เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 610 มนุษย์ถูกภูติผีเข้าครอบงำ
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 610 มนุษย์ถูกภูติผีเข้าครอบงำ
บทที่ 610 มนุษย์ถูกภูติผีเข้าครอบงำ
บนเส้นทางปรโลกเจียงอี้อยู่กับความคิดทั่วไปและเชื่อว่าจระเข้กลืนวิญญาณเป็นสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวและจะกลืนกินดวงจิตวิญญาณของเขา ดังนั้นเขาจึงเตรียมตัวป้องกันโดยสัญชาตญาณและคิดหาทางป้องกันไม่ให้จระเข้กลืนวิญญาณมาโจมตีดวงจิตวิญญาณของเขา
ต่อมาเขาก็เปลี่ยนวิธีคิดและหาประตูชีวิตแทน ซึ่งเขาหาประตูชีวิตในเมืองเฟิงตูมาหลายวันแล้วแต่ก็ยังไม่พบอะไรเลย ดังนั้นเขาก็เลยตั้งสมมติฐานที่บ้าบิ่นขึ้นมา ว่าสถานที่ที่ไม่คาดคิดที่สุดคือที่ใด? มันน่าจะเป็นกุญแจสำคัญในการผ่านด่านนี้
ปกติแล้วสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้คิดว่าจะมีประตูชีวิตนั้นอยู่ตรงไหน หรือ จักรพรรดิลี้ลับจะแสดงความปราดเปรื่องด้วยวิธีใดกัน?
สิ่งที่ไม่น่าคาดคิดมากที่สุดคือผีดิบที่ไม่มีที่สิ้นสุดเหล่านี้พวกมันทั้งน่าเกลียดและน่าขยะแขยงนัก ใครจะไปอยากให้ความสนใจและศึกษาพวกมันกัน?
หากกุญแจสำคัญในการผ่านด่านนี้อยู่ที่พวกผีดิบพวกนี้จริงๆเขาคงจะยกนิ้วให้จักรพรรดิลี้ลับและเลื่อมใสเขาอย่างสุดหัวใจ
จงกล้าที่จะตั้งสมมติฐานและจงพิสูจน์มันด้วยความระมัดระวัง
เจียงอี้หยุดเดินต่อไปข้างหน้าและเขาก็ฟาดดาบลงไปนับครั้งไม่ถ้วนและกวาดพวกผีดิบทั้งหมดที่อยู่รอบตัวเขาไป จากนั้นเขาก็ทนกับกลิ่นอายที่น่ารังเกียจ, เหยียบย่ำไปบนเนื้อที่เน่าเฟะและเดินเข้าไปในห้องที่อยู่ริมทาง
เขาปลอดภัยเมื่อเข้ามาในห้องนี้และไม่ต้องกังวลกับผีดิบที่อยู่ข้างนอกเลยเขาเพียงแค่ต้องรอจังหวะสังหารผีดิบที่เข้ามาใกล้เป็นครั้งคราว ดังนั้นเขาจึงจะมีเวลามากพอที่จะศึกษาผีดิบเหล่านี้
หลังจากที่เขาเข้าไปในห้องแล้วเขาก็เข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์และทุ่มเทพลังทั้งหมดไปกับการตรวจสอบผีดิบที่อยู่รอบตัวเขาได้
มีทหารผีดิบกำลังพุ่งเข้ามาข้างในซึ่งมันอยู่ในชุดเกราะที่แข็งแรงและถือง้าวสีดำสนิทอยู่นิ้วทั้งสิบของมันเป็นสีดำสนิทและเล็บยาวๆก็งอกขึ้นมา ยังมีเขี้ยวที่งอกออกมาจากปากของมันและใบหน้าที่ซีดเผือดของมันมีสีดำจางๆ และมันไม่มีร่องรอยของกลิ่นอายชีวิตอยู่เลยและถูกห้อมล้อมไปด้วยกลิ่นอายสีดำ
มันเข้าไปข้างในเงียบๆฝีเท้าของมันทั้งเงียบและว่องไว จากนั้นง้าวก็ถูกห่อหุ้มไปด้วยกลิ่นอายสีดำและตวัดใส่เจียงอี้ในทันใด ดวงตาที่ว่างเปล่าของมันไม่แสดงอารมณ์ใดๆ มันคือซากศพเดินได้จริงๆ
ปัง!
เจียงอี้ฟาดดาบลงไปและมังกรเพลิงสองตัวก็บินออกมาและฟาดฟันชุดเกราะและอาวุธของมันออกเป็นชิ้นๆพร้อมกับเหล่าผีดิบที่อยู่ด้านหลังมันอีกหลายตัวเนื้อสับพุ่งเข้ามาในห้องซึ่งบางตัวก็กระดอนกลับไปยังเจียงอี้และถูกแผดเผาเป็นเถ้าถ่านด้วยเพลิงโลกาและปล่อยกลิ่นไหม้ที่ย่ำแย่ออกมา แต่เจียงอี้ก็ไม่รู้สึกรู้สาอะไรนอกจากยืนอยู่ในห้องอย่างสงบเพื่อรอให้ผีดิบเข้ามามากกว่านี้
“มันก็ไม่มีอะไรผิดปกติกับผีดิบตัวเมื่อกี๊เลยไม่มีอะไรบ่งบอกว่ามันมีชีวิตอยู่ และแม้มันจะเคลื่อนไหวได้เร็วแต่มันก็ยังมีความแข็งทื่อเหมือนผีดิบ นี่ข้าคาดเดาผิดไปหรือ?”
ผีดิบถูกระเบิดออกเป็นชิ้นทีละตัวจนผนัง,เพดานและพื้นห้องต่างก็ถูกปกคลุมไปด้วยเนื้อสับและคราบเลือด มันมีเนื้อศพมากมายอยู่ภายในห้องซึ่งเกือบจะฝังเจียงอี้ไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องรีบออกไปและเปลี่ยนห้องและคอยมองดูผีดิบต่อไป
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง….สองชั่วโมง…..!
เจียงอี้สังหารผีดิบไปหลายร้อยตัวและเปลี่ยนห้องไปหลายสิบห้องแล้วและคอยมองดูผีดิบซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็ไม่พบอะไรเลย
ในใจของเขาเต็มไปด้วยความสงสัยลึกๆเขาสงสัยว่าเขาคิดอะไรผิดไป ซึ่งเขาตรวจสอบผีดิบมาหลายร้อยตัวแล้วแต่ทุกตัวก็คล้ายๆกันซึ่งมันไม่มีสิ่งใดที่ดูแปลกไปเลย
ฮู่ฮู่ว!
เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากออกจากสภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์ในครั้งนี้เขารู้สึกเหนื่อยล้ามากยิ่งขึ้นเพราะความผิดหวังที่อยู่ในใจและความเหนื่อยล้าทางร่างกาย ซึ่งตอนนี้เขาอยากจะทำเพียงนอนลงและหลับไปทั้งวันทั้งคืน
แต่เขาก็ไม่สามารถหลับลงได้เพราะหากเขาทำเช่นนั้น เขาจะไม่มีวันตื่นขึ้นมาอีกเลย…รวมถึงเจียงเสี่ยวนู๋, เฟิ่งหลวน, จ้านอู๋ซวงและคนอื่นๆด้วย
เจียงอี้มองไปที่ผีดิบที่กำลังเข้ามาและปล่อยมังกรเพลิงสองตัวออกไปและเมื่อเห็นพวกมันถูกระเบิดไปต่อหน้าต่อตา เจียงอี้ก็ถอนหายใจพร้อมกับขมวดคิ้วและพึมพำ “อะไรคือความลับของคนตายพวกนี้กัน?”ไอรีนโนเวล
หลังจากที่เขาพูดมันออกมาเขาก็เลิกคิ้วขึ้นและรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ ทันใดนั้นเขาก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา “ข้าพูดว่าอะไรนะ…..อะไรคือความลับของคนตายพวกนี้กัน? ใช่แล้ว….จะบอกว่า “คนตาย” มันก็ไม่ใช่คำที่ถูกต้องเท่าใดนัก”
“พวกมันไม่ใช่คนตายคนตายจะโจมตีด้วยตัวเองได้อย่างไรกัน? คนตายจะจับทิศทางข้าและไล่ล่าข้ามาตลอดทางได้ยังไง ในเมื่อพวกนี้ตายไปแล้ว พวกมันก็ไม่น่าจะรู้หรือเคลื่อนไหวได้สิ พวกมันไม่ควรจะต่างไปจากกองโคลนหรือขี้เถ้า แล้วทำไมพวกมันถึงยังโจมตีได้ล่ะ? เพราะพวกนั้นไม่ใช่คนตาย ข้าเข้าใจผิดไปเอง จักรพรรดิลี้ลับ ท่านได้ความเคารพจากข้าไปเต็มสิบส่วนเลย ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เจียงอี้หัวเราะออกมาเขาพบกุญแจสำคัญที่จะผ่านด่านสามโดยไม่รู้ตัว เขาพบประตูชีวิตแล้ว!
คนตายเหล่านั้นคือประตูชีวิตจริงๆและพวกเขาไม่ใช่คนตาย!
หรือไม่ก็…..ไม่เชิงว่าเป็นคนตายแต่เป็นเพียงหุ่นเชิดที่ถูกชักใยโดยผู้ที่มีพลังมหาศาลซึ่งเป็นหุ่นเชิดที่สามารถโจมตีและมองเห็นศัตรูได้เอง
ในตอนนี้เจียงอี้มั่นใจแล้วสิ่งหนึ่งผีไม่ได้มีอยู่จริงในโลกนี้……ผีดิบ, กองทหารผีดิบและอสูรผีดิบก็เช่นกัน!
ความตายนั้นหมายถึงความตายทุกสิ่งในโลกล้วนอนิจจัง หากดวงจิตวิญญาณสูญสลายไปและชีวิตก็จะหายไปจากโลกนี้ แล้วมันจะกลายเป็นผีหรือกลายเป็นผีดิบไปได้อย่างไร?
มันไม่มีดวงจิตวิญญาณหรือกลิ่นอายแห่งชีวิตเลย!
คนตายนั้นไม่ต่างจากก้อนหินหรือกองโคลนแม้ว่าผี, ผีดิบจะมีอยู่จริงบนโลกใบนี้ แต่พวกมันก็ถูกมนุษย์สร้างขึ้นมา
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือมนุษย์ไม่ได้ถูกผีเข้าครอบงำแต่มันคือมนุษย์เป็นผู้ควบคุมผีเหล่านั้นนั่นเอง!
ที่สะพานไร้ประโยชน์เอย,เส้นทางปรโลก, เมืองเฟิงตู และปรโลกล้วนถูกสร้างขึ้นมาโดยมนุษย์ จระเข้กลืนวิญญาณ, ผีดิบหรือสิ่งใดก็ตามแต่นั้นถูกสร้างขึ้นมาโดยมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มความหวาดกลัวและทำให้มนุษย์อ่อนแอลง
ซึ่งเป้าหมายนั้นง่ายมากคือการฝึกฝนขัดเกลาความตั้งใจของจอมยุทธทั้งหลาย หากพวกเขาไม่มีหัวใจที่แข็งแกร่งแล้วพวกเขาจะทนต่อความยากลำบากและเปลี่ยนชะตาตัวเองได้อย่างไร? ดังนั้นเจียงอี้จึงรู้สึกหวั่นเกรงต่อจักรพรรดิลี้ลับ เขานั้นคู่ควรกับตำแหน่งจักรพรรดิอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง
หลังจากที่จัดการเรื่องนี้ได้แล้วความเหนื่อยล้าในใจเขาก็หายไปและจิตใจของเขาก็กระจ่างแจ้ง เขามองไปยังผีดิบที่กำลังใกล้เข้ามาและไม่รู้สึกหวาดกลัวอีกต่อไปพร้อมกับเผยรอยยิ้มที่มุมปากของเขา เมื่อเขาพบต้นตอของปัญหา เขาก็มั่นใจแล้วว่าจะทำให้มันกระจ่างตราบเท่าที่เขามีเวลาเพียงพอ ซึ่งมันมีโอกาสสูงที่เขาจะผ่านด่านสามไปได้
“ผีดิบพวกนี้เป็นเพียงหุ่นเชิดตราบใดที่ข้าพบแก่นกลางของพวกมันเจอ พวกมันก็จะแตกสลายไปโดยที่ไม่ต้องโจมตี และยิ่งไปกว่านั้นคือหากข้าสามารถปรับแต่งพวกมันได้ พวกมันก็อาจจะเป็นลูกไล่ของข้าก็ได้”
เจียงอี้พึมพำด้วยความมั่นใจเขาหายใจเข้าลึกๆและเข้าสู่สภาวะมนุษย์ประสานสวรรค์อีกครั้ง ตอนนี้เขาไม่สนใจเปลือกนอกของพวกมันแล้ว และเขาเพียงต้องหาแก่นของมันให้เจอและจะพบทางผ่านด่านไปได้
ในเมื่อพวกผีดิบถูกควบคุมอยู่เขาก็จะต้องหาแก่นกลางของพวกมันซะและจากนั้นเขาก็จะเอาชนะพวกมันได้อย่างง่ายดาย
เขาเหลือบไปมองผีดิบเหล่านั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าซึ่งในเวลาเพียงห้านาที ดวงจิตวิญญาณของเขาก็สั่นสะท้าน เขาพบแก่นกลางซึ่งเป็นกุญแจสำคัญของการควบคุมผีดิบพวกนี้แล้ว
กลิ่นอายสีดำนั้นคือแก่นกลางมันคือกุญแจสำคัญที่ควบคุมพวกผีดิบเหล่านี้อยู่