เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 573-574
บทที่ 573 นกร็อกปีกทอง
หลังจากที่หลับพักผ่อนไปเต็มวันเมื่อเจียงอี้ตื่นขึ้นมาเขาก็เห็นว่าเสี่ยวนู๋มานั่งอยู่ข้างๆเตียง…และมองเขาเหมือนเด็กผู้หญิงซื่อบื้อ นางเอามือประคองคางและใบหน้าของนางก็อยู่ห่างจากเขาไม่ถึงสามสิบเซนติเมตรด้วยซ้ำซึ่งนั่นทำให้เจียงอี้ตกใจมาก
“อ๊ะ?นายน้อย ท่านตื่นแล้ว!”
เมื่อเห็นเจียงอี้ลืมตาขึ้นมาและมองนางเจียงเสี่ยวนู๋ก็กระเด้งตัวขึ้นมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ เจียงอี้พยักหน้าก่อนที่จะแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไป เขาเห็นว่าเฟิ่งหลวนก็ตื่นแล้วและกำลังทานอาหารกับชิงหยีและหยุนเฟยอยู่ในโถงเล็กๆ ส่วนห้องของจ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนนั้นปิดอยู่และพวกเขาก็เปิดใช้งานอาคมยับยั้ง พวกเขาคงจะเข้าสู่สันโดษกันอยู่
เจียงอี้แผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปข้างนอกและดูให้แน่ใจว่าไม่มีอันตรายใดๆจากนั้นเขาก็ออกไปทานอาหารและพูดคุยกับคนอื่นๆ แต่เขาและเฟิ่งหลวนก็ไม่ได้บอกคนอื่นว่าพวกเขากำลังรีบเดินทางอยู่แต่บอกว่าพวกเขากำลังจะผ่านทวีปเฟยหม่าในอีกไม่กี่วันข้างหน้าแล้ว
หลังจากกินดื่มจนอิ่มแล้วเจียงอี้ก็แผ่ญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาออกไป สามสิบนาทีต่อมาเขาก็ลืมตาขึ้นมาด้วยสีหน้าที่สับสน เขามองไปที่เฟิ่งหลวนและพูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “นี้มันน่าแปลกนัก แถวๆนี้เงียบสงบจนน่ากลัว ไม่มีสายลับหรือกองทัพที่ระดมพลมาเลย”
ดวงตาที่งดงามของเฟิ่งหลวนกระพริบก่อนที่นางจะส่งข้อความเสียงมาว่า“หรือว่านายน้อยเฟยเทียนจะล้มเลิกการล้างแค้นแล้วเจ้าคะ?”
“เป็นไปไม่ได้!”
เจียงอี้ส่ายหัวขณะที่เจียงเสี่ยวนู๋และหยุนเฟยยังอยู่ตรงนั้นเขาจึงเกรงว่าพวกนางอาจจะกังวลดังนั้นเขาจึงไม่ได้อธิบายอะไรมากมายนัก
เขามั่นใจอย่างมากว่าเฟยเทียนจะไม่ยอมเลิกรา
การที่มันเป็นเช่นนี้มันจะต้องมีเรื่องใหญ่บางอย่างเกิดขึ้นในทวีปเฟยหม่าแน่ซึ่งมันทำให้เฟยเทียนเมินเฉยต่อพวกเขา
หลังจากที่ครุ่นคิดมานานเจียงอี้ก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้างขณะที่เขาลุกขึ้นยืนและตะโกนออกมาว่า “เฟิ่งเอ๋อร์ เจ้าพักผ่อนเสร็จแล้วหรือยัง? เราจะเดินทางต่อไปอีกไม่กี่วันและเราก็จะออกจากทวีปนี้แล้ว”
“เรียบร้อยเจ้าค่ะนายน้อย!”เฟิ่งหลวนยิ้มเบาๆและพยักหน้าขณะที่นางตอบ
“เสี่ยวนู๋และคนอื่นอยู่ที่นี่ไปกันก่อนเมื่อเราออกจากทวีปเฟยหม่าแล้ว ข้าจะปล่อยพวกเจ้าออกมาเที่ยวเล่นนะ”
หลังจากเขาพูดเสร็จแล้วราชวังจักรพรรดิก็สว่างไสวไปด้วยแสงสีขาวขณะที่เจียงอี้และเฟิ่งหลวนหายไปจากห้องโถงเล็กๆ
เมื่ออสรพิษที่อาศัยอยู่ที่ก้นทะเลสาบเห็นเจียงอี้และเฟิ่งหลวนออกมาดวงตาสีเขียวของมันก็เผยความหวาดกลัวออกมาและไม่กล้าแม่แต่จะโจมตีพวกเขา
บรึฟ!
เจียงอี้เก็บราชวังจักรพรรดิกลับไปและไม่ได้สนใจราชาปีศาจตนนี้มันอาจจะสร้างเรื่องวุ่นวายมากมายและพวกเขาอาจจะทิ้งร่องรอยเอาไว้ซึ่งจะทำให้คนตามรอยพวกเขาได้ ส่วนเฟิ่งหลวนก็ไม่ได้คิดจะโจมตีมันเช่นกัน นางเพียงแค่อุ้มเจียงอี้โผล่ขึ้นมาจากน้ำเท่านั้น
“มุ่งหน้าไปทางใต้ตรงที่ที่มีป่าตรงนั้นคนจะน้อยกว่าและปลอดภัยกว่ามาก” เจียงอี้บอกทางทันทีที่ขึ้นมาเหนือน้ำ
ในทุกๆหมื่นกิโลเมตรเจียงอี้จะแผ่ญาณศักดิ์สิทธิ์ออกมาเพื่อหาเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดและตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีผู้เชี่ยวชาญคนใดตามล่าพวกเขาอยู่
พวกเขาทั้งสองรู้สึกประหลาดพิกลแต่ก็ดีใจอยู่เงียบๆหลังจากนั้นประมาณหกวัน ทั้งคู่ก็เกือบมาถึงริมทะเลทางด้านตะวันออกของทวีปเฟยหม่าแล้ว พวกเขาพบว่าก็ยังไม่มีใครไล่ล่าพวกเขามาและมันก็ผ่านมาเกินสิบวันแล้ว ดูเหมือนว่าเฟยเทียนจะไม่ได้ส่งผู้ใดมาไล่ล่าพวกเขาเลย
“เอาล่ะ!อีกแสนกิโลเมตรก็จะไปถึงชายทะเลแล้ว เราจะใช้เวลาอย่างมากก็ครึ่งวันที่จะไปถึงทะเลเงานภา เมื่อเราข้ามทะเลเงานภาไปแล้วเราก็จะไปถึงทวีปเงาทมิฬและทวีปจงอาง เมื่อผ่านทวีปจงอางไปแล้ว เราก็จะไปถึงทวีปจักรพรรดิบูรพา!”
บนยอดเขา,เจียงอี้ปลดปล่อยญาณศักดิ์สิทธิ์ออกมาเพียงเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี เนื่องจากพวกเขาอยู่ใกล้ริมทะเลแล้ว เจียงอี้ก็ผ่อนคลายความตึงเครียดลงและไม่ได้รีบร้อนและเพียงนั่งสบายๆอยู่บนพื้นหินและยืดร่างกายของเขา
ฮูฮูวว!
ลมบนยอดเขาพัดมาแรงมากซึ่งทำให้ชุดของเฟิ่งหลวนกระพือเสียงดังนางก็ผ่อนคลายและมองไปยังท้องฟ้าอันกว้างใหญ่และคิดอะไรต่างๆนาๆ
ส่วนเจียงอี้ที่อยู่ข้างๆนางก็เห็นว่าสีหน้าของนางเศร้าๆและไม่รู้จะทำอะไรต่อไปทันใดนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า “เฟิ่งเอ๋อร์ เมื่อเราไปถึงริมทะเลแล้ว ข้าจะคืนเครื่องหมายวิญญาณให้เจ้า เจ้าไม่ต้องติดตามข้าแล้วล่ะและเจ้าก็สามารถกลับไปยังทวีปเฟิ่งหมิงได้แล้ว”
“อ๊ะ?”
ร่างของเฟิ่งหลวนสั่นเทาขณะที่ดวงตาของนางเผยร่องรอยของความยินดีออกมาจากนั้นนางก็มองไปที่เจียงอี้อย่างงุนงงและถามว่า “นายน้อย ทำไมท่านจึงทำเช่นนั้นกัน? ไม่ใช่ว่าท่านบอกว่า….ท่านจะคืนอิสรภาพให้เราในอีกสิบปีข้างหน้าหรอกหรือ?”
“ฮึฮึ!”
เจียงอี้หัวเราะเบาๆและหันไปตอบว่า“ข้าเปลี่ยนใจแล้วล่ะ เจ้าไม่ต้องการอิสรภาพหรือ? หรือเจ้าอยากเป็นทาสตัวน้อยของข้าต่อไป?”
“ข้า…”
เฟิ่งหลวนพูดไม่ออกนางก็คงไม่ต้องการที่จะเป็นทาสวิญญาณอยู่แล้วและใครบ้างล่ะที่จะไม่ต้องการอิสรภาพ? ใครจะไปชอบถูกควบคุมชะตากรรมเอาไว้กัน? ใครจะชอบที่ต้องอ้อนวอนและร้องของผู้อื่นกัน?
นางติดตามเจียงอี้มาได้หลายเดือนและนางก็เคยชินกับการเป็นทาสวิญญาณแล้วนางยังเคยชินกับการฟังคำสั่งของเจียงอี้ไปแล้วด้วย
เจียงอี้ช่วยนางกำจัดจักรพรรดิอสูรเงือกและจักรพรรดิอสูรชือและตอนนี้ทวีปเฟิ่งหมิงก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเผ่าพันธุ์เงือกทำลายล้างไปได้อีกนับหมื่นปี เขาเป็นผู้มีพระคุณของทวีปพวกนางซึ่งนางและชิงหยีก็รู้สึกซาบซึ้งอย่างใจจริง
แล้วตอนนี้เจียงอี้มาพูดเรื่องการคืนอิสรภาพให้นาง?นอกจากนี้ นี่ก็ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้จะทดสอบนาง แต่เขาอยากจะมอบมันคืนให้นางจริงๆ ซึ่งสิ่งนี้ก็ทำให้เฟิ่งหลวนรู้สึกประหลาดใจและว่างเปล่า….ในขณะที่ก็รู้สึกกังวลไปด้วย!
เดี๋ยวก่อน?ทำไมข้าถึงกังวลกัน?
ร่างอันบอบบางของนางสั่นเทาและนางรู้สึกกังวลอยู่จริงๆหรือ?เจียงอี้กำลังจะปล่อยนางไปและนางก็ควรจะมีความสุขแทนสิ แต่ทำไมนางถึงกังวล? หรือว่านางจะไม่อยากจากเจียงอี้ไปและเคยชินกับการเป็นทาสวิญญาณของเขาแล้ว?
“นี่…..”
เฟิ่งหลวนจ้องมองเจียงอี้อย่างว่างเปล่านางอยากรู้ว่าเขามีเสน่ห์อะไรที่ทำให้นางถึงลังเลที่จะละทิ้งเขาไป?
“เจ้ามองข้าทำไม?”
เจียงอี้ลูบหัวของเขาโดยไม่รู้ตัวและกระพริบตา“หน้าข้ามีอะไรติดอยู่หรือ? หรือข้าหล่อเหลาขึ้น?”
“อุ๊บฮึ…..”
เฟิ่งหลวนยิ้มอย่างอ่อนหวานขณะที่นางมองเจียงอี้ด้วยสายตาที่น่ารักนางไม่ได้ตอบอะไรและพาเจียงอี้ลงจากภูเขาและเดินทางไปยังริมทะเล
เมื่อเราไปถึงริมทะเลข้าจะคืนอิสรภาพให้เฟิ่งหลวนและชิงหยี
เจียงอี้ตัดสินใจแล้วเขาไม่ได้มีความบาดหมางอะไรกับพวกนางทั้งสองคนและตลอดการเดินทางนั้น ชิงหยีก็ดูแลเขาอย่างยอดเยี่ยมในขณะที่เฟิ่งหลวนก็ช่วยเหลือเขามามากพอแล้วและเขาคิดว่านางเป็นสหายคนหนึ่ง
เนื่องจากพวกเขาเป็นสหายกันแล้วเขาจึงไม่สามารถให้พวกนางเป็นทาสวิญญาณของเขาได้ ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่ยกโทษให้ตัวเอง นอกจากนี้ทวีปเงาทมิฬและทวีปเฟยหม่านั้นยังใหญ่พอๆกันและอาจจะอันตรายกว่าเดิม เจียงอี้ไม่ต้องการให้พวกนางเข้ามาพัวพันกับเรื่องพวกนี้อีกต่อไป
“นายน้อยถอนกลิ่นอายของท่านซะ!”
หลังจากที่เดินทางมาเป็นเวลาสี่ชั่วโมงและเมื่อพวกเขาเข้าใกล้ทะเลมากขึ้นเฟิ่งหลวนก็หยุดชะงักไปและถอนกลิ่นอายของนางกลับมาอย่างรวดเร็ว นางรีบเข้าไปในป่าและแอบอยู่นิ่งๆ นางไม่กล้าแม้แต่จะใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์สอดแนมด้วยซ้ำ
“เกิดอะไรขึ้น?”
ดวงตาของเจียงอี้เป็นประกายด้วยความเย็นเยียบและเขาก็ไม่กล้าประมาทขณะที่ซ่อนตัวในป่าเช่นกันเฟิ่งหลวนกลืนน้ำลายอย่างประหม่าและชี้ไปที่ท้องฟ้าทางตะวันออก “มีสัตว์อสูรที่ทรงพลังบินอยู่ตรงนั้น มันคือจักรพรรดิอสูร!”
“จักรพรรดิอสูร?”
เจียงอี้เงียบไปและหยุดการไหลเวียนพลังของดาราเก้าสวรรค์เขาเองก็ไม่กล้าแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปเช่นกัน ขณะที่เขาค่อยๆมองผ่านใบไม้ไปยังท้องฟ้าทางตะวันออก
“ชู่ว!”
ไม่กี่อึดใจต่อมาก็มีสัตว์อสูรยักษ์ซึ่งบินมาจากทิศตะวันออก มันคือ [1] นกร็อกปีกทอง ซึ่งปีกสีทองของมันมีความยาวอย่างน้อยร้อยเมตรและเมื่อมันบินผ่านไป มันเหมือนกับเมฆดำก้อนยักษ์ที่ปกคลุมท้องฟ้าอยู่
นกร็อกปีกทองตนนี้อยู่ที่ความแข็งแกร่งสูงสุดของมันและทำให้พวกเขาแทบหายใจไม่ออกปีกที่ตีสะบัดมาเบาๆนั้นทำให้เกิดพายุรุนแรงลงมายังป่าที่เจียงอี้และเฟิ่งหลวนซ่อนตัวอยู่และทำให้ต้นไม้ส่ายไปมาอย่างไม่หยุดหย่อน ซึ่งเกือบทำให้เจียงอี้และเฟิ่งหลวนถูกพัดปลิวไปเพราะแรงลมนั้น
ฟู่ฟู่….
เจียงอี้สูดหายใจสองครั้งดวงตาของเขาหดลงในขณะที่จิตวิญญาณของเขาสั่นสะท้านไปหมด
เขาไม่ได้หวาดกลัวจักรพรรดิอสูรเพราะเขาก็เคยร่วมมือกับเฟิ่งหลวนเพื่อสังหารจักรพรรดิอสูรได้สองตนแต่ที่เขาตกตะลึงมากนั่นเป็นเพราะว่ามีใครบางคนนั่งอยู่บนนกร็อกปีกทองนั่น แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าไหร่นัก แต่ที่สำคัญจริงๆก็คือผู้ที่นั่งอยู่บนนกร็อกนั่นยังเป็นเด็กผู้ชายตัวน้อยที่อายุเพียงเจ็ดแปดขวบเอง………..
นกร็อกปีกทองที่มีสถานะพอๆกับจักรพรรดิอสูรชือเป็นสัตว์วิญญาณจริงหรือ?ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าของมันยังเป็นเด็กอยู่? ฉากที่แปลกประหลาดนี้ทำให้มีความสงสัยแวววับอยู่ในดวงตาทั้งสองข้างของเขา………
[1]นกร็อกหรือเทพปกรณัม เป็นนกยักษ์ในตำนานของชาวอาหรับ คล้ายพญาครุฑ
บทที่ 574 ตระกูลทรงเกียรติที่แท้จริง
จักรพรรดิอสูรสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ซึ่งความแข็งแกร่งของจักรพรรดิอสูรตนนี้นั้นทรงพลังมากและเทียบได้กับขอบเขตเทียนจุนระดับกลางซึ่งพลังของมันเหนือกว่าเฟิ่งหลวน
จักรพรรดิอสูรที่ทรงพลังเช่นนี้นั้นเป็นเพียงพาหนะจริงหรือ?เด็กคนนั้นไม่เหมือนคนแคระที่เขาเจอก่อนหน้านี้ เด็กคนนั้นเป็นเด็กอย่างแท้จริงที่มีอายุราวๆเจ็ดแปดขวบ เขาสวมเสื้อคลุมสีเหลืองพร้อมเข็มขัดสีเขียวมรกตไว้ที่เอวของเขา เขาถือขลุ่ยหยกสีขาวในขณะที่แกว่งขาอย่างสบายๆซึ่งมันเหมือนกับว่านี่เป็นสวนหลังบ้านของเขา
การมีจักรพรรดิอสูรเช่นนี้เป็นผู้คอยคุ้มกันแล้วผู้ใดจะกล้าทำร้ายเด็กผู้นี้?ตัวตนของเด็กนี่จะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ และตระกูลธรรมดาก็คงจะไม่กล้าแม้แต่จะแตะต้องเขาแม้ว่าคนพวกนั้นจะกล้าหาญเพียงใดใช่ไหมนะ?
“ชู่วว!”
นกร็อกปีกทองบินผ่านศีรษะเจียงอี้ไปมันไม่ได้หยุดเลยแม้แต่ครู่เดียวและบินไปทางตะวันตกเฉียงเหนือและกลายเป็นจุดดำหายลับไปในทันใด
“ฮู่ววว…..”
เจียงอี้และเฟิ่งหลวนพากันถอนหายใจออกมานกร็อกปีกทองตนนั้นทรงพลังมากเกินไปและหากมันพุ่งเป้ามาที่พวกเขา พวกเขาจะไม่สามารถต้านทานได้เลย โชคดีที่มันเพียงแค่ผ่านไปเฉยๆ
“ออกเดินทางกันเถอะ!”
เจียงอี้นิ่งไปชั่วขณะและกำลังจะลุกเดินต่อแต่เฟิ่งหลวนดึงเขากลับเข้ามาในพุ่มไม้อีกครั้ง ดวงตาของนางมืดหม่นและกระซิบว่า “นายน้อยอย่าเพิ่งขยับ! มียอดฝีมืออีกคนกำลังมา!”
เจียงอี้ตะลึงและรีบหมอบลงไปและมองไปทางตะวันออก
“มอมอออ!”
ในไม่ช้าก็มีเสียงคล้ายวัวหรือม้าดังขึ้นทันใดนั้นสัตว์อสูรขนาดยักษ์ก็พุ่งออกมากลางอากาศซึ่งทำให้ลูกตาของเจียงอี้แทบถลนออกมา คราวนี้เป็นจักรพรรดิอสูรอีกตนที่เป็นสัตว์วิญญาณอีกเช่นกัน และมันลากรถม้าอยู่จริงๆ
สัตว์อสูรตนนี้งดงามมากมันเป็นเหมือนม้าในตำนานที่มีความยาวเกือบร้อยเมตรและมีแผงคอและเขาสีน้ำเงิน
ร่างของม้าตนนั้นถูกล่ามด้วยโซ่เงินสองเส้นในขณะที่มันกำลังลากรถศึกสีเงินที่ด้านหลังนี่ไม่ใช่รถม้าศึกโบราณแต่รถม้าคันนี้มีความยาวประมาณสิบเมตรซึ่งใหญ่พอๆกับห้องโถงเล็กๆเลย
บนรถม้าคันนั้นมีสาวงามสี่คนที่กำลังคุกเข่าอยู่ในขณะที่มีนายน้อยในชุดสีขาวนั่งอยู่บนเบาะของรถม้าและจิบไวน์อย่างสบายใจขณะที่เสื้อผ้าของเขาสะบัดไปตามสายลมเขามีกลิ่นอายที่ทำให้เขาดูเหมือนเป็นผู้อมตะ
รถม้าศึกนั้นบินลับไปทางตะวันตกเฉียงเหนือและหายลับไปอย่างรวดเร็วเจียงอี้มองไปที่เฟิ่งหลวนและเห็นสีหน้าที่ประหลาดใจของนาง นางนิ่งไปชั่วขณะและพูดว่า “นายน้อย สาวใช้ทั้งสี่นั่นก็อยู่ขอบเขตเทียนจุนและกลิ่นอายของนายน้อยผู้นั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าองครักษ์ของนายน้อยเฟยเทียนเลยเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ?”
เจียงอี้ไม่กล้าจะแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาออกมาขณะที่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาไม่ได้ดีเท่าเฟิ่งหลวนดังนั้นเขาจึงสัมผัสอะไรไม่ได้เลย เมื่อเขาได้ยินคำพูดของเฟิ่งหลวน เขาก็มีสีหน้าที่มืดมน นายน้อยผู้นั้นดูเด็กกว่าเขาและอยู่ขอบเขตเทียนจุนแล้ว? สาวใช้ทั้งสี่นั่นก็ดูไม่แก่เช่นกัน เป็นไปได้ไหมที่พวกนั้นจะขัดเกลาชิ้นส่วนรูปแบบเต๋าวิญญาณ?
“ไม่เชิงหรอกเจ้าค่ะ”
เฟิ่งหลวนเห็นความสงสัยของเจียงอี้นางกลืนน้ำลายและพูดต่อว่า “เด็กนั่นคล้ายกับนายน้อยที่เพิ่งจะจากไปก่อนหน้านี้ พวกเขาทั้งคู่น่าจะมาจากตระกูลที่ทรงเกียรติอย่างแท้จริงในทวีปจักรพรรดิบูรพา โดยปกติแล้วตระกูลที่เลื่องชื่อเหล่านั้นจะไม่ยอมให้ลูกหลานของพวกเขาทำลายอนาคตตัวเอง ฉะนั้นนายน้อยเหล่านั้นจึงน่าจะบ่มเพาะพลังด้วยความสามารถของตัวเอง ส่วนสาวใช้ทั้งสี่นั่นอาจจะปรับแต่งชิ้นส่วนรูปแบบเต๋าวิญญาณเจ้าค่ะ”
“ไม่น่าสิ!”
ทันใดนั้นเจียงอี้ก็นึกบางอย่างขึ้นได้และพูดออกมาอย่างประหลาดใจ“ไม่ใช่ว่าชิ้นส่วนรูปแบบเต๋าวิญญาณมีเฉพาะทวีปเฟิ่งหมิงของเจ้าหรอกหรือ?”
“ฮึฮึ!”
เฟิ่งหลวนยิ้มและส่ายหัว“ทวีปจักรพรรดิบูรพานั้นเต็มไปด้วยสิ่งอัศจรรย์ การขัดเกลาชิ้นส่วนรูปแบบเต๋าวิญญาณนั้นไม่ถือเป็นสิ่งพิเศษสำหรับตระกูลทรงเกียรติที่แท้จริงเหล่านี้เจ้าค่ะ”
เจียงอี้พยักหน้าเขาได้เปิดหูเปิดตาและได้พบเห็นลูกหลานตระกูลเลื่องชื่อของปฐพีนี้แล้ว ความแข็งแกร่งและกลิ่นอายเช่นนี้ จะมีผู้ใดสามารถเทียบเทียมพวกเขาได้อีกกัน?
เป็นยอดฝีมือขอบเขตเทียนจุนตอนอายุสิบสี่สิบห้าปีเขายังออกมาท่องทวีปพร้อมกับสาวใช้ขอบเขตเทียนจุนสี่คน แล้วยังมีจักรพรรดิอสูรมาเป็นที่ลากรถม้าของเขาอีก
“อืม!”
ทันใดนั้นเจียงอี้ก็นึกถึงหญิงสาวผมสีม่วงนางนั้นเมื่อเขานึกถึงสิ่งประดิษฐ์ของนางเขาก็คลายกังวลไป ตระกูลที่มีเกียรติเหล่านั้นคงจะไม่ขาดแคลนสิ่งประดิษฐ์หรือคนรับใช้ ในสายตาของเจียงอี้นั้น ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนอาจจะทรงพลังมาก แต่ในสายตาของตระกูลที่มีชื่อเสียง ขอบเขตเทียนจุนอาจเป็นเพียงแค่คนรับใช้ธรรมดาเท่านั้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ในขณะที่ความตื่นเต้นของเจียงอี้และเฟิ่งหลวนยังไม่ทันจะสงบลงก็มีเสียงหัวเราะราวกับระฆังดังขึ้นมาจากทางทิศตะวันออกเจียงอี้และเฟิ่งหลวนพากันรีบซ่อนตัวและมองผ่านพุ่มไม้อีกครั้ง
เมื่อพวกเขามองไปทางนั้นดวงตาของพวกเขาก็เบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งบินผ่านมาด้วยความรวดเร็ว นางอายุเพียงสิบหกปีและสวมเสื้อปักลายสีชมพูและกระโปรงหยักขาวสีมุก ใบหน้าของนางดูอ่อนโยนและดูมีคุณธรรม แก้มของนางมีสีแดงระเรื่อและคิ้วที่ยาวของนางนั้นงดงามราวกับภาพวาดซึ่งช่วยเสริมเข้ากับดวงตาที่แวววาวเป็นประกายของนาง ซึ่งทุกสิ่งของนางทำให้นางดูมีประกายกลิ่นอายของเทพธิดา
นางดูไม่ด้อยไปกว่าเฟิ่งหลวนเลยนางไม่ได้บินอยู่บนอากาศแต่อยู่บนน้ำเต้าซึ่งมันเปล่งแสงสีม่วงออกมา กลิ่นอายของน้ำเต้านั้นน่ากลัวกว่าสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์มากในขณะที่ใบหน้าของนางเผยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ออกมา นางหันไปขณะที่หัวเราะคิกคัก
“พี่ใหญ่เร็วเข้าสิ ถ้าเราไปช้า สิ่งประดิษฐ์ทั้งหมดในราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับจะถูกเอาไปหมดนะ”
ทันใดนั้นหญิงสาวผู้นั้นก็หยุดน้ำเต้าของนางอยู่กลางอากาศและตะโกนออกมาครู่ต่อมาลำแสงสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาจากทางตะวันออก ชายหนุ่มรูปงามในชุดคลุมสีดำปรากฏขึ้นมาในสายตาของเจียงอี้และเฟิ่งหลวน เขาไม่ได้บินกลางอากาศเช่นกันแต่ยืนอยู่บนดาบยักษ์เล่มหนึ่งซึ่งมีกลิ่นอายที่เย็นเยียบที่ทำให้เจียงอี้และเฟิ่งหลวนแทบหายใจไม่ออก
“สิ่งประดิษฐ์ที่เหนือกว่าสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์!”
คำนั้นปรากฏขึ้นในความคิดของทั้งคู่ขณะที่พวกเขาแอบหวาดกลัวอยู่ในใจเงียบๆขณะที่พวกเขาเห็นลูกหลานจากตระกูลอันทรงเกียรติอีกสองคน ครั้งนี้เจียงอี้สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าชายหนุ่มรูปงามนั้นอยู่ขอบเขตเทียนจุนอย่างแน่นอนและเขาก็มีอายุเลยยี่สิบปีมาเล็กน้อยเท่านั้น
“ราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับ?”
เจียงอี้และเฟิ่งหลวนมองหน้ากันและตระหนักได้ว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นที่ทวีปเฟยหม่านายน้อยเฟยเทียนนั่นคงยุ่งเกินกว่าที่จะมาใส่ใจพวกเขาทั้งสอง บรรดานายน้อยและคุณหนูจากตระกูลที่มีชื่อเสียงต่างพากันมาที่นี่ทีละคน พวกเขาคงจะมาที่นี่เพื่อฉกวัตถุจากราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับกัน
“เสี่ยวหย่าจะรีบไปทำไมกัน? ราชวังศักดิ์สิทธิ์นั่นจะเปิดขึ้นในอีกสองสัปดาห์ และสิ่งประดิษฐ์ที่อยู่ในนั้นมีไว้เฉพาะกับผู้ที่มีชะตาต้องกันและไม่สามารถบังคับเอาไปได้ หากพวกมันเป็นของเจ้าหรือว่าข้า พวกมันก็จะไม่มีทางไปที่ใดได้หรอก”
ทันใดนั้นเสียงของนายน้อยบนดาบบินก็ดังขึ้นมาเจียงอี้มองไปทางอากาศและเห็นหญิงสาวมุ่ยปากและพูดว่า “ฮึ่ม! ข้าไม่สนใจหรอก ข้าจะต้องได้ธนูเมฆาอัคคีและหญ้ามังกรยาจกมา หากผู้ใดกล้าฉกฉวยมันไปจากข้า ข้าจะใช้น้ำเต้าอำมฤตของข้าสกัดมันเป็นๆ”
“ยัยคนนี้นี่….คราวนี้มีผู้คนมาที่นี่มากมายเจ้าอย่าผลีผลามไปสิ เราไปที่เมืองผืนทรายกันก่อนเถอะ”
นายน้อยผู้นั้นยิ้มอย่างขมขื่นขณะที่หญิงสาวผู้นั้นรีบขี่น้ำเต้าออกไปส่วนนายน้อยที่ยืนอยู่บนดาบบินได้เหลือบไปมองที่เจียงอี้และเฟิ่งหลวน ดาบเล่มนั้นเปล่งแสงหลากสีออกมาขณะที่เขาไล่ตามหญิงสาวผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว
“ฮู่วว…คนผู้นั้นเห็นเราแต่โชคดีที่เขาไม่ลงมือนะเจ้าคะ”
เฟิ่งหลวนถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเห็นได้ชัดว่าสายตาของนายน้อยผู้นั้นเป็นคำเตือน เฟิ่งหลวนและเจียงอี้ไม่ได้ปล่อยกลิ่นอายใดๆออกมาแต่เขาก็ยังคงเห็นพวกเขาได้
นางรออยู่พักหนึ่งและเห็นว่าเจียงอี้ไม่ได้ตอบนางนางจึงมองเขาด้วยสีหน้าที่งงงวยและเห็นดวงตาที่ลุกโชนของเจียงอี้และเขากำหมัดแน่น เฟิ่งหลวนมีสีหน้าสับสนและถามอย่างงุนงงว่า “นายน้อย มีอะไรหรือเจ้าคะ?”
“หญ้ามังกรยาจกหญ้ามังกรยาจก! มันคือหญ้ามังกรยาจกจริงๆ!”
เจียงอี้ไม่ได้สนใจเฟิ่งหลวนและพึมพำราวกับคนบ้าใจของเขาจมสู่ภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอย่างแท้จริงเพราะหญ้ามังกรยาจกนั้นปรากฏขึ้นมาเพียงครั้งเดียวในรอบหมื่นปีและเขาก็ได้ข้อมูลนี้มาจริงๆหรือ หากเขาได้มันมา เขาจะสามารถแก้ร่างกายของเขาที่ถูกทำลายโดยศิลาสวรรค์ได้ แล้วจากนั้นเขาก็จะมีโอกาสทะลวงสู่ขอบเขตที่สูงกว่าขอบเขตเทียนจุนได้
แต่ปัญหาก็คือ….
ลูกหลานของตระกูลอันทรงเกียรติมากมายมาที่นี่และแต่ละคนก็อยู่ในระดับขอบเขตเทียนจุนหรือไม่ก็มีสิ่งประดิษฐ์ล้ำค่าหากเขาจะไปฉกฉวยหญ้ามังกรยาจก เขาจะไม่ถูกคนเหล่านั้นฉีกออกเป็นชิ้นๆหรือ?
….