เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 599 -600
บทที่ 599 ทางตันของวีรบุรุษ
บรึฟ!
จัตุรัสหยกขาวเปล่งประกายออกมาอย่างต่อเนื่องขณะที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายแสดงขึ้นมาว่าเสียเฟยและคนอื่นๆกำลังผ่านด่านสองกันไปทีละคนพวกเขาใช้เวลาประมาณหกชั่วโมงในการผ่านด่านสอง
เมื่อทุกคนผ่านด่านสองไปแล้วจัตุรัสก็คึกคักขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่อีฉานนำหน้าไปก่อนได้เงียบหายไป มันก็เห็นได้ชัดว่านางติดอยู่ในด่านที่สาม ส่วนเจียงอี้นั้น…….ไม่มีผู้ใดสนใจเขาอีกต่อไป พวกเขาทั้งหมดต่างพากันคิดว่าเจียงอี้ตายไปด้วยน้ำมือของจระเข้กลืนวิญญาณแล้ว
ชื่อของเจียงอี้นั้นไม่ได้เป็นที่รู้จักในใต้หล้านี้ดังนั้นเขาก็น่าจะไม่ใช่ผู้ที่มาจากตระกูลใหญ่โตอย่างแน่นอน ความแข็งแกร่งของเขาก็ดูเหมือนจะอยู่เพียงขอบเขตจินกังขั้นแรกเท่านั้น แม้ว่าเขาจะโชคดีและผ่านด่านแรกมาได้ แต่ทุกคนต่างก็ดูถูกเขาในใจ
“มามา เดิมพันกันเถอะ! หัวข้อพนันคือใครจะเป็นคนแรกที่ผ่านด่านสาม!”
“ข้าลงเดิมพันกับแม่นางอีฉานแม่นางอีอยู่ในด่านที่สามมานานแล้วและนางอาจจะไปถึงทางออกแล้ว แม่นางอีจะต้องชนะอย่างแน่นอน!”
“เหอะๆมันอาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ แม่นางอีหายไปนานแล้ว นางคงเจอปัญหาแน่ๆ ข้าลงเดิมพันฝั่งนายน้อยเสียเฟย!”
“ข้าเดิมพันนายน้อยเจี้ยนฮ่าฮ่า ข้าจะบอกอะไรให้นะ นายน้อยเจี้ยนน่ะมีกายวิญญาณแท้จริงที่หายากยิ่งซึ่งปรากฏเพียงครั้งเดียวในรอบหมื่นปี พวกเจ้าทุกคนเห็นขลุ่ยที่ตัวเขาหรือไม่? มันคือขลุ่ยคล้องวิญญาณที่จักรพรรดิแห่งศาสตราใช้มันครองทวีปจักรพรรดิบูรพาในสมัยนั้น มันเป็นสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝงและยังเป็นหนึ่งในสิบอันดับศาสตราวุทธของยุทธภพนี้อีกด้วย การมีสิ่งประดิษฐ์ที่ทรงพลังเช่นนี้ นายน้อยเจี้ยนจะเอาชนะความยากลำบากทั้งหมดและได้หญ้ามังกรยาจกและวิชาหลีกสวรรค์มาครอง”
“ข้าจะเดิมพันกับเทพธิดาของข้าแม่นางรั่วปิง….”
คนข้างนอกนั้นเบื่อหน่ายมากจึงเริ่มพากันวางเดิมพันกันเฟยฉีและเฟยเทียนเองก็รู้สึกเบื่อหน่ายเช่นกัน และเขาก็ไม่สามารถฝึกฝนอยู่ที่นี่อย่างสงบได้ เฟยฉีจึงยืนขึ้นและพูดว่า “ทุกท่าน เฟยฉีนับว่าเป็นเจ้าบ้านในทวีปแห่งนี้ ทำไมไม่ให้ข้าเป็นเจ้าภาพกันเล่า? ไม่จำเป็นต้องกล่าวอันใดไปมากกว่านี้ ข้าสามารถจ่ายศิลาสวรรค์ได้ประมาณสองหมื่นก้อน และเฟยฉีจะไม่ผิดคำพูดหรือหนีไปไหน”
ฮือฮา!
เดิมทีความคิดที่จะวางเดิมพันนั้นเป็นเรื่องสนุกเล็กๆน้อยๆ แต่ตอนนี้เมื่อเฟยฉีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยมันจึงกลายเป็นการเดิมพันที่จริงจังขึ้นมา เขาเป็นองค์ชายใหญ่ของจักรวรรดิเฟยหม่าและเป็นผู้สืบทอดคนต่อไปของตระกูลเฟย เขานั้นมีสถานะที่น่ายกย่องมากและเขาวางศิลาสวรรค์ให้ทุกคนได้เดิมพันกันสองหมื่นก้อนซึ่งทุกคนต่างก็มีความสุขในทันทีและบรรยากาศทั้งหมดก็น่าตื่นเต้นขึ้นมาก
เฟยเทียนเองก็มีความคิดขึ้นมาและยกมือขึ้นสูงพร้อมกับพูดว่า“มีใครอยากเดิมพันกับเจ้าเด็กที่อยู่ในระดับความยากนรกนั่นบ้าง? ข้าจะเป็นเจ้ามือเดิมพันเอง หากเขาสามารถผ่านด่านสองไปได้ ข้าจะจ่ายคืนห้าเท่า หากเขาผ่านด่านสามได้ ข้าจะจ่ายสิบเท่า, ด่านสี่ข้าจะจ่ายยี่สิบเท่าและด่านที่ห้า ข้าจะจ่ายห้าสิบเท่า หากเขาได้หญ้ามังกรยาจกไปครอง ข้าจะจ่ายร้อยเท่า! ว่ายังไงล่ะ?”
ฮือฮา!
ทั้งจัตุรัสลุกเป็นไฟอัตราการเดิมพันของเฟยเทียนนั้นสูงมากและมันได้ล่อลวงทุกๆคน หากเจียงอี้ได้หญ้ามังกรยาจกไป ศิลาสวรรค์หนึ่งร้อยก้อนจะกลายเป็นศิลาสวรรค์หมื่นก้อนเชียวนะ มันเป็นการเดิมพันที่คุ้มค่าจริงๆ
แม้ว่าคนส่วนใหญ่นั้นไม่คิดว่าเจียงอี้จะผ่านด่านสองได้แต่พวกเขาก็หวังว่าจะโชคดีและวางเดิมพันลงไป แต่พวกเขาก็ไม่ได้วางเดิมพันมากมายนัก อย่างมากก็ศิลาสวรรค์เพียงไม่กี่สิบก้อนหรือไม่ก็ศิลาสวรรค์ร้อยก้อน ด้วยเหตุนี้เอง การเดิมพันทั้งหมดจึงมีศิลาสวรรค์เกินหนึ่งพันก้อนมาเล็กน้อยเท่านั้น
เฟยฉีขมวดคิ้วและรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยในเมื่อเฟยเทียนดันตกปากรับคำไปแล้วเขาก็คงไม่สามารถหักล้างสิ่งที่จะส่งผลต่อชื่อเสียงของเฟยเทียนได้ เขาจึงส่งข้อความเสียงไปว่า “เฟยเทียน เจ้าวู่วามเกินไป….”
เฟยเทียนไม่สนใจและตอบกลับด้วยข้อความเสียงว่า“พี่ใหญ่ ข้าเคยแลกกระบวนท่ากับเจ้าเด็กนั่นมาแล้ว ความแข็งแกร่งของเขาอาจพิลึกแต่เขาก็ไม่ได้น่าเกรงขามนัก เชื่อข้าเถอะว่าเขาจะไม่มีทางผ่านด่านที่สองได้ด้วยซ้ำ”
“ข้าเข้าใจแล้ว….”
เฟยฉีพยักหน้าและไม่พูดอะไรมากแต่ยังค่อนข้างกังวลอยู่ในใจหากเจียงอี้นั้นเป็นผู้ท้าทายสวรรค์อย่างแท้จริงและได้หญ้ามังกรยาจกไป ตระกูลเฟยของพวกเขาจะต้องจ่ายศิลาสวรรค์มากกว่าแสนก้อน และเมื่อเป็นเช่นนั้น พ่อของพวกเขาอาจจะกระอักเลือดได้
…..
เจียงอี้ไม่ใช่ผู้ท้าทายสวรรค์อะไรเขาค่อยๆก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ หากเขายังคงความเร็วนี้ เขาอาจจะใช้เวลาประมาณยี่สิบปีถึงจะผ่านด่านสองไปได้
เขาไม่ได้รีบร้อนอะไรและยังคงอยู่ในสภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์ลึกลับขณะที่ร่างของเขาเหาะเหินไปมาอย่างงดงามฝ่ามือของเขากวัดแกว่งไปมาตลอดเวลาราวกับว่าเขากำลังดีดจะเข้อย่างช้าๆ
ไข่มุกวิญญาณเพลิงจะกระพริบตลอดเวลาที่เปลวเพลิงอเวจีออกมาฝ่ามือของเขาปลดปล่อยเปลวเพลิงอเวจีออกมาอย่างรวดเร็วและแบ่งแต่ละก้อนออกเป็นสองส่วน ภายหลังจากนั้น ฝ่ามือของเขาก็สั่นไหวตลอดเวลาและเปลวเพลิงอเวจีก็เปลี่ยนรูปกลายเป็นอสรพิษอัคคีสองตัว
จี๊ดจี๊ด!
เขาเหวี่ยงฝ่ามือของเขาและจากนั้นก็มีอสรพิษอัคคีสองตัวพุ่งออกไปยังจระเข้กลืนวิญญาณสองตัวที่กำลังจะปรากฏขึ้นจากนั้นเปลวเพลิงอเวจีทั้งสองสายก็ปะทะเข้ากับจระเข้กลืนวิญญาณซึ่งมันหดตัวและหายลับไปอย่างรวดเร็วในเวลาเดียวกัน
ขำทำสำเร็จแล้ว!
เจียงอี้มีความสุขมากหลังจากที่ร่ำเรียนมาเป็นเวลาสี่ชั่วโมง ในที่สุดเขาก็ได้พัฒนาทักษะการต่อสู้ซึ่งสามารถจัดการกับจระเข้กลืนวิญญาณได้
ตอนแรกเขาต้องใช้เปลวเพลิงอเวจีสามก้อนเพื่อจัดการกับจระเข้กลืนวิญญาณหนึ่งตัวหลังจากที่เขาเข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์แล้ว เขาก็ใช้มันเพียงก้อนเดียวเท่านั้น และในตอนนี้เขาก็ได้พัฒนาจนสามารถใช้เปลวเพลิงอเวจีเพียงก้อนเดียวในการกำจัดจระเข้กลืนวิญญาณได้ถึงสองตัว
เขายังเหลือเปลวเพลิงอเวจีอยู่อีกประมาณพันก้อนและหากมันเป็นเช่นนี้เขาจะสังหารจระเข้กลืนวิญญาณได้อย่างน้อยสองพันตัว แต่แน่นอนว่าเขาจะต้องรักษาความเร็วเท่านี้ด้วย หากเขาวิ่งไปอย่างรวดเร็วจะทำให้เปลวเพลิงอเวจีของเขาหมดลงไปในเวลาไม่ถึงสามสิบนาทีเลยด้วยซ้ำ
“ไปเถอะ!”
เขาไม่รู้ว่าเขาจะต้องไปอีกไกลเท่าไหร่หรือว่าเปลวเพลิงอเวจีที่เหลือจะทำให้เขาไปถึงจุดหมายหรือไม่แต่เขาก็ไม่มีทางอื่นแล้ว ทางเดียวที่เขามีก็คือค่อยๆไปข้างหน้าอย่างช้าๆและค่อยๆคิดหาทางอื่นเพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้
หนึ่งวัน,สามวัน……ห้าวัน!
เจียงอี้เดินทางไปได้ไกลกว่าสองพันกิโลเมตรแล้วเขาเหลือเปลวเพลิงอเวจีอยู่เพียงห้าร้อยก้อนและยังไม่พบวิธีจัดการกับจระเข้กลืนวิญญาณเลย ส่วนเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์นั้นไม่ได้ทรงพลังมากพอ ส่วนเพลิงโลกานั้นอย่าพูดถึงเลย
จระเข้กลืนวิญญาณนั้นไม่มีร่างกายและไม่มีทางโจมตีทางกายภาพได้หากมันผ่านเปลวเพลิงมาได้ก็ไม่จำเป็นต้องพูดถึงการโจมตีของเจียงอี้เลย เขาได้พยายามปลดปล่อยเจตจำนงสังหารแล้วแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ผล
สิบวันต่อมาเจียงอี้ก็ผ่านไปสี่พันกิโลเมตรแล้วและเขาก็เหลือเปลวเพลิงอเวจีน้อยกว่าร้อยก้อน เมื่อเวลาเปลี่ยนไปและยิ่งเขาไปไกลเท่าไหร่ เขาก็ต้องโจมตีบ่อยขึ้น ทุกครั้งจะมีจระเข้กลืนวิญญาณห้าถึงแปดตัวโจมตีในเวลาเดียวกัน เจียงอี้นั้นได้แต่บ่นออกมา แต่เขาก็ต้องปล่อยเปลวเพลิงเวจีออกมาและแยกพวกมันออกเป็นกลุ่มก้อนต่ออยู่ดี
หากไม่ใช่เพราะสภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์ที่สามารถตรวจจับจระเข้กลืนวิญญาณได้ก่อนล่วงหน้าเจียงอี้ก็เชื่อว่าเขาคงจะกลายเป็นกองกระดูกไปแล้ว ระหว่างทางที่ผ่านมา เขาเห็นโครงกระดูกมากมายและหากเขายังหาทางอื่นไม่ได้ในอีกหนึ่งวัน สุดท้ายเขาก็จะกลายเป็นกองกระดูกอยู่ข้างทางเช่นกัน
ฟรึ่บ!ฟั่บ! ฟรึ่บ!
ด้านหน้านั้นมีระลอกคลื่นแปดระลอกและเจียงอี้ก็ปลดปล่อยเปลวเพลิงอเวจีออกมาเมื่อเขาสังหารจระเข้กลืนวิญญาณไป ห้วงอากาศด้านหน้าเขาก็กระเพื่อมอีกครั้งหลังจากที่ก้าวไปอีกเพียงไม่กี่ก้าว
“เฮ้อ…”
ด้านหน้ามีกระดูกอยู่สองกองและมีลมอันชั่วร้ายพัดผ่านมาจิตใจของเจียงอี้นั้นมีความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่านี่เป็นทางตันของวีรบุรุษแน่ๆ เขาจะตกตายลงไปในเส้นทางปรโลกนี้หรือไม่นะ?
บทที่ 600 ประตูแห่งชีวิต
บรึฟ!
ค่ายกลเคลื่อนย้ายกลางจัตุรัสสว่างวาบขึ้นด้วยแสงสีขาวผู้คนนับไม่ถ้วนต่างพากันลุกขึ้นยืนมองด้วยความประหลาดใจ ดวงตากว่าร้อยคู่จับจ้องไปยังห้วงอากาศด้านบนด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
ประตูหินขนาดยักษ์ค่อยๆเปิดออกและนายน้อยที่สวมชุดจีนสีแดงยืนอยู่ที่นั่นด้วยความภาคภูมิเมื่อประตูเปิดออก เขาไม่ได้เข้าไปในนั้นทันที แต่หันกลับไปมองข้างหลังขณะที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย
ฟรึ่บ!
เมื่อนายน้อยที่มีกลิ่นอายชั่วร้ายเข้าไปประตูก็ค่อยๆปิดลงขณะที่ฉากในอากาศค่อยๆจางหายไป
ฮือฮา!
จัตุรัสระเบิดเสียงดังสนั่น!คนแรกที่ผ่านด่านที่สามไม่ใช่แม่นางอีฉานแต่กลับเป็นนายน้อยเสียเฟย?!
ทุกคนรู้ดีว่าแม่นางอีฉานเข้าไปยังด่านที่สามล่วงหน้าหลายชั่วโมงแล้วและนางก็มีเวลาล้นหลามซึ่งทุกคนคิดว่านางจะนำหน้าทุกคน
แต่เมื่อเสียเฟยเป็นคนแรกที่ผ่านด่านสามนั่นก็หมายความว่าเขาได้หกคะแนนแล้วซึ่งก็หมายความว่าเขาจะได้รับสมบัติถึงสองชิ้น เพราะคนแรกที่ได้รับห้าคะแนนแรกจะได้สมบัติอันดับเจ็ดและหกคะแนนจะได้สมบัติอันดับหก เสียเฟยอาจผ่านเพียงด่านสาม แต่เขากลับได้สมบัติไปถึงสองชิ้น
สมบัติอันดับหกและเจ็ดนั้นเป็นสิ่งประดิษฐ์เหนืออิทธิฤทธิ์แม้ว่าพวกมันจะไม่ได้มีค่ามากนักแต่ก็ยังคงเป็นสิ่งประดิษฐ์เหนืออิทธิฤทธิ์อยู่ดี ซึ่งนายน้อยและคุณหนูหลายคนในจัตุรัสไม่มีไว้ครอบครองแม้แต่ผู้เดียว บางทีอาจมีเพียงคนที่มีสถานะอย่างเฟยฉีเท่านั้นที่อาจจะมีมันไว้ครอบครองสักอันหนึ่ง ในขณะที่เสียเฟยได้มันไปถึงสองอัน แล้วจะไม่ให้พวกเขาทั้งหมดอิจฉาตาร้อนได้อย่างไรกัน?
อีฉานเข้าด่านที่สามไปก่อนและยังไม่มีข่าวคราวของนางเลยซึ่งมันทำให้ทุกคนกังวลนักหากหญิงงามเช่นนี้ต้องตกตายไปในด่านที่สาม ใจของนายน้อยนับไม่ถ้วนคงจะแตกเป็นเสี่ยงๆอยู่ตรงนี้
หนึ่งชั่วโมงต่อมา!
เมื่อทุกคนสงบสติอารมณ์ได้แล้วค่ายกลเคลื่อนย้ายตรงกลางก็สว่างขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ทุกคนต่างสับสนมากขึ้นเพราะบุคคลที่สองที่ผ่านด่านที่สามมา แท้จริงแล้วคือหยิ่นรั่วปิงและอีฉานก็ยังไม่ผ่านด่านนี้มา
สองชั่วโมงต่อมาค่ายกลเคลื่อนย้ายสว่างขึ้นสองครั้ง หวู่นี่ผ่านมาพร้อมกลับสาวใช้สองคนขณะที่หลานชายจักรพรรดิแห่งศาสตราตามหลังมาอย่างใกล้ชิด
หวู่นี่นำสาวใช้ขอบเขตเทียนจุนมาด้วยทั้งหมดสี่คนทั้งสี่คนนั้นปรับแต่งชิ้นส่วนรูปแบบเต๋าวิญญาณและไม่ได้ถือว่าน่าเกรงขามเท่าใด แต่การที่พวกนางสองคนต้องตกตายไปในด่านที่สามนั้น…มันก็พอจะจินตนาการได้เลยว่าด่านที่สามนั้นน่ากลัวเพียงใด
ทุกคนพากันใจจดใจจ่อและเป็นกังวลกับหญิงสาวผมสีม่วงและมีลูกหลานตระกูลอีอยู่ที่นั่นสองสามคนซึ่งพวกเขาพากันคุกเข่าสวดอธิษฐานขอพรให้อีฉาน
ครึ่งวันต่อมา……
ค่ายกลเคลื่อย้ายเปล่งแสงออกมาขณะที่หญิงสาวผมสีม่วงปรากฏตัวขึ้นในสายตาของทุกคนมีนายน้อยหลายคนที่ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจเพราะเสื้อคลุมสีขาวของอีฉานเต็มไปด้วยเลือดและขาดวิ่นจนเผยผิวที่ขาวราวกับหิมะของนาง มีรอยแผลเป็นที่น่ากลัวอยู่บนเรือนร่างของนางขณะที่นางเดินโซซัดโซเซไปมาและมันก็ทำให้หัวใจของทุกคนปวดร้าว
“นายหญิงน้อย!”
มีนายน้อยและคุณหนูสองสามคนที่เกี่ยวข้องกับตระกูลอีที่อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมาตราบใดที่อีฉานรอดมาได้ถึงด่านที่สามนั่นก็หมายความว่านางจะไม่ตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต ตราบเท่าที่นางผ่านด่านสามไปได้ พวกเขาก็จะออกไปพร้อมกับสมบัติที่ได้มาอย่างปลอดภัย
อีฉานได้รับบาดเจ็บและการล่าสมบัติในครั้งนี้นั้นเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าใครจะได้สมบัติที่เหลือไปนอกเสียจากสวรรค์
….
“มีคนได้สมบัติอันดับหกและเจ็ดไปแล้ว?”
หลังจากที่เสียเฟยผ่านด่านสามจิตใจของเจียงอี้ก็ปรากฏฉากที่สมบัติสองชิ้นลอยลงมาจากรอยแยกบนท้องฟ้า เขาตกใจเล็กน้อยซึ่งมันได้ทำให้เขาหลุดออกจากสภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์
“เวรล่ะ!”
เจียงอี้ตกใจมากเมื่อเห็นระลอกคลื่นทั้งแปดสั่นไหวขึ้นจากทุกทิศทางเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปลดปล่อยเปลวเพลิงอเวจีทั้งหมดที่เขามีอยู่เพื่อห่อหุ้มตัวเองเอาไว้ขณะที่เขาเข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์อย่างรวดเร็ว หากเขาไม่ทำเช่นนั้น เขาคงจะตายอยู่ที่นี่เป็นแน่
มันไม่สำคัญสำหรับเขาเลยที่มีคนได้สมบัติไปแล้วเขาจะไปมีอารมณ์มาคอยกังวลกับสมบัติขณะที่เขากำลังจะตายได้อย่างไรกัน?
“จี๊ดจี๊ด!”
เมื่อจระเข้กลืนวิญญาณผ่านเปลวเพลิงอเวจีมาพวกมันก็ไม่สามารถฝ่าเข้ามาถึงดวงจิตวิญญาณของเจียงอี้ได้และถูกแผดเผาไปเสียก่อน ซึ่งเปลวเพลิงของเจียงอี้ใกล้จะหมดลงแล้วและเหลือเพียงไม่ถึงสี่สิบก้อนเท่านั้น
เจียงอี้ยืนอยู่กับที่และไม่ขยับไปไหนจิตใจของเขากำลังมืดบอดและไม่รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไป
จี๊ดจี๊ด!
แม้ว่าเจียงอี้จะไม่เคลื่อนไหวแต่พื้นที่รอบๆก็ยังคงมีคลื่นกระเพื่อมอยู่เรื่อยๆจระเข้กลืนวิญญาณแปดตัวบินมาพร้อมกับกลิ่นอายแห่งความตายซึ่งเจียงอี้ไม่สนใจที่จะโจมตีพวกมันอีกต่อไปขณะที่เขายังคงใช้เปลวเพลิงอเวจีห่อหุ้มตัวเองเอาไว้และปล่อยให้จระเข้กลืนวิญญาณโจมตีเขา
เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆและเปลวเพลิงเวจีของเจียงอี้เริ่มลดลงเรื่อยๆจนเปลวเพลิงอเวจีของเขาเหลือน้อยกว่ายี่สิบก้อนแล้วและในที่สุดพวกมันก็ฝ่าเปลวเพลิงมาได้และเข้าสู่ดวงจิตวิญญาณของเจียงอี้เพื่อโจมตีดวงจิตวิญญาณของเขา เมื่อจิตวิญญาณของเจียงอี้ล่มสลายลงจากการโจมตีของพวกมัน พวกมันก็จะกลืนกินวิญญาณของเขาไป
บรึฟ!
ไข่มุกวิญญาณเพลิงถ่ายเทพลังงานออกมาซึ่งทำให้จิตวิญญาณของเจียงอี้เปล่งแสงเรืองรองสีทองออกมาจากนั้นจระเข้ทั้งแปดตัวก็เข้าไปในดวงจิตวิญญาณของเขา แต่พวกมันทั้งหมดก็ถูกเผาโดยเปลวเพลิงอเวจีจนขนาดตัวหดเหลือเพียงหนึ่งในสามส่วนของขนาดตัวเท่าเดิมแล้ว ดังนั้นการโจมตีของพวกมันจึงไม่รุนแรงมากนัก ดวงจิตวิญญาณของเจียงอี้นั้นได้รับผลกระทบครั้งแล้วครั้งเล่าจนเขาจับหัวและร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด แต่ดวงจิตวิญญาณของเขาก็ไม่ได้พังทลายลง
ฟู่ฟู่…..
เจียงอี้คุกเข่าลงไปกับพื้นด้วยขาข้างเดียวและมีหน้าตาที่ดุดันเขากินยาเปลี่ยนกายไปเมื่อสามวันก่อนและร่างของเขาก็เริ่มกลับมาสู่ร่างเดิม ใบหน้าของเขาดูซีดเซียวและเขาก็แสยะยิ้มไปยังท้องฟ้าอันมืดมิด เขาสาปแช่งอยู่เงียบๆ “จักรพรรดิลี้ลับ ทำไมท่านจึงต้องทำเรื่องบ้าๆเช่นนี้ด้วย? มันไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องสังหารคนรุ่นหลังทั้งหมดเพียงเพราะพวกเขาเข้ามาแสวงหาสมบัติก็ได้นี่ ใช่ไหม? ไม่ใช่ว่าท่านอยู่บนสรวงสวรรค์ไปแล้วรึ? แล้วเหตุใดจึงต้องให้คนมากมายตายไปกับท่านด้วยเล่า….”
คำบ่นของเจียงอี้ทำให้ตัวเองตกตะลึงเขาพึมพำอย่างหมดอาลัยตายอยาก “ฆ่า? ฆ่า? ใช่แล้ว! จักรพรรดิลี้ลับไม่ได้ทิ้งอาคมในราชวังแห่งนี้ไว้คอยสังหารผู้คน แต่มันคือการบ่มเพาะความสามารถ เพื่อที่จะฝึกฝนยอดฝีมือที่ท้าทายสวรรค์เพื่อให้เผ่าพันธุ์มนุษย์เจริญรุ่งเรืองต่อไปได้หลายชั่วอายุคนและคอยปราบเผ่าพันธุ์ปีศาจ”
“ในเมื่อมันเป็นเช่นนั้น….อย่างนั้นทุกด่านในราชวังแห่งนี้ก็ไม่น่าจะแก้ไขไม่ได้ตราบใดที่มีคนพบประตูแห่งชีวิตพวกเขาเหล่านั้นก็จะผ่านมันไปได้! ใช่แล้ว มันต้องเป็นเช่นนั้นแน่ๆ ตราบใดที่ข้าพบจุดสำคัญที่จะทะลวงด่านไปได้ ข้าก็จะรอดไปได้!”
ดวงตาของเจียงอี้สว่างขึ้นเมื่อความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอดได้ทำให้ร่างกายของเขาสั่นสะท้านไปทั่วขณะที่เขามองขึ้นไปบนฟ้าเขาสงบสติอารมณ์อย่างรวดเร็วและไม่กังวลเรื่องอื่นใดเลย จากนั้นเขาก็นั่งขัดสมาธิและเข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์
แต่เดิมเขามีปัญหากับการเข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์แต่ตั้งแต่ที่เขาทะลวงสู่ขั้นแรกตอนที่อยู่บนสะพานได้แล้ว เขาก็มีความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับสภาวะนี้และสามารถเข้าสู่สภาวะนี้ได้ทันทีตราบเท่าที่ใจของเขาสงบสุขและไม่มีความคิดใดๆมาก่อกวน
เขาปล่อยให้ตัวเองหลอมรวมกับสถานที่แห่งนี้และสัมผัสทุกสิ่งอย่างละเอียดถี่ถ้วนเขาลืมสิ้นทุกสิ่งแม้กระทั่งความตายที่คืบคลานเข้ามา หลังจากผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง จระเข้กลืนวิญญาณเก้าตัวก็ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศและเขาก็ไม่ได้ปลดปล่อยเปลวเพลิงอเวจีออกมาเพื่อป้องกันตัวเองด้วยซ้ำ เขาเพียงแค่จดจ่อจิตใจของเขาไปที่จระเข้กลืนวิญญาณเหล่านั้นและคอยมองอย่างละเอียด
เขากำลังมองหาประตูแห่งชีวิตของด่านที่สองอยู่!
จระเข้กลืนวิญญาณเก้าตัวส่งเสียงแหลมออกมาขณะที่จู่โจมพร้อมลมที่ชั่วร้ายเจียงอี้รับรู้ได้อย่างชัดเจนถึงฟันอันแหลมคมและดวงตาสีแดงฉานของพวกมัน เขายังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตายที่ปกคลุมเขาเอาไว้ได้อย่างชัดเจนเช่นกัน
จี๊ด!จี๊ด!
จนถึงตอนนี้…
เจียงอี้ก็ยังไม่ได้ปล่อยเปลวเพลิงอเวจีออกมาแม้แต่ก้อนเดียวและปล่อยให้จระเข้กลืนวิญญาณทั้งเก้าตัวพุ่งเข้ามาที่หว่างคิ้วของเขาและพุ่งตรงไปยังดวงจิตวิญญาณด้วยจระเข้กลืนวิญญาณที่มากมายเช่นนี้ หากเขาไม่ทำอะไรสักอย่าง ดวงจิตวิญญาณของเขาจะแหลกสลายไปอย่างแน่นอน
ในตอนนั้นเองเขาก็เริ่มเคลื่อนไหว ร่างกายของเขาไม่ได้ขยับเขยื้อนแต่กลับเป็นมุมปากของเขาที่โค้งขึ้นมา!
เขากำลังยิ้มอยู่!