองคำสีม่วงสำหรับค่าใช้จ่ายรายปีไม่ถึงก้อนด้วยซ้ำแต่เดิมเขาจะได้ค่าจ้างเพียงทองคำสีม่วงสองครั้งต่อปี แต่ตอนนี้เขากลับสามารถหารายได้มากมายเช่นนั้นภายในสองวัน
นอกจากนี้นายน้อยในรถม้าคันนี้ก็ยังมีศักดิ์ที่ไม่ธรรมดาแม้ว่าเขาจะดูเป็นคนแปลกๆและโกนหัวส่วนหญิงสาวที่มาพร้อมกับเขานั้นก็งดงามราวกับธิดาเทพ หากว่าเขาไม่ใช่นายน้อยที่ทรงเกียรติ เขาจะมีสาวงามเช่นนี้หรือ?
อันที่จริงแล้ว!
ในรถม้าคันนั้นไม่ได้มีสาวงามเพียงคนเดียวแต่มีถึงสามคน
ในรถม้า,เจียงอี้กำลังนั่งอยู่บนเบาะไม้และฝึกวิชาเวทย์อยู่ ส่วนเฟิ่งหลวนและชิงหยีกำลังกระซิบกระซาบกันในขณะที่เจียงเสี่ยวนู๋กำลังชื่นชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง
ทวีปเฟยหม่านั้นเต็มไปด้วยเผ่าพันธุ์มนุษย์และพวกเขาก็ไม่ได้ดูต่างอะไรจากคนท้องถิ่นที่นี่ตราบใดที่ตัวตนของพวกเขาไม่ถูกเปิดเผย พวกเขาก็คงจะเหมือนกับปลาตัวเล็กๆในทะเล และมันคงจะเป็นเรื่องยากที่โถงวรยุทธจะพบพวกเขาแม้ว่าพวกนั้นกำลังจะตามหาเขาอยู่ใช่ไหม?
ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะนั่งรถม้าและปลอมตัวเป็นนายน้อยจากตระกูลชนชั้นสูง มันเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดและไม่มีผู้ใดสนใจที่สุดซึ่งจะไม่มีตระกูลผู้มีอิทธิพลสนใจเขา หากพวกเขาเดินทางใต้ดินด้วยเถาอู้หรือขอให้เฟิ่งหลวนบินผ่านอากาศ มันคงจะดึงดูดความสนใจผู้เชี่ยวชาญมากมายได้อย่างง่ายดาย
แถมเขายังพาชิงหยีและเสี่ยวนู๋ออกมาด้วยในเมื่อเขาสามารถนำพวกนางกลับเข้าไปในราชวังจักรพรรดิได้ทุกเมื่อ ทำเช่นนี้มันคงจะดีสำหรับพวกนางมากกว่า ไม่เช่นนั้นพวกนางอาจจะเบื่อจนตายก็ได้
การเดินทางนั้นราบรื่นและไม่มีอุปสรรคใดๆเมื่อพวกเขาผ่านเมืองเล็กๆ เจียงอี้ก็จะให้คนควบรถม้าไปซื้ออาหารและเขาจะไม่ลงจากรถม้าเพราะพวกเขานั้นจะรีบไปทางตะวันออก
อันที่จริงแล้วเจียงเสี่ยวนู๋อยากออกไปเดินเล่นในเมืองต่างๆ แต่นางรู้ดีว่านางไม่คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้และอาจทำให้เกิดเรื่องขึ้นได้ ดังนั้นนางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเก็บตัวอยู่ในรถม้า
ในระหว่างการเดินทางที่แสนน่าเบื่อหน่ายนี้เฟิ่งหลวนและชิงหยีค่อนข้างมีความสุขและพากันคุยอย่างไม่หยุดหย่อน เฟิ่งหลวนเล่าเหตุการณ์เมื่อคืนที่นางไม่ได้ลงกลอนประตู แต่เจียงอี้ก็ไม่กล้าเข้าไปซึ่งชิงหยีก็หัวเราะกับเรื่องนี้เช่นกัน แต่โชคดีที่การสนทนานี้ค่อนข้างไม่แจ่มแจ้ง เจียงเสี่ยวนู๋จึงไม่รู้เรื่องนี้
“โว่วว!”
เวลานั้นเป็นช่วงบ่ายแล้วและจู่ๆคนควบม้าก็หยุดรถม้าจึงทำให้เจียงอี้ลืมตาขึ้นมาและเห็นด่านตรวจด้านหน้าซึ่งมีหน่วยยามขนาดใหญ่กำลังคอยตรวจสอบรถม้าที่ผ่านมาทางนี้
เฟิ่งหลวนและคนอื่นๆเริ่มพากันประหม่านี่คือกองทหารของจักรวรรดิเฟยหม่าและอาจมีผู้สืบเชื้อสายจากเผ่าพันธุ์เฟยหม่าอยู่ด้วย หากมีสิ่งใดเกิดขึ้น ทุกคนอาจจะถูกจักรวรรดิจับกุมตัวไปได้
เจียงอี้โบกมือบ่งบอกให้ทุกคนสงบสติอารมณ์และเขาก็ดึงผ้าม่านอย่างเงียบๆจากนั้นก็ยื่นถุงใบไม้สีทองให้คนควบม้าจากนั้นเขาก็กระซิบว่า “นำสิ่งนี้ให้ผู้คุมและบอกพวกเขาว่าข้าไม่ต้องการให้ใครมาวุ่นวาย”
“ขอรับนายน้อย!”
คนควบม้านั้นมาจากสมาคมการค้าและมันเป็นเรื่องปกติเมื่อทหารยามเข้ามา เขาก็รีบกระโดดลงจากรถม้าและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านใต้เท้า เรามาจากสมาคมการค้าฟ้าฝนและเรากำลังรีบอยู่ ท่านใต้เท้าจะช่วยข้าได้หรือไม่ขอรับ?”
ในขณะที่เขาพูดเขาก็ยื่นถุงที่เจียงอี้ให้มาในขณะที่ผู้คุมก็รับมันไปด้วยสีหน้าที่ไม่แยแส เขาใช้มือกะประมาณน้ำหนักของถุงนั้นและพูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง “สมาคมการค้าฟ้าฝน? ข้าเคยได้ยินชื่อของพวกเจ้ามาบ้าง ในเมื่อพวกเจ้ากำลังรีบ เช่นนั้นก็รีบไปซะ”
“ขอบคุณท่านใต้เท้าขอรับ”
คนควบม้าป้องมือให้ผู้คุมและรีบขึ้นควบรถม้าไป
“นายน้อยสุดยอดมากเจ้าค่ะ!”
เฟิ่งหลวนและชิงหยีพากันยกนิ้วโป้งให้เจียงอี้พวกนางต่างก็เป็นชนชั้นสูงมาโดยตลอดแต่ไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน ส่วนเสี่ยวนู๋ก็ยิ้มอย่างภาคภูมิใจและพูดว่า “นั่นเป็นเรื่องปกติ นายน้อยตระกูลของข้าน่ะเก่งที่สุดอยู่แล้ว”
เจียงอี้ยิ้มและหยิบใบไม้สีทองออกมาอีกถุงหนึ่งจากแหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณเขาส่งมันให้คนควบม้าและพูดว่า “เอานี่ไปใช้ระหว่างทาง ข้าไม่อยากให้มีปัญหาใดๆเกิดขึ้น หากเจ้าทำผลงานได้ดี ข้าจะตบรางวัลให้อย่างงาม”
“ขอบคุณนายน้อยขอรับ!”คนควบม้ารู้สึกดีใจมากสำหรับการเดินทางในครั้งนี้
ทั้งวันนั้นดำเนินไปอย่างราบรื่นมันอาจจะช้าไปบ้างแต่หากพวกเขายังเดินทางไปอย่างราบรื่นเช่นนี้ พวกเขาจะใช้เวลาประมาณสองเดือนในการเดินทางข้ามทวีปเฟยหม่า แต่ตราบใดที่มันปลอดภัย การเดินทางช้าลงเล็กน้อยก็คงไม่เป็นอะไรนัก
ในช่วงพลบค่ำพวกเขาก็พบเมืองเล็กๆ และหลังจากที่ได้เรียนรู้ประสบการณ์แล้ว พวกเขาก็เข้าไปข้างในโรงเตี๊ยมทันที เจียงอี้จองทั้งชั้นและจัดการหาที่พักให้ทุกคน ส่วนอาหารทั้งหมดก็ถูกส่งตรงไปยังห้องพักเพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น
ก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นในวันรุ่งขึ้นพวกเขาก็พากันออกเดินทางและใช้ถนนหลักเท่านั้น พวกเขาจะไม่เข้าไปในเมืองใหญ่ๆและผ่านเข้าไปในเมืองเล็กๆเท่านั้น มันจะช่วยให้พวกเขาหลีกเลี่ยงการขัดแย้งกับพวกขี้เหล้าเมายาของเผ่าพันธุ์เฟยหม่าได้ และในเมืองเล็กๆก็ไม่ค่อยมีนายน้อยชนชั้นสูงใดมาเยี่ยมเยียนซึ่งมันจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะปะทะกันได้เช่นกัน
การเดินทางของพวกเขาเป็นไปอย่างสงบและพวกเขาจะใช้ทองคำสีม่วงเพื่อติดสินบนระหว่างการตรวจสอบตัวเจียงอี้นั้นไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินทองเลยและหากว่าเขาสามารถข้ามทวีปนี้ไปได้อย่างสงบสุข แม้ว่าจะจ่ายด้วยศิลาสวรรค์ เขาก็ยินดี
ในวันที่สิบสาม….
เจียงอี้และคนอื่นๆยังคงทำตัวให้ไม่เป็นที่สนใจและแทบจะไม่ลงจากรถม้าพวกเขาไม่เคยก่อเรื่องใดๆและไม่เข้าไปในเมืองใหญ่ๆด้วย หลังจากที่ผ่านไปสิบสามวัน พวกเขาก็ได้ข้ามหนึ่งในสามส่วนของทวีปเฟยหม่ามาแล้ว ความเงียบสงบในช่วงเวลาสิบกว่าวันมานี้ทำให้พวกเขาทั้งหมดรู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย
ในคืนนี้พวกเขาพบเมืองเล็กๆอีกแห่งหนึ่งซึ่งมันคือเมืองหินทมิฬ
หลังจากรถม้าเข้ามาในสวนด้านในแล้วเจียงอี้ก็ให้คนควบม้าจองโรงเตี๊ยมทั้งชั้นและเมื่อเขาพาทั้งสามคนขึ้นไปชั้นบนก็เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น
ปัง!
ชายหนุ่มขี้เมาบังเอิญลงมาจากบันไดและเมื่อเขาเห็นเฟิ่งหลวนและสาวงามอีกสองคนสายตาของเขาก็จับจ้องตรงมาที่นี่ นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แต่ปัญหาก็คือเขารีบวิ่งมาที่พวกนางทั้งสามคนและอ้าแขนมาสวมกอดเฟิ่งหลวน
ป้าบ!
เจียงอี้ใช้หลังมือกระแทกเข้าไปที่คนผู้นี้และเหวี่ยงเขาลงจากบันไดดวงตาของเจียงอี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหารและกลิ่นอายของเขาก็ทำให้ชายหนุ่มผู้นั้นกลัวจนกางเกงของเขาเปียกไปหมด
“ไสหัวไปซะ!”
หลังจากที่เจียงอี้ตะโกนออกมาเขาก็พาคนอื่นๆเข้าไปยังห้องชั้นบนสุดขณะที่ชายหนุ่มผู้นั้นกลิ้งและรีบคลานออกไปอย่างหวาดกลัว
เดิมทีนี่เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆและเจียงอี้ก็ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้นักแต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีเหล่าทหารเข้ามาล้อมโรงเตี๊ยมและดูเหมือนว่าชายหนุ่มที่หวาดกลัวผู้นั้นจะเป็นบุตรชายของผู้บัญชาการเล็กๆ เจียงอี้และคนอื่นๆไม่ได้เผยกลิ่นอายของพวกเขาและเด็กคนนั้นก็หน้าด้านมากพอที่จะพยายามสังหารเจียงอี้และช่วงชิงเฟิ่งหลวนและคนอื่นๆกลับบ้านเขา
การปะทะกันนั้นเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้อยู่แล้วแต่เจียงอี้ก็ตัดสินใจที่จะอดทนมัน เขาทุ่มเด็กนั่นด้วยการเคลื่อนไหวเพียงฝ่ามือเดียวและเด็กนั่นก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส จากนั้นเขาก็กลายเป็นภาพหลังและล้อมรอบทหารเหล่านั้นพร้อมกับลงมือทำร้ายทุกคนจนบาดเจ็บสาหัส และหลังจากนั้นเจียงอี้ก็พาทุกคนออกไปในช่วงกลางดึก
นี่เป็นเพียงเหตุการณ์เล็กๆน้อยๆและเจียงอี้ไม่ได้สังหารใครเขาไม่ควรทำให้ที่นี่วุ่นวายมากเกินไป
ในบ่ายวันรุ่งขึ้น….ณกลางเมืองทวีปเฟยหม่า บนแท่นปราสาทบนฟ้าที่ใหญ่ที่สุดของเมืองผืนทราย มีนายน้อยหน้าตาน่ากลัวที่เพิ่งได้รับข้อความมา ข้อความนั้นก็เรียบง่ายมาก “ร่างฟีนิกส์ที่แท้จริงได้ปรากฏตัวในเมืองหินทมิฬ!”
“ร่างฟีนิกส์ที่แท้จริง?เหอะๆ หากเจ้ากล้าหลอกนายน้อยผู้นี้ล่ะก็ โถงวรยุทธของพวกเจ้าเตรียมตัวถูกล้างบางกันได้เลย!”
นายน้อยหน้าตาดุดันแสยะยิ้มอันเย็นเยียบและตะโกนออกมาว่า“ใครก็ได้ ไปที่เมืองหินทมิฬและหาข้อมูลของร่างฟีนิกส์ที่แท้จริงที หากมีเบาะแสอะไรให้รีบแจ้งกลับมาที่ข้าทันทีและอย่าให้เป้าหมายรู้ตัวและทำให้สาวงามตื่นตกใจล่ะ”
…