เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 630 ขัดเกลาหญ้ามังกรยาจก
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 630 ขัดเกลาหญ้ามังกรยาจก
ตรงนั้นมีเกาะอยู่ประมาณสามเกาะและมีสองเกาะที่มีขนาดใหญ่และอีกเกาะนั้นเล็กกว่า เกาะทั้งสามนี้อยู่ห่างจากกันไม่ถึงร้อยกิโลเมตร และเมื่อเจียงอี้และเฟิ่งหลวนบินวนรอบเกาะทั้งสาม พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะอยู่ในเกาะที่เล็กที่สุด
เกาะทั้งสามเต็มไปด้วยป่ามะพร้าวเขียวชอุ่มและมียอดเขาหลายลูกที่นี่มีถ้ำมากมายและเหมาะแก่การอยู่อาศัยเป็นอย่างมาก เกาะนี้มีสัตว์ป่าเล็กๆมากมายดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกินอาหารแห้งหรือยาพลังงานทุกวัน
ยาเพิ่มพลังงานนั้นมีค่ามากและกลั่นยากกว่าปกติเฟิ่งหลวน, เจียงอี้และคนอื่นๆอาจจะมีพวกมันหลายร้อยอัน แต่พวกเขาไม่ได้อยู่ในทวีปเฟิ่งหมิงอีกต่อไป และทุกครั้งที่พวกเขากินยาเข้าไปหนึ่งครั้ง ยาก็จะยิ่งเหลือน้อยลงไป พวกเขาจึงไม่กล้าที่จะกินยานี้มากเท่าไหร่นัก นอกจากนี้พวกเขาก็ไม่ใช่ผู้เป็นอมตะ และหากพวกเขาไม่ได้กินอาหารมนุษย์ พวกเขาก็หิวโหยได้เหมือนกัน
ทั้งคู่เลือกเกาะที่เล็กกว่าเกาะอื่นเพราะที่นี่มีถ้ำเยอะกว่าและเต็มไปด้วยผาหินหากไม่มีใครตรวจสอบที่นี่ด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์อย่างละเอียด มันก็ยากที่จะรู้ได้ว่ามีคนซ่อนอยู่ที่นี่
แต่ก็แน่นอนว่า….
เมื่อมีจักรพรรดิอสูรมังกรวารีสีทองแล้วพวกเขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องพวกนี้เลย มันไม่จำเป็นต้องบอกว่าจักรพรรดิตนนี้เป็นผู้ปกครองน่านน้ำแถวๆนี้และพวกเขาก็สั่งให้จักรพรรดิอสูรส่งปีศาจทะเลไปคอยลาดตระเวนแล้ว หากมีสิ่งใดเกิดขึ้น จักรพรรดิอสูรจะรู้เรื่องในทันทีและรายงานให้เจียงอี้หนีไปล่วงหน้า
เมื่อทั้งคู่รู้ว่าพวกเขาปลอดภัยแล้วพวกเขาก็ค่อนข้างสบายใจและลงไปที่เกาะและบินไปมาระหว่างยอดเขาพร้อมกับจับมือกัน และพวกเขาทั้งสองก็ได้แผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปและค้นหาถ้ำที่เหมาะที่จะอยู่อาศัยได้
“นายน้อยตรงนั้นไม่เลวเลยนะ!”
เฟิ่งหลวนชี้ไปที่ถ้ำหนึ่งในขณะที่เจียงอี้สำรวจด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์จากนั้นดวงตาของเขาก็สว่างขึ้นและพยักหน้า “งั้นเราไปตรงนั้นกัน!”
พวกเขาบินผ่านไปราวกับสายรุ้งขณะที่พวกเขาคอยสำรวจรอบๆยอดเขาหินยักษ์และหยุดอยู่ที่หน้าผามีถ้ำขนาดยักษ์อยู่ตรงกลางของหน้าผานี้และทางเข้าก็ถูกเถาวัลย์ขนาดใหญ่ปิดกั้นเอาไว้อยู่ เมื่อทั้งคู่ใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์สอดแนมในนั้น พวกเขาจึงรู้ได้ว่าถ้ำนั้นกว้างขวางมากและภายในนั้นมันกว้างขยายออกไปกว่าสามกิโลเมตร
ฟรึ่บ!
เมื่อทั้งคู่บินมามันก็ได้ทำให้ฝูงลิงทั้งสองฝูงตกใจและพากันหนีกระเจิงและพวกเขาทั้งสองก็กวาดตามอง จากนั้นราชวังจักรพรรดิของเจียงอี้ก็สาดแสงและชิงหยีก็ออกมา เขาให้เฟิ่งหลวนคอยคุ้มกันเพื่อที่เขาจะได้ปลดปล่อยญาณศักดิ์สิทธิ์ออกมาตรวจสอบสถานการณ์ใกล้เคียง
หนึ่งชั่วโมงต่อมาหลังจากที่เจียงอี้สอดแนมแล้วเขาก็พบว่าจักรพรรดิอสูรกำลังพักฟื้นอย่างเชื่อฟัง และมีราชาปีศาจแถวๆทะเลรอบๆนี้อย่างน้อยหนึ่งร้อยตน และเจียงอี้ก็ไม่ได้ต้องการจะปราบราชาปีศาจทั้งหมดนี้ เพราะว่าเขามีจักรพรรดิอสูรอยู่แล้ว เมื่อมีจักรพรรดิอสูรอยู่ใกล้ๆ พวกมันทั้งหมดจะต้องฟังเขา
แต่ก็แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้แม้ว่าเขาจะอยากกำราบราชาปีศาจทั้งหมดเพราะว่าเขาไม่มีเครื่องรางสัตว์วิญญาณแล้ว ราชาปีศาจพวกนี้ยังไม่ได้หลอมรวมและมีร่างมนุษย์และไม่สามารถปล่อยวิชาผนึกแห่งดวงจิตได้ หรือแม้ว่าราชาปีศาจเหล่านี้จะทำได้ แต่การเก็บผนึกแห่งดวงจิตนับร้อยดวงไว้ มันจะทำให้ทะเลแห่งดวงจิตของเขาปั่นป่วนไปหมด
“น่าเสียดายจัง…”
เขาลืมตาขึ้นมาและจากนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จากนั้นเขาก็ตบขาตัวเองและพูดว่า “ใช่แล้ว ข้ามีสิ่งประดิษฐ์ที่ข้าลืมใช้มันนี่นา หากข้าขัดเกลามันได้ ข้าอาจจะปราบเหล่าราชาปีศาจพวกนี้ได้หมด และพวกมันก็จะเป็นผู้ใต้บัญชาที่ไม่ต้องใช้ทรัพยากรอะไร”
บรึฟ!
ไข่มุกวิญญาณเพลิงของเขาเปล่งประกายขึ้นมาในขณะที่เจดีย์สีดำสนิทปรากฏขึ้นในมือของเขาจึงทำให้เฟิ่งหลวนและชิงหยีที่กำลังเก็บกวาดถ้ำถูกดึงความสนใจไปทันที ชิงหยีกระพริบตาและพูดว่า “นายน้อย สิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้คืออะไรหรือเจ้าคะ? มันมีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งมากและน่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์เหนืออิทธิฤทธิ์เลยนะ”
“เหอะๆมันเรียกว่าเจดีย์ฝูงอสูรน่ะ!”
เจียงอี้ยิ้มกว้างเขาเกือบตายอยู่ที่เมืองเทียนชิงเพราะเจดีย์ฝูงอสูรนี้ไปแล้ว ย้อนไปในตอนนั้น ตู๋กูฉิวได้ปล่อยราชันสัตว์อสูรระดับสูงสุดนับร้อยตัวออกมา หากไม่ใช่เพราะเจตจำนงสัหารของเขาที่ขึ้นไปถึงระดับห้า เขาก็คงจะต้องถูกราชันอสูรนับร้อยตนเหล่านั้นบดขยี้ไปอย่างแน่นอน
หลังจากที่เขาได้เจดีย์ฝูงอสูรมาแล้วเขาก็ยังขัดเกลามันไม่ได้เพราะในตอนนั้นตู๋กูฉิวยังไม่พินาศไป หลังจากนั้นเขาก็เก็บมันเข้าไปในไข่มุกวิญญาณเพลิงและลืมมันไปแล้ว และเมื่อเห็นว่ามีราชันสัตว์อสูรอยู่แถวนี้นับร้อยตน เขาจึงนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้
ตู๋กูฉิวตายไปแล้วและผนึกบนเจดีย์ฝูงอสูรก็หายไปซึ่งมันก็หมายความว่ามันสามารถขัดเกลาได้อย่างง่ายดาย เจียงอี้อาจไม่รู้เรื่องการใช้งานของเจดีย์อสูรนี้ แต่ในเมื่อมันมีชื่อเช่นนี้ มันจะต้องปราบอสูรได้อย่างแน่นอน ชิงหยียังบอกอีกว่าเจดีย์ฝูงอสูรนี้มีกลิ่นอายที่ทรงพลังและน่าจะเป็นสิ่งประดิษฐ์เหนืออิทธิฤทธิ์..ไอรีนโนเวล
“อืมมแต่เมื่อมีจักรพรรดิอสูรอยู่แถวนี้ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องปราบอสูรพวกนี้หรอก”
เจียงอี้คิดเรื่องนี้และโยนเจดีย์ฝูงอสูรกลับไปในไข่มุกวิญญาณเพลิงดังเดิมจากนั้นเขาก็มองไปรอบๆและรู้สึกประทับใจในความคล่องแคล่วของเฟิ่งหลวนและชิงหยีอย่างเงียบๆ
หนึ่งชั่วโมงต่อมาทั้งสองคนได้เปลี่ยนถ้ำนี้ให้กลายเป็นโถงราชวังอย่างแท้จริง พวกนางใช้สิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ขุดทำห้องต่างๆมากมายและปูพื้นด้วยพรม พวกนางยังจัดวางสิ่งของมากมายที่ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่บ้าน แต่น่าเสียดายที่มันไม่มีทางตั้งอาคมยับยั้งได้ ไม่เช่นนั้นที่นี่จะกลายเป็นห้องโถงเล็กๆอย่างแท้จริง
“อาคมยับยั้ง….ใช่แล้ว!”
จู่ๆเจียงอี้ก็นึกขึ้นได้ว่าหยุนเฟยสามารถตั้งอาคมได้ใช่ไหมนะ? ทันใดนั้นเขาก็สอดส่องราชวังจักรพรรดิทันทีและเห็นว่าจ้านอู๋ซวงและหยุนเฟยออกสู่สันโดษแล้ว ส่วนเจียงเสี่ยวนู๋, เฉียนว่านก้วนและเสี่ยวเฟยยังเข้าสู่สันโดษอยู่
บรึฟ!
ราชวังจักรพรรดิสว่างวาบขึ้นมาและย้ายจ้านอู๋ซวงและหยุนเฟยออกมาในขณะที่พวกเขาก็รีบไปคุยกับเจียงอี้อย่างสนิทสนมเจียงอี้นำสัตว์อสูรหยาจื้อออกมาด้วยเช่นกันและกวักมือของเขาขณะที่พูดว่า “อสูรหยาจื้อ เจ้าจะอยู่ในเกาะนี้หรือออกไปนอกเขตทะเลรอบๆนี้ก็ได้ แต่อย่าไปไกลเกินไปและอย่ายั่วยุจักรพรรดิอสูรใต้ทะเลด้วยล่ะ”
“จักรพรรดิอสูร…..”
ร่างของมันสั่นสะท้านมันเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆที่จะได้ลงไปกินอาหารอันโอชะใต้ทะเล แต่เมื่อมันได้ยินคำว่าจักรพรรดิอสูร มันก็ไม่กล้าที่จะไปไหนอีกต่อไป ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
“ฮ่าฮ่าดูท่าทีขี้ขลาดของเจ้าสิ ข้าปราบจักรพรรดิตนนั้นแล้ว เจ้าไปได้ทุกที่ที่ต้องการเลย แต่อย่าไปไกลจากเกาะนักก็พอ”
เจียงอี้ยิ้มและหัวเราะออกมาในขณะที่เฟิ่งหลวนและชิงหยีก็เย้ยหยันเช่นกันและเมื่อหยุนเฟยเห็นดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักของหญิงสาวทั้งสอง นางก็มองไปที่เจียงอี้ก่อนจะสบตากับจ้านอู๋ซวงก่อนที่ทั้งคู่จะยิ้มออกมา
หยุนเฟยแต่งงานกับจ้านอู๋ซวงมาระยะหนึ่งแล้วและเห็นได้ชัดว่าเฟิ่งหลวนและชิงหยีถูกเจียงอี้ตามใจพวกนางแล้วความรักและความเสน่หาที่เผยออกมาจากดวงตาของพวกนางเป็นสิ่งที่ไม่มีชายใดมีวันได้ครอบครอง แต่อย่างไรก็ตาม…..หยุนเฟยไม่รู้ว่าเฟิ่งหลวนและชิงหยีมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน
“จักรพรรดิอสูร!”
จ้านอู๋ซวงยกนิ้วให้เจียงอี้การที่เขาออกจากสันโดษครั้งนี้ ทำให้เขามีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก และความเร็วในการฝึกฝนในราชวังจักรพรรดิก็เร็วมากเกินไป ในตอนนี้เขาอยู่ขอบเขตเสินโหยวขั้นที่เก้าแล้ว เขาเพียงแค่ต้องเข้าใจถึงรูปแบบเต๋าเพื่อไปให้ถึงขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดและทะลวงไปยังขอบเขตจินกัง ในฐานะผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของตระกูลเทพสงคราม เขาคงไม่อยากเป็นคนไร้ประโยชน์อยู่แล้ว
เจียงอี้คุยกับจ้านอู๋ซวงเล็กน้อยก่อนที่เขาจะหันไปมองหยุนเฟย“หยุนเฟย การทำความเข้าใจกับอาคมยับยั้งของเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง? เราอาจต้องอยู่ที่นี่สักระยะ หากเจ้าสามารถสร้างอาคมได้ สถานที่นี้จะปลอดภัยกว่าเดิมมาก”
เจียงอี้ไม่ได้บอกหยุนเฟยและจ้านอู๋ซวงว่าพวกเขากำลังถูกเก้าตระกูลจักรพรรรดิไล่ล่าอยู่เพราะมันส่งผลต่อสภาพจิตใจพวกเขาและส่งผลต่อการฝึกฝนของพวกเขาด้วย
หยุนเฟยเผยสีหน้ามั่นใจและยิ้มเล็กน้อย“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ข้าได้เลย ข้าสามารถสร้างม่านลวงตาไม่กี่รูปแบบได้อย่างง่ายดาย แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนก็จะไม่เจอที่นี่หากพวกเขาไม่ได้สนใจมากนัก ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณท่านเลย ท่านจอมพล เพราะท่านให้รูปแบบเส้นทางก่อนหน้านี้แก่ข้า ข้าจึงได้ประโยชน์มาจากมันเยอะแยะเลย”
“หยุนเฟยนี่น่าทึ่งจริงๆ!”
เจียงอี้ยกนิ้วโป้งให้นางและรู้สึกยินดีมากที่เขาได้มอบศาสตร์อาคมที่จอมเวทย์ให้มาแก่หยุนเฟยนางมีความสามารถพิเศษและศึกษาเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็ก และในเมื่อนางมีพื้นฐานด้านนี้และมีความสนใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก มันจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่จะปล่อยให้นางศึกษามัน
ฟรึ่บ!
ในตอนนั้นเองสัตว์อสูรหยาจื้อก็บินไปยังทะเลราตรีสีเลือด แล้วทันใดนั้นก็มีร่างๆหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากทะเล และนั่นก็คือ จักรพรรดิอสูรมังกรวารีสีทอง
เจียงอี้สำรวจด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์และเห็นว่าอาการบาดเจ็บของมังกรวารีสีทองฟื้นตัวขึ้นมาบ้างเล็กน้อยแล้วจากนั้นเขาก็พยักหน้าเบาๆและส่งข้อความไปยังจักรพรรดิอสูรว่า “เจ้าไม่ต้องขึ้นมาหรอก กลับลงไปในทะเลและให้ลูกน้องเจ้าคอยดูบริเวณใกล้ๆเอาไว้ก็พอ หากมียอดฝีมือหรือจักรพรรดิอสูรที่ทรงพลังเข้ามาใกล้ๆให้รีบแจ้งข้าทันที”
“ขอรับนายท่าน!”
จักรพรรดิอสูรบินกลับลงไปในทะเลและรวบรวมราชันปีศาจที่ลาดตระเวนอยู่มารวมตัวกันส่วนเจียงอี้ก็ปลดปล่อยญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขาและคอยสังเกตจักรพรรดิอสูรและตระหนักเห็นได้ว่าเขาเชื่อฟังจริงๆ จากนั้นเจียงอี้ก็ลืมตาขึ้นมาและยิ้ม “ทุกคนไม่ต้องกังวลไป ช่วงนี้เราน่าจะปลอดภัยมาก พวกเจ้าก็อยู่ที่นี่สบายๆกันเลยนะและหลังจากที่ข้าขัดเกลาหญ้ามังกรยาจกและไปถึงขอบเขตเทียนจุนแล้ว ข้าจะพาพวกเจ้าไปสำรวจทวีปจักรพรรดิบูรพากัน”