เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 609 สาวงามที่ไม่มีผู้ใดเทียบเทียม
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 609 สาวงามที่ไม่มีผู้ใดเทียบเทียม
บทที่ 609 สาวงามที่ไม่มีผู้ใดเทียบเทียม
“แม่นางอีนั่นแม่นางอี! ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าชนะเดิมพัน!”
“แม่นางอีฉานช่างมีความสามารถนักนางเข้าไปในด่านที่สี่หลังเสียเฟยและคนอื่นๆ แต่นางกลับเป็นคนแรกที่ผ่านด่านและในตอนนี้มีแปดคะแนนและได้ธนูเมฆาอัคคีไปครอง!”
“น่าเสียดายหากหลิวชิงไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมา แม่นางอีก็คงจะได้ครอบครองสมบัติอันดับห้าและสี่ไปแล้ว แต่นางผ่านรอบนี้มาและได้สมบัติมาเพียงชิ้นเดียว แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าธนูเมฆาอัคคีนั้นเป็นสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝง ซึ่งจะมีสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝงอยู่ในทุกๆรอบการล่าสมบัติ สิ่งที่ดีที่สุดอันดับสองคือทักษะระดับเทพและอันดับหนึ่งคือหญ้ามังกรยาจก และมีเพียงเกราะเมฆาอัคคีและธนูเมฆาอัคคีเท่านั้นที่เป็นสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝง”
“สิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝง!เมื่อมีธนูเมฆาอัคคีแล้ว พลังของแม่นางอีฉานก็จะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก บางทีนางอาจจะกลายเป็นผู้ที่เก่งกาจที่สุดในตอนนี้ก็ได้ การล่าสมบัตินั้นคงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ แม่นางอีจะได้สมบัติทั้งหมดไปแน่นอน”
ในวันที่ห้าที่เจียงอี้ติดอยู่ในเมืองเฟิงตูจัตุรัสก็เข้าสู่ความโกลาหลขึ้นอีกครั้ง ตอนนี้อีฉานได้ผ่านด่านที่สี่ไปแล้ว และได้รับธนูเมฆาอัคคีไปครอง
นางนั้นแข็งแกร่งจริงๆจนทำให้นายน้อยหลายคนรวมถึงเฟยฉีรู้สึกอับอายอยู่เงียบๆสาวงามที่ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมนั้นทำให้ชายทุกคนบนผืนปฐพีพากันหน้าแดงไปด้วยความอับอาย อย่างน้อย เสียเฟย, หวู่นี่, ถูหลง, หลิงชีเจี้ยนและคนอื่นๆก็ยังต้องยอมจำนนต่อนาง
พวกเขาทั้งหมดเป็นลูกหลานของเก้าตระกูลจักรพรรดิซึ่งนายน้อยเหล่านั้นมีอายุมากกว่าอีฉานแต่มีเพียงนางคนเดียวที่ได้สมบัติไปครองถึงสามชิ้น โอกาสที่นางจะได้สมบัติสามอันดับแรกไปครองก็จะทวีคูณไปอีกหลายเท่า!
สิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์แฝง!Aileen-novel
มันเป็นสมบัติระดับสูงที่สุดในปฐพีแม้ว่าพลังของสมบัติแต่ละอย่างจะต่างกันไป แต่พวกมันก็ยังห่างชั้นกับสิ่งประดิษฐ์เหนืออิทธิฤทธิ์ไปมาก ไม่มีผู้ใดรู้ถึงพลังที่แท้จริงของอีฉาน แต่นางนั้นไปถึงขอบเขตเทียนจุนแล้ว และหลังจากที่ขัดเกลาธนูเมฆาอัคคี นางก็จะเทียบได้กับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนระดับกลางเลยทีเดียว
ขอบเขตเทียนจุนนั้นถูกแบ่งออกเป็นสี่ระดับซึ่งขอบเขตเทียนจุนขั้นที่หนึ่งถึงสามจะอยู่ในระดับต่ำ, ขั้นที่สามถึงหกจะอยู่ในระดับกลาง, ขั้นที่หกถึงเก้าจะอยู่ในระดับสูง และนอกเหนือจากนี้ก็ยังมีขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุด
แม้ว่าถูหลง,หวู่นี่, หลิงชีเจี้ยน, เสียเฟยและคนอื่นๆจะมีสมบัติและสิ่งของมากมาย แต่การต่อสู้โดยรวมของพวกเขาคงจะอยู่ประมาณขอบเขตเทียนจุนระดับต่ำ เดิมทีอีฉานเองก็มีความแข็งแกร่งคล้ายคลึงกับพวกเขาแต่ตอนนี้นางก้าวไปอีกระดับแล้วเนื่องจากได้ธนูเมฆาอัคคีไปและกลายเป็นขอบเขตเทียนจุนระดับกลางแล้ว เช่นนั้น สมบัติอีกสามชิ้นที่เหลือคงต้องตกเป็นของนางไปโดยปริยาย
หากนางได้เกราะเมฆาอัคคี,ทักษะหลีกสวรรค์และหญ้ามังกรยาจกไป คนอื่นคงไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าพลังต่อสู้ของนางจะทรงพลังเพียงใด
หญ้ามังกรยาจกเป็นหนึ่งในสมุนไพรวิญญาณที่ล้ำค่าที่สุดเมื่อใครก็ตามได้ขัดเกลาหญ้ามังกรยาจกไปแล้ว คนผู้นั้นก็จะบ่มเพาะพลังได้เป็นสองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียวจากแต่ก่อน แม้แต่ดวงจิตวิญญาณเองก็จะได้รับการชำระไปด้วยเพื่อให้ร่างกายได้ปรับปรุงและอยู่ในสภาพที่เหมาะสมที่สุดในการบ่มเพาะพลัง
ดังนั้นหญ้ามังกรยาจกจึงเป็นที่ต้องการมากและการปรากฏของหญ้ามังกรยาจกในแต่ละครั้งจะทำให้ตระกูลสูงศักดิ์ก่อสงครามกันขึ้น
“เฟยถู!”
เฟยฉีหันไปสบตาและโบกมือให้ทหารที่อยู่ข้างหลังเขา“นำป้ายคำสั่งข้ากลับไปยังเมืองหลวงและขอให้ท่านพ่อรวบรวมผู้อาวุโสทั้งสิบแปดคนมาที่นี่”
“ผู้อาวุโสทั้งสิบแปดหรือขอรับ?”
ดวงตาของเฟยถูหดลงทั้งสิบแปดคนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนในอาณาจักรเฟยหม่าและมีพลังที่น่าเกรงขามมาก! พวกเขาไม่ได้สามารถใช้งานส่งๆได้อย่างง่ายดายแต่เฟยฉีกลับขอให้เรียกพวกเขาทั้งหมดมาที่นี่ในตอนนี้หรือ?
“ทำไมเจ้าต้องพูดอะไรให้มากความ”
ดวงตาของเฟยฉีกลับกลายเป็นความเย็นชาและเขากล่าวว่า“เจ้าแค่ต้องบอกท่านพ่อว่านั้นเป็นความคิดของนายน้อยเจี้ยน แล้วเขาจะเข้าใจเอง”
“ขอรับ!”
เฟยถูพยักหน้าและรีบวิ่งออกไปแต่เขาก็ยังงุนงงมาก เหตุใดเฟยฉีจึงต้องการยอดฝีมือมากมายขนาดนี้? นี่เขากำลังจะปล้นสมบัติทั้งหมดหรือเปล่า?
เฟยฉีกำลังจะปล้นชิงสมบัติทั้งหมดจริงๆ!
แน่นอนว่าเขาไม่ได้กล้าพอที่จะปล้นอีฉานหรือเสียเฟยแต่ผู้อาวุโสทั้งสิบแปดนั้นทำเพื่อหลานชายของจักรพรรดิแห่งศาสตรา
หลังจากใช้เวลาไม่กี่วันอยู่กับหลานชายจักรพรรดิแห่งศาสตราเขาก็รู้ถึงนิสัยใจคอของนายน้อยผู้นี้เป็นอย่างดี เขามีร่างกายวิญญาณที่แท้จริงซึ่งปรากฏขึ้นเพียงครั้งเดียวในทุกๆแสนปี เขาสามารถฝึกฝนด้วยความเร็วที่น่ากลัวและไปถึงขอบเขตจินกังขั้นสูงสุดในอายุเพียงเจ็ดแปดปี ซึ่งจักรพรรดิแห่งศาสตราโปรดปรานเขาจึงทำให้เขาได้รับการยกย่องจากผู้คนมากมาย ซึ่งสิ่งนี้ได้ทำให้เขาพัฒนานิสัยที่หยาบคาย, เจ้ากี้เจ้าการ, หยิ่งผยองและวางตัวเป็น
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกมาจากตระกูลเพียงลำพังและทันทีที่เขาเริ่มเดินทาง เขาก็ป่าวประกาศอย่างยโสโอหังว่าเขาจะต้องได้หญ้ามังกรยาจกไป แต่เมื่อดูจากสถานการณ์ในตอนนี้เขาคงทำไม่ได้ ถึงแม้ว่าเขาจะมีขลุ่ยคล้องวิญญาณของจักรพรรดิแห่งศาสตรา แต่เขาก็ยังค่อนข้างอ่อนแอและยังเด็ก ซึ่งตอนนี้มีสมบัติเหลืออยู่เพียงสามชิ้น ดังนั้น เขาจะไม่ได้มันไปครองอย่างแน่นอน และในครั้งนี้เขาจะกลับไปมือเปล่าซึ่งเขาคงไม่พอใจกับเรื่องนี้อย่างแน่นอนและคงคิดจะปล้นสมบัติของผู้อื่น
เก้าตระกูลจักรพรรดินั้นรวมกันเป็นหนึ่งเดียว!
แม้ว่าพวกเขาจะต่อสู้กันเองแบบลับๆแต่ภายนอกพวกเขาก็แทบจะไม่เป็นศัตรูกันเลย ดังนั้นเขาจึงจะไม่มีวันปล้นอีฉานและเสียเฟย ซึ่งสมบัติที่เหลือนั้น เจียงอี้มีอยู่หนึ่งชิ้นแต่มีโอกาสมากที่เขาจะไม่ได้ออกมาจากราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับแห่งนี้ไปได้ ส่วนอีกชิ้นอยู่กับหลิวชิง ดังนั้นพวกเขาจะต้องปล้นหลิวชิง
หลิวชิงนั้นเป็นลูกหลานตระกูลโบราณเฟยฉีไม่รู้ว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับเก้าตระกูลจักรพรรดิหรือไม่ แต่แม้ว่าหลิวชิงจะเกี่ยวข้อง แต่เฟยฉีก็ตัดสินใจที่จะลงมือในนามของหลานชายจักรพรรดิแห่งศาสตรา เพราะหากว่าเขาทำให้นายน้อยคนนี้มีความสุขได้ ตระกูลเฟยก็จะยังเป็นผู้ใต้บัญชาอันดับหนึ่งของจักรพรรดิแห่งศาสตรา ไม่ว่าจะมีสิ่งใดผิดพลาด แต่จักรพรรดิแห่งศาสตราก็ยังคอยคุ้มหัวอยู่เสมอแม้ว่าท้องฟ้าจะถล่มลงมาก็ตาม แล้วเช่นนี้ เขาจะต้องกลัวอะไรอีก?
“ฮ่าฮ่านายน้อยหลิวชิง เจ้านี่ช่างโชคร้ายนัก ทำไมเจ้าต้องอยากเสนอหน้าออกมาด้วย?”
เฟยฉีหัวเราะเยาะและมองไปที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายทางซ้ายเขาสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจียงอี้บ้าง และหากเขาออกไปจากด่านที่สามได้ ผู้อาวุโสชวีและกลุ่มของเขาก็จะสังหารเขาได้อย่างง่ายดายและฉกชิงกระจกนิรันดร์ไป และหากเขาสามารถนำมันไปให้แก่หลานชายจักรพรรดิแห่งศาสตรา เขาพนันได้เลยว่านายน้อยของเขาก็จะยิ่งมีความสุขนัก
….
“มีคนได้ธนูเมฆอัคคีไปแล้ว?”
เจียงอี้นั้นกำลังอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่และตอนนี้ก็มีภาพปรากฏขึ้นในใจของเขาและเขาก็พบว่ามีคนได้ธนูเมฆาอัคคีไปครองแล้ว ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกขมขื่นนัก
คนอื่นๆยังคงฝ่าด่านและได้สมบัติกันเรื่อยๆแต่เขากลับดิ้นรนอยู่ที่นี่มาห้าวันและยังไม่มีความก้าวหน้าใดๆเลย การต่อสู้ห้าวันห้าคืนอย่างต่อเนื่องทำให้เขาดูน่าสังเวชนัก แก่นแท้พลังของเขาอาจจะอยู่ได้นานกว่าสิบวันแต่ร่างกายและดวงจิตวิญญาณของเขานั้นอ่อนล้ามาก เจียงอี้ต้องสังหารผีดิบซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพียงเพื่อต้องมาเจอกับกำแพงสูงๆสีดำทมิฬ เป็นใครก็คงจะรู้สึกเหนื่อยล้าหากต้องอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
เมืองเฟิงตูเป็นเมืองผีสิงที่เขาไม่มีวันหลบหนีไปไหนได้เขาพยายามที่จะกระโดดออกจากกำแพงเพื่อปีนขึ้นไปบนหลังคา แต่ทุกครั้งที่เขาอยู่เหนือพื้นดินไปสิบเมตร ความกดดันก็จะปรากฏขึ้นและกดเขาลงมา
เขาคิดหาทางแก้ปัญหามากมายและค้นหาประตูแห่งชีวิตเพื่อที่จะผ่านด่านสามไปแต่เขาก็ไม่พบอะไรเลยนอกจากเข่นฆ่าผีดิบต่อไปเรื่อยๆและเสี่ยงดวงแล้ว เขาก็ไม่มีทางอื่นอีกเลย
“มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิมันไม่ควรเป็นเช่นนี้!”
จิตใจของเขาเริ่มคิดไปอย่างรวดเร็วเขารู้สึกว่ามันมีบางอย่างผิดปกติตั้งแต่แรกแล้ว เขาคิดเช่นเดียวกับตอนที่อยู่บนเส้นทางปรโลกว่าที่จักรพรรดิลี้ลับสร้างด่านเหล่านี้ขึ้นมานั้นไม่ใช่เพื่อมีไว้สังหารคนรุ่นหลัง แต่เขาทิ้งราชวังจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับเอาไว้เพื่อสร้างพรสวรรค์ให้แก่พวกเขา ไม่ใช่เพื่อทำลายพวกเขา ดังนั้นมันจึงต้องมีประตูแห่งชีวิตอยู่ที่ใดสักที่ เพียงแต่เขายังไม่พบมันเท่านั้น
“ประตูชีวิตอยู่ที่ใดกัน?”
เขาออกจากสภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์และมองไปยังซากศพที่น่ากลัวด้วยดวงตาที่อ่อนล้าจากนั้นเขาก็สั่นเทาและมีความคิดที่บ้าคลั่ง ในขณะนั้นเอง เขาหยุดการโจมตีทั้งหมดและยืนอยู่ที่เดิม เขาพึมพำด้วยความเหม่อลอย “หรือว่า ประตูชีวิตจะอยู่ที่เหล่าผีดิบพวกนี้?”