เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 577-578
บทที่ 577 แม่นางตระกูลอีรุ่นสาม
“หืม?มีคนอยู่แถวนี้!”
เจียงอี้แผ่ญาณศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วก่อนหน้านี้และมันก็ได้พาดผ่านรัศมีหนึ่งหมื่นกิโลเมตรรอบตัวเขา คราวนี้เขาขยายพื้นที่การสำรวจไปและพบว่าอีกสามหมื่นกิโลเมตรทางตะวันออกมีเรือลำเล็กกำลังมุ่งหน้ามาทางเขา
แต่เมื่อเขากวาดสัมผัสศักดิ์สิทธิ์มองดูเงียบๆเพียงครั้งเดียวเขาก็หมดความสนใจไป เรือนั่นน่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์บางอย่างซึ่งมันไม่สั่นสะเทือนเลยแม้แต่น้อยเมื่อเดินทางผ่านทะเล ส่วนความเร็วนั้นก็เทียบเท่ากับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกัง หากว่ามันไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์มันจะต้องไหลไปตามคลื่นอย่างแน่นอนและไม่มีทางที่จะเดินทางเร็วขนาดนี้
บนเรือนั้นมีคนอยู่สิบคนเป็นบ่าวรับใช้ห้าคนและมีองครักษ์สี่คน และอีกคนคือนายน้อยที่สวมผ้าปักลายอยู่ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเรือลำนั้นอยู่ในขั้นสูงสุดของขอบเขตจินกังเท่านั้นและนายน้อยผู้นั้นเองก็เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังเช่นกัน เขาอายุราวๆยี่สิบห้าปีและความแข็งแกร่งของเขาก็ถือว่าน่านับถือแล้ว
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังนั้นไม่สามารถกดดันเจียงอี้ได้นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงตรวจสอบเพียงครั้งเดียวก่อนที่จะเลยไป หลังจากกวาดญาณศักดืสิทธิ์ออกไปนับล้านกิโลเมตร เขาก็ไม่พบอะไรเลยและในที่สุดเขาก็ถอนญาณศักดิ์สิทธิ์กลับมาเงียบๆ
“หืม?เรือเล็กลำนั้นตรงมาหาพวกเราจริงๆด้วย หรือว่าเป้าหมายของพวกมันคือเรา?”
เมื่อเขาถอนญาณศักดิ์สิทธิ์กลับมาเขาก็บังเอิญเห็นว่าเรือลำนั้นอยู่ห่างจากพื้นที่ที่เขาอยู่เพียงไม่กี่พันกิโลเมตร เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสงสัยคนเหล่านั้นไว้ก่อน และเขาก็แอบใช้ญาณศักดิ์สิทธิ์แผ่เข้าไปในเรือและตรวจสอบแรงจูงใจของพวกเขาอย่างระมัดระวัง
ญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาสามารถขยายสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ….ศาสตร์ญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นทวีประสาทสัมผัสของเขาเป็นร้อยเท่า ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังจะไม่สามารถตรวจจับสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาพบ ก่อนหน้านี้เจียงอี้แผ่สัมผัสไปทั่วร่างของจักรพรรดิเหมิงในทวีปมนุษย์กลายพันธุ์และเขาก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ซึ่งมันก็พิสูจน์แล้วว่าญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นทรงพลังเพียงใด
เขาใช้ญาณศักดิ์สิทธิ์แผ่เข้าไปในห้องโดยสารเรือและเจียงอี้ก็พบว่ามีคนกำลังคุยกันอยู่และเขาก็เริ่มแอบฟังทันที
“นายน้อยเราน่าจะกลับกันได้แล้วนะขอรับ มันอันตรายเกินไป หากท่านใต้เท้ารู้เรื่องนี้ เราจะถูกลงโทษหนักเลยนะขอรับ”
“ถูกต้องขอรับนายน้อยแม้ว่าสมบัติในราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับจะน่าดึงดูดเพียงใด แต่มันก็อันตรายเกินไป เรายอมแพ้กันไหมขอรับ…?”
“นายน้อย…….”
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังทั้งสี่พยายามห้ามปรามนายน้อยของเขาอยู่ในตอนนี้เมื่อเจียงอี้ได้ยินบทสนทนาของพวกเขา เขาก็พลางโล่งใจไปเปราะหนึ่ง ดูเหมือนว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญและพวกนั้นก็ไม่ได้ตั้งใจมาหาเขาที่นี่
นายน้อยในชุดสีม่วงอ้าปากพูดว่า“พวกเจ้าน่ะไม่น่ารำคาญไปหน่อยหรอ? ข้าบอกไปกี่ครั้งแล้ว? ข้าตัดสินใจแล้ว เลิกพยายามโน้มน้าวข้าเสียที”
ชายทั้งสี่คนนั้นมีอายุมากกว่าและผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นสูงสุดน่าจะอายุราวๆเจ็ดสิบถึงแปดสิบปีแต่จิตใจของเขานั้นโปร่งใสมากและใบหน้าของเขาก็เป็นสีแดงสด เขาเสนอคำชี้แนะอีกครั้งอย่างนุ่มนวล “นายน้อย ครั้งนี้ท่านจะล้อเล่นไม่ได้นะขอรับ ตามที่ข้าน้อยรู้มา มีนายน้อยที่มีอำนาจมากมายจากทวีปจักรพรรดิบูรพามาที่นี่ จักรพรรดิอุดร, จักรพรรดิแห่งศาสตรา, จักรพรรดิแห่งมวลอสูรถูเซียน, และจักรพรรดิอรหังต่างก็ส่งสมาชิกตระกูลมาที่นี่ ยังมีนายน้อยและคุณหนูจากทวีปเฟยหม่าที่จะมารวมตัวกันที่นั่นอีก มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนมากเกินไปและด้วยความแข็งแกร่งของเรา เราจะถูกกำจัดไปอย่างสมบูรณ์หากเราไม่ระวังตัวนะขอรับ….”
“หืม?”
จิตใจของเจียงอี้สั่นไหวจักรพรรดิอรหังก็ส่งคนมาที่นี่ด้วยหรือ?
เขานึกถึงคำพูดของนายน้อยเฟยเทียนว่าจักรพรรดิอีเชียนโฝมีบุตรชายและบุตรสาวเพียงคนเดียวและบุตรสาวก็หายไปหลายปีแล้ว เขาเคยคิดว่าอีเพียวเพียวอาจเป็นบุตรสาวคนนั้น ไม่เช่นนั้นมันก็คงยากจะอธิบายถึงต้นกำเนิดของอีเพียวเพียว และความแข็งแกร่งและสมบัติของนางนั้นก็ไม่น่าจะใช่สิ่งที่ผู้หญิงจากตระกูลอีที่ไหนจะสามารถครอบครองได้ ผู้หญิงธรรมดาจะเดินทางท่องไปทั่วทวีปตามที่ต้องการได้อย่างไรกัน?
ข้าจะไปราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับหน่อยดีไหมนะ?แม้ว่าข้าจะไม่ได้หญ้ามังกรยาจกมา แต่ข้าก็จะได้ตามหาคนจากตระกูลอีได้ ข้าจะถามว่าท่านแม่เป็นคนจากตระกูลอีจริงๆหรือเปล่า หากนางเป็นคนจากตระกูลอีจริงๆ ข้าจะขอให้พวกนั้นพาข้าไปพบนางได้….
ทันใดนั้นความคิดนี้ก็ปรากฏขึ้นในใจเจียงอี้และมันเริ่มลุกโชน เขาไม่สามารถดับความคิดในใจนี้ได้อีกต่อไป
ในตอนนี้เขายังอยู่ไกลจากทวีปจักรพรรดิบูรพามากที่สำคัญที่สุดคือ…ทวีปจักรพรรดิบูรพานั้นกว้างใหญ่และไร้ขอบเขตและมีอันตรายซ่อนอยู่ทุกหนทุกแห่ง แม้แต่บรรพบุรุษของทวีปเฟิ่งหมิงเองก็ไม่สามารถอยู่ที่นั่นได้ หลังจากมุ่งหน้าไปยังทวีปจักรพรรดิบูรพาแล้ว เขาก็ไม่มั่นใจว่าเขาจะสามารถเข้าถึงตระกูลอีได้หรือเปล่า ในตอนนี้คนของตระกูลอีปรากฏขึ้นใกล้ๆแล้วและมันก็เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้เจอคนเหล่านั้น
“ฮึ่ม!”
เสียงกระแอมของนายน้อยทำให้เจียงอี้สะดุ้งแต่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็ยังคงอยู่บนเรือลำเล็กนั่นหากว่าสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาแปรปรวนมันอาจดึงดูดความสนใจของคนบนเรือและทำให้เกิดเรื่องขึ้นได้
ทันใดนั้นนายน้อยบนเรือก็ลุกขึ้นยืนและหัวเราะออกมา“พวกเจ้าคิดว่าข้าโง่เขลารึ? ข้ารู้ดีเรื่องคนที่มาที่นี่ในครั้งนี้ ข้าจะบอกพวกเจ้าให้นะ อันที่จริงข้าไม่ได้จะมาแย่งชิงสมบัติใดๆ ข้ามาที่นี่เพื่อหาโอกาสตีสนิทกับคนเหล่านั้นต่างหาก คราวนี้แม่นางตระกูลอีรุ่นที่สามก็มาที่นี่ นอกจากนี้ยังมีแม่นางหย่าจากตระกูลหลิงมาด้วยเช่นกัน หากข้าเป็นที่โปรดปรานและได้เป็นเขยตระกูลหลิง ข้าก็จะได้เป็นจักรพรรดิคนต่อไปของจักรวรรดิเงาทมิฬ”
“เอ่อ…”
จิตวิญญาณของเจียงอี้สั่นสะท้านและภาพหญิงสาวผมม่วงก็ปรากฏขึ้นในใจของเขาแม้ว่าเขาจะไม่เห็นใบหน้านางแต่เขาก็สัมผัสได้ว่านางนั้นต้องงดงามอย่างแน่นอน
นางเคยช่วยชีวิตเขาไว้และมีสิ่งประดิษฐ์ที่ทำให้รอดพ้นเงื้อมมือจักรพรรดิอสูรชือได้มันทำให้เขาชื่นชมนางมาก….ไม่ใช่ว่านางเคยบอกว่านางเป็นคนของตระกูลอีหรือ หรือไม่ใช่ว่านางบอกว่านางเป็นรุ่นที่สามหรือ?
นายน้อยเฟยเทียนเคยบอกว่ารุ่นที่สามนั้นมีชายสามและหญิงหนึ่งและตอนนี้หญิงสาวจากตระกูลอีก็ปรากฏขึ้น มันจะต้องเป็นหญิงสาวผมม่วงแน่ๆ
“เราจะไปยังราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับกัน!”
เจียงอี้ตัดสินใจแล้วมันเป็นทางที่ง่ายที่เขาจะคลายข้อสงสัยว่าอีเพียวเพียวเป็นลูกหลานของตระกูลอีหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น นางอาจพาเขาไปพบอีเพียวเพียวได้และเขาก็จะได้หลีกเลี่ยงทางอ้อมได้มาก
เมื่อเขาคิดว่าจะได้พบอีเพียวเพียวได้อย่างไรจิตวิญญาณของเขาก็เริ่มสั่นเทา ในตอนที่จิตวิญญาณของเขาสั่นไหว สิ่งต่างๆก็เปลี่ยนไป สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาแปรปรวนเล็กน้อยและผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นสูงสุดก็รู้ตัวทันทีพร้อมกับตะโกนว่า “คนชั่วช้านี่เป็นผู้ใดกัน? เจ้าบังอาจมาสอดแนมเราได้เช่นไร!”
“อ๊ะ?”
เจียงอี้ถอนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับมาอย่างรวดเร็วแต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นสูงสุดก็ได้เพ่งเล็งไปยังสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาและตามสัมผัสศักดิ์สิทธิ์นั้นไปยังแหล่งที่มา ร่างของเขาพุ่งไปในทะเลขณะที่ไล่ตามสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อย่างไม่ลดละ ชั่วพริบตาต่อมาสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของคนผู้นั้นก็จ้องไปยังราชวังจักรพรรดิที่อยู่ก้นทะเล
ฟรึ่บ!
นายน้อยและองครักษ์ขอบเขตจินกังคนอื่นๆก็พุ่งลงทะเลไปเช่นกันเมื่อพวกเขาเห็นราชวังจักรพรรดิ ดวงตาของพวกเขาก็สว่างขึ้น มันไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ธรรมดาแต่มันเหนือกว่าสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งพวกเขามองปราดเดียวก็รู้ว่ามันพิเศษเพียงใดและความโลภก็ปรากฏขึ้นในจิตใจของพวกเขา
“โจมตี!”
นายน้อยที่สวมเสื้อคลุมโบกมือและพูดออกมาส่วนผู้เชี่ยวชาญทั้งสี่ก็ลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนที่จะเทแก่นแท้พลังออกมาล้อมรอบราชวังจักรพรรดิอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าพวกเขาก็กระแทกแก่นแท้พลังไปยังราชวัง
ตูม!ตูม! ตูม! ตูม!
แสงสีขาวแผ่ออกมาจากราชวังจักรพรรดิและอาคมยับยั้งก็เปิดใช้งานมันไม่ได้รับความเสียหายหรือสั่นไหวแม้แต่น้อยเลย
บรึฟ!
ขณะที่พวกเขากำลังจะโจมตีราชวังจักรพรรดิอีกครั้งราชวังก็เปล่งแสงสีขาวออกมาก่อนที่จะหดตัวลงไป ร่างของเจียงอี้ปรากฏตัวอยู่นอกราชวังจักรพรรดิและเขาก็เก็บมันกลับไป เขากลายเป็นลำแสงสีขาวและหายไปและพุ่งขึ้นไปสู่พื้นน้ำทะเล
“ล่ามัน!”
จิตสังหารปรากฏขึ้นในดวงตาของผู้เชี่ยวชาญทั้งห้าเมื่อพวกเขาเห็นกลิ่นอายของเจียงอี้พวกเขาคิดที่จะสังหารเขาเพื่อสมบัติ และร่างทั้งห้าก็ตามเจียงอี้มาขณะที่พวกเขาพุ่งขึ้นมาจากทะเล
“พวกเจ้าทุกคน!”
เจียงอี้ไม่ได้หนีไปไหนทันทีที่เขาโผล่ขึ้นมาเหนือทะเลเขาก็ป้องมือและพูดว่า “ข้าน้อยผู้ต่ำต้อยทำให้พวกท่านขุ่นเคืองโดยบังเอิญ ข้าเพียงกวาดสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของข้าเพียงครั้งเดียวและเห็นพวกท่านกำลังผ่านมา และข้าไม่ได้รู้สึกอยากสังหารผู้ใดในวันนี้ โปรดยอมแพ้และไปเสียเถอะ!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
หลังจากที่นายน้อยผู้นั้นได้ยินที่เจียงอี้พูดเขาก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าและหัวเราะออกมา เขาชี้ไปที่เจียงอี้ก่อนที่จะพูดว่า “พวกเจ้าได้ยินไหม? ผู้เชี่ยวชาญที่เพิ่งจะเทียบเท่าขอบเขตจินกังบอกว่าเขาไม่ต้องการสังหารเรา เขาเสียสติไปแล้วหรอ? ยอมแพ้และไปเสียเถอะ? แน่นอน! ส่งสมบัติของเจ้ามาแล้วนายน้อยผู้นี้จะปล่อยให้เจ้ารอดชีวิต!”
เจียงอี้ลูบหัวโล้นๆของเขาและไม่ได้ตกใจแม้แต่น้อยเขาเหลือบมองไปทางนายน้อยและถามว่า “ท่านแน่ใจหรือ?”
บทที่ 578 ลูกน้องที่เพิ่งรับมา
การเย้ยหยันในดวงตาของเจียงอี้ทำร้ายนายน้อยผู้นั้นเป็นอย่างมากทันใดนั้นเขาก็โกรธขึ้นมา เขาโบกมือและตะโกนว่า “ฆ่ามันซะ!”
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังสองในสี่คนเคลื่อนไหวทันทีส่วนผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นสูงสุดไม่ได้เคลื่อนไหวและคอยอยู่ข้างนายน้อยผู้นั้น แต่มีแสงเรืองรองอยู่ที่ฝ่ามือข้างหนึ่งของเขาซึ่งพร้อมที่จะโจมตีทุกเมื่อ
ฟรึ่บฟั่บ!
ทั้งสองคนกลายเป็นภาพเลือนลางและบินไปหาเจียงอี้มีดและดาบในมือของพวกเขาส่องแสงออกมาพร้อมกัน พวกเขากำลังจะปลดปล่อยการโจมตีรูปแบบเต๋าออกมา
บรึฟ!
ในตอนนั้นเองเจียงอี้ก็เคลื่อนไหวบ้าง กลิ่นอายสังหารของเขาหลั่งไหลออกมารอบตัวเขาทันที จากนั้นผู้เชี่ยวชาญทั้งสองคนนั้นก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เลย ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นสูงสุดเผยดวงตาที่หวาดกลัวออกมา เขาอยู่ห่างไปเพียงเล็กน้อยและสามารถพาเจ้านายของเขาหนีไปได้ แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็หุบความคิดนั้นลงไปและมีลางสังหรณ์ที่ไม่รู้ที่มาที่ไปว่าหากว่าเขากล้าเคลื่อนไหวอย่างประมาท ทุกคนจะต้องตายที่นี่ในวันนี้แน่นอน
เจียงอี้นั้นเดินอยู่บนพื้นทะเลเสื้อคลุมของเขาปลิวไสวไปตามสายลมและเขาก็ดูสง่ามาก แต่ในสายตาของคนอื่นเขาดูน่ากลัวมาก แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นสูงสุดจะไม่กล้าเคลื่อนไหวอะไร แต่เขาก็ดึงความกล้าและตะโกนออกมา “ท่านใต้เท้า เป็นพวกเราที่ตาบอดเอง หวังว่าท่านใต้เท้าจะอภัยให้เราและละเว้นเราไปในครานี้ นายน้อยของเราเป็นทายาทของราชวงศ์เงาทมิฬและยังถือว่าเป็นองค์ชาย หากท่านใต้เท้าละเว้นเราในครั้งนี้ เราจะตอบแทนคุณนี้อย่างงามแน่นอน”
“องค์ชาย?”
เจียงอี้นึกบางอย่างขึ้นมาได้แต่เขาก็ไม่ได้หยุดเดินต่อไปและพุ่งเข้าหานายน้อยคนนั้นอย่างรวดเร็วหลังจากที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังเองก็ถูกตรึงไว้และไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ เจียงอี้ก็หยุดนิ่ง เขามองไปที่นายน้อย หลังจากที่เขามองนายน้อยอยู่พักหนึ่ง เขาก็กระซิบว่า “ข้ามีทางเลือกให้สองทาง เจ้าจะมอบผนึกแห่งดวงจิตมาหรือว่าจะตายก็ได้!”
ฟรึ่บ!ฟั่บ! ฟรึ่บ!
นายน้อยผู้นี้และผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังทั้งหมดหน้าซีดเผือดทั้งสองทางเลือกนั้นไม่มีทางไหนดีเลยสักทาง พวกเขาเพิ่งจะมาจากทวีปเงาทมิฬและก็พบปัญหาใหญ่ในทันใด และแววตาของนายน้อยนั่นก็ดูจะเจ็บปวดรวดร้าวและรู้สึกผิดเป็นพิเศษ หากใครไม่ฟังคำพูดของคนเฒ่า คนผู้นั้นก็จะมอดไหม้ โลกภายนอกนั้นอันตรายจริงๆ
“นายน้อยท่านต้องคิดให้ดีๆหน่อยล่ะ!”
เจียงอี้จับจ้องไปที่นายน้อยและพูดเบาๆว่า“หากเจ้าตาย เจ้าก็จะไม่เหลืออะไรเลยแต่หากว่าเจ้าเป็นทาสวิญญาณข้า ข้าสัญญาว่าภายในหนึ่งปีจะคืนอิสรภาพให้ ข้าจะให้เวลาสิบวินาที หากเจ้าอยากจะเก็บผนึกวิญญาณตัวเองเอาไว้ เช่นนั้นข้าก็จะส่งเจ้าไปปรโลกซะ!”
แคร๊งแคร๊ง!
ดาบมังกรเพลิงที่มีแก่นแท้พลังคอยหมุนเวียนอยู่ปรากฏขึ้นบนมือของเจียงอี้มังกรเพลิงสองตัวเริ่มแหวกว่ายพร้อมกับมีเสียงดาบดังขึ้น แก่นแท้พลังปัดเป่าห้วงอากาศรอบๆไปและปลายดาบก็ส่องแสงไปยังใบหน้าที่ซีดเซียวของนายน้อยและผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นสูงสุดที่อยู่ข้างหน้าก็มีสีหน้าที่แดงฉาน
“สิบ,เก้า, แปด, เจ็ด……หก…..”
เสียงของเจียงอี้ดังกระทบจิตใจทุกๆคนใบหน้าของนายน้อยก็เริ่มมืดมนลงเรื่อยๆและผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นสูงสุดก็มีสีหน้าสิ้นหวัง เขาอยากจะเสี่ยงชีวิตสู้กลับแต่ว่าเจียงอี้อยู่ใกล้เขาเกินไปและเขาขยับไม่ได้ เขาแทบจะไม่สามารถต่อสู้ได้เลยและต้องรอเพียงผู้เป็นนายตัดสินใจด้วยฟันที่ขบกันแน่น
“สาม,สอง…หนึ่ง!”
หลังจากนับจนถึงวินาทีสุดท้ายเจียงอี้ก็ยกดาบมังกรเพลิงขึ้น มังกรเพลิงสองตัวก็กำลังแหวกว่ายออกมา จนในที่สุด นายน้อยผู้นั้นก็ตอบสนองบางอย่าง แสงสีทองส่องออกมาจากหน้าผากเขาและผนึกขนาดเล็กก็ลอยออกมา เจียงอี้เผยรอยยิ้มออกมาและและคว้าผนึกแห่งดวงจิตเอาไว้และมันก็หายลับไปในมือของเขา
“เอาล่ะพวกเจ้าอีกสี่คนก็ส่งผนึกแห่งดวงจิตมาด้วย แล้วอีกหนึ่งปีข้าจะคืนให้!”
บรึฟ!
ในไม่ช้าศีรษะของผู้อาวุโสขอบเขตจินกังก็เปล่งประกายและผนึกแห่งดวงจิตของเขาก็บินไปที่เจียงอี้โดยไม่ลังเลใดๆ แต่ก็มีสิ่งที่ทำให้เจียงอี้ประหลาดใจและพบว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นที่สี่ที่อยู่ถัดจากนายน้อยมีเลือดออกเจ็ดทวารและร่างกายของเขาก็สั่นไม่หยุด และท้ายที่สุดเขาก็ยิ้มออกมาและพูดว่า “ข้า หลัวหลาง จะไม่ตกเป็นทาสวิญญาณของผู้อื่น นายน้อยโปรดดูแลตัวเองด้วยนะขอรับ หลัวหลางจะไม่ได้อยู่เคียงข้างท่านอีกแล้ว”
“นายน้อยรักษาตัวด้วยขอรับ!”
และในชั่ววินาทีต่อมาเสียงตะโกนก็ดังมาจากด้านหลังเจียงอี้ ผู้เชี่ยวชาญอีกคนก็เลือดออกเจ็ดทวารเช่นกัน แต่ก็ยังคงมีผู้ส่งมอบผนึกแห่งดวงจิตมาให้อย่างเชื่อฟังอยู่เช่นกัน
“อืมมทั้งสองคนนี้ก็เป็นคนที่ดีและน่ายกย่องเหมือนกัน พวกเจ้านำศพเขาไปเถอะและหากเวลาเอื้ออำนวย ก็ส่งพวกเขากลับไปยังบ้านเกิดของพวกเจ้าและฝังพวกเขาให้ดี”
เจียงอี้ถอนเจตจำนงสังหารของเขาออกและถอนหายใจหลังจากที่ได้ผนึกแห่งดวงจิตมาสามดวงและชื่นชมในความกล้าหาญและซื่อสัตย์ของคนที่ตายไป
“ผู้อาวุโสฉีเอาร่างพวกเขาไปและรักษาพวกเขาไว้ให้ดี”
นายน้อยหลับตาลงอย่างเจ็บปวดและผู้อาวุโสผมหงอกก็หลั่งน้ำตาออกมาเขาพุ่งไปรับร่างทั้งสองนั้นมาและทั้งสามคนนั้นก็รวมตัวกันและมองหน้ากันก่อนที่จะคุกเข่าให้เจียงอี้ นายน้อยคนนั้นกล่าวว่า “จูสุยและผู้ใต้บัญชาของข้า ฉีชิงและกู่อวี้คำนับนายท่าน”
“ลุกขึ้นเถอะพวกเจ้าไปรออยู่ตรงนั้นก่อน”
เจียงอี้โบกมือเนือยๆและไม่ได้อยากจะอธิบายอะไรมากมายและพวกเขาก็เดินถอยกลับไปไม่กี่กิโลเมตรและรอเจียงอี้พวกเขาทุกคนดูขมขื่นมาก โดยเฉพาะนายน้อยจูสุยที่คิดว่าอยากจะฆ่าตัวตายเสียด้วยซ้ำ เขาเป็นถึงองค์ชายของจักรวรรดิเงาทมิฬแต่กลับกลายมาเป็นทาสวิญญาณของคนอื่นไปได้
เจียงอี้ไม่ได้สนใจพวกเขามากนักและไม่ได้คิดจะสู้กับคนเหล่านี้ตั้งแต่ต้นอยู่แล้วนั่นคือสาเหตุที่เขาพุ่งขึ้นมาเหนือทะเลและพูดคุยกับพวกเขาเป็นอย่างดี แต่พวกเขาก็ยังอยากจะขโมยราชวังจักรพรรดิของเขาไปและเริ่มสู้กับเขาอย่างรวดเร็ว
เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไปตามหาแม่นางอีในราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับหากว่าเขาไปกับคนเหล่านี้และปลอมตัวเป็นตัวตนอื่น มันคงจะปลอดภัยกว่าแน่นอน เพราะสุดท้ายแล้ว นายน้อยผู้นี้ก็ยังเป็นองค์ชายแห่งทวีปเงาทมิฬและตระกูลเฟยต้องปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพ
ชิงหยีและเฟิ่งหลวนกำลังจะจากไปเขาเลยขาดลูกน้องอยู่พอดี และคนเหล่านี้ก็มาหาเขาอย่างสมัครใจเองด้วย
บรึฟ!
ราชวังจักรพรรดิขนาดเล็กปรากฏขึ้นบนมือของเขาและเปล่งประกายก่อนที่เฟิ่งหลวนและชิงหยีจะปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศพวกนางมองไปรอบๆและกำลังจะพูดอะไรบางอย่างแต่เมื่อเฟิ่งหลวนเห็นจูสุยและคนอื่นในระยะไกล ดวงตาของนางก็เย็นชาและกลิ่นอายที่น่ากลัวก็แผ่ออกมาทันที
“โอ้”
เมื่อจูสุย,ฉีชิงและกู่อวี้เห็นพวกนาง พวกเขาก็ตัวซีดเผือดและรู้สึกท้อแท้มากยิ่งขึ้น นี่พวกเขากล้าแย่งชิงสมบัติของเจียงอี้ได้ยังไงกันนะ? เจียงอี้มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนอยู่ใต้การควบคุมและไม่ได้เรียกนางออกมา ราชวังจักรพรรดินี้เป็นสิ่งประดิษฐ์ล้ำค่าแน่นอนและใครจะไปรู้ว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญอีกกี่คนอยู่ในนั้น?
“นายน้อยพวกเขาเป็นใครกัน?”
เฟิ่งหลวนสัมผัสได้ถึงปัญหาบางอย่างและมองไปที่เจียงอี้ด้วยความสับสนชิงหยีเองก็กังวลมากเช่นกัน เพราะตรงนั้นมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นสูงสุดอยู่ด้วย
“ใจเย็นก่อนพวกเขาเป็นลูกน้องที่ข้าเพิ่งรับมาเอง”
พวกนางยังมีเรื่องคาใจอยู่บ้างแต่เจียงอี้ก็โบกมือและพูดว่า“เอาล่ะ พวกเจ้าไม่ต้องกังวลกับเรื่องของข้าหรอก เราแยกกันตรงนี้นะ ข้าขอให้พวกเจ้าเดินทางปลอดภัย ข้าจะไปเยี่ยมทวีปเฟิ่งหมิงของพวกเจ้าในภายภาคหน้าหากมีโอกาส เจ้าจะต้องเป็นเจ้าบ้านที่ดีแน่ๆ”
“เฮอะเฮอะ!”
ชิงหยีเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและเหลือบมองเจียงอี้ก่อนที่นางจะพูดอย่างหยิ่งผยองว่า“เราจะไม่ต้อนรับท่านในฐานะแขกหรอก!”
“หืม?”
เจียงอี้เลิกคิ้วเล็กน้อยและรู้สึกแปลกๆคำพูดของชิงหยีไม่ได้ทำให้เขาโกรธแต่เขาแค่รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
ซึ่งมันเป็นอย่างที่คาดไว้!
เฟิ่งหลวนยิ้มอย่างนุ่มนวลและกล่าวว่า“นายน้อย อย่าไปฟังชิงหยีเลย เราตัดสินใจว่าจะไม่กลับไปทวีปเฟิ่งหมิงแล้ว ดังนั้นเราจึงไม่สามารถต้อนรับท่านที่นั่นได้”
“ห๊ะ?”
เจียงอี้สะดุ้งตกใจพร้อมกับขมวดคิ้วและถามว่า“แล้วพวกเจ้าจะไปที่ใดกัน?”
เฟิ่งหลวนและชิงหยีมองหน้ากันและใบหน้าของทั้งคู่ก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่น่ารักชิงหยีตอบว่า “เราจะไปทุกที่ที่นายน้อยไป! เราวางแผนว่าจะอยู่ต่อเป็นทาสตัวน้อยของท่านและจะกลับไปก็ต่อเมื่อผ่านไปสิบปีเท่านั้น….”