เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 601-602
บทที่ 601 เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู ผู้มีชัยจะปรากฏ!
ถูกต้อง!
เขายิ้มออกมา!
เขาพบประตูแห่งชีวิตด่านสองอย่างเลือนรางแต่มันคือสิ่งใดกัน? เขาต้องตรวจสอบมัน หากการตัดสินของเขาผิดพลาด เขาจะต้องถูกสาปแช่งไปชั่วนิรันดร์ แต่หากว่าเขาคิดถูกต้องแล้ว ด่านที่สองก็จะทลายลงไปเอง
เมื่อมนุษย์เผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวและอันตรายแล้วพวกเขาจะรู้สึกหวาดกลัวไปโดยสัญชาตญาณที่จะป้องกันและหลบหนี โดยเฉพาะกับดวงจิตวิญญาณที่เป็นสิ่งสำคัญและทุกคนคิดว่ามันจะต้องไม่ถูกทำร้าย ไม่เช่นนั้นอนาคตของพวกเขาคงจบสิ้นแน่
ดังนั้นทุกคนจึงเลือกที่จะปกป้องดวงจิตวิญญาณและไม่ให้จระเข้กลืนวิญญาณเข้าสู่ดวงจิตวิญญาณของพวกเขา
เมื่อเจียงอี้กำลังสัมผัสถึงจระเข้กลืนวิญญาณในที่สุดเขาก็นึกอะไรบางอย่างได้ จระเข้กลืนวิญญาณอาจดูน่ากลัวแต่โดยพื้นฐานแล้วมันโจมตีดวงจิตวิญญาณเป็นหลักและถูกส่งออกมาอย่างมุ่งร้าย
จระเข้กลืนวิญญาณเหล่านี้ไม่มีชีวิตเลยเมื่อพวกมันถูกเปลวเพลิงเผา มันจะทำให้พลังงานนั้นดับไป การที่พวกมันหายไปหลังจากที่โจมตีดวงจิตวิญญาณไปนิดหน่อยนั้นมันหมายความเช่นไร? มันก็หมายความว่าจระเข้กลืนวิญญาณไม่ใช่สิ่งมีชีวิตและไม่ใช่สัตว์อสูรด้วย โดยหลักแล้วมันเป็นพลังงานประเภทหนึ่งที่โจมตีดวงจิตวิญญาณ
ในเมื่อมันเป็นเช่นนั้น….!
ก็ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติเหมือนว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตและเป็นเพียงการโจมตีดวงจิตวิญญาณธรรมดาเช่นเดียวกับการโจมตีดวงจิตวิญญาณที่เฟิ่งหลวนเคยทำกับเขา!
และก่อนหน้านี้เจียงอี้ก็นึกถึงวิธีการที่บ้าคลั่งขึ้นมาได้…..นั่นก็คือ แทนที่เขาจะคุ้มกัน แต่เขากลับจะโจมตีแทน!
การโจมตีกลับนั้นมักจะเป็นการป้องกันที่ดีที่สุดเสมอและในเมื่อจระเข้กลืนวิญญาณพวกนี้ต้องการจะกลืนกินวิญญาณเขาแล้วทำไมเขาจะหันมากลืนกินพวกมันบ้างไม่ได้ล่ะ? พวกมันน่าจะเป็นพลังงานดวงจิตวิญญาณประเภทหนึ่ง ไม่เช่นนั้นพวกมันจะไม่สามารถเจาะผ่านหัวของเขาและเข้าสู่ดวงจิตวิญญาณได้อย่างง่ายดาย
“ฮ่าฮ่า!เอาซี่ คอยดูเถอะว่าใครจะแข็งแกร่งกว่ากัน!”
เจียงอี้หัวเราะอย่างบ้าคลั่งอยู่ในใจขณะที่เขากำลังฝังจิตสำนึกไปยังจิตวิญญาณรูปดาบจากนั้นเขาก็ใช้ความพยายามทั้งหมดเพื่อเปลี่ยนดวงจิตวิญญาณรูปดาบและพุ่งปะทะไปยังจระเข้กลืนวิญญาณตัวหนึ่ง
เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูผู้มีชัยจะปรากฏ!
เจียงอี้ยอมเสี่ยงทุกอย่างหากเขาพ่ายแพ้ ดวงจิตวิญญาณของเขาจะถูกกลืนกินและพินาศไป เหตุใดเขาจะไม่เสี่ยงกับทุกสิ่งที่เขามีกันล่ะ?!
ในดวงจิตวิญญาณของเขา,ดวงจิตวิญญาณรูปดาบที่หดตัวลงเป็นพันเท่านั้นขยับเขยื้อนอย่างรวดเร็วราวกับดาบที่ไม่มีทางหยุดยั้งได้และฟาดฟันไปที่จระเข้กลืนวิญญาณที่เพิ่งเข้ามาในนั้น
รูปแบบของดวงจิตวิญญาณนั้นสามารถควบคุมได้และเปลี่ยนไปได้อย่างอิสระในดวงจิตวิญญาณคนทั่วไปจะกล้าควบคุมดวงจิตวิญญาณอย่างบ้าบิ่นได้อย่างไรในเมื่อมันมีความสำคัญที่สุด? จะเกิดสิ่งใดขึ้นหากว่ามีอะไรผิดพลาด? เจียงอี้นั้นรู้อยู่แล้วว่าเขาสามารถเคลื่อนย้ายรูปร่างวิญญาณไปรอบๆได้ แต่เขาก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามทำเช่นนั้น แต่ตอนนี้ที่เขายอมเสี่ยงทุกอย่าง มันจึงทำให้เขาไม่มีความเกรงกลัวใดๆ
ตูม!
เกิดการปะทะกันอย่างเงียบๆซึ่งทำให้ดวงจิตรูปดาบของเจียงอี้สั่นไหวอย่างรุนแรงในขณะที่จระเข้กลืนวิญญาณปลิวไปไกลและตัวหดลงไปกว่าครึ่งหนึ่งของขนาดเดิมดวงจิตของเจียงอี้นั้นรู้สึกถึงความเจ็บปวดแต่โชคดีที่ไข่มุกวิญญาณเพลิงได้ถ่ายโอนพลังงานที่ไม่รู้จักออกมาซึ่งทำให้ดวงจิตของเขาส่องประกายด้วยแสงสีทองทำให้ความเจ็บปวดไม่ได้รุนแรงนัก
เขาไม่ได้กังวลอีกต่อไปขณะที่ควบคุมดวงจิตรูปดาบของเขาเพื่อจะปะทะกับจระเข้กลืนวิญญาณอีกครั้งเมื่อปะทะกัน มันได้ทำให้จระเข้กลืนวิญญาณแตกเป็นเสี่ยงๆและหายไปในทะเลแห่งดวงจิตวิญญาณ
จี๊ดจี๊ด!
เจียงอี้ไม่มีเวลาพักแม้แต่น้อยเพราะว่าจระเข้กลืนวิญญาณตัวอื่นพุ่งเข้ามาในทะเลแห่งดวงจิตวิญญาณของเขาเรื่อยๆ“เข้ามา เข้ามาเลย ข้าจะทำให้พวกเจ้าทุกตัวย่อยยับไปซะให้สิ้นซาก!”
ตูม!ตูม! ตูม! ตูม!
การปะทะกันอย่างเงียบงันยังคงดังก้องอยู่ภายในทะเลแห่งดวงจิตของเจียงอี้ขณะที่ดวงจิตรูปดาบของเขาฟาดฟันไปครั้งแล้วครั้งเล่าและทำให้จระเข้กลืนวิญญาณทั้งหมดสลายไปแต่เพราะความเจ็บปวดทรมานจากดวงจิตวิญญาณจึงทำให้ร่างของเจียงอี้สั่นอย่างรุนแรงและใบหน้าก็บิดเบี้ยวไป ในตอนนี้เขาอยู่ในสถานะที่ไม่รู้สึกรู้สาและเป็นเหมือนปีศาจบ้าคลั่งที่ไม่สนใจสิ่งอื่นใดนอกจากฟาดฟันจระเข้กลืนวิญญาณ
เพียงพริบตา!
จิตวิญญาณรูปดาบของเจียงอี้ก็ออกปะทะไปสิบแปดครั้งและจระเข้กลืนวิญญาณทั้งเก้าตัวก็ถูกสับเป็นชิ้นๆและสลายไปเหมือนควันแล้ว
ตัวเจียงอี้เองก็ไม่สู้ดีนักเพราะดวงจิตวิญญาณของเขาสั่นเทาอยู่ตลอดเวลาและเขาก็กำลังเจ็บปวดอย่างรุนแรงแม้ว่าเขาจะอยู่ในสภาพที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรและไม่สามารถรู้สึกอะไรได้แต่ร่างกายของเขาก็ยังคงเจ็บปวดทรมานไปโดยสัญชาตญาณอยู่ดี
ที่สำคัญที่สุดคือ….!
ดวงจิตวิญญาณของเขาหดลงขณะที่มีรอยแตกเล็กๆเกิดขึ้นและรู้สึกราวกับว่ามันจะสลายไปได้ทุกเมื่อหากจระเข้กลืนวิญญาณมาโจมตีเขามากกว่านี้ ดวงจิตวิญญาณของเขาก็อาจจะแตกสลายลงไปได้
ฟรึ่บ!
ในตอนนี้เจียงอี้นั้นก็อยู่ในสถานะปีศาจบ้าคลั่งอย่างสมบูรณ์ในขณะที่เขาควบคุมดวงจิตวิญญาณให้วนเวียนไปรอบๆทะเลแห่งดวงจิต เขากำลังตามหาและโจมตีจระเข้กลืนวิญญาณราวกับราชสีห์ที่บ้าคลั่ง เขาต้องการตามล่าหาสิ่งมีชีวิตทั้งหมดและฉีกพวกมันเป็นๆเพื่อระบายความเกรี้ยวกราดของเขา
และสิ่งที่น่าพิศวงที่สุดก็เกิดขึ้น…..
ในขณะที่จิตวิญญาณรูปดาบกำลังบินไปรอบๆพลังงานสีขาวในทะเลแห่งดวงจิตก็จะถูกดูดเข้ากับร่างดวงจิตของเขาโดยอัตโนมัติ พลังงานทั้งหมดนี้เป็นพลังงานของจระเข้กลืนวิญญาณที่ถูกฟาดฟันจนสลายไปและพวกมันทั้งหมดก็ถูกดูดเข้าไปในดวงจิตวิญญาณของเขาและซึมเข้าไปอย่างรวดเร็ว
การคาดเดาของเจียงอี้นั้นถูกต้องแล้ว!
เมื่อดวงจิตวิญญาณของเจียงอี้ดูดซับพลังที่หลงเหลืออยู่ในทะเลแห่งดวงจิตไม่เพียงแต่ร่างดวงจิตวิญญาณของเขาจะถูกฟื้นฟู แต่ดูเหมือนว่ามันจะแข็งแกร่งขึ้นด้วย
จี๊ด!จี๊ด!
จระเข้กลืนวิญญาณอีกกลุ่มพุ่งเข้าไปในทะเลแห่งดวงจิตของเจียงอี้ในขณะที่เขากำลังบ้าคลั่งเขาไม่ได้สนใจสิ่งอื่นใดและเพียงแค่ควบคุมดวงจิตวิญญาณรูปดาบเพื่อทำลายมันและเริ่มเข่นฆ่าอีกครั้ง
คราวนี้มีจระเข้กลืนวิญญาณทั้งหมดแปดตัวและพวกมันทั้งหมดก็ถูกทำลายไปในพริบตาจากนั้นเขาก็ดูดซับพลังงานเหล่านั้นอย่างรวดเร็วซึ่งมันสามารถรักษารอยร้าวบนร่างดวงจิตวิญญาณได้อย่างรวดเร็วและมิหนำซ้ำยังขยายใหญ่ขึ้นมาเล็กน้อยด้วย
ตูม!ตูม! ตูม! ตูม!
เหตุการณ์เช่นนี้ผ่านไปครั้งแล้วครั้งเล่า……จนหนึ่งชั่วโมงต่อมาเจียงอี้โจมตีไปมากกว่าสิบสองรอบ เขาสังหารจระเข้กลืนวิญญาณไปทั้งหมดโดยไม่มีการละเว้นใดๆทั้งสิ้นและตอนนี้ดวงจิตวิญญาณของเขาก็ใหญ่ขึ้นจากเดิมหนึ่งในสิบส่วน
“เอ่อ….”
ในที่สุดเขาก็หลุดออกจากสภาพที่บ้าคลั่งขณะที่ความเจ็บปวดในดวงจิตวิญญาณของเขายังคงทำให้ร่างของเขาสั่นเทาอยู่เมื่อดวงจิตวิญญาณและร่างกายของเขาสั่นไหว ใบหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวและเผยรอยยิ้มที่น่าเกลียดยิ่งกว่าตอนที่เขากำลังร้องไห้เสียอีก
เขารอดมาได้!
ไม่เพียงแต่เขาจะรอดมาได้แต่เขายังพบวิธีที่จะผ่านด่านที่สองไปได้ด้วย เขานั้นได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่จะสามารถเสริมสร้างดวงจิตวิญญาณของเขาได้อย่างไม่หยุดหย่อน!
“จักรพรรดิลี้ลับท่านคือเทพอย่างแท้จริง สมบัติในราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับแห่งนี้ไม่ได้มีอะไรเลย หากแต่เป็นด่านต่างๆเสียมากกว่าที่เป็นสมบัติล้ำค่าอย่างแท้จริง”
เจียงอี้คุกเข่าลงข้างหนึ่งและโค้งคำนับสามครั้งด้วยความเคารพอย่างสูงเขาสำนึกรู้ได้โดยจักรพรรดิลี้ลับและรู้สึกหวั่นเกรงต่อความตั้งใจจริงของจักรพรรดิลี้ลับขึ้นมา
ใครจะไปคิดว่าจระเข้กลืนวิญญาณที่น่ากลัวในด่านที่สองจะเป็นของขวัญแก่ยอดฝีมือที่เข้ามาที่นี่?แต่ก็แน่นอนว่า….หากผู้ใดไม่เข้าใจในเจตนาของจักรพรรดิลี้ลับ ก็มีเพียงความตายเท่านั้นที่รอพวกเขาอยู่
“ไปกันต่อดีกว่า!”
เจียงอี้ลุกขึ้นมาแม้ว่าใบหน้าของเขาจะยังคงกระตุกอยู่ แต่ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความสุขและมองไปรอบๆป่าที่ดูน่ากลัวและรู้สึกราวกับว่าเขากำลังมองไปยังภูเขาทองคำที่มีแต่ขุมทรัพย์
บทที่ 602 ดวงจิตที่แยกออก
ในเส้นทางของภูเขาอันรกร้างมีเด็กหนุ่มที่สวมชุดเกราะกำลังเดินทางไปอย่างเชื่องช้าและดูเหมือนว่าจะเดินไปอย่างสบายๆ ดวงตาของเขาคมราวกับหมาป่าและหลังจากที่ก้าวไปได้สี่ถึงห้าก้าว เขาก็จะหยุดและหลับตาลงพร้อมกับระลอกคลื่นอากาศที่เกิดขึ้นด้านหน้า
ฟรึ่บ!ฟั่บ!
จระเข้กลืนวิญญาณเก้าตัวบินเข้ามาที่หว่างคิ้วของเขาแต่เด็กหนุ่มผู้นั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรและเพียงแค่หลับตาขณะที่ยืนนิ่ง จากนั้นไม่นาน ร่างของเขาก็เริ่มสั่นเทาและเผยสีหน้าที่เจ็บปวดออกและในไม่กี่พริบตาเขาก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับผ่อนลมหายใจก่อนที่จะเดินต่อไป
เส้นทางปรโลกในด่านที่สองนั้นเขาเดินมาได้สิบสามวันแล้วแต่ก็ยังไม่พบปลายทาง แต่เขาก็ยังหวังให้เส้นทางนี้ยาวขึ้นอีกหน่อยเพราะดวงจิตวิญญาณเขาจะได้เติบโตขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่ง
เมื่อเทียบกับสามวันที่แล้วในตอนนี้ดวงจิตวิญญาณของเขาแข็งแกร่งขึ้นมาจากเดิมเกือบห้าในสิบส่วน เขารู้สึกว่าดวงจิตวิญญาณของเขาแข็งแกร่งขึ้นสองเท่าและดวงจิตวิญญาณของเขาก็จะก้าวไปสู่ขั้นถัดไป
เจียงอี้ไม่กลัวการโจมตีของจระเข้กลืนวิญญาณแล้วเนื่องจากดวงจิตวิญญาณรูปดาบของเขาสลายจระเข้กลืนวิญญาณได้ภายในการจู่โจมคราเดียวฉะนั้นพวกมันจึงไม่ใช่คู่ปรับของเขาอีกต่อไป
แต่แน่นอนว่าเขาก็ยังไม่กล้าเดินเร็วเกินไปมันจะเป็นเช่นไรหากว่ามีจระเข้กลืนวิญญาณหลายสิบหรือหลายร้อยตัวพุ่งเข้ามาหาเขาในคราวเดียว? ดวงจิตวิญญาณของเขาคงสลายไปอย่างแน่นอน เขาเองก็ไม่ได้รีบร้อนเพราะไม่ได้ตั้งใจว่าจะแย่งชิงสมบัติใดๆดังนั้นเขาจึงค่อยๆเดินไปและเพ่งเป้าหมายไปที่การพัฒนาระดับจิตวิญญาณของเขาก่อน
…
ที่จัตุรัสด้านนอกค่ายกลเคลื่อนย้ายอันแรกและอันที่สองสว่างขึ้นหลายครั้ง หลิงชีเจี้ยน, หลิงชือหย่า, ถูหลงและคนอื่นๆพากันไปยังด่านที่สามแล้ว และก็มีลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์อีกมากมายที่กำลังเข้าสู่ด่านที่สองเช่นกัน
และมีบางสิ่งที่ผู้คนกล่าวถึงกันอยู่
มีลูกหลานตระกูลชั้นสูงโบราณผู้มีนามว่าหลิวชิง ภายในเวลาไม่กี่วันเขาผ่านความยากระดับปานกลางไปได้หลายด่านแล้วและกำลังอยู่ในด่านที่ห้า
น่าเสียดายที่หลิวชิงนั้นเลือกระดับความยากปานกลางซึ่งมันทำให้เขาได้เพียงหนึ่งคะแนนต่อการผ่านด่านแต่ละด่านเท่านั้นดังนั้นเขาจึงไม่ได้สมบัติใดๆมาครอง เขาอาจจะผ่านด่านมาได้เร็วมาก แต่คะแนนของระดับนั้นค่อนข้างต่ำ
ส่วนเสียเฟย,อีฉานและคนอื่นๆที่เข้าไปยังด่านที่สี่นั้นก็ยังไม่มีวี่แววใดๆจากพวกเขา ฉะนั้นจึงยังไม่มีผู้ใดเข้าสู่ด่านที่ห้าและทุกคนด้านนอกก็พยายามคาดเดาว่าผู้ใดกันที่จะได้สมบัติอันดับห้าและสี่ไปครอง
ใครก็สามารถรับสมบัติทั้งสองชิ้นนี้ไปได้ส่วนสมบัติสามอันดับแรกนั้นถูกกำหนดโดยผู้มีโชค และหากผู้ใดได้สมบัติที่เหลือไปครองทั้งหมด นั่นก็หมายความว่าเขาผู้นั้นมีความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง
สิบกว่าวันได้ผ่านพ้นไป
ก็ยังไม่มีวี่แววของเจียงอี้และบรรดาผู้ที่วางเดิมพันกับเจียงอี้ต่างพากันก่นด่าอยู่เงียบๆเห็นได้ชัดว่าพวกเขาคิดว่าเจียงอี้ตายไปแล้วและพวกเขาก็เสียศิลาสวรรค์ไปอย่างสูญเปล่า
ในทางกลับกันเฟยเทียนนั้นมีความสุขมาก เขาพอใจที่ได้รู้ว่าเจียงอี้ตายแล้วและเขาก็ได้ศิลาสวรรค์มาแล้วกว่าพันก้อน ตัวเขาเป็นองค์ชายของจักรวรรดิเช่นกันแต่สถานะของเขาด้อยกว่าเฟยฉีมาก มันจึงเป็นเหตุว่าทำไมเขาจึงมีศิลาสวรรค์น้อยกว่ามาก ศิลาสวรรค์ทั้งหมดที่เขาได้มานั้นถือเป็นความโชคดีอย่างแท้จริง
ในโลกภายนอกชาวบ้านธรรมดาจะใช้ทองคำม่วงเป็นสกุลเงินในขณะที่จอมยุทธทั้งหลายจะใช้ศิลาสวรรค์กัน เพราะการมีศิลาสวรรค์นั้นหมายถึงการสร้างผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดได้ตามที่พวกเขาต้องการ นอกจากนี้ศิลาสวรรค์ยังมีประโยชน์อื่นๆอีกมากมาย เช่น ห้องฝึกลับและค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ยิ่งใหญ่ล้วนต้องใช้ศิลาสวรรค์
วันเวลาผ่านไปและมีผู้คนทยอยผ่านด่านต่างๆผู้คนที่ผ่านมาได้นั้นส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลางหรือไม่ก็ระดับเลวร้าย แต่ก็มีนายน้อยและคุณหนูบางคนที่ยังไม่ออกมาตั้งแต่ที่พวกเขาเข้าสู่ด่านที่สองหรือด่านที่สามไป
สามวันต่อมามีคนทะลวงได้อีกด่านและนั่นก็คือหลิวชิงจากตระกูลชั้นสูงโบราณ เขาผ่านด่านที่หกและได้รับหกคะแนนแล้ว หากเขาผ่านไปได้อีกด่านเขาก็จะเป็นผู้ที่ได้สมบัติอันดับห้าไปครอง
หลิวชิงอายุยี่สิบสามปีและมาถึงขอบเขตจินกังขั้นสูงสุดแล้วเมื่อเทียบกับทายาทจากตระกูลเก้าจักรพรรดิแล้วเขายังถือว่าห่างไกลนัก ในอดีต เขาไม่ชอบเปิดเผยความสามารถของเขาให้ผู้ใดรู้ แต่คราวนี้ มันไม่สำคัญว่าเขาจะได้สมบัติอะไรมาหรือไม่ แต่เขาก็ยังได้สร้างชื่อเสียงให้แก่ตัวเองได้ การผ่านด่านนั้นไม่ได้ถือว่ามีความสามารถนัก แต่มันคือการที่เขาผ่านด่านได้รวดเร็วเพียงใดต่างหาก
ในวันเดียวกันถูหลง, หลิงชีเจี้ยนและคนอื่นๆทั้งหมดได้พากันเข้าสู่ด่านที่สี่ ทายาททั้งหมดของตระกูลเก้าจักรพรรดิต่างติดอยู่ในด่านที่สี่จึงทำให้คนที่จัตุรัสพากันใจจดใจจ่อและเดาไม่ออกว่าผู้ใดจะเป็นผู้ที่ได้สมบัติอันดับห้าและสี่ ลูกหลานทั้งหลายตระกูลมีความสามารถมากมาย หลิงชีเจี้ยนและถูหลงอาจเข้าไปท้ายๆ แต่มันจะเกิดอะไรขึ้นหากพวกเขามีสิ่งประดิษฐ์หรือความสามารถที่ตอบโต้กับสิ่งมีชีวิตในด่านที่สี่ได้?
…
“ข้าทำได้แล้ว!”
ในเวลาเดียวกันก็มีเสียงร้องยินดีอยู่ในระดับยากนรก
เจียงอี้ยืนอยู่บนทางเดินเล็กๆเขาอาจจะหลับตาอยู่แต่ใบหน้าของเขานั้นเต้มไปด้วยความหวังและความสุข เขาเพิ่งรู้สึกว่าดวงจิตวิญญาณรูปดาบของเขามาถึงขีดจำกัดและกำลังจะพัฒนาไปอีกขั้นแล้ว
ในช่วงสองสามวันมานี้เขาสังหารจระเข้กลืนวิญญาณไปแล้วนับไม่ถ้วนและดวงจิตของเขาก็แกร่งขึ้นเรื่อยๆจนตอนนี้เขาสามารถสังหารจระเข้กลืนวิญญาณได้อย่างง่ายดายและไม่ได้รับความเสียหายใดๆ เขานั้นไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับเมื่อก่อนอีกต่อไป
ในตอนนี้ดวงจิตวิญญาณรูปดาบของเขามีขนาดใหญ่กว่าเดิมถึงสองเท่า มันกำลังเปล่งแสงสีแดงและเขาก็เห็นมังกรสองตัวกำลังแหวกว่ายไปมา ซึ่งมันคือดาบมังกรเพลิงในร่างจิ๋วอย่างสมบูรณ์
บรึฟ!
ในขณะที่แสงสีแดงของดวงจิตรูปดาบทวีความรุนแรงขึ้นเจียงอี้ก็กังวลขึ้นเช่นกัน เพราะยังไงๆรูปร่างดวงจิตวิญญาณของเขาก็พิลึกมากและเขาก็ไม่รู้ว่ามันจะกลายเป็นอะไรหลังจากที่มันพัฒนาไปแล้ว
บรึฟ!
ทันใดนั้นเองดวงจิตวิญญาณรูปดาบก็สว่างขึ้นและเจียงอี้ก็รู้สึกตะลึงกับสิ่งที่เขาเห็น รูปวิญญาณของเขาแบ่งออกเป็นสองส่วนและกลายเป็นดาบมังกรเพลิงสองเล่ม
ดาบมังกรเพลิงทั้งสองเล่มนี้หนึ่งในนั้นมีขนาดเท่ากับก่อนหน้านี้ในขณะที่อีกเล่มมีขนาดเล็กกว่าดาบอีกเล่มครึ่งหนึ่ง
เวรเอ้ย!ดวงจิตข้าแตกสลายหรือ? นี่ข้ากำลังจะเป็นบ้าหรือ?
เมื่อแสงสว่างของดวงจิตวิญญาณจางลงเจียงอี้ก็นิ่งงันไปอย่างสิ้นเชิง ทุกคนมักจะพูดว่าคนบ้าเหล่านั้นเป็นบ้าไปเพราะดวงจิตของพวกเขาแตกสลายไป บางคนก็มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับดวงจิตวิญญาณของพวกเขาและตอนนี้ ดวงจิตวิญญาณของเจียงอี้แยกออกเป็นสองดวง มันไม่ใช่ว่าดวงจิตของเขาแตกสลายหรือ?
ไม่น่าใช่!
เจียงอี้ตระหนักได้ว่าจิตใจของเขานั้นโล่งมากแม้ว่าดวงจิตของเขาจะแยกออกจากกันแต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกแปลกไปและยังเหมือนเดิม
บรึฟ!
จระเข้กลืนวิญญาณอีกตัวกำลังจะโจมตีเขาและเจียงอี้ต้องตั้งสมาธิแต่ตอนนี้ดวงจิตของเขาแยกออกจากกันแล้วมันจะทรงพลังเหมือนเดิมไหมนะ? เขาหวังว่าเขาจะไม่ย่อยยับไปเพราะจระเข้กลืนวิญญาณตัวนี้หรอกนะ
จี๊ด!จี๊ด!
เมื่อจระเข้กลืนวิญญาณพุ่งเข้ามาเจียงอี้ก็ไม่คิดอะไรอีกต่อไป เขาควบคุมดวงจิตรูปดาบทั้งสองเพื่อโจมตีจระเข้กลืนวิญญาณนั้น และผลลัพธ์ก็ทำให้เขาตกตะลึงอีกครั้ง
ปัง!
เมื่อจระเข้กลืนวิญญาณตัวนั้นพุ่งเข้ามาดวงจิตรูปดาบที่เล็กกว่าก็ปะทะเข้ากับจระเข้กลืนวิญญาณเบาๆและทำให้มันกลายเป็นควันสีขาวไปในทันที ดวงจิตรูปดาบที่เล็กกว่านี้มีความแข็งแกร่งถึงสองเท่าก่อนที่ดวงจิตวิญญาณจะถูกแยกออกจากกันเสียอีก มันช่างป่าเถื่อนนัก
ปึงปัง ปึ้ง!
ขณะที่จระเข้กลืนวิญญาณค่อยๆเข้ามาทีละตัวดวงจิตรูปดาบที่ใหญ่กว่าก็แทบจะไม่ต้องเคลื่อนไหวด้วยซ้ำเพราะดวงจิตที่เล็กกว่านั้นว่ายวนไปรอบๆและเข่นฆ่าทุกสิ่งไปจนสิ้นแล้ว สิ่งที่แปลกก็คือดวงจิตวิญญาณที่เล็กกว่านั้นไม่ได้กลืนกินพลังงานจากจระเข้กลืนวิญญาณที่สลายไปแล้ว แต่กลับเป็นดวงจิตวิญญาณหลักที่วนเวียนอยู่รอบๆและเริ่มขยายตัวขึ้นอีกครั้ง
“เอ่อดวงจิตวิญญาณดวงเล็กที่แยกออกมานี่มีพลังมากนักและมันไม่เหมือนดวงจิตวิญญาณเลย มันเหมือนน้องเล็กที่เป็นผู้ใต้บัญชาของดวงจิตวิญญาณหลักเสียมากกว่า…..”
ดวงจิตวิญญาณดวงที่ใหญ่กว่าเหมือนกับดวงจิตวิญญาณก่อนหน้านี้ในขณะที่ดวงจิตดวงที่เล็กกว่านั้นไม่ได้มีการรับรู้ใดๆ มันกลับเป็นเหมือนดาบที่สร้างขึ้นด้วยพลังวิญญาณและเป็นอาวุธที่แหลมคมที่มีไว้คอยโจมตีแทน
เขามองมันอย่างใกล้ชิดและพิจารณาว่าดวงจิตดวงเล็กนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อดวงจิตหลักของเขาเขาไม่รู้ว่ามันมีไว้ทำอะไร แต่อย่างน้อย….มันก็ดูเหมือนจะคอยปกป้องดวงจิตวิญญาณหลักซึ่งมันมีความสามารถเพียงพอที่จะสลายจระเข้กลืนวิญญาณที่เข้ามาได้อย่างง่ายดาย ใช่ไหมนะ? หากมีอะไรบางอย่างที่ต้องการโจมตีดวงจิตวิญญาณหลัก ไอเจ้าสิ่งนั้นคงจะต้องทำลายดวงจิตวิญญาณดวงเล็กนี่ไปเสียก่อน….