เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 594-596
บทที่ 594 พวกเจ้าทุกคนทำไม่ได้ แต่ข้าทำได้!
ณเหวของหุบเขา, ลาวาที่ร้อนฉ่ากำลังไหลเวียนไปมาขณะที่เพลิงโลกาพุ่งออกมาจากด้านล่างอย่างต่อเนื่อง ควันสีขาวและกลิ่นฉุนของกำมะถันพุ่งขึ้นสู่หน้าทุกคนขณะที่ความร้อนจากลาวานั้นทำให้หายใจไม่ออก
ในตอนนั้นเองมีร่างลอยขึ้นมาจากลาวาอย่างช้าๆและเขายังคงปิดตาของเขาและว่ายไปมาอยู่ในนั้น ขณะที่หุบเขานั้นกำลังโกลาหล เขากลับเหมือนคนที่กำลังว่ายน้ำท่ากรรเชียงอยู่ในทะเลอย่างสบายใจเฉิบ
เขาค่อยๆลืมตาขึ้นมาและบิดร่างกายด้วยความงงงวยเขากวาดมือตักเพลิงโลกาขึ้นมาและเอามามองดูใกล้ๆ และเมื่อเขามองวูบหนึ่งก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกและทรุดตัวลงไปบนลาวาพร้อมกับหลับตาพักผ่อน
บางสิ่งที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นมาเพลิงโลกาในลาวารอบๆพุ่งเข้าไปที่เขาและหายไปในร่างกายของเขา ลาวาที่เขานอนทับลงไปนั้นแข็งตัวอย่างรวดเร็วและกลายเป็นพื้นดินสีแดงในเวลาต่อมา!
ซ่อกแซ่ก…..
ผู้คนมากมายอ้าปากค้างขณะที่สูดลมเย็นๆเข้าไปหากไม่ใช่เพราะความร้อนที่ทำให้พวกเขาเหงื่อออก พวกเขาคงจะคิดว่าลาวานั้นเป็นเพียงแม่น้ำสีแดง
บรึฟ!
หวู่นี่,ถูหลง,หลิงชีเจี้ยน, หยิ่นรั่วปิงและคนอื่นๆจ้องมองไปยังไข่มุกสีแดงเพลิงของเจียงอี้ พวกเขาทั้งหมดเป็นผู้ที่มีความรู้และสามารถคาดเดาอย่างง่ายดายว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะไข่มุกของเจียงอี้
มีสิ่งประดิษฐ์มากมายที่ขับไล่ไฟได้แต่สิ่งที่ทำให้ใครก็ตามนั้นไม่เกรงกลัวต่อเพลิงโลกาหาได้ยากมาก อย่างน้อยๆ นายน้อยและคุณหนูทั้งหลายในตอนนี้นั้นไม่มีคุณสมบัติที่จะครอบครองมันได้ ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงจ้องมองไปยังไข่มุกวิญญาณเพลิงด้วยดวงตาที่มีความลุกโชน เสียเฟยยังเผยจิตสังหารออกมาในขณะที่เขาต้องการสังหารและปล้นชิงสมบัติของเจียงอี้มา
บรึฟ!
เจียงอี้ลืมตาขึ้นมาขณะที่เขาเอามือไปปาดเลือดที่ตา,จมูกและปากของเขา เขาเช็ดเลือดและแสยะยิ้มออกมา
ด้วยเลือดบนใบหน้าของเขามันจึงดูกลายเป็นรอยยิ้มที่น่ากลัวและทำให้ทุกคนหวาดผวา และหลังจากนั้นเขาก็ได้ทำสิ่งที่ทำให้ทุกคนพากันตกตะลึง
ปัง!
เขากระแทกมือเข้ากับลาวาและหมุนตัวเหาะไปกลางอากาศในขณะที่เขาตั้งท่าได้แล้ว เขาก็วิ่งก้าวไปอย่างรวดเร็วขณะที่เดินไปบนพื้นผิวของลาวาและเหาะไปที่อีกฟากหนึ่งของหุบเขาราวกับดาบอันแหลมคม
“เขาทำมันได้จริงๆ….”
เมื่อเห็นว่าในไม่กี่พริบตาเจียงอี้ก็อยู่ห่างจากหน้าผาเพียงนิดเดียวและทุกคนต่างก็แลกสายตากัน
เป็นเวลาหลายแสนปีแล้วที่สะพานไร้ประโยชน์นี้ได้หยุดยั้งเหล่ายอดฝีมือมานับไม่ถ้วนหลายคนไปไม่ถึงจุดสิ้นสุดละต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายเดือนเพื่อข้ามสะพานนี้ไป แต่เจียงอี้กลับใช้เวลาเพียงพริบตาเดียวในการข้ามสะพานไปได้เกินครึ่งทางแล้ว
ฟรึ่บ!
เจียงอี้เมินเฉยสายตาที่กำลังมองเขาอย่างตัวประหลาดและยังคงเดินทางต่อไปบนลาวาขณะที่เขาบินไปยังหน้าผาอย่างต่อเนื่องหน้าผานี่ไม่ได้เรียบเหมือนกระจกและเจียงอี้ก็สามารถเห็นพื้นที่ที่ยื่นออกมาซึ่งเขาสามารถรวมกำลังและบินขึ้นไปอย่างง่ายดาย ในพริบตาเดียวเขาก็ข้ามไปถึงอีกฝั่งของสะพานและไปถึงประตูหินนั้น จากนั้นเขาก็หันกลับมาและยิ้มให้ทุกคน
เงียบ!
เงียบสงัด!
เมื่อมองไปที่รอยยิ้มอันน่ากลัวของเจียงอี้ทุกคนก็มีความเจ็บปวดที่เผยออกมาบนใบหน้าของพวกเขา มันเหมือนว่าเจียงอี้กำลังตบหน้าพวกเขาและเหมือนกำลังจะบอกพวกเขาว่า ‘พวกเจ้าทุกคนทำไม่ได้ แต่ข้าทำได้!’
ร่างอันบอบบางของหลิงชือหย่าสั่นสะท้านขณะที่นางไม่กล้าแม้แต่จะมองไปที่เจียงอี้ใบหน้าของนางแดงระเรื่อและร้อนผ่าวจนน่าตกใจ นางเพิ่งส่งข้อความเสียงไปหาเจียงอี้และดันบอกว่าหากว่าเจียงอี้ข้ามสะพานนี้ไปได้แม้แค่ครึ่งสะพาน นางจะใช้แซ่ของเขา
เจียงอี้เหลือบมองเพียงนิดเดียวและเดินหน้าต่อไปประตูหินด้านหน้าเปิดขึ้นโดยอัตโนมัติขณะที่เจียงอี้เดินเข้าไปพร้อมกับทิ้งไว้เพียงแผ่นหลังที่ยืดตรงให้ทุกคนได้เห็นเท่านั้น
บรึฟ!
ในเวลาเดียวกันนั้นเองที่จัตุรัสด้านนอก ค่ายกลเคลื่อนย้ายทางด้านซ้ายก็แผ่ลำแสงออกมาอย่างกะทันหันซึ่งทำให้ผู้คนเกือบร้อยคนตรงนั้นพากันสั่นสะท้าน
คนที่มาที่นี่เพื่อสมบัติได้เข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายกันหมดแล้วดังนั้นจึงเหลือผู้ชมมากมายที่มาที่นี่เพื่อมารอดูคนที่จะได้สมบัติไป อย่างเฟยฉี, เฟยเทียนและคนอื่นๆที่อยู่ขอบเขตจินกังหลายคนได้เข้ามาที่นี่ พวกเขาทั้งหมดนั่งอยู่ที่จัตุรัสเพื่อรอดูการแสดงที่น่าตื่นเต้น
แคร้ง!
ในขณะที่ท้องฟ้าเหนือค่ายกลเคลื่อนย้ายอันแรกเปล่งประกายขึ้นทุกคนในจัตุรัสก็พากันซุบซิบกันอย่างโกลาหล เฟยฉีและเฟยเทียนรีบลุกขึ้นยืนและมองไปบนท้องฟ้าอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
เฟยถูบอกพวกเขาว่าเจียงอี้เข้าไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายอันแรกและในบรรดาผู้คนที่มาหาสมบัติทั้งหมดนั้น มีเพียงเจียงอี้เท่านั้นที่เลือกระดับนรกนี้
บรึฟ!
เมื่อค่ายกลเคลื่อนย้ายมีแสงสว่างพุ่งขึ้นมาประตูหินก็ถูกเปิดออกมาและชายคนหนึ่งที่อยู่ในชุดเกราะต่อสู้กำลังเดินเข้ามาก่อนที่ประตูหินจะค่อยๆปิดลงไป
“เป็นมัน!เป็นมันจริงๆ!” ดวงตาของเฟยเทียนหดลงขณะที่เขาอุทานออกมา เฟยฉี,เฟยถูและคนอื่นๆมีท่าทางที่เปลี่ยนไปขณะที่ร่างกายของพวกเขาหลั่งอายสังหารออกมา
“นี่…”
“เด็กนี่เป็นคนที่สองที่ผ่านด่านแรกได้จริงๆหรือ?แล้วยังเป็นระดับนรกที่น่ากลัวที่สุดอีก?”
“มันคือระดับนรกและทุกๆด่านนั้นจะได้คะแนนสะสมด่านละสามแต้มเจ้าหนูนี่เป็นคนแรกที่ได้สามแต้ม สิ่งประดิษฐ์อันดับเก้า กระจกนิรันดร์เป็นของเขา….”
“เราทุกคนมองข้ามเรื่องนี้ไปใครจะไปคิดว่าเด็กคนนี้จะน่าเหลือเชื่อถึงเพียงนี้? ระดับยากนรก!”
“เหอะๆเด็กนี่ก็เป็นแค่ไอ้เด็กโชคดี แม้ว่าเขาจะผ่านด่านแรกได้ แต่เขาจะผ่านด่านที่สองได้หรอ? ด่านที่สองคือ เส้นทางปรโลก และข้ายินดีจะเดิมพันศิลาสวรรค์ร้อยก้อนว่าเด็กนี่จะตายแน่นอน ใครจะเป็นเจ้ามือในเดิมพันนี้?”
จัตุรัสทั้งหมดลุกเป็นไฟขณะที่พวกเขาทั้งหมดตัดสินกันว่าเจียงอี้จะตายแต่เขากลับไม่ตายและยังกลายเป็นคนที่สองที่ผ่านด่านแรกและเป็นคนแรกที่ได้รับสามคะแนนและได้กระจกนิรันดร์ไป จะไม่ให้ทุกคนตกตะลึงได้อย่างไร?
ดวงตาของเฟยเทียนกระพริบตาด้วยความเกลียดชังขณะที่เขากัดฟันและพูดว่า“พี่ใหญ่ เราจะทำเช่นไรกันดี?”
“เราจะทำอะไรได้อีก?”
เฟยฉีกลับสู่ท่าทีสงบอย่างรวดเร็วและพูดอย่างเฉยเมย“เราจะให้ใครลองเข้าไปในความยากระดับนรกนั่น? ใครจะผ่านมันและไล่ล่าเขาไปได้? เจ้าหรือ หรือว่าข้า? หรือเฟยถูและคนอื่น?”
“เช่นนั้น….เราจะไม่ล้างแค้นแล้วหรือ?”เฟยเทียนถามออกมา
เฟยฉีมองเฟยเทียนและพูดด้วยความผิดหวังว่า“เฟยเทียน เจ้าก็ไม่ใช่เด็กแล้วนะ ทำไมถึงยังทำตัวเป็นเด็กไปได้? เจ้าคิดว่ามันจะผ่านระดับยากนี้ไปได้หรือ? มันไม่มีทางที่จะผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายออกมาได้หากคนผู้นั้นไม่สามารถผ่านด่านที่สามได้ แล้วถึงแม้ว่าเขาจะผ่านด่านสามได้แล้วยังไง? เขายังคงต้องตายอยู่ดีหลังจากที่เขาออกมาใช่มั้ยล่ะ? แล้วเจ้าจะกังวลไปทำไม?”
“อือฮึ!”
เฟยเทียนพยักหน้าเหมือนลูกเจี๊ยบตัวน้อยเขายิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มที่น่าขนลุกและพูดว่า “พี่ใหญ่พูดถูกแล้ว ผู้อาวุโสชวีและคนอื่นๆอยู่ข้างนอก และแม้ว่าไอ้เด็กนี่จะผ่านระดับนรกทั้งสิบแปดขุมไปได้ แต่เขาก็ยังต้องตายอยู่ดี”
…
“เอ๊ะ?”
ในพื้นที่แปลกประหลาดของราชวังศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับนี้ทุกคนที่อยู่ในนั้นจะรู้สึกได้ นางเป็นคนแรกที่ผ่านด่านแรกมาได้และกำลังจะผ่านด่านที่สองเช่นกัน นางกำลังจะได้สมบัติอันดับเก้ามาครองแต่กลับมีใครบางคนที่เร็วกว่านางจริงหรือ?
“เขาต้องเลือกความยากระดับนรกเป็นแน่ไม่เช่นนั้นคงเป็นไปไม่ได้ที่จะได้สามคะแนนอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ใครกันที่มีพลังการต่อสู้ที่ท้ายทายสวรรค์เช่นนี้?”
หญิงสาวผมสีม่วงพึมพำและมองไปข้างหน้าก่อนที่นางจะเริ่มรีบเร่งไปอีกครั้งดวงตาที่งดงามของนางเต็มไปด้วยความแน่วแน่ขณะที่นางกระแอมออกมา “ฮึ่ม ตำราวิชาหลีกสวรรค์และหญ้ามังกรยาจกเป็นของข้า ไม่มีผู้ใดที่คิดจะฉกมันไปจากข้าได้”
…
บทที่ 595 เส้นทางปรโลก
บรึฟ!
เจียงอี้เพิ่งจะเดินเข้าไปในประตูหินและมีแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นทันทีทิวทัศน์นั้นเปลี่ยนไปอย่างมากและท้องฟ้านั้นมืดครึ้มและมีเพียงร่องรอยของแสงหมอก มีเส้นทางเล็กๆที่คดเคี้ยวซึ่งทอดยาวไปไกล รอบข้างนั้นไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากภูเขาที่รกร้างซึ่งมันน่าขนลุกมาก
“เส้นทางปรโลก?”
เจียงอี้เห็นเม็ดหินเล็กๆตรงทางซ้ายของทางเดินบนนั้นมีคำโบราณที่ทำให้เขาขนหัวลุกและตัวชาไปหมด นี่คือปรโลกหรอ? ไม่เช่นนั้นแล้วจะมี เส้นทางปรโลกทำไมกัน?
จี๊ดจี๊ด!
ในขณะที่เจียงอี้กำลังสังเกตสถานที่อยู่ก็มีแสงสีขาววาบขึ้นบนท้องฟ้าเหมือนกับว่าสายฟ้านั้นฟาดผ่านทะลุท้องฟ้าและผ่าท้องฟ้ามาจนเป็นรู กระจกอันหนึ่งส่องลงมาจากรูนั้นและมันบินมาหาเขา
“หืม?”
เจียงอี้คว้ากระจกสีเขียวนี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็นขณะที่รูบนท้องฟ้าหายไปอย่างรวดเร็วเจียงอี้เหม่อลอยไปกับข้อความ “ขอแสดงความยินดีด้วยที่เป็นคนแรกที่ได้สามคะแนน เจ้าจะได้กระจกนิรันดร์เป็นรางวัล”
“กระจกนิรันดร์!”
เจียงอี้นึกถึงช่วงเวลาที่ผู้อาวุโสฉีเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับสมบัติทั้งสิบชิ้นและหนึ่งในนั้นคือกระจกนิรันดร์เขาดีใจมากและรู้สึกโชคดีจริงๆ เขาเข้ามาที่นี่เพียงเพื่อที่จะหนีเอาชีวิตรอดเฉยๆแต่กลับได้รับสมบัติมา
มนุษย์นั้นมีความชื่นชอบสมบัติอยู่แล้วโดยเฉพาะเหล่านักสู้แม้จะรู้ว่ามีสมบัติมากมายในสถานที่แห่งนี้และเขาอาจจะถูกไล่ล่าหลังจากที่ออกไปจากสถานที่แห่งนี้ไปแล้วแต่เขาก็ยังมีความสุขมากที่ได้สมบัติมาชิ้นหนึ่ง
สมบัตินั้นมีกลไกที่ลึกลับมากมายและมันอาจจะช่วยชีวิตคนผู้หนึ่งได้ในช่วงอันตรายอย่างเช่นในครั้งนี้…หากว่าเขาไม่มีไข่มุกวิญญาณเพลิง เขาคงจะกลายเป็นขี้เถ้าไปแล้ว
เขาไม่ได้คาดหวังว่าหลังจากตกลงไปในลาวาแล้วมันจะไม่มีแรงกดดันใดๆหากว่าเขารู้ว่ามันเป็นเช่นนี้แต่แรก เขาคงไม่ต้องทนทุกข์ทรมานและแค่กระโดดลงไปยังหุบเขาและข้ามสะพานนั้นไปตั้งนานแล้ว
แต่พอเขาลองคิดดูก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ปกติมากบุคคลใดจะมีสิ่งประดิษฐ์ที่สำคัญเช่นไข่มุกวิญญาณเพลิงบ้าง? แม้แต่โล่ศักดิ์สิทธิ์ของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนยังไม่สามารถป้องกันเพลิงโลกาได้มากเลย ซึ่งมันคงจะเป็นเรื่องปกติที่จะไม่มีแรงกดดันและอาคมยับยั้งที่น่ากลัวภายใต้สะพานนั้นได้
“ฮึฮึแต่มันก็คุ้มค่าที่ได้ข้ามสะพานนั้นมา อย่างน้อยมนุษย์ประสานสวรรค์ของข้าก็มีความเชี่ยวชาญมากขึ้นหน่า”
เจียงอี้นึกถึงตอนที่เขากำลังข้ามสะพานไร้ประโยชน์นั้นมาและเข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์เขาเผยรอยยิ้มอีกครั้งและรู้สึกว่าตัวเองเข้าใจสภาวะประหลาดนั้นมากขึ้น เขาไม่รู้ว่าความสามารถของสภาวะนั้นจะมีประโยชน์มากมายหรือไม่ แต่มันก็เป็นความสามารถที่เยี่ยมยอดแน่นอน
“อย่าไปกังวลมากเลยข้าจะขัดเกลากระจกนิรันดร์นี่ก่อน เส้นทางปรโลกนี้น่ากลัวและอันตรายกว่ามากและสมบัติที่ได้มาอาจจะทำให้ข้ามีโอกาสรอดอีกครั้ง”
เจียงอี้สลัดความคิดของเขาออกไปเขานั่งขัดสมาธิและวางกระจกสีทองแดงที่มีขนาดเท่าฝ่ามือไว้บนมือของเขา จากนั้นเขาก็หมุนเวียนแก่นแท้พลังเพื่อขัดเกลามัน
เห็นได้ชัดว่ากระจกนิรันดร์นี้เป็นสมบัติที่ไม่มีเจ้าของเนื่องจากเขาขัดเกลามันได้อย่างราบรื่นและใช้เวลาเพียงชั่วโมงเดียวก็ขัดเกลาไปหนึ่งในสามส่วนของกระจกได้แล้วจากนั้นกระจกนิรันดร์ก็กำลังเปล่งแสงสีขาวออกมา เมื่อมันเปล่งแสงทั้งบานแล้วก็จะถือว่ากระจกนั้นได้รับการขัดเกลาอย่างสมบูรณ์แบบ
“หืม?”
ในตอนนั้นเองเจียงอี้ก็รู้สึกถึงการจู่โจมของอากาศที่เย็นเยียบ มันทำให้เขาหนาวสั่นแม้ว่ามันจะไม่ได้หนาวขนาดนั้นก็ตามและจิตวิญญาณของเขาก็รู้สึกตื่นตัวราวกับว่ากำลังมีอันตรายร้ายแรงคืบคลานเข้ามา
ดวงตาของเจียงอี้เปิดขึ้นมาขณะที่กวาดไปรอบๆดาบมังกรเพลิงก็อยู่ในมือของเขาขณะที่รวบรวมเพลิงโลกาที่เขาเพิ่งดูดซับมาได้เพื่อเอามาหุ้มร่างของเขาไว้ทั้งหมด
แต่ว่า….
เมื่อเขาเหลือบไปมองก็เห็นเพียงความว่างเปล่าสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาเองก็ไม่พบอะไรเลย ทำให้ความตึงเครียดในใจของเขารุนแรงขึ้นเรื่อยๆขณะที่เขายังคงขนหัวลุกอยู่
จี๊ดจี๊ด!
เขาสุ่มตวัดดาบไปหลายครั้งและพวกมันก็ถูกปกคลุมไปด้วยเพลิงโลกาดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความเดือดดาลขณะที่คำรามออกมา “เจ้าอยู่ที่ไหน เจ้าปีศาจ?! จงเผยตัวออกมาซะ!”
ตูมม!
มังกรเพลิงปล่อยเสียงที่เสียดกับอากาศและชนเข้ากับผืนป่าทั้งสองด้านหลุมขนาดยักษ์ระเบิดออกมาจากพื้นดินซึ่งทำให้เกิดฝุ่นตลบอบอวลไปทั่ว
ฟรึ่บ!
ในที่สุดปีศาจนั่นก็ปรากฏตัวออกมาและสะท้อนด้วยเสียงที่แหลมคมห้วงอากาศสั่นสะท้านขณะที่ร่างสีขาวปรากฏขึ้นและพุ่งไปทางเจียงอี้
“มันคือบ้าอะไรกันเนี่ย?”
เมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตประหลาดนั้นร่างกายของเจียงอี้ก็สั่นสะท้านขณะที่ขนหัวลุกซู่ ดวงตาของเขาหดลงเมื่อเขาพบกับสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวที่สุดที่เขาได้เคยเห็นมาตลอดชีวิตของเขา
สิ่งมีชีวิตนี้ไม่ได้มีร่างกายเพราะมันโปร่งแสงและดูเหมือนกับวิญญาณร่างของมันมีขนาดเล็กมาก มันมีหัวเป็นจระเข้แต่ไม่มีขา ร่างของมันเป็นสีขาวขณะที่ดวงตาเป็นสีแดง ฟันอันแหลมคมในปากของมันทำให้หนาวเหน็บไปถึงกระดูกสันหลังและความเร็วของมันเทียบได้กับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังซึ่งใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาก็ทะลวงเกราะเพลิงโลกาของเขาและพุ่งเข้ามาในหัวเขาแล้ว
บรึฟ!
ในตอนนั้นเองไข่มุกวิญญาณเพลิงของเจียงอี้ก็สว่างวาบขึ้นและถ่ายโอนพลังลึกลับซึ่งทำให้ดวงจิตวิญญาณของเขาเรืองรองไปด้วยแสงสีทอง เจียงอี้ตื่นขึ้นจากความกลัวและรู้สึกโล่งใจเมื่อเขาเห็นว่าสมองของเขาไม่ได้ถูกเจ้าสิ่งน่ากลัวนี้เจาะทะลุมันและผ่านไปยังจิตวิญญาณของเขา เจียงอี้ใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์มองดูจิตวิญญาณตัวเองอย่างรวดเร็ว
จี๊ดจี๊ด!
สิ่งมีชีวิตหัวจระเข้กระพริบเข้าไปในจิตของเจียงอี้ราวกับวิญญาณและโจมตีรูปวิญญาณดาบของเขาอย่างต่อเนื่องหากไม่ได้พลังจากไข่มุกวิญญาณเพลิงที่ปกป้องดวงจิตวิญญาณอยู่ ดวงจิตวิญญาณของเขาคงจะถูกทำลายไปแล้ว
“มันเป็นผีอะไรกันที่สามารถฝ่าเพลิงโลกามาได้?มันยังตรงเข้ามาในดวงจิตวิญญาณได้อีก? นี่มันพยายามจะกัดกินดวงจิตวิญญาณของข้าหรือ?”
เจียงอี้ตื่นตระหนกเพราะเจ้าตัวประหลาดที่มีหัวเป็นจระเข้ที่กำลังโจมตีจิตวิญญาณของเขาอยู่เขาทำอะไรไม่ถูกและทำได้แค่มองต่อไป
จี๊ดจี๊ด!
สิ่งมีชีวิตหัวจระเข้นั้นกะเทาะไปยังจิตวิญญาณรูปดาบของเขาครั้งแล้วครั้งเล่าซึ่งทำให้จิตใจของเจียงอี้สั่นสะเทือนอยู่ซ้ำๆขณะที่ร่างของเขาเซไปพร้อมกันหน้าผากของเจียงอี้นั้นเจ็บปวดมากและเหงื่ออันเย็นเยียบก็ผุดออกมา เขารู้สึกประหลาดใจอย่างมากเมื่อเห็นว่า….เจ้าหัวจระเข้นี่ค่อยๆหดตัวลงหลังจากที่โจมตีในแต่ละครั้ง เดิมแล้วมันมีขนาดเท่าหัวแม่มือแต่ตอนนี้ตัวมันหดลงเหลือเท่านิ้วก้อย เขาจึงคิดว่าถ้ามันโจมตีอีกไม่กี่ครั้งมันอาจจะหายไปก็ได้
ปึงปึง….!
เจ้าหัวจระเข้บินวนไปมาในดวงวิญญาณของเจียงอี้และปะทะกับวิญญาณรูปดาบของเขาอย่างต่อเนื่องซึ่งทำให้ปากของเจียงอี้กระตุกไปด้วยความเจ็บปวดหลังจากที่โจมตีติดต่อกันสามครั้ง ในที่สุดเจ้าหัวจระเข้นั้นก็หายไปและแสงสีทองที่คุ้มครองจิตวิญญาณของเจียงอี้ก็พลันหายไปและดวงจิตวิญญาณของเขาก็คืนสู่ความสงบ
“นี่มันเรียกว่าอะไรกัน!”
เจียงอี้ลืมตาขึ้นและเช็ดเหงื่ออันเย็นเยียบออกจากหน้าผากของเขาจากนั้นเขาก็แตะไข่มุกวิญญาณเพลิงเบาๆ หากไม่มีไข่มุกวิญญาณเพลิงช่วยไว้ เขาก็อาจจะตายไปแล้ว
“ไข่มุกวิญญาณเพลิงนี่เป็นสิ่งประดิษฐ์ระดับไหนกันนะ?ทำไมมันถึงมีความสามารถที่ทรงพลังเยี่ยงนี้? ไม่เพียงแต่มันจะกันไฟได้แล้วแต่ยังสามารถปกป้องดวงจิตวิญญาณได้อีกด้วย แล้วไหนจะมีดาบมังกรเพลิงอีกที่ใช้งานกลไกได้ครึ่งเดียว หากกลไกภายในนั้นถูกซ่อมแซมอย่างสมบูรณ์แล้ว ดาบมังกรเพลิงจะทรงพลังเพียงใดกันนะ? หรือจะเป็นสิ่งประดิษฐ์เหนืออิทธิฤทธิ์? หรือว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝง?”
เจียงอี้มองไปที่ดาบมังกรเพลิงและไข่มุกวิญญาณเพลิงและนิ่งงันไปผู้อาวุโสฉีได้บอกเขาไว้ว่าสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ในปฐพีนี้เป็นของธรรมดาและผู้ที่อยู่เหนือขอบเขตจินกังนั้นจะมีพวกมันไว้ในครอบครอง
และนอกเหนือจากสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แล้วยังมีสิ่งประดิษฐ์เหนืออิทธิฤทธิ์ที่มีค่ามากกว่าอยู่ราชวังจักรพรรดิของเจียงอี้นั้นเป็นสิ่งประดิษฐ์เหนืออิทธิฤทธิ์ซึ่งเมื่อจูสุยเห็นมันก็ต้องการที่จะช่วงชิงมันไปจากเขา
และนอกจากนั้นยังมีสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝงซึ่งหายากมากและมีความสามารถที่ทรงพลังด้วยสมบัติทุกๆชิ้นนั้นจะทำให้เกิดการต่อสู้ระหว่างตระกูลใหญ่ซึ่งสิ่งประดิษฐ์ดังกล่าวนั้นจะอยู่ในครอบครองของเก้าตระกูลจักรพรรดิหรือตระกูลโบราณชั้นสูงเท่านั้น
แต่แน่นอนว่า….
ในตำนานมีสิ่งประดิษฐ์เหนืออิทธิฤทธิ์ซึ่งเหนือกว่าสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝงเช่น กระบี่ลี้ลับและเกราะลี้ลับ แต่ทุกสิ่งนั้นก็เป็นเพียงตำนานทั้งหมดและไม่มีผู้ใดเคยเห็นมันมาก่อน ไม่เว้นแม้แต่เก้าจักรพรรดิที่เป็นผู้ปกครองสูงสุดในแดนเทียนชิงด้วย
ซึ่งเห็นได้ชัดว่าดาบมังกรเพลิงนั้นแข็งแกร่งกว่าสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์และน่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์เหนืออิทธิฤทธิ์เจียงอี้นั้นไม่กล้าแม้แต่จะจินตนาการเลยว่ามันเป็นสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝง ทวีปเล็กๆอย่างทวีปเทียนชิงนั้นจะมีสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝงได้อย่างไร?บทที่ 596 สตรีอัจฉริยะ
“ข้าควรหยุดคิดและขัดเกลากระจกนิรันดร์ก่อนที่นี่มันน่ากลัวเกินไป ดวงจิตวิญญาณของข้าจะยื้อมันไว้ได้อีกหรือไม่ก็ไม่รู้หากว่ามันมาอีกแปดตัวหรือสิบตัวหรือมากกว่านั้น”
เจียงอี้อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านเมื่อเขานึกภาพสถานการณ์ที่เขาจะต้องเผชิญหากมีเจ้าหัวจระเข้โผล่มาโจมตีเขาพร้อมกันหลายสิบตัวเขาจึงเริ่มตั้งสมาธิและขัดเกลากระจกนิรันดร์ต่อไป “กระจกนี้น่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ป้องกัน ข้าสงสัยจังว่ามันอยู่ระดับไหน แต่จากที่ดูๆแล้ว อย่างน้อยก็น่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหมนะ? มันคงจะดีมากถ้าหากว่ามันสามารถปกป้องดวงจิตวิญญาณได้”
เจียงอี้ขัดเกลาอย่างต่อเนื่องในขณะที่เพิ่มความเร็วในการขัดเกลามันหนึ่งชั่วโมงต่อมากระจกนิรันดร์ก็ส่องสว่างมากกว่าครึ่งหนึ่งแล้วและในอีกไม่กี่อึดใจเขาก็จะสามารถขัดเกลามันได้อย่างสมบูรณ์
“มันกลับมาอีกแล้ว!”
ในขณะนั้นเจียงอี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหยุดเพราะสายลมที่พัดโชยมาอย่างน่าขนลุก เขาลุกขึ้นยืนกะทันหันในขณะที่ไข่มุกวิญญาณเพลิงเปล่งประกายออกมาและเขาก็แผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกมา แต่เขาก็ยังค้นพบเพียงความว่างเปล่า
“มันออกมาแล้ว!”
ห้วงอากาศข้างหน้าเขาสั่นเทาเล็กน้อยและไข่มุกวิญญาณเพลิงก็ปล่อยเปลวเพลิงอเวจีออกมาทันใดนั้นเจียงอี้ก็โจมตีออกไปไม่กี่ครั้งและเปลวเพลิงอเวจีก็แผ่ออกไปด้านนอก มันพุ่งไปยังสิ่งมีชีวิตหัวจระเข้ที่กำลังบินเข้ามาหาเจียงอี้
“จี๊ดจี๊ด!”
เปลวเพลิงอเวจีเผาเจ้าหัวจระเข้ตนนั้นไปซึ่งมันสร้างความเจ็บปวดอย่างรุนแรงและมันส่งเสียงกรีดร้องที่แสบแก้วหูออกมาร่างของมันหดตัวลงอย่างเห็นได้ชัดแต่มันก็ยังว่องไวเกินไปและพุ่งผ่านเปลวเพลิงอเวจีมาและฝังเข้าไปในหว่างคิ้วของเจียงอี้
ซู่ซู่…..
เมื่อมันเจาะเข้าไปในดวงจิตวิญญาณของเจียงอี้มันก็ทำให้เจียงอี้ต้องสูดลมหายใจอันเย็นเยียบเข้าไปพร้อมกับความเจ็บปวด แต่เขาก็ดูผ่อนคลายขึ้นมากเพราะหลังจากที่มันฝ่าเปลวเพลิงอเวจีมาแล้ว ร่างของมันก็เล็กลงไปถึงสองในสามส่วนและโจมตีดวงจิตวิญญาณของเขาได้มากที่สุดก็เพียงไม่กี่ครั้งก่อนที่มันจะหายไป
เจียงอี้ไม่ได้สนใจที่มันโจมตีดวงจิตวิญญาณของเขาแต่สิ่งที่ทำให้เขาคิดได้ก็คือเปลวเพลิงอเวจีสามารถทำร้ายสิ่งมีชีวิตหัวจระเข้ได้ สิ่งนี้ทำให้เขาได้รับความมั่นใจขึ้นมา ตราบใดที่เขาสามารถทำร้ายมันได้ เขาก็จะต้องระดมความคิดที่จะสร้างความเสียหายร้ายแรงกับมันได้ ด้วยวิธีนี้เขาถึงจะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการโจมตีที่รุนแรงอีกต่อไป
ความหวังทำให้คนๆหนึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจได้มันจะทำให้คนมีความปรารถนาที่จะอยู่รอดและยังปลดเปลื้องศักยภาพของตนออกมา
เมื่อเจ้าหัวจระเข้หายไปเจียงอี้ก็ไม่ได้คิดอะไรอีกต่อไปขณะที่เขานั่งลงและขัดเกลากระจกนิรันดร์อย่างรวดเร็ว
ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงต่อมากระจกนิรันดร์ก็สว่างขึ้นมาขณะที่เปล่งประกายกลิ่นอายที่น่ากลัวออกมา ในเวลานั้น เจียงอี้และกระจกนิรันดร์ก็ถูกเชื่อมต่อกันและข้อมูลบางอย่างของกระจกนิรันดร์ก็หลั่งไหลเข้ามาในความคิดของเขา
“มันเป็นสมบัติป้องกันและยังเป็นสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ระดับต้นๆอีกด้วยน่าเสียดายที่มันปกป้องดวงจิตวิญญาณไม่ได้”
เจียงอี้ตาสว่างขึ้นหลังจากที่เขาได้ศึกษาข้อมูลนั้นแต่มันก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว กระจกนิรันดร์นั้นสามารถรวมตัวของมันเองได้โดยอัตโนมัติ ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานมันจะต้านทานการโจมตีที่รุนแรงจากผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนขั้นที่ห้าได้ แม้ว่านี่จะเป็นสมบัติป้องกันที่น่ากลัวมากแต่มันก็ยังใช้ประโยชน์กับเขาในตอนนี้ไม่ได้
“ไปกันเถอะ!”
เขาหยุดนิ่งไปชั่วขณะก่อนที่จะลุกขึ้นยืนและเดินไปตามทางเดินอย่างไม่เร่งรีบเส้นทางปรโลกนี้น่ากลัวเกินไปและเขาจะต้องไม่อยู่ที่นี่นานเกินไป เจียงอี้รู้สึกได้ว่าสถานที่แห่งนี้คล้ายกับสะพานไร้ประโยชน์ ยิ่งเขาอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งพินาศเร็วขึ้นเท่านั้น
…
บรึฟ!
ในขณะเดียวกันที่กลางจัตุรัสก็สว่างไสวขึ้นด้วยแสงสีขาว มันจับตัวกันเป็นภาพอย่างรวดเร็วและประตูหินค่อยๆเปิดออก มีเด็กหนุ่มที่มีกลิ่นอายที่น่ากลัวสวมชุดจีนสีแดง เขาถักผมเปียและสร้อยคอกระดูกสัตว์ร้ายและแวบไปก่อนที่จะพุ่งเข้าไปที่ประตูบานใหญ่
“นายน้อยตระกูลเสียเสียเฟยผ่านด่านแรกแล้ว!”
ผู้คนมากมายในจัตุรัสถอนหายใจด้วยความเสียดายเพราะมันก็ผ่านมาสองชั่วโมงแล้ว ดังนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงไม่ได้รู้สึกทึ่งกับมันจริงๆ ตรงกันข้ามพวกเขากับแสดงสีหน้าราวกับว่ามันเป็นผลลัพธ์ปกติเพราะท้ายสุดแล้ว เสียเฟยก็อยู่ขอบเขตเทียนจุนแล้ว
บรึฟ!
ค่ายกลเคลื่อนย้ายเปล่งแสงสีขาวอีกครั้งและนอกจากนั้นก็ยังมีแสงสว่างเปล่งออกมาอีกห้าครั้ง หวู่นี่, ถูหลง, หลานชายจักรพรรดิแห่งศาสตรา, หลิงชีเจี้ยน, หลิงชือหย่าและหยินรั่วปิงก็ผ่านด่านแรกมาเช่นกัน
การแสดงออกของพวกเขาดูน่าเบื่ออย่างมากและมีเพียงแค่หลิงชือหย่าเท่านั้นที่ดูน่าสังเวชเห็นได้ชัดว่าหากไม่ใช่เพราะหลิงชีเจี้ยนช่วยนาง มันก็คงเป็นไปไม่ได้ที่นางจะผ่านด่านนี้มาได้อย่างรวดเร็ว
“ฮ่าฮ่าสิ่งต่างๆกำลังจะน่าสนใจ!”
“นายน้อยเสียและคนอื่นๆเป็นอัจฉริยะสวรรค์พวกเขาทั้งหมดมีจุดแข็งที่น่ากลัวพอสมควร ทายาทที่โดดเด่นที่สุดของตระกูลเก้าจักรพรรดิ”
“ถูกต้องข้าสงสัยจังว่าตระกูลใดจะได้สมบัติอันดับแปด”
“ใครก็ได้ที่ไม่ใช่ไอ้สารเลวนั่น!”
“นี่เจ้ากำลังจะบอกว่าไอเด็กเหลือขอที่ท้าทายความยากระดับนรกน่ะหรอ?เลิกฝันเถอะ ข้าว่าตอนนี้เขาคงตายไปแล้วล่ะ จระเข้กลืนวิญญาณในเส้นทางปรโลกนั้นเชี่ยวชาญการกลืนวิญญาณผู้คน ในเมื่อเขาไม่มีสิ่งประดิษฐ์ที่เกี่ยวกับ
วิญญาณ เขาจะอยู่ได้นานเพียงใดกัน…?”
ผู้คนด้านนอกจัตุรัสกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งและพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นราวกับว่าพวกเขาเป็นคนเข้าไปท้าชิงสมบัติเสียเอง
สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจคือหลานชายจักรพรรดิแห่งศาสตราเขาอายุเพียงแปดขวบและยังไปไม่ถึงขอบเขตเทียนจุน แต่กลับสามารถผ่านด่านมาพร้อมๆกับลูกหลานคนอื่นๆได้
บ่อยครั้งมักจะมีผู้ที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นจากตระกูลเก้าจักรพรรดิไม่ใช่ว่าอีฉานแห่งตระกูลจักรพรรดิอรหังก็เป็นหนึ่งในนั้นหรอกหรือ? นางผ่านด่านแรกไปได้เมื่อสี่ชั่วโมงที่แล้วก่อนที่ทุกคนจะผ่านมาได้
บรึฟ!
ในขณะนั้นเองค่ายกลเคลื่อนย้ายก็ส่องสว่างเป็นแสงสีขาวอีกครั้ง ภาพที่ออกมาคือหญิงสาวผมสีม่วงที่ผ่านมา ในขณะเดียวกัน พื้นที่รอบๆนางก็แปรปรวนอย่างไม่หยุดยั้งและมีสิ่งมีชีวิตที่มีหัวจระเข้จำนวนมากพากันกรูเข้ามาหานาง
“ย๊ากกก!”
เหมือนกับว่าทุกคนได้ยินเสียงหญิงสาวผมสีม่วงกำลังส่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบาขณะที่ร่างกายของนางเปล่งประกายไปด้วยลำแสงสีขาวลำแสงนั้นกลายเป็นสายฟ้าที่น่าสะพรึงและกลายเป็นอสรพิษอัสนีที่หมุนวนรอบร่างกายของนาง เมื่อเจ้าหัวจระเข้สัมผัสเข้ากับสายฟ้า พวกมันจะส่งเสียงกรีดร้องออกมาก่อนที่จะกลายเป็นควันสีขาวและหายลับไป จากนั้นหญิงสาวผมสีม่วงก็พุ่งเข้าไปที่ประตูและประตูก็ปิดลงช้าๆ
ฮือฮา!
จัตุรัสหยกขาวเดือดพล่านอีกครั้งอีฉานผ่านด่านที่สองแล้วและได้สี่แต้มซึ่งทำให้นางได้สมบัติชิ้นที่แปดไป ในช่วงเวลาสั้นๆ สมบัติสามในสิบชิ้นก็ได้ถูกพรากไปแล้ว ซึ่งสิ่งนี้มันเกินความคาดหมายของทุกคนเป็นอย่างมาก
หากอีฉานยังคงระดับไว้เช่นนี้ต่อไปเช่นนั้น สมบัติที่เหลือทั้งหมดจะตกเป็นของนางแต่เพียงผู้เดียว หากนางได้มันมาครอง ความแข็งแกร่งของนางจะพุ่งทะยานอย่างถึงที่สุด
หากนางได้รับสมบัติอันดับสองที่เป็นวิชาหลีกสวรรค์และได้สมบัติอันดับหนึ่งหญ้ามังกรยาจกแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นศักยภาพของอีฉานจะไม่มีผู้ใดเทียบเทียมอีกต่อไป บางทีนางอาจจะกลายเป็นปรมาจารย์ตระกูลอีคนต่อไปด้วยซ้ำ
ดวงตานับไม่ถ้วนเป็นประกายเร่าร้อนอีฉานนั้นทำตัวไม่เป็นจุดสนใจมาตลอด มีคนบอกว่าไม่มีผู้ใดเคยเห็นใบหน้านางมาก่อนและผ้าคลุมหน้าที่นางสวมใส่นั้น แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนขั้นกลางยังไม่สามารถมองทะลุผ้าคลุมหน้าไปได้ อย่างไรก็ตาม แม่ของอีฉานนับว่าเป็นสาวงามที่เลื่องลือในสมัยนั้น พ่อของนางยังเป็นชายที่หล่อเหลาและมีชื่อเสียงมาก ดังนั้นรูปลักษณ์ของนางคงไม่ได้ด้อยไปกว่าหยิ่นรั่วปิงหรือหลิงชือหย่าอย่างแน่นอน
นางยังได้รับการขนานนามว่าเป็นทายาทรุ่นที่สามที่โดดเด่นที่สุดในตระกูลอรหังแห่งเก้าจักรพรรดิอีกด้วยและนางยังเป็นหลานสาวที่เป็นที่โปรดปรานของจักรพรรดิอรหังที่มีพลังการต่อสู้ที่ท้าทายสวรรค์ด้วย
อีฉานนั้นมีทุกสิ่งที่สตรีทั้งหมดพึงมีและได้กลายเป็นเทพธิดาของนายน้อยนับไม่ถ้วนพวกเขาหลายคนเริ่มฝันเฟื่องว่าหากพวกเขาสามารถครองเสน่หาของหญิงงามผู้นี้ได้ ภายภาคหน้าพวกเขาจะเป็นเช่นไรกันนะ