เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 569-570
บทที่ 569 จักรพรรดิอรหัง
“ร่างฟีนิกซ์ที่แท้จริง?”
เจียงอี้และเฟิ่งหลวนมองหน้ากันด้วยความสับสนแต่ทั้งสองก็จับจุดในคำพูดนั้นได้อยู่บ้าง
ประการแรกคือฝ่ายตรงข้ามไล่ล่าพวกเขาอย่างแน่นอนจะกล่าวให้ถูกก็คือพวกเขามาหาเฟิ่งหลวน ประการที่สองคือพวกเขาไม่ได้มีเรื่องบาดหมางกับเขา มันเป็นเพียงความหลงใหลในความงดงามของเฟิ่งหลวนที่ทำให้เขามาตามล่านาง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ…..กำลังมีใครบางคนใช้ประโยชน์จากพวกเขาอยู่
“โถงวรยุทธ!”
ทั้งสองคนนี้มีความฉลาดเฉลียวและมีเพียงผู้เดียวที่มีความสามารถเพียงพอและบาดหมางกับพวกเขานั่นก็คือโถงวรยุทธแต่พวกเขาทั้งสองก็ไม่เข้าใจบางอย่าง….ว่าทำไมโถงวรยุทธไม่ลงมือเองล่ะ? ทำไมต้องยืมมือนายน้อยเผ่าพันธุ์เฟยหม่าด้วย? มือสังหารนี้มีอยู่หกคนและมีเพียงนายน้อยคนนี้เท่านั้นที่มีเขาขนาดเล็กงอกออกมาซึ่งง่ายต่อการจดจำ
แต่เหตุผลมันไม่สำคัญ!
ในเมื่อปัญหามาเคาะถึงหน้าประตูบ้านแล้วมันจึงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะคิดให้มากมายเจียงอี้กวาดตามองไปที่นายน้อยเผ่าพันธุ์เฟยหม่าและพูดว่า “ข้าขอทราบหน่อยได้หรือไม่ว่าพวกท่านมาขวางทางเราทำไม?”
แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะไม่ได้เป็นมิตรแต่เจียงอี้ก็ยังตัดสินใจที่จะเก็บความเดือดดาลเอาไว้เพราะมันจะเป็นการดีที่สุดที่เขาจะไม่ก่อปัญหาใดๆในเมื่อนายน้อยผู้นี้สามารถเรียกตัวผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนมาได้ เขาจะต้องมีสถานะอยู่พอตัว หากไม่ได้คิดเรื่องที่ว่าเจียงอี้จะสังหารพวกเขาได้หรือไม่หรือถึงแม้ว่าเขาจะทำได้แต่มันก็อาจจะมีผลตามมาอย่างมาก เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดจากเผ่าพันธุ์เฟยหม่าอาจจะออกมาสู้ด้วยกองกำลังทั้งหมดและจะทำให้พวกเขาตายอย่างแน่นอน
“ทำไมน่ะหรือ?”
นายน้อยหน้าตาน่ากลัวที่ดูอายุราวๆสามสิบปีเศษๆเขามีรูปร่างที่ค่อนข้างดูดีซึ่งสวมเสื้อคลุมสีขาวและมีตะเข็บทอง เขามีผมสีดำที่ถูกถักอยู่ที่หัวและเสริมด้วยเขาสีดำทั้งสองข้างบน
เขายิ้มอย่างไม่แยแสและมองไปที่เจียงอี้พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูค่อนข้างประหลาดใจ“เจ้าหนู สาวงามผู้นี้เป็นคนของเจ้าหรือ?”
เจียงอี้มีกลิ่นอายของขอบเขตจินกังและอยู่เพียงขั้นที่หนึ่งถึงขั้นที่สองเท่านั้นในสถานการณ์เช่นนี้ เฟิ่งหลวนไม่ได้พูดอะไรออกมาและยืนอยู่ข้างหลังเขา? เห็นได้ชัดว่าเจียงอี้นั้นคือผู้นำซึ่งมันทำนายน้อยผู้นั้นประหลาดใจเล็กน้อย เขาเริ่มสังเกตเจียงอี้ว่าการที่เขามีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนเป็นผู้ติดตามนั้นก็พอจะบ่งบอกถึงสถานะของเขาได้แล้ว
เจียงอี้พยักหน้าและตอบกลับโดยไม่แสดงความอ่อนแอใดๆ“คิดว่ายังไงล่ะ? เจ้าจะใช้กำลังชิงนางไปรึไง?”
“ฮ่าฮ่า!”
นายน้อยผู้นั้นยิ้มและส่ายหัวจากนั้นก็คำนับและป้องกำปั้นของเขา“ข้ามีนามว่าเฟยเทียน ส่วนบิดาข้าคือเฟยหลู จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเฟยหม่า ข้าขอทราบนามท่านได้หรือไม่? แล้วท่านมาจากที่ใดกัน?”
“หืม?”
เจียงอี้และเฟิ่งหลวนสบตากันขณะที่ดวงตาของพวกเขาเบิกขึ้นเพราะพวกเขาค่อนข้างตกใจด้วยเหตุผลสองประการประการแรกคือภูมิหลังของเฟยเทียน แท้จริงแล้วเขาเป็นองค์ชายของจักรวรรดินี้? ผู้เป็นทายาทโดยตรงของเผ่าพันธุ์เฟยหม่า ประการที่สองคือพวกเขาข่มความกลัวต่อตัวตนของเจียงอี้และไม่กล้าที่จะทำอะไรบุ่มบ่าม
หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่งพวกเขาก็เข้าใจอย่างรวดเร็วว่ามันเป็นเพราะอะไร ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนนั้นยังคงมีความสำคัญอยู่ในปฐพีนี้และเฟิ่งหลวนก็มองเจียงอี้เป็นเจ้านายของนาง เลยทำให้เฟยเทียนหวั่นเกรงสถานะของเจียงอี้ไปโดยปริยายและหากเจียงอี้มีภูมิหลังที่สูงศักดิ์มันก็อาจจะสร้างปัญหาให้กับเผ่าพันธุ์เฟยหม่าได้
เจียงอี้พึมพำอยู่ครู่หนึ่งและโค้งคำนับและป้องกำปั้นอย่างมั่นใจ“ข้าเคยได้ยินชื่อเสียงของนายน้อยเฟยเทียนมานานแล้ว ผู้ใดจะภูมิใจในนามของข้าและตระกูลข้า ข้าแซ่อี และมาจาก….ทวีปจักรพรรดิบูรพา ข้าออกมาผจญภัยและฝึกอารมณ์ตัวเองอยู่ ข้าขอถามได้หรือไม่ว่านายน้อยเฟยเทียนมีเหตุอันใดถึงได้ขวางทางข้ากัน?”
แม่ของเจียงอี้มีแซ่อีและมันก็ไม่ได้ผิดอะไรที่จะบอกว่าเขาแซ่อี ที่สำคัญที่สุดคือ…ครั้งหนึ่งในทะเลบูรพาเวิ้งว้างเขาเคยได้รับความช่วยเหลือจากหญิงสาวแซ่อีเช่นกัน นางมีสมบัติที่สามารถหลบเลี่ยงจักรพรรดิอสูรได้และนางยังบอกอีกว่าเขาสามารถไปถามคนรอบๆทวีปจักรพรรดิบูรพาได้ว่านางคือใคร นั่นก็หมายความว่าตระกูลอีเป็นบุคคลสำคัญในทวีปจักรพรรดิบูรพา ดังนั้นเจียงอี้จึงตัดสินใจที่จะปลอมแซ่ของเขาเป็นแซ่อี
“อี?ทวีปจักรพรรดิบูรพา?”
สีหน้าของนายน้อยเฟยเทียนเปลี่ยนไปขณะที่ทั้งห้าคนรอบๆเขาก็มีแววตาที่สั่นไหวเช่นกันเห็นได้ชัดว่าพวกเขาดูหวาดกลัวเล็กน้อย ส่วนเจียงอี้ก็แอบสำราญใจอย่างเงียบๆ ดูเหมือนว่าตระกูลของหญิงสาวผมสีม่วงนั้นจะทรงพลังในทวีปจักรพรรดิบูรพาจริงๆ
“โอ้นายน้อยอี ข้าทำให้ท่านขุ่นเคืองไป”
นายน้อยเฟยเทียนรีบป้องกำปั้นและขอโทษเขาซึ่งมันได้พิสูจน์บางสิ่งแล้ว แต่คำพูดต่อจากนั้นก็เกือบจะทำให้เจียงอี้เดือดดาลขึ้น “นายน้อยอี สาวงามของท่านดูจะมีอะไรบางอย่างและข้าชื่นชอบนางมาก ท่านจะสามารถแลกเปลี่ยนนางแก่ข้าได้หรือไม่? เราสามารถต่อรองกันได้และหากท่านต้องการสิ่งใดจากเฟยเทียนในภายภาคหน้า ท่านสามารถมาขอจากข้าได้ โอ้ ใช่แล้ว…ไม่นานมานี้ข้าเพิ่งจะได้หญิงสาวที่มีร่างหยกหิมะมาและข้าสามารถมอบนางให้นายน้อยอีได้”
สีหน้าของเฟิ่งหลวนมืดมนทันทีทวีปเฟิ่งหมิงนั้นเป็นที่ที่ผู้หญิงเป็นผู้ปกครองและมักจะแลกสัตว์เลี้ยงของพวกนางด้วยกัน นางซึ่งเป็นผู้ปกครองของทวีปเฟิ่งหมิงถูกปฏิบัติราวกับของเล่นจริงๆหรือ? หากไม่ใช่ว่าเจียงอี้ยังนิ่งเฉย นางคงเดือดดาลออกมาแล้ว
เจียงอี้เองก็แค้นเคืองเช่นกันเขากลัวตระกูลอีแต่ยังอยากจะขอตัวเฟิ่งหลวนไปจริงๆ? เฟิ่งหลวนอาจเป็นทาสวิญญาณของเขาแต่หลังจากที่ได้อยู่ด้วยกันมา เขาก็ไม่ได้ปฏิบัติกับนางเยี่ยงทาสอีกต่อไปแต่กลับเป็นในฐานะสหาย เขาเป็นคนที่ค่อนข้างอ่อนไหวในเรื่องนี้และเขาจะไม่มีวันยกเฟิ่งหลวนไปง่ายๆเช่นนี้
ดังนั้นเขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่แน่วแน่ว่า“นายน้อยเฟยเทียน ข้านับถือเจ้าในฐานะของเจ้าแต่ได้โปรดอย่าดูถูกบุคคลของข้า! ไปเถอะแล้วเราจะยังคงเป็นสหายกันได้ ในภายภาคหน้า เราจะยังพบกันในฐานะสหายได้ที่ทวีปจักรพรรดิบูรพา”
“เอ่อ?”
รอยยิ้มของเฟยเทียนเยือกเย็นขณะที่เขากำลังลังเลผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนเองก็ลกศีรษะลงไปเล็กน้อยและเห็นได้ชัดว่ากำลังโน้มน้าวเขาอยู่ ส่วนเฟิ่งหลวนก็มองไปที่เฟยเทียนอย่างใจจดใจจ่อก่อนที่จะหันไปมองเจียงอี้ด้วยสายตาขอบคุณ นางเป็นทาสวิญญาณของเจียงอี้และหากเจียงอี้โหดร้ายพอที่จะส่งนางไป นางก็ไม่สามารถต่อต้านได้
หลังจากที่ส่งข้อความกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนแล้วเฟยเทียนก็ฝืนหัวเราะออกมาและพูดกับเจียงอี้ “ในเมื่อนายน้อยอีไม่เต็มใจ เช่นนั้นก็โปรดยกโทษให้กับคำขอของเฟยเทียนด้วย แวะไปเยี่ยมชมเมืองผืนทรายในภายภาคหน้าได้เลยและเฟยเทียนจะทำให้นายน้อยสำราญใจ ข้าขอตัวก่อน”
เมื่อเห็นว่าเฟยเทียนและคนอื่นๆกำลังจะจากไปเจียงอี้และเฟิ่งหลวนก็โล่งอก เดิมทีพวกเขาคิดจะเสี่ยงชีวิตและไม่ได้คาดคิดว่าชื่อปลอมนั้นจะขู่ฝ่ายตรงข้ามได้
“อ้อใช่แล้ว!”
ขณะที่เฟยเทียนกำลังจะจากไปทันใดนั้นเขาก็นึกบางอย่างได้และหันมาถามว่า “นายน้อยอีอยู่ในอันดับใดในตระกูลกัน? หากภายหน้าข้าไปเยี่ยมชมเมืองดาราข้าจะได้ไปดื่มกับท่านได้สะดวก”
เจียงอี้ตอบไปอย่างไม่ได้คิดอะไรว่า“ข้าเป็นคนที่ห้าในบรรดาพี่น้อง หากนายน้อยเฟยเทียนจะไปเยี่ยมชมทวีปจักรพรรดิบูรพาก็สามารถมาหาข้าได้”
หญิงสาวผมสีม่วงนั้นเป็นอันดับสามและในความคิดของเจียงอี้ตระกูลใหญ่เช่นนี้จะต้องมีทายาทมากมายซึ่งเขาอายุใกล้เคียงกับหญิงสาวผมสีม่วงผู้นั้น เขาจึงได้บอกไปว่าเขาเป็นคนที่ห้า
แต่ใครจะไปรู้ว่า…
เมื่อนายน้อยเฟยได้ยินสิ่งนี้ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันทีขณะที่ดวงตาของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนเปลี่ยนเป็นความเย็นชา เฟยเทียนหันกลับมาและถามด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “นายน้อยอีเป็นคนที่ห้าในหมู่พี่น้องหรือ?”
“หืม?”
หัวใจของเจียงอี้เต้นแรงเมื่อเขารู้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติไปเขาจึงทำได้แค่กัดฟันและพูดว่า “ใช่แล้ว ทำไมล่ะ?”
“โอ้?”
ใบหน้าของเฟยเทียนเผยรอยยิ้มที่น่ากลัวอีกครั้งเขาถามต่อว่า “ประมุขตระกูลอีมีนามว่าอะไร? ทักษะที่โด่งดังในตระกูลอีคืออะไร? นายน้อยอีรู้หรือไม่? ช่วยให้พวกเราเห็นเป็นบุญตาหน่อยได้หรือไม่?”
ความแตกแล้ว!
ใจของเจียงอี้และเฟิ่งหลวนจมดิ่งลงในเวลาเดียวกันความอาวุโสในอันดับที่ห้านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เฟยเทียนสงสัยในตัวตนของเจียงอี้ แล้วเขาจะไปรู้ชื่อของประมุขตระกูลอีหรือจะไปรู้ทักษะที่โด่งดังได้อย่างไรกัน? เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกัดฟันพูดว่า “นายน้อยเฟยเทียน นี่มันหมายความว่าอะไรกัน?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
นายน้อยเฟยเทียนหัวเราะออกมาและเย้ยหยันว่า“ข้าหมายความว่าอะไรน่ะหรือ? เป็นไปได้ไหมนะที่เจ้าจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าประมุขตระกูลที่เป็นปู่ของเจ้าชื่ออะไร? ข้าจะบอกเจ้าให้แล้วกัน ประมุขตระกูลอีมีนามว่า อีเชียนโฝและเป็นหนึ่งในเก้าจักรพรรดิ จักรพรรดิอรหัง! ตระกูลอีมีทายาทเพียงไม่กี่คนและในรุ่นที่สองมีบุตรชายและบุตรสาวเพียงคนเดียวซึ่งบุตรสาวหายตัวไปหลายปีแล้ว ส่วนในรุ่นที่สามนั้นมีหลานชายสามคนและหลานสาวเพียงคนเดียว แล้วเจ้าบอกว่าเจ้าเป็นอันดับที่ห้า? เจ้าเป็นใครกันแน่? เจ้ากล้าสวมตัวเป็นทายาทตระกูลอีได้อย่างไร? เจ้ามีจุดประสงค์อะไรในการลอบเข้าสู่ทวีปเฟยหม่า? หากเจ้าไม่บอกมาให้ชัดเจนก็อย่าโทษนายน้อยผู้นี้ที่จะต้องทำกับเจ้าเยี่ยงสายลับแล้วกัน”
บทที่ 570 ข้าเป็นพ่อเจ้า
บึ้ม!
เมื่อเจียงอี้ได้ยินคำอธิบายของนายน้อยเฟยเทียนแล้วในใจของเขาก็รู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า เขาไม่ได้กลัวแต่เพียงแค่ตื่นตระหนก เขาอดรู้สึกอารมณ์พุ่งพล่านไม่ได้เลย
ชื่อของประมุขตระกูลอีคืออีเชียนโฝและเป็นหนึ่งในเก้าจักรพรรดิซึ่งเขาคือจักรพรรดิอรหัง! ตระกูลอีมีทายาทเพียงไม่กี่คนและในรุ่นที่สองนั้นมีบุตรชายหนึ่งคนและบุตรสาวอีกหนึ่งคน ส่วนบุตรสาวนั้นก็หายไปหลายปีแล้ว!
มันช่างน่าเหลือเชื่อเสียจริงอีเพียวเพียวมาจากทวีปจักรพรรดิบูรพาและย้อนไปในช่วงก่อนนางก็ยังดูน่าเกรงขามมาก ที่สำคัญคือนางมีสิ่งประดิษฐ์มากมายและยังข้ามทะเลบูรพาเวิ้งว้างไปได้ นั่นแปลว่าอะไรน่ะหรือ? มันก็แปลว่าอีเพียวเพียวมีภูมิหลังที่สูงศักดิ์เช่นกัน!
เรื่องที่บุตรสาวในรุ่นที่สองหายไปหลายปีนั้นไม่ใช่ว่ามันบังเอิญตรงกับข้อมูลของอีเพียวเพียวหรือ? อีเพียวเพียวจะเป็นบุตรสาวของอีเชียนโฝหรือเปล่านะ?
เจียงอี้อาจจะรู้อยู่แล้วว่าอีเพียวเพียวมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาแต่นี่มันไม่น่าตกใจเกินไปใช่ไหม?หนึ่งในเก้าจักรพรรดิเชียวนะ! หากว่าอีเชียนโฝคือปู่ของเขาจริงๆ เช่นนั้นทุกสิ่งในทวีปจักรพรรดิบูรพาก็จะราบรื่นมาก! เขาอาจจะพึ่งพาอิทธิพลของตระกูลอีเพื่อช่วยซูรั่วเสวี่ยและล้มล้างโถงวรยุทธได้ก็ได้
ไม่สิ!
ทันใดนั้นเจียงอี้ก็นึกบางสิ่งขึ้นได้และรู้สึกว่ามันต้องมีเหตุบางอย่างเหตุใดอีเพียวเพียวจึงให้เจียงอี้ตามหาหยูเวินแทนที่จะเป็นตระกูลอี? ไม่ใช่ว่านางกลับไปยังทวีปจักรพรรดิบูรพาแล้วหรือ? แล้วทำไมนายน้อยเฟยเทียนถึงได้บอกว่านางหายตัวไปหลายปีแล้ว? ที่สำคัญที่สุดคือหากว่าอีเพียวเพียวเป็นบุตรสาวของจักรพรรดิอรหังจริงๆ แล้วทำไมนางจึงไม่ไปเจอเขาหลังจากที่เวลามันผ่านมาหลายปีแล้ว?
มีคำถามมากมายที่ทำให้เจียงอี้สับสนและเมื่อนายน้อยเฟยเทียนถามอีกครั้งเจียงอี้ก็ไม่มีเวลาได้คิดเรื่องนี้อีกต่อไป “เจ้าหนู เจ้าจะพูดหรือไม่? หากเจ้าไม่พูด เช่นนั้นเราก็จะลงมือเดี๋ยวนี้แหละ”
เจียงอี้หุบความคิดของเขากลับคืนมาก่อนและไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเนื่องจากเขาไม่มีคำอธิบายในเรื่องนี้แม้ว่าเขาจะบอกว่าเขามาจากทวีปเทียนชิงและเพียงจะผ่านทวีปเฟยหม่า แต่นายน้อยเฟยเทียนผู้นี้ก็จะสังหารเขาอยู่ดีใช่ไหม? ตราบใดที่เจียงอี้ไม่ได้มีสถานะพิเศษใดๆ เฟยเทียนผู้นี้ก็จะพยายามชิงเฟิ่งหลวนไปเป็นแน่
ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสู้!
เจียงอี้ส่งสัญญาณทางสายตาให้เฟิ่งหลวนและจากนั้นเขาก็ป้องกำปั้นด้วยรอยยิ้ม“นายน้อยเฟยเทียน อันที่จริงข้าไม่ได้มีแซ่อี แต่แซ่ของข้าคือ พ่อ ฉะนั้นข้าก็เป็นพ่อเจ้ายังไงล่ะ!”
บรึฟ!
หลังจากที่พูดจบดวงตาของเจียงอี้ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดในทันทีขณะที่ร่างของเขาแผ่กลิ่นอายสังหารออกมาและดาบมังกรเพลิงก็ปรากฏขึ้นที่มือของเขา เปลวเพลิงอเวจีได้แผ่ออกมาเมื่อเจียงอี้ตวัดดาบลงไปทางนายน้อยเฟยเทียน
ฟู่!ฟู่!
ในเวลาไล่เลี่ยกันเฟิ่งหลวนเองก็เคลื่อนไหวเช่นกัน มือทั้งสองของนางเปล่งประกายด้วยแสงสีดำและความมืดก็ปกคลุมไปทั่วรัศมีหนึ่งกิโลเมตร
“บังอาจนัก!”
เสียงคำรามดังสนั่นขึ้นมาซึ่งทำให้แก้วหูของเจียงอี้มีเลือดไหลออกมาและแก่นแท้พลังของเขาก็ปั่นป่วนร่างของเฟิ่งหลวนเองก็ปั่นป่วนเช่นกันและความมืดก็ได้จางหายไป ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนฝ่ายตรงข้ามเพียงแค่คำรามออกมาก็ได้ทำลายรูปแบบเต๋าราตรีของนางไปจนสิ้น
เจียงอี้เองก็รู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อพบว่าเสียงคำรามนี้ทำให้ห้วงอากาศสั่นไหวและทำให้เปลวเพลิงอเวจีของเขาช้าลงหลายเท่าจากนั้นผู้อาวุโสขอบเขตเทียนจุนผู้นั้นก็รีบผลักเฟยเทียนและคนอื่นๆออกไปในขณะที่เขาก็รีบถอยกลับไปอย่างรวดเร็วจึงทำให้การโจมตีของเจียงอี้พลาดเป้าไป
“ผู้อาวุโสชวีสังหารไอเด็กนั่นซะและจับนังนั่นมาแบบเป็นๆ ข้าจะเล่นกับนางจนนางขาดใจตายเลย!”
นายน้อยเฟยเทียนตะโกนออกมาขณะที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนกลายเป็นลำแสงมาจากอีกฝั่งเฟิ่งหลวนรีบพุ่งไปอย่างไม่เกรงกลัวและผลักเจียงอี้ออกไปให้ไกลจากตรงนั้น ในขณะเดียวกันนางก็ส่งข้อความเสียงให้เขาว่า “นายน้อย ท่านหนีไปเร็วเข้า คนผู้นี้แข็งแกร่งกว่าข้า ข้าจะต้านเขาไว้ให้ได้นานที่สุด ท่านต้องรีบหนีไปให้เร็วที่สุดนะเจ้าคะ!”
“เฟิ่งเอ๋อร์!”
เมื่อเจียงอี้เห็นเฟิ่งหลวนที่ปกคลุมด้วยความมืดในใจของเขาก็รู้สึกตะลึงและคิดว่าเขาก่อเรื่องวุ่นวายเข้าแล้ว
ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ออกคำสั่งใดๆและเฟิ่งหลวนก็ทำตามที่นางต้องการเพื่อให้เจียงอี้หลบหนีไปนางรู้ดีว่านางไม่ใช่คู่ปรับศัตรูและนางอาจจะตายในการต่อสู้ครั้งนี้ แต่นางก็ไม่ลังเลใดๆในตอนที่พุ่งเข้าหาศัตรู
ข้าจะทำอย่างไรดี?
จะทิ้งเฟิ่งหลวนแล้วหนีไปหรอ?
นั่นไม่ใช่นิสัยของเขาและการกระทำของเฟิ่งหลวนก็ทำให้นางได้ใจเขาไปอย่างสมบูรณ์เขาเป็นคนอ่อนไหวและหากครั้งนี้เขาหนีไปเขาจะต้องจมอยู่กับความรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต มันจะทิ้งรอยแผลไว้ในใจของเขาและในภายภาคหน้ามันจะทำให้เขาไม่กล้าสู้จนตัวตายเมื่อเผชิญกับอันตรายอีกต่อไป หากครั้งนี้เขาหนีไป เขาจะสูญเสียแก่นแท้แห่งการเป็นนักรบที่แท้จริงไปและความสำเร็จในชั่วชีวิตนี้ของเขาจะต้องถูกจำกัดเอาไว้เท่านี้
ในเมื่อเขาไม่สามารถหนีไปได้เช่นนั้นเขาก็ต้องสู้จนตัวตายเท่านั้น!
ดวงตาของเขาเปล่งประกายไปด้วยแสงที่เย็นชาร่างของเขาสว่างวาบด้วยแสงสีขาวขณะที่เขาย้ายร่างฉับพลันและไปปรากฏในป่าห่างจากที่นั่นประมาณสิบกิโลเมตร
บรึฟ!
ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดในขณะที่เขาปลดปล่อยเจตจำนงสังหารออกมาซึ่งมันปกคลุมรอบนายน้อยเฟยเทียนและคนอื่นๆเขาไม่สามารถช่วยเฟิ่งหลวนได้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจอย่างง่ายๆที่จะลดความกดดันของนางโดยการโจมตีคนอื่น หากเขาสามารถกำจัดนายน้อยเฟยเทียนได้ วิกฤตของเฟิ่งหลวนก็อาจจะถูกผ่อนปรนไปได้บ้าง
“ตายยย!”
เมื่อเฟยเทียนและคนอื่นๆถูกตรึงไว้ด้วยเจตจำนงสังหารของเขาเจียงอี้ก็แล่นผ่านไปราวกับมังกรผงาดขณะที่ดาบมังกรเพลิงของเขามีมังกรเพลิงสองตัวว่ายวนอยู่บนดาบ ไข่มุกวิญญาณเพลิงของเขาเปล่งประกายออกมาและเขากำลังจะปลดปล่อยการต่อสู้แบบผสานออกมา
ฟู่!ฟู่!
มังกรเพลิงสองตัวปรากฏขึ้นขณะที่มันถูกล้อมรอบด้วยมังกรวายุล่องหนหลายสิบตัวจากนั้นมันก็ถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกับเปลวเพลิงอเวจีจำนวนมาก เมื่อเปลวเพลิงปรากฏอออกมา ต้นไม้และวัชพืชใกล้ๆก็มอดไหม้ไปในทันที ขณะที่บริเวณนั้นลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิง ใบหน้าของเฟยเทียนและคนอื่นๆก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวทันที
บรึฟ!
ในช่วงที่อันตรายกำลังใกล้เข้ามาแหวนของเฟยเทียนก็สว่างขึ้นขณะที่มีระฆังโบราณสีทองขนาดเล็กปรากฏขึ้นมา ระฆังทองนั้นขยายออกมาอย่างรวดเร็วและแผ่ออกมาประมาณสามเมตร จากนั้นมันก็ตกลงไปปกคลุมนายน้อยเฟยเทียนและผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังอีกสองคน
“อ๊ากกอ๊ากกก!”
ส่วนผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังอีกสองคนที่เหลือนั้นโชคไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักเฟยเทียนอยู่ห่างจากพวกเขาเล็กน้อยและระฆังก็ไม่ได้ปกคลุมพวกเขาไปด้วย เมื่อเปลวเพลิงอเวจีพุ่งเข้าใส่พวกเขา พวกเขาก็ถูกแผดเผาไปอย่างรวดเร็วและกลายเป็นเถ้าถ่านโดยไม่มีซากศพหลงเหลืออยู่เลย
บรึฟ!
เมื่อเปลวเพลิงอเวจีกระทบกับระฆังโบราณมันได้ปล่อยแสงสีเขียวออกมาแต่มันยังคงอยู่และเมื่อมังกรเพลิงทั้งสองพุ่งเข้าไปปะทะกับระฆังโบราณนั้น มันก็ไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย แต่แสงของพลังงานจากอาคมยับยั้งก็ลดลงไปอยู่บ้าง
“ไอ้เด็กชั่วเจ้าบังอาจทำร้ายท่านประมุขน้อยของข้า ข้าจะสังหารตระกูลเจ้าให้ราบคาบซะ!”
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนผู้อาวุโสชวี ที่อยู่แต่ไกลคำรามออกมาซึ่งมันทำให้แก้วหูเจียงอี้เลือดออกมาอีกครั้งและพลังงานของเขาก็แปรปรวนอีกครั้ง นี่มันจะต้องเป็นทักษธความสามารถที่พิเศษมากแน่ๆ เจียงอี้มองกลับไปและเห็นว่าเมฆดำค่อยๆจางไปแต่มันก็กลับมารวมตัวอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าเฟิ่งหลวนพยายามที่จะรั้งผู้อาวุโสชวีไว้อย่างมาก
“ตายซะ!”
ตอนนี้เจียงอี้ไร้ความปรานีเป็นอย่างยิ่งในขณะที่เขาใช้ทักษะผสานอีกครั้ง มังกรเพลิงสองตัวคาบเปลวเพลิงและปะทะเข้ากับระฆังโบราณในเวลาต่อมา
ฟึ่บฟั่บ ฟึ่บ!
มังกรเพลิงยังคงไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับระฆังโบราณได้แต่เปลวเพลิงอเวจียังคงทำให้อาคมยับยั้งลดลง ซึ่งหลังจากที่พลังของเปลวเพลิงอเวจีหมดลงแล้ว ระฆังโบราณก็สว่างวาบขึ้นพร้อมกับมีรอยแตกร้าวตรงกลาง มีเสียงระเบิดเบาๆออกมาขณะที่ระฆังโบราณแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
“ไอ้เด็กสารเลว!นายน้อยผู้นี้จะฆ่าเจ้าซะ!”
เมื่อระฆังโบราณระเบิดออกเฟยเทียนและคนอื่นๆก็ปรากฏตัวขึ้นมา ทันใดนั้นเขาบนหัวเฟยเทียนก็เปล่งประกายด้วยรังสีของสายฟ้า กลิ่นอายที่น่าสะพรึงที่สัมผัสได้จากเขาของเฟยเทียนแผ่ซ่านออกมาและสายฟ้าสองสายก็กำลังจะถูกปลดปล่อยออกมา
“หนี!”
ใจของเจียงอี้สั่นไหวขณะที่เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายร้ายแรงจากสายฟ้านั้นหากว่าเขาโจมจีสุดกำลัง เขาจะถูกสายฟ้าผ่าแยกเป็นเสี่ยงๆเป็นแน่ ดังนั้นเจียงอี้จึงไม่ลังเลใจเลย ขณะที่ร่างของเขาเปล่งไปด้วยแสงสีขาว เขาไม่ได้จะย้ายร่างฉับพลันแต่ในครั้งนี้พลังฟ้าดินได้มารวมตัวและก่อตัวเป็นร่างแยกหลายสิบร่างอย่างรวดเร็วและหนีไปทั่วทุกสารทิศ